หลวงพ่อโตท่านเป็นสมเด็จฯ แต่ความจริงหลวงพ่อโตจริงๆ ท่านเป็นลูก ร.๑ ไม่เชื่อลองไปถาม ร.๑ ดู (หัวเราะ) ที่สะพานพุทธน่ะ เคยถามท่านแล้วนะท่านยอมรับ รับด้วยการดุษณีภาพ(ยอมรับด้วยอาการนิ่งสงบ)แบบพระพุทธเจ้าไงเล่า พระพุทธเจ้าใครมานิมนต์ท่านเฉย ถ้าเฉยแสดงว่ารับ
เรื่องเป็นมาอย่างนี้ สมัยนั้นพระเจ้าตากสินยกทัพไปทางด้านทิศตะวันตกกับทิศเหนือไปสังเกตทัพพม่าที่จะเข้ามา ร.๑ ก็ไปวางแนวทหารไว้ วันหนึ่งก็ออกไปตรวจแนวทหาร พอไปตรวจแนวทหารก็ไปเจอกระท่อมกระท่อมนึง ท่านเข้าไปตรวจแนวทหารพอกลับมาก็ไปเจอะกระท่อมอยู่กลางนาแต่ปรากฏว่ามีลูกสาวหน้าตาดีพ่อแม่เขาไม่อยู่ก็ย่องไปต๋งเต๋งต๋งเต๋งใช่ไหม(หัวเราะ) สรุปว่าเป็นที่พอใจ เมื่อพ่อแม่เขามาเห็นว่าเป็นแม่ทัพใหญ่ก็เลยยกลูกสาวให้ ในขณะที่ขัดตาทัพกันอยู่ที่นั่นไม่นานนักแต่ก็เป็นปีนะ เป็นอันว่าก็ตั้งครรภ์แล้วคลอดออกมา พอจะยกทัพกลับก็เอาผ้าคาดเอวชุดแม่ทัพเต็มยศให้ไว้ว่า ถ้าลูกเกิดมาก็ส่งลูกเข้ากรุงเทพฯ เอาผ้าคาดเอวนี้ไปด้วยผ้าคาดเอวชุดแม่ทัพใช่ไหม ให้ไปเลยเอาไว้เป็นสัญลักษณ์ ต่อมาภายหลังท่านโตมาบวชเณรแล้วเข้ากรุงเทพก็เป็นเณร ก็มีผ้าคาดเอวติดตัวไป แต่ทว่าตอนนั้น ร.๑ สวรรคตแล้ว พ่อตายไปแล้ว พอแสดงผ้าคาดเอวเขาก็รู้เลยว่าเป็นลูก ร.๑ แต่ไม่มีใครรับเอาเป็นเจ้าใช่ไหม แต่เจ้ารับเอาไปเลี้ยงเจ้าสงเคราะห์
ต่อมาก็บวชพระเล่าเรียนจบพระไตรปิฏกแตกฉาน ไม่จบอย่างเดียวเป็นปฏิสัมภิทาญาณ บางคนจบพระไตรปิฏกอย่างเดียวก็ยังโง่บัดซบอยู่เสือกระดาษ แตกฉานมากเวลานั้น ร.๔ ก็บวชก็โต้กันกับ ร.๔ เป็นที่ชอบใจมาก ร.๔ ท่านก็ทราบว่าเป็นเจ้า ต่อมาเมื่อ ร.๔ สึกออกมาเป็นกษัตริย์ ก็ตั้งให้ขรัวโตเป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ ก็นิมนต์มาเทศน์เรื่องๆ เทศน์ไปเทศน์มาท่านชอบใจก็ตั้งเป็นพระราชาคณะชั้นเทพไปเลย เป็นชั้นเทพหน่อยเดียวไม่ช้าก็เลื่อนเป็นสมเด็จพระพุฒาจารย์โต โตไม่ใช่เล็ก (หัวเราะ) ก็มีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันอยู่บ่อยๆกับ ร.๔ กอดคอกันมาตั้งแต่เป็นพระใช่ไหม
