31 กรกฎาคม 2563

#คาถาปลุกพระของหลวงปู่ปานโสนันโท

#คาถาวัดท่าซุง สำหรับผู้มี น้ำมันชาตรี มีดหมอชาตรี ยันต์เกราะเพชร และ วัตถุมงคลหลวงปู่ปาน วัตถุมงคลหลวงพ่อฤาษี และ    ลูกหลานวัดท่าซุงทุกๆท่าน
ตั้ง นะโม ๓ จบ แล้วว่าไตรสรณคมน์

พุทธัง สรณัง คัจฉามิ, 
ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ, 
สังฆัง สรณัง คัจฉามิฯ

#บทสรรเสริญพระพุทธคุณ

อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจะระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู อะนุตตะโร ปุริสสะทัมมะสาระถิ สัตถา เทวะมนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ.

-สวดเช้า ก่อนนอน น้อมบารมีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน 

#พระคาถาของสมเด็จพระพุทธกัสสป

พุทธัง มัดจิต ธัมมัง มัดใจ ศัตรูทั้งหลาย วินาศสันติ
พุทธัง มัดจิต ธัมมัง มัดใจ โรคทั้งหลาย วินาศสันติ
ฆะเตสิ ฆะเตสิ กิงกะระณัง ฆะเตสิ อะหังปิตัง ชานามิ ชานามิ
" บทที่๑ ศัตรูแพ้ภัยพินาศไปเอง "
" บทที่๒ รักษาโรคาสลายยาพิษ  "
" บทที่๓ คาถาป้องกันเสกข้าวเป็นยา "

- ระลึกถึงบารมีของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ อันมีสมเด็จพระพุทธกัสสปทรงเป็นประธาน เพราะท่านเป็นเจ้าของคาถานี้
- บทที่๓ เป็นของสมเด็จสมณะโคดม องค์ปัจจุบัน

#คาถาปลุกพระของหลวงปู่ปานโสนันโท

อิทธิฤทธิ        พุทธะนิมิตตัง       ขอเดชะเดชัง
ขอเดชเดชะ   จงมาเป็นที่พึ่ง      แก่มะอะอุนี้เถิด

-ใช้สวดอาราธนาพระเครื่องและวัตถุมงคลของ หลวงปู่ปาน หลวงพ่อฤาษี  ตั้งจิตน้อมบารมีหลวงปู่ปาน เป็นที่สุด

#คาถาพระพุทธเจ้า๕พระองค์

          นะโมพุทธายะ

- ตั้งจิตถึงพระพุทธเจ้าทั้ง ๕ พระองค์ ใน ภัทรกัป นี้
ใช้  ภาวนา   พรมน้ำมนต์  โรยทรายเสก  โรยข้าวสารเสก
- ถ้าตั้งจิตถึง พระยายมราช ใช้เพื่อระงับ ทุกขเวทนา อาการเจ็บปวด ทรมานต่างๆ

 1 แชร์ เท่ากับ 1 ธรรมทาน 

“สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ 
 การให้ธรรม ย่อมชนะการให้ทั้งปวง”

29 กรกฎาคม 2563

กรรมฐาน ช่วยบรรพชน

จิตที่ยังไม่ได้เข้าถึงกุศล..เค้าเรียกว่าจิตที่ยังไม่ตั้งมั่น จิตที่ยังไม่ตั้งมั่นนั่นแล จิตที่ขาดการอบรม จิตที่ขาดสติ เรียกว่าจิตที่ขาดหลัก นั้นที่เราจะรู้เอาหลักไปได้อย่างไรกำกับจิตไว้ ก็คือมีองค์ภาวนาว่า"พุทโธ" ขณะที่เรากำหนดพุทโธ มันต้องกำหนดลม คืออานาปานสติควบคู่เข้าไป เมื่อควบคู่เข้าไปนั้นแลเค้าเรียกว่าพุทโธจักมีจิตจักมีวิญญาณแห่งพระพุทธะ แห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า..จะเข้าไปหล่อหลอมจิตใหม่ 

ก็เอาจิตนี้แล เมื่อจิตเริ่มตื่นรู้ขึ้นมาบ้างแล้ว พอที่จะประคับประคองให้จิตเรานั้นพ้นจากขันธมาร ที่มันคอยสั่งคอยกักขังหน่วงเหนี่ยวเรามาหลายภพชาติเป็นเอนกชาติ คำว่าเอนกชาตินี้มันหาประมาณชาติไม่ได้ ก็เอาชาติในปัจจุบันที่เราเสวยอารมณ์นี้แลที่เรารู้ได้ เป็นที่ตั้งเป็นเบื้องบาทแห่งภพชาติต่อไป ที่จะรู้ได้ว่าชาติต่อไปจักมีอีกหรือไม่ หรือจักไม่มีอีกหรือไม่ ก็เอาปัจจุบันชาตินี้แลให้อธิษฐานจิตแผ่เมตตาให้กับจิตวิญญาณที่มาสิงสู่ ที่ยังมาแฝง ที่ยังมาครอบงำ ที่คอยมากัดกินพระไตรปิฎก ที่มาคอยกัดกินรากเหง้าของดอกบัวดอกกมลชาติ ที่ไม่ให้เกิดคุณงามความดี..

ก็อธิษฐานบุญกุศลนี้ให้เค้ามีทาง ให้อาศัยผลบุญกุศลที่ข้าพเจ้าเจริญกรรมฐานอยู่นี้ อย่าได้มาเบียดเบียนตามบีฑา ให้เป็นเวรเป็นกรรมกัน นั่นก็คือปู่ย่าตายายที่เค้านั้นยังไม่ไปผุดไปเกิด ก็เอาอาศัยบุญนี้แลช่วยเขา แสดงว่าเขายังอยู่ในขุมนรกอยู่ ดังนั้นแลจงช่วยเขามาด้วยอำนาจแห่งกรรมฐานนี้.. 

การจะฉุดช่วยขึ้นมา..ทำอย่างไร ให้ตั้งจิตให้มั่น มีศรัทธาต่อพระรัตนตรัยให้ถึง..ถึงยังไง ถึงลม ถึงลม..ทิ้งลม รู้ที่ตั้งของกองลม คืออยู่ในกาย รู้กาย จิตที่เรากำหนดรู้ในลมนั่นแลคือจิต อารมณ์ที่ผัสสะเข้ามาคือสัมปชัญญะที่รู้ได้ในกายสังขาร เชื่อว่าพระพุทธองค์ท่านอุบัติเกิดขึ้นมาจริง ธรรมคำสั่งสอนที่ท่านตรัสไว้นั้นสามารถทำให้เรานั้นพ้นทุกข์ได้จริง พระสงฆ์คือเนื้อนาบุญสามารถเป็นที่พึ่งที่อาศัยให้เรานั้นได้ประพฤติปฏิบัติ ได้อาศัยเข้าถึงความพ้นทุกข์ได้จริง..ให้เข้าถึง 

อย่าได้มีความลังเลสงสัยในธรรม หรือพระสงฆ์ หรือในครูบาอาจารย์ใดๆ ให้ตัดทิ้งไปเสียให้หมด ให้มีแต่จิตที่เป็นกุศล มีแต่จิตที่ให้..คือให้อภัย ให้อโหสิกรรม อย่าได้มีจิตที่เศร้าหมอง เมื่อจิตที่ตั้งมั่นโดยบริสุทธิ์จิตนี้แลเรียกว่าจิตนั้นพ้นจากอาสวะกิเลสชั่วขณะหนึ่ง เมื่อจิตมันเข้าถึงพระรัตนตรัยนี้ เราสามารถอธิษฐานจิตนี้ให้กับบิดามารดาผู้มีคุณ ปู่ย่าตายายที่ยังไม่ไปผุดไปเกิด ก็เรียกว่าเค้ายังมีห่วง.. 

ก็ให้อธิษฐานว่า บุญกุศลที่ข้าพเจ้าที่เคยเป็นลูกเป็นหลาน เคยมีบุพกรรมกันมา เคยมีคุณอะไรก็ดี เคยมีเวรอาฆาตกันก็ดี เคยล่วงเกินใดๆก็ดี ในทางกาย ทางวาจา ทางจิตทางใจ ทางใดทางหนึ่งก็ดี ข้าพเจ้าผู้นี้ขออโหสิกรรม ขอบุญกุศลนี้จงอุปถัมภ์ค้ำชูให้ดวงจิตวิญญาณทั้งหลายให้เข้าถึงสุคติภพภูมิ มีสุคติเป็นที่ไป ขออำนาจแห่งพระรัตนตรัยจงเป็นแสงสว่างนำทางให้ดวงจิตที่ยังมืดบอดอยู่นี้ให้เห็นทาง ในทางพ้นทุกข์ และได้อาศัยพระธรรมก็ดี พระอริยสงฆ์ก็ดี อาศัยในบุญที่ข้าพเจ้าเจริญอยู่นี้ก็ดีเป็นที่พึ่งเป็นสรณะ เพื่อจะได้ไม่มีเวรพยาบาทต่อกันอีกต่อไปเลย 

เมื่อเราปาวารณาอบรมปาวารณาอย่างนี้แล้ว จิตมันจะค่อยๆตื่นขึ้นมา นี่เรียกว่าจิตนั้นพ้นจากโคลนตมได้ จิตที่พ้นจากโคลนตมเป็นอย่างไรเล่า จิตที่พ้นจากโคลนตมแล้วเค้าเรียกว่าจิตเริ่มตื่นขึ้นมา มีตัวรู้เข้ามา จึงเรียกว่าจิตนี้เป็นจิตว่าง สัมมาสมาธิบังเกิด ในขณะที่เป็นขณิกสมาธิ..สมาธิที่มันเฉียดฌานอยู่ แต่เมื่อจิตนั้นมันพ้นจากโคลนตม จิตที่ว่ามีกำลังเกิดขึ้นมา ความหดหู่ความเศร้าหมอง ความอ่อนล้าทางกายก็ดี เริ่มผ่อนปรนลงไป จิตเริ่มมีกำลังเข้ามาอย่างนี้เข้ามาแทนที่ เค้าเรียกว่าอุปจารสมาธิมันก็บังเกิดขึ้น สมาธิที่มันมีกำลังตั้งมั่นเข้าถึงฌาน 

แต่เมื่อมันเข้าถึงแล้วถ้าเราไม่รักษา เมื่ออะไรที่เกิดขึ้นแล้วของดวงจิต จิตที่ตั้งอยู่ จิตที่เกิดขึ้น มันก็ย่อมดับไปได้ของอารมณ์นั้น นั้นคำว่าฌานก็คือคำว่าชิน คือกำหนดรู้อยู่บ่อยๆ เมื่อมันตกภวังค์ไปก็ดี มีความลืมตัวของสติไปก็ดี ก็กำหนดรู้ที่กายขึ้นมาใหม่อยู่อย่างนี้ กำหนดรู้ในอกุศลที่เรานั้นไปล่วงเกินอะไรในผู้ใดก็ตาม หรือเราจะกำหนดกายนี้ให้เข้าถึงอสุภะก็ดี อย่างนี้เรียกว่าการเพ่งโทษก็ดี เพื่อให้จิตเรานั้นตื่นรู้ขึ้นมา 

ตื่นรู้ว่าในขณะนี้เรามาทำอะไร เรามาสร้างบุญสร้างกุศล คือเจริญสติมีภาวนา เมื่อเรามีองค์ภาวนาอยู่ในจิต จิตจะอยู่ในอุเบกขาฌานคือการไม่สนใจอะไร นั้นหน้าที่ของเราก็คือรักษาองค์ภาวนาไว้ให้เป็นหนึ่ง องค์ภาวนาที่เป็นหนึ่งนี้แลเรียกว่าเอกัคคตา เอกัคคตานี้แลเรียกว่าธาตุทั้ง ๔ นั้นเสมอเหมือนเป็นหนึ่ง จึงเรียกว่าฌานก็ดี กำลังแห่งสมาธิก็ดี มันมีกำลังมากเรียกว่าอัปปมาณสมาธิ.. 

มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒

ละธรรม 6 ประการ

ปุจฉา : ถ้าเปลี่ยนมารักษาศีล 8 จะช่วยให้การฝึกสติ ไปได้รวดเร็วกว่ามั๊ยครับ?
วิสัชนา :
พระพุทธเจ้าตรัสว่า “บุคคลอาจเจริญสติปัฏฐาน ๔ ให้บริบูรณ์ได้ ถ้าเขาละธรรม 6 ประการ”

ถ้าโยมมุ่งมั่นจริงจัง
หวังจะก้าวหน้าในการพัฒนาสติปัฏฐาน 

พระพุทธเจ้าตรัสว่า​ “ถ้าละธรรม 6 ประการนี้ได้ อาจเจริญสติปัฏฐาน ๔ ให้บริบูรณ์ได้”

มีอะไรบ้างธรรม 6 ประการ 

1. ละความเป็นผู้ยินดีใน #กิจการงานก่อสร้าง
กิจธุระมากมันก็ตั้งสติได้ยาก​

ถ้าเราสามารถปลดกิจต่างๆ ทำให้มีกิจธุระน้อย มันก็จะเอื้อเฟื้อต่อการปฏิบัติได้มาก 

2. ละความเป็นผู้เห็นแก่ #การพูดคุยมาก 
คุยมากก็ตั้งสติได้ยาก เผลอได้ง่าย 

ถ้าสำรวม พูดแต่น้อยก็จะพัฒนาสติได้ง่ายขึ้น

3. ละความเป็นผู้เห็นแก่ #การนอนหลับมาก
นอนมากก็หลับไหล 

ก็นอนพักผ่อนแต่พอประมาณ 
จะทำให้ปฏิบัติธรรมได้ดีขึ้น 

4. ละความเป็นผู้​ #คลุกคลีด้วยหมู่คณะ
เฮฮาปาร์ตี้มาก ก็ตั้งสติได้ยาก

5. ละความเป็​น​ #ผู้ไม่รู้ประมาณในการบริโภค
ทานมากเป็นยังไง? ง่วง มึน ซึม 

ก็ทานแต่พอดี
ก็จะทำให้ปฏิบัติธรรมได้ดีขึ้น 

สังเกตตอนท้องว่าง​  กายเบาจิตเบา​ 
จะปฏิบัติได้ง่าย 

อย่างตอนเช้า ตื่นนอนมา ยังไม่ทานอะไร 
เวลาปฏิบัติจิตจะละเอียดได้ง่าย 

ให้เราสังเกตดูว่าช่วงท้องว่าง 
จะปฏิบัติได้ง่ายกว่า 

6. ละความเป็น​ #ผู้ไม่สำรวมอินทรีย์
บางทีดูหนังฟังเพลง​ มอมเมากับการละเล่นมาก 
มันก็เพลิดเพลินไป​ ตั้งสติได้ยาก 

แต่ถ้าสำรวมกาย วาจา ใจให้ดี ก็ปฏิบัติได้ง่าย 

ถ้าละ 6 ประการนี้ได้ ก็จะปฏิบัติได้ดีขึ้น

ศีล 8 ก็จะเข้าสู่คล้ายๆกันตรงนี้แหละ
ก็คือเป็นสิ่งของการประพฤติพรหมจรรย์

โดย พระมหาวรพรต กิตติวโร

26 กรกฎาคม 2563

ภาวนาคือยาแก้กิเลส

การภาวนานี้คือยาแก้กิเลส เวลามันยุ่งมาก เราจดจ่อทางคำภาวนาของเราให้มาก เช่นพุทโธ ใครชอบคำไหนก็ตาม ตามแต่จริตนิสัยชอบ พุทโธ หรือธัมโม หรือสังโฆ หรือธรรมบทอื่นใดก็ตาม ขอให้ถูกกับจริต ให้นำมาบริกรรม ให้จิตเกาะอยู่กับคำบริกรรมนั้น ให้รู้อยู่กับนั้น เช่นพุทโธๆ ก็ให้รู้อยู่กับพุทโธ สติควบคุมอยู่นี้ มันอยากคิดไปไหน บังคับไว้ไม่ให้คิด คำว่าอยากคิดคือกิเลสละมันลากออกไป ให้อยากๆ นี่ละกำลังของกิเลส มันอยากให้คิดนั้นคิดนี้
.
มันอยากเราก็ไม่ออกไป เราบังคับไว้ไม่ยอมให้มันออก นี่เรียกว่าบังคับกัน ในเบื้องต้นเป็นอย่างนั้น บังคับไม่หยุด เอ้าทางนั้นอยากมาก ทางนี้ตั้งใจบังคับมากเข้า สักเดี๋ยวสู้ทางธรรมไม่ได้ แล้วค่อยสงบเข้ามา สงบเข้ามาแล้วแน่วนิ่งนะ สงบแน่ว ความคิดความปรุงที่เป็นเรื่องของกิเลสสงบตัวไปด้วยอำนาจของการภาวนา นี้แหละที่เรียกว่าน้ำดับไฟ คือจิตฟุ้งซ่านรำคาญ ผสมกับกองทุกข์ไปในขณะเดียวกัน เราภาวนาบีบบังคับ พอจิตสงบมันก็เป็นน้ำดับไฟ ใจสบาย โล่ง พากันจำทุกคน
.
นี่แหละแก่นของศาสนาพุทธ พุทธศาสนาของเราอย่างแท้จริงคืออันนี้เอง นี่ละแก่นศาสนา รากแก้วของศาสนาคือการภาวนา ทีนี้เวลามันได้เท่านั้นละ จิตนี่มันจะผูกพันของมันอยู่ภายใน เป็นอารมณ์พออกพอใจอยู่ภายในตัวเองนั่นละ อย่างที่เราเรียนหนังสือหรือทำงานอะไรอยู่ก็ตาม จิตมันจะอยู่ในนี้ ผลที่เคยได้เคยสงบ ถึงมันจะไม่สงบมันก็เป็นอารมณ์กับความสงบ ที่เคยมีและผ่านไปแล้วนั้นอยู่นั่นแล ทีนี้จิตก็ค่อยตีตะล่อมเข้ามาและค่อยสงบ นี่ละที่สาระสำคัญเห็นได้ชัด ในร่างกายของเราทั้งหมดไม่มีอะไรเป็นสาระ มีจิตดวงรู้นี้เท่านั้นเป็นสาระ ยิ่งรู้เด่นเท่าไร ยิ่งเป็นสาระ ยิ่งแปลกประหลาดอัศจรรย์ขึ้นเป็นลำดับลำดา
.
ทีนี้มันก็จ้าขึ้นละซิ เมื่ออบรมบำรุงรักษาตลอด ไม่ให้กิเลสมาทำลาย เมื่อเจ้าของรักษาตลอดเวลาจิตก็ค่อยแคล้วคลาดปลอดภัยไป ความสงบเย็นใจก็มีหนาขึ้นๆ สว่างไสว นี่ละมันสว่างตรงนี้นะ

.....................................................................