คราวหนึ่งไปเทศน์เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ความเป็นมาของไอ่คนสมัยก่อน สมัยพระพุทธเจ้าสมัยโน้นแหละนะ พี่เอาน้องเป็นเมียว่าไปว่ามาเป็นลูกพ่อเดียวแม่เดียวกัน ไอ่พี่ชายก็เอาน้องเป็นเมีย ไปๆมาๆก็ลามมาถึงกษัตริย์สมัยรัตนโกสินทร์ ร.๔ โกรธ สั่งถอดจากสมเด็จฯ ถอดอย่างเดียวไม่เป็นไร สั่งขับออกนอกประเทศอีกห้ามอยู่ในขอบขัณฑสีมาไปไงล่ะ ถ้าเป็นเจ้าคุณพระราชพรหมยานก็ตายห่าไปแล้ว (หัวเราะ) ไม่รู้จะไปทางไหน ถอดแล้วก็ขับออกไป เมื่อเจ้าบ้านเขาไม่ให้อยู่ก็จะออกไปเถียงกันคอดำคอแดง ไปไงก็ไปนอนในโบสถ์วัดพระแก้ว ถ้าเป็นฉันก็แหงแก๋ไปแล้วไม่มีทางไปไหน พระเจ้าอยู่หัวสั่งเจ้าพนักงานไปไล่ออกจากวัดพระแก้ว ท่านก็บอก “เห้ย!! นี่มันที่วัดโว้ยไม่ใช่ที่พระเจ้าอยู่หัว พระเจ้าอยู่หัวไม่มีสิทธิ์ในที่วัดวะ” ก็ที่ของสงฆ์ใช่ไหมล่ะ ก็นอนในนั้นทั้งบ่ายจะขี้จะเยี่ยวหรือเปล่าก็ไม่รู้
พอถึงตอนบ่ายๆ ร.๔ ก็สั่งเจ้าหน้าที่ไป ท่านสั่งว่า “เอางี้ก็แล้วกัน อนุญาตให้ขรัวโตเข้าขอบขัณฑสีมาได้” ก็ออกจากโบสถ์วัดพระแก้ว เดินท่อมๆมาที่ฝั่งท่าพระจันทร์จะข้ามฝาก พระเจ้าอยู่หัว ร.๔ ก็สั่งให้เจ้าพนักงานนำพัดสมเด็จฯมาถวาย ท่านก็ถาม “ทำไม” เจ้าหน้าที่ก็ว่า “พระเจ้าอยู่หัวให้นำพัดสมเด็จฯมาถวาย” ท่านก็ว่า”เห้ย!! รับไม่ได้ ไอ่ห่า!! ใครเขาตั้งสมเด็จฯกันกลางถนนวะ มีรึวะตั้งสมเด็จฯกันกลางถนนหนทางเอากลับไป!! พระเจ้าอยู่หัวมึงไม่ได้เรื่อง ดูถูกกันนี่หว่าตำแหน่งสมเด็จเล็กน้อยหรือ” (หัวเราะ) ท่านก็จะข้ามฝากขึ้นเรือแจว คนแจวเรือแจวไม่ทันใจท่านก็ลุกมาแจวเอง (หัวเราะ) “กูเลิกเป็นสมเด็จฯ จะทำอะไรก็ได้วะ เวลานี้ไม่เป็นสมเด็จฯแจวเรือก็ได้วะ เอ็งแจวไม่ทันใจข้าแจวเองๆ” ต่อมาร.๔ ก็นิมนต์เข้ามาในวังใหม่เพื่อตั้งสมเด็จฯ ต้องถวายพัดถวายผ้าไตรถวายอะไรใหม่หมด เสียท่าสมเด็จโต (หัวเราะ)