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมฆราวาสณ วัดอโศการาม ต.ท้ายบ้าน อ.เมือง จ.สมุทรปราการ
เมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๖ (ค่ำ)
"ภาวนาคือยาแก้กิเลส"

24 กรกฎาคม 2563

Queen An-Ra ช่อง: Erena Velasquez

Queen An-Ra
 ช่อง: Erena Velasquez
 21 กรกฎาคม 2020
 ฉันคือ Queen An-Ra ฉันมาจาก Andromeda Galaxy จากหนึ่งในหลาย ๆ ดาวเคราะห์ที่นั่น  ฉันมาที่นี่วันนี้เพื่อให้ความกระจ่างและแนะนำคุณเกี่ยวกับสิ่งที่คุณกำลังประสบอยู่ในอารยธรรมของคุณ  ฉันมาจากอารยธรรมอียิปต์โบราณเราเป็นคนที่สร้างปิรามิดในโลกของคุณมานานแล้ว  บนโลกของเราปิรามิดมีรูปร่างแตกต่างกัน: สแควร์, รี, สามเหลี่ยม, กลมและมีความสูง 10,000 เท่าสูงกว่าอาคารที่สูงที่สุดของคุณในดูไบ  ชาวอียิปต์เคยอยู่บนโลกนี้มานานกว่า 10,000 ปีแล้วและเราเป็นคนที่ช่วยมนุษยชาติด้วยความก้าวหน้า  เราเป็นครูของคุณโชคไม่ดีสำหรับเราและสำหรับเผ่าพันธุ์มนุษย์เราต้องออกจากมนุษย์เพราะพวกเขากำลังเคลื่อนที่ไปในทิศทางลบในเวลานั้นซึ่งได้รับอิทธิพลจากกองกำลังมืด

 หลังจากเราออกไปเรามุ่งเน้นไปที่การพัฒนาของเราและสร้างเทคโนโลยีขั้นสูงขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ  เราเป็นประเทศที่แข็งแกร่งและน่าเกรงขาม  ทุกคนรู้ว่าเราเป็นใครและไม่มีใครกล้าโจมตีเรา  เราเป็นอารยธรรมที่สงบสุขเรารักความสงบ แต่โปรดอย่าพยายามบุกเข้ามาคุณจะต้องเสียใจทันทีที่คุณทำเช่นนั้น  ภาพของเราดูน่ากลัวมากอย่างที่สุสานกล่าวถึงก่อนหน้านี้เราอยู่สูงระหว่าง 20-25 ฟุตเรามีคู่บารมีและปรากฏตัวครั้งใหญ่ไม่ว่าเราจะปรากฏตัวอะไร

 ฉันเป็นราชินีแอนรา (Ra หมายถึงดวงอาทิตย์) และฉันได้เข้าร่วมในการให้คำปรึกษาที่ยิ่งใหญ่มานานกว่า 12,000 ปีแล้วและฉันเป็นส่วนหนึ่งของสหพันธ์กาแล็คซี่ออฟไลท์  ฉันได้รับรายงานรายวันเกี่ยวกับอุปสรรคทั้งหมดที่ปรากฏในกระบวนการเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ของคุณ  เรากำลังวางแผนที่จะมาสู่ Mother Earth เมื่อถึงเวลาสอนและแสดงให้คุณเห็นอีกครั้งอย่างที่เราเคยทำในอดีตเกี่ยวกับวิธีการจัดการเทคโนโลยีใหม่และวิธีการที่จะประสบความสำเร็จและนำคุณไปสู่ชีวิตใหม่ของคุณ

 ในระหว่างนี้ฉันแค่อยากจะบอกคุณว่าคุณควรมองชีวิตของคุณตอนนี้และเริ่มใส่ใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวคุณ  เสรีภาพของคุณถูกกำจัดโดยไวรัสมันเป็นไวรัสที่ไม่รุนแรงมากและรัฐบาลของคุณด้วยสื่อมวลชนประกาศและทำให้คุณกลัวจนเกือบตายโดยบอกว่า Coronavirus นี้อันตรายเพียงใด  ร่างกายของคุณสามารถจัดการกับมันและคุณสามารถรักษาตัวเองโดยไม่ต้องมีแพทย์ทำให้คุณอยู่ในโรงพยาบาล  โปรดเข้าใจว่ามันง่ายมากบนโลกของคุณที่จะเข้าใจผิดและถูกนำไปในทิศทางที่ผิดที่ทำมาแล้วนับพันปีแล้วและนี่ไม่มีอะไรใหม่สำหรับเราเราได้สังเกตและเฝ้าดูโลกมาเป็นเวลานาน  เหตุผลหลักที่อารยธรรมมนุษย์ยังคงอยู่หลังจากผ่านไปหลายปีนั้นเนื่องจากสหพันธ์กาแล็กซี่ออฟไลท์รวมถึงพวกเราเราได้มีส่วนร่วมในการช่วยโลกจากเหตุการณ์ภัยพิบัติมากมายตั้งแต่เราเข้าร่วมในกระบวนการช่วยเหลือดาวเคราะห์ของคุณ

 หนึ่งในสิ่งที่ฉันอยากจะให้ความสนใจของคุณคือคนงานเบาและนักรบแสงอาสาและมาที่แม่ไกอาเพื่อช่วยเธอย้ายไปยังมิติที่ห้า  นอกจากนี้สุสานได้บอกคุณแล้วว่าเรามีลูกหลานบางคนบนโลกนี้  ลูกสาวของฉันกลับชาติมาเกิดเป็นมนุษย์ที่นี่ตอนนี้เธอกำลังพยายามทำภารกิจให้สำเร็จ  ภารกิจจะต้องทำให้สำเร็จโดยคนงานเล็กที่ลงทะเบียนให้พวกเขามานานแล้ว  เรากำลังรอให้คุณทำตามกระบวนการนี้อย่างกระตือรือร้นเพื่อให้เราสามารถเริ่มทำงานกับคุณโดยช่วยให้คุณนำอิสรภาพกลับสู่โลกของคุณ

 ดังที่ฉันได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้เทคโนโลยีของเราเหนือจินตนาการของคุณส่วนใหญ่มาจากจิตสำนึกของเราเรามาจากมิติที่ 16 ดังนั้นสำหรับเราจึงไม่มีข้อ จำกัด  เราสามารถสร้างสิ่งที่สองที่เราต้องการและมันไม่ซับซ้อนสำหรับเราเพราะเราเชื่อมต่อกับจิตสำนึกสากล  คุณยังอยู่ในขั้นตอนการขึ้นสวรรค์และ DNA 12 เส้นของคุณยังไม่ได้เปิดใช้งานอย่างสมบูรณ์  ฉันเป็นราชินีแอน - ราและฉันอยากจะแนะนำให้คุณอยู่ในความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันซึ่งเป็นหนึ่งในจิตสำนึกที่ทำงานร่วมกันเพื่อไปสู่มิติที่ 5  คุณใช้เวลาที่นี่หลายครั้งในชีวิตซึ่งไม่ได้พัฒนาเพียงพอสำหรับอารยธรรมที่จะกลายเป็นมนุษย์กาแล็คซี่เนื่องจากกองกำลังเชิงลบที่ควบคุมโลกนี้มาเป็นเวลานาน

 ฉันต้องการให้คุณได้รับการอัปเดตเกี่ยวกับการต่อสู้ครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในปีที่ผ่านมาระหว่างความสว่างและความมืด  The Dark Side ด้วยความสิ้นหวังได้รวบรวมกองกำลังทั้งหมดของพวกเขาที่พยายามจะเอาชนะและกลับมาควบคุมโลกนี้ได้อย่างเต็มที่มันไม่ได้ผลสำหรับพวกเราพวกเราชนะ  กองเรืออียิปต์ของฉันเข้าร่วมกับ Anubis ตามคำสั่งกองเรือ Pleiadian อยู่ที่นั่นพร้อมกับ Ashtar ในการบังคับบัญชาและ Prime Creator พร้อมกองเรือของเขาเองสามารถมองเห็นการดำเนินการทั้งหมด

 คุณกำลังพูดอยู่สักวันหนึ่งว่าทำไมมันใช้เวลานานกระบวนการบน Terra Christa จึงช้ากว่านี้มากเนื่องจากความหนาแน่น 3D บนโลกนี้  เราไม่มีเวลาที่เราไม่มีเวลาเราอยู่เสมอในขณะนี้  ที่นี่สำหรับคุณมันยากเสมอที่จะอยู่ในช่วงเวลาที่อาจารย์ Ascended ทุกคนได้กล่าวถึงคุณกรุณาเชื่อมต่อกับจิตสำนึกของคุณผ่านการทำสมาธิมันเป็นส่วนสำคัญของกระบวนการเสด็จขึ้นสู่สวรรค์  คุณมีหลายสิ่งหลายอย่างที่จะเรียนรู้คุณยังอยู่ในช่วงวัยทารกให้คุณควบคุมอารมณ์ทุกอย่าง  อารมณ์ของคุณได้รับสิ่งที่ดีที่สุดของคุณโปรดใช้ชีวิตของคุณผ่านจิตวิญญาณของคุณและไม่ได้มาจากความคิดของคุณ  เป็นการยากที่จะทำลายรูปแบบของพฤติกรรมวิธีที่ดีที่สุดสำหรับคุณในการเชื่อมต่อกับจิตวิญญาณของคุณ  หลังจากที่คุณทำการเชื่อมต่อคุณจะต้องเสริมมันด้วยการทำสมาธิทุกวันและในที่สุดมันจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของกิจวัตรประจำวันของคุณ

 ในความเป็นจริงที่ฉันอาศัยอยู่ในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ทุกอย่างเป็นไปได้เราอาศัยอยู่ในความรักและความเคารพซึ่งกันและกัน  เรารักรูปลักษณ์ที่ยิ่งใหญ่ของเราวิธีที่เรามองคือวิธีที่เรานำเสนอตัวเราสู่โลกดาวเคราะห์กาแลคซีและจักรวาลเพราะนี่คือสิ่งที่เราเป็น  เราเป็นอารยธรรมที่มีพลังโดดเด่นและเก่าแก่เรามีชีวิตยืนยาวไม่มีโรคภัยไข้เจ็บและไม่ใช้เงิน  เราชอบใส่ทองคำสีดำและสีขาว  สีดำในสังคมของเราแสดงถึงผู้มีอำนาจสูงอันดับสูงสุดที่คุณจะได้รับ  เรารักสัตว์ของเราพวกเขาเป็นเพื่อนและสหายของเรา  เราสื่อสารกับพวกเขาทางกระแสจิตและพวกเขาสูงและใหญ่กว่าบนโลกของคุณมาก  คุณอาจสงสัยว่าพวกเขาเป็นใครมันจะทำให้คุณตกใจเล็กน้อย  ฉันมีสัตว์หลายตัวในวังของฉัน  ฉันต้องการพูดถึงพวกเขาสองคนงูเห่าสูง 10 ฟุตและแมวดำสูง 15 ฟุตพร้อมสร้อยคอทองคำที่คอของเขา  พวกเขาคือครอบครัวของเราและมีบทบาทสำคัญในสังคมของเรา  พวกเขาได้รับการปฏิบัติเหมือนเป็นค่าลิขสิทธิ์

 ฉันทำงานกับผู้สร้างที่สำคัญหลายพันปีมาแล้วเขาเป็นคนที่สอนฉันเกี่ยวกับวิธีสร้างดาวเคราะห์กาแลกซี่และจักรวาลดังนั้นฉันจึงมีครูที่ดีและฉันเรียนรู้จากเขามาก  ฉันต้องการแบ่งปันความรู้นั้นกับคุณดังนั้นคุณจะกลายเป็นเหมือนเราหรือดีกว่าเรา  สำหรับตอนนี้โปรดจำไว้ว่าถ้าคุณมีภารกิจที่นี่บนโลกมันจะต้องสำเร็จเพราะมันสามารถชะลอกระบวนการเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ของคุณ  เราทุกคนเชื่อมโยงกันอย่างกระตือรือร้นดังนั้นหากใครบางคนไม่ทำสิ่งที่เขาหรือเธอคิดว่ามันจะส่งผลกระทบต่อผู้อื่นในทางลบเพราะคุณแต่ละคนเป็นปริศนาชิ้นใหญ่