ต่อมาวันหนึ่งพระชายา (เมีย) ร.๔ กำลังท้องแก่หมอเขาว่าจะคลอดวันนั้น พอดีวันนั้นเป็นวันพระสมเด็จโตก็เข้าไปเทศน์ ร.๔ ท่านก็หนักใจว่าลูกจะเป็นยังไงบ้างแม่จะเป็นยังไงบ้างใช่ไหม พอคิดก็บอกสมเด็จโตว่า “นี่เมียจะออกลูก ขอให้เทศน์น้อยๆหน่อยนะให้สบายๆใจ” สมเด็จโตท่านก็เทศน์เรื่อยๆไป สักเดี๋ยวมโหระทึกก็ขึ้นลูกออกมโหระทึกก็ขึ้นใช่ไหมตึงตังโครมคราม ร.๔ ก็นั่งกระสับกระส่าย อยากจะรู้ว่าแม่เป็นยังไงลูกเป็นยังไง สมเด็จโตก็เทศน์เรื่อยไม่จบก็ลุกไม่ได้ เพราะว่าท่านเป็นพระมาก่อน ร.๔ พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า “ธมฺโม ครุกาตพฺโพ พระพุทธเจ้ายังเคารพในพระธรรม” ท่านจะไม่เคารพในพระธรรมได้ยังไง สมเด็จโตท่านก็เทศน์เรื่อยไป ร.๔ ไม่สบายใจท่านก็เทศน์เรื่อยไป จนกระทั่งในที่สุด ร.๔ ท่านก็คิดว่าจะเป็นยังไงก็ชั่งมันก่อนเถอะวะ จะตายหรือไม่ตาย ถ้าจะตายเราก็ช่วยไม่ได้ ตั้งใจฟังเทศน์ขรัวโต พอเริ่มจิตเป็นสุขตั้งใจฟังเทศน์ สมเด็จโตท่านก็ว่า “เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้” (หัวเราะ) ร.๔ ท่านก็ไม่ว่าอะไร
พอมาอีกวันพระหนึ่งท่านไปเทศน์ทุกวันพระ ร.๔ ก็ตั้งใจว่า “โอ้วันนี้ลูกก็สบาย แม่ก็สบาย ทุกอย่างโปร่งหมด การงานโปร่งหมด วันนี้จะตั้งใจฟังเทศน์ขรัวโตให้มีความสุขสักหน่อย” พอขรัวโตขึ้นไปให้ศีลจบ ท่านก็ตั้ง นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ จบใช่ไหม ท่านก็ว่า “อะไรๆ มหาบพิตรก็ทรงทราบอยู่แล้ว เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้” (หัวเราะ) ร.๔ ก็โวย “ขรัวโต!! วันนี้ตั้งใจจะฟังเทศน์ให้สบายๆ ก็ไม่เทศน์ซะแล้ว วันนั้นลูกก็จะออกห่วงทั้งแม่ทั้งลูกตะบันเทศน์ไม่จบ เราก็จิตใจไม่ค่อยสุข” ท่านก็ว่าพระเทศน์ท่านต้องเทศน์ให้คนมีจิตใจเป็นสุขให้ได้ แต่วันนี้มีความสุขแล้วเทศน์อะไรก็ได้เป็นกันเอง (หัวเราะ)
เยี่ยวแตกในวังยังมี วันหนึ่งกำลังนั่งฉันข้าวในวังอยู่พอจะยถาสัพพี สมเด็จฯ เยี่ยวแตกราดพื้นมาไหลนองเลย พระเจ้าอยู่หัวท่านก็ว่า “ขรัวโต!! ทำไมเยี่ยวแตกละ” ท่านก็ว่า “มันยังไม่ถึงเวลาลุกนิ จะไปยังไงยถาสัพพีก็ยังไม่ว่า จะขี้จะเยี่ยวใครมาห้ามได้ละ” (หัวเราะ) คนในวังถูกหวยกันสะบัดเลยเขาว่าท่านใบ้หวย สมัยโน้นถูกกันจมเลย (หัวเราะ) .....เอ้อจบละนะ เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้ (หัวเราะ)
โดย พระราชพรหมยาน
หลวงพ่อฤาษีลิงดำ (พระมหาวีระ ถาวโร)