 ฉันรอคอยที่จะมาและลงจอดบน Mother Earth ด้วยเรือสไตล์อียิปต์ของฉันเรือ Pyramid ของฉัน  มันจะเป็นลักษณะที่ยิ่งใหญ่ของฉันและทีมงานของฉันเราจะมีหลายสิ่งหลายอย่างที่จะพูดคุยและแสดง  ฉันไม่สามารถรอได้เมื่อกอดลูกสาวอีกครั้งแล้วพาเธอกลับบ้าน  มันเป็นเวลานานสำหรับพวกเราตั้งแต่เราได้เจอกัน

 ฉันเป็นราชินีแอนราและฉันยินดีที่ได้มาที่นี่และฉันจะกลับมาอีกครั้งหรือส่งตัวแทนของฉันคนหนึ่งเพื่อส่งข้อความจากอารยธรรมอียิปต์ของเราต่อไป  ขอบคุณ.

 https://sananda.website/queen-an-ra-via-erena-velasquez-july-21-2020/

https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=10158499952224758&id=828364757

คาถาล้างกรรม

พระคาถานี้คุณยายฟื้น ข้างวัดบางนมโคท่านมักมาขึ้นพระกรรมฐานกับหลวงปู่ปาน เป็นประจำ วันหนึ่งมีชายสองคนมาคุมร่างแกไปถึงสำนักพระยายมราชเมื่อตรวจดูก็รู้ว่าเอามาผิดคน ท่านพระยายมราช จึงให้เอาไปส่งก่อนกลับท่านได้ฝากสองคาถานี้ให้นำมาถวายหลวงปุ่ปาน วัดบางนมโค

คือ๑.คาถาล้างกรรม เพื่อที่ลูกหลานคนใดได้สวดบรรพบุรุษจะบรรเทากรรมหนักลง
และ๒.บทกรวดน้ำ ที่สามารถกรวดให้แก่วิญญาณสัมภเวสีให้พ้นทุกข์ เมื่อคืนมายังเมืองมนุษย์คุณยายฟื้น ได้นำมาถวายหลวงปู่ปาน ซึ่งคาถานี้อยู่ในหนังสือเล่มเก่าของวัดบางนมโค ต่อมาคาถานี้ได้หายไปในการพิมพ์หนังสือใหม่ ผมมีต้นฉบับของเก่าเลยถ่ายมาลงเป็นวิทยาทานครับ

คาถาล้างกรรม (ให้ตั้งนะโม 3 จบ) *พุทโธ อะระหัง อะระหัง พุทโธ ท้าวเวสสุวัณโณ พุทโธ อะระหัง กัมมะโตเมตัง กัมมะภันทะนัง ชีวิตตังให้ไปจุติ ให้ทุกชีวิตทุกวิญาณจงไปผุดไปเกิด (3 จบ) บทกรวดน้ำ *อิมินา ปุญญกัมเมนะ ขอเดชเดชะกุศลผลบุญ ที่ข้าพเจ้าอุทิศไปให้คุณบิดามารดา ญาติกาทั้งหลาย สมณชีพราหมณ์ อีกทั้งเรือด ริ้น ลา พระอินทร์เจ้าฟ้า พระโคดม พระพรหมมีฤทธิ์ พระอาทิตย์ พระจันทร์ พระเพชรฉลูกรรณ พระมาตุลี พระกรุงพาลี พระภูมิเจ้าที่ แม่ซื้อพันจิต พระผู้ศักดิ์สิทธิ์ ที่นำข้าพเจ้ามาเกิดในท้องพระพุทธศาสนา แม่พระคงคาไหล แม่พระเพลิง แม่พระพาย แม่พระฉูดฉาด พญายมราช ท้าวเวสสุวัณ ท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ นายสมุห์บัญชี ตัวข้าพเจ้านี้ได้กระทำผิด จะขอแผ่อุทิศไปยังฝูงผีทั้งหลาย ปิดอบายให้มั่น เปิดประตูสวรรค์ให้สว่างกระจ่างแจ้ง เกิดในเมืองมนุษย์ให้เป็นสุข เกิดในเมืองสวรรค์ให้เป็นสุข ท่านทั้งหลายที่ได้ทุกข์ ขอให้พ้นจากทุกข์ ท่านทั้งหลายที่ได้สุข ขอให้สุขยิ่งๆ นิพพานัง ปัจจโย โหนตุ พุทธัง ชั่วอนันตัง ธัมมัง ชั่วจักวาลัง สังฆัง นิพพานัง ปัจจโย โหตุ และพวกวิญญาณทั้งหลายยังบอกว่า ถ้าสวดภาวนาเป็นประจำ ไม่ใช่แต่พวกเขาเท่านั้นจะพ้นจากห่วงทุกข์ ผู้สวดเองก็จะมีแต่ความสุข สิ่งชั่วร้ายทั้งหลายจะไม่มากล้ำกรายชีวิต อายุจะยืน

23 กรกฎาคม 2563

"บ่วงโซ่ตรวนที่มัดหัวใจสรรพสัตว์"

(คติธรรม หลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท)

พระพุทธองค์ทรงตรัสแล้วถูกต้องหมดทุกอย่าง พระองค์ตรัสว่า

#โซ่ตรวนใดๆ_ก็ไม่สามารถรึงรัด
#มัดผูกจิตใจเราได้ยิ่งกว่า_บ่วงคือ 

#บุตร 
#ภรรยาสามี 
#ทรัพย์สมบัติ  

โซ่อันนี้แก้ได้ยาก ถอดถอนได้ยาก มันชักนำพาเราให้จมอยู่ และกองอยู่ใต้ทะเล คือ กิเลสและตัณหา จนจะหาทางออกไม่ได้ พระองค์จึงตรัสว่า เราเป็นเหยื่อของโลก  ถูกกระแสโลกพัดผันไปต่างๆ นานา ในที่สุดก็ไม่ได้อะไรในทางที่ดี แต่มันกลับได้อะไรในทางที่ชั่วเสียหาย”

นี่ พวกเราชำนาญแต่ตำราทางโลก แต่ตำราทางธรรมมันไม่ชำนาญ ใจมันไม่ยอมกระทำ ใจมันขี้เกียจ ใจมันดื้อด้าน ใจมันไม่อยากทำ อยากคุย อยากสนุก อยากร่าเริง เข้าวัดวายังเอาวิทยุมาเปิดสนุกสนานเฮฮาอยู่ตลอดเวลา ระวัง ระวังหน่อย ฮิ

เราเข้ามาเพื่อจะปลดเปลื้องสิ่งที่ร่าเริง สิ่งที่เพลิดเพลินของใจของเรา ไม่ให้สิ่งใดเข้ามาเกาะมากวน ต้องขจัดไปทุกเวลา ว่าอย่างนั้นเถอะ นี่ความรู้เช่นนี้ต้องกำจัดให้หมด จนให้ใจนั้นไม่มีอันใด นั่น จึงเรียกว่า พระ ก็เป็นพระแท้ โยม ก็เป็นโยมแท้

เพราะฉะนั้นการทำใจ เมื่อมีความจริงที่ใด จะโง่เซ่อขนาดไหน  ขอให้ใจจริงๆ สู้จริงๆ แล้วนั่งให้จริง ยืน เดิน นั่ง นอน ๔ อิริยาบถนี่ทำได้อยู่ตลอดเวลา  ต้องสำเร็จ บุคคลผู้นั้นหนีไม่พ้น แต่ใครจะไปรู้เรื่องของบุคคลนั้นๆ  ว่าสำเร็จ หรือไม่สำเร็จ มันอยู่ที่หัวใจของเขาเอง เมื่อเราพยายามมากเข้าๆ พระพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า 

“พาวิโต พหุลีกโต”  

เพียรมากๆ ทำมากๆ ทำบ่อยๆ  วันนี้ วันพระ แรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ ปีชวด  ทำอยู่อย่างนั้น  ก็เป็นไปเพื่อความดับสนิท เป็นไปเพื่อความรู้แจ้ง นี่ก็เป็นอย่างนั้น  ไม่มีอย่างอื่นแล้ว  ถ้าลงว่าทำอย่างนั้นจนสุดความสามารถวันนี้ วันพระ แรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ ปีชวด  แล้วไม่สำเร็จ ก็ไม่รู้ว่าจะยังไง”

(จาก หนังสือ ประวัติ พระครูสุทธิธรรมรังษี)
(พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ริ้วห่อทอง)

พระมาลัย กับ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์

   องค์สมเด็จเทวนมินทร์  ได้พูดถึง สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ให้พระมาลัยฟังว่า  

 " ดูกรพระเถระเจ้า อันดาวดึงส์หมายความว่า มีเทวดาถือกำเนิดเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ๓๓ องค์ อันได้แก่ข้าพระองค์และเทวสหาย   มีความกว้างยาว หนึ่งหมื่นโยชน์ รายล้อมด้วยกำแพงแก้ว สูง  ๑๖ โยชน์   มีประตูเข้าออกนั้น ๑,๐๐๐ แห่ง เหนือประตูเมืองแต่ละแห่งมีปราสาท อยู่ด้านบน 

   เมื่อเปิดประตูเมือง  จะมีเสียงทิพยดนตรีมโหรีพิณพาทย์   มีอุทยานรุกขชาติ  ๔ แห่ง ในแต่ละทิศ  ชื่อว่า นันทวัน   จิตรลดาวัน   สักกวัน เบื้องทักษิณ  ผรุกวัน  
     มีสระโบกขรณี  มีน้ำใสดุจดั่งแผ่นกระจกแก้วอัญมณี  มีอุบลบานดอกออกฝักมากมาย  มีก้อนศิลา  มีแท่นประทับสำหรับเทพบุตรเทพธิดามานั่งเล่น 

   ใจกลาง มหานคร   มีมหาปราสาท นามว่า .ไพชยนต์.. เป็นที่ประทับของข้าพระองค์แลมิ่งมเหสี   ทำด้วยแก้วมณีเจ็ดประการ  ภายในปราสาท มีวิมานทอง  ประดับ ด้วยแก้วมณี   ภายนอก มีปรางค์ปราสาทแก้วมณี  ๓๒ หลัง เป็นที่อยู่อาศัยของเทวผู้เป็นสหายของข้าพระองค์

    มีพระเจดีย์จุฬามณี   เป็นที่สถิตประดิษฐานของ  มุ่นมวยพระโมลีเกศาธาตุ  ของพระบรมศาสดา  มีพระเขี้ยวแก้วเบื้องขวาขององค์พระสัมมาสัมพุทธ 
พระเจดีย์นี้ก่อด้วยแก้วอินทนิลเป็นส่วนฐาน   ส่วนกลาง เป็นทองแท้  ยอดประดับ ด้วยแก้วมณีเจ็ดประการ  มีกำแพงแก้ว  ประดับด้วยธงทิว ธงชาย ธงตะขาบหลากสีสรร  

   นอกมือง  มีอุทยานใ ชื่อว่า ปุณฑริกวัน   มีต้นปาริชาตอันเป็นไม้ทิพย์ประจำทวีปพิภพดาวดึงส์   ดอกบาน ครบ ๑๐๐ ปี  รัศมี รุ่งเรืองไปไกลได้ แปดแสนวา    กลิ่นของดอกไม้   อบอวลไปถ้วนทั่วสวรรค์ เหล่าเทพบุตรเทพธิดานั้นจะมาชมดอกไม้อยู่ไม่ขาด  ดอกปาริชาตจักลอยหลุดจากขั้วลงมาให้จนถึงมือ แม้นไม่ยื่นยื้อมืออกไปรับ  ดอกไม้  ก็ไม่ตกถึงพื้นไม่ ยังลอยไว้เช่นนั้นแล

   ใต้ต้นปาริชาต   มีแท่นศิลาสีแดงดั่งดอกชบา    นามว่..าบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์.. อันเป็นแท่นประทับของข้าพระองค์ เวลานั่งลงจักยุบอ่อนลงนิ่มพอดี  หากคราวใดนั่งลงไปไม่ยุบกลับแข็งแกร่งกระด้าง  จักเป็นลางบอกว่าผู้มีบุญญาธิการเกิดอุปัทวันตรายร้ายกาจ  ทำให้ข้าพระองค์ต้องลงไปช่วยเหลือ

    มีศาลา  ชื่อว่า ศาลาสุธรรมาเทวสถาน พื้นศิลาลาดด้วยแก้วผลึกและแก้วอินทนิล  มีพรรณบุปผาสวรรค์  อสาพตี  ๑,๐๐๐ ปีจักบานดอกหนึ่งครั้ง  ความหอม  ยังมากกว่าดอกปาริชาต  ฟุ้งสะพัดไปทั่วทั้งหมดสวรรค์

    ศาลาสุธรรมา   เป็นที่ประชุมเทวดาทุกวันธรรมเสวนะ เมื่อเทพดา มีพรหมกุมารเสด็จมาจากพรหมโลกเพื่อแสดงธรรม  หากแม้นท่านนี้มิได้มาก็จะมีองค์ปาฐกอื่นมาแสดงแทน  หากแม้นเป็นคราประชุมครั้งใหญ่ของเทวสภา ข้าพระองค์จะเป็นประธานอ่านชื่อมนุษย์ผู้บำเพ็ญกุศลผลทาน  จากแผ่นสุพรรณบัตร ทวยเทพก็จักแซ่ซ้องสาธุการเอิกเกริกปิติยินดีจับระบำรำฟ้อนทุกครั้งไป 

หากคราใดมีน้อยเหล่าทวยเทพก็จะเงื่อนหงอยด้วยโทมนัสาว่า มนุษย์ทั้งหลายนี้ยินดีในทางวิบัติหันไปสู่อบายภูมิเป็นเบื้องหน้า

      ข้าพระองค์นี้มีมเหสีอยู่ ๔ นาง ชื่อ สุธรรมา ..สุจิตรา.. สุนันทา.. แลสุชาดา.. มีนางฟ้าปริจาริกาสองโกฏิกับอีกห้าล้านนาง อันเกิดจากบุญแต่ปางบรรพ์ของข้าพระองค์ที่ได้สร้างสมมาตั้งแต่เมื่อคราเป็นมนุษย์นั้นแล

ที่มา มโนธาตุ โพธิญาณ

ภาวนาขัดเกลาจิตไปเรื่อยๆ

"พากันทำภาวนาไป วันหนึ่งๆ อย่าให้ขาด อย่าให้มันเสียเวลาไป 
ภาวนาไป ชั่วโมงหรือยี่สิบ สามสิบนาที อย่าให้มันขาด 
อาศัยอบรมจิตใจของตน ทำมันไป ขัดเกลาใจของตน 
ใจมันมีโลภะ โทสะ โมหะเข้าครอบคลุม ใจจึงเศร้าหมอง 
ธรรมชาติจิตเดิมแท้นั้น เป็นธรรมชาติผ่องใส 
ปภสฺสรมิตํ ภิกฺขเว จิตฺตํ ตญฺจโข อาคนฺตุเกหิ อุปฺกิเลเสหิ อุปฺกกิลิฏฺฐํ 
ธรรมชาติจิตเดิมเป็นของเลื่อมประภัสสร เป็นของใสสะอาด 
แต่มันอาศัยอาคันตุกะกิเลสเข้าครอบงำย่ำยี ทำให้จิตเศร้าหมองขุ่นมัวไป 
เพราะฉะนั้นให้พากันทำ อย่าประมาท อย่าให้มันเสียชาติ อย่าให้มันโศกเศร้าเป็นทุกข์ 
มนุสฺสปฏิลาโภ ความได้เกิดเป็นมนุษย์เป็นลาภอันประเสริฐ 
ให้พากันทำ อย่าให้มันเสียไป วันคืนเดือนปีล่วงไปๆ อย่าให้มันล่วงไปเปล่า 
ประโยชน์ภายนอกก็ทำ ประโยชน์ของตนนั่นแหละมันสำคัญ 
พระพุทธเจ้าว่าให้ทำประโยชน์ของตนเสียก่อน แล้วจึงค่อยทำประโยชน์อื่น"
.
หลวงปู่ขาว อนาลโย

#ตำนานคาถามนต์จินดามณี

 

         ตามตำนานเล่าว่า  นางยักษ์ตนหนึ่ง ชื่อว่านางพันธุรัต ผู้เป็นยักษ์แต่แปลงกายเป็นมนุษย์ และเป็นผู้เลี้ยงดู พระสังข์ ตั้งแต่แบเบาะ ซึ่งถือเป็นแม่เลี้ยงก็ว่าได้   อยู่มาวันหนึ่ง พระสังข์ทราบความจริง คิดหลบหนีเพื่อสืบหานางจันทร์เทวี แม่ที่แท้จริง เมื่อนางยักษ์กลับจากข้างนอก ก็ไม่พบพระสังข์ จึงเหาะตามหาพระสังข์  อ้อนวอนอย่างไร พระสังข์ก็ไม่กลับถ้ำที่อยู่ นางจึงร้องไห้ จนตรอมใจจนตาย  และก่อนตายนางพันธุรัต ได้เขียนมนต์คาถาเรียกเนื้อ เรียกปลา หรือที่เรียกว่ามนต์จินดามณี ไว้ที่ก้อนหินเชิงเขาหน่อ นั่นคือจุดเริ่มต้นปฐมเหตุ ที่ครูบาอาจารย์แต่โบราณ ท่านสร้างเครื่องราง วัตถุมงคล เพราะมนต์เรียกเนื้อเรียกปลานี้ มีคุณทางด้านเรียกโชคลาภ วาสนา

         คาถามนต์จินดามณี  ฉบับ  หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม (บ้านแค) จ.ชัยนาท

         บทเต็ม  ( บูชาครู )   ตะมังถัง ปะกาเสนโต  สัทธาอะหะ  อิ มะ อะ วิ ตะ อุ อะ มิ มะ สะ นะ โม 

จินดามณี  สะหะโกฏิ  สัตตังเทวานัง  มะนุสสะเทวานัง อะมะนุสสะเทวานัง
สะมณีจิตตัง  บุตรีจิตตัง  อาคัจเฉยหิ  ปะริเทวันติ  ปิยังมะมะ  มณีจินดา 
ปัญจะทานัง  ทาสาโกมัง  ทาสีโกมัง  ปิลันทัสสะ นะมามิหัง
สัพเพชะนา  พะหูชะนา  มหาจินดา  เอหิพุทธัง
ปิยินซียัง  เทวะมานุสสานัง  ปิโยนาคะ สุปันนานัง
ปิยินซียัง  นะมามิหัง

พุทโธโส ภะคะวา  ธัมโมโส ภะคะวา สังโฆโส ภะคะวา
อินทะสะเหน่หา   พรหมมะสะเหน่หา  อิตถีสะเหน่หา
ราชาเทวี  มณีรักขัง  ปิยังมะมะ  พุทธะสังมิ  นะชาลีติ
พระอะระหัง  สัพพะลาภัง  ประสิทธิเม.

บทย่อ  " นะ สิ วัง พรหมมา มะ อะ อุ " 

     ซึ่งได้ตีค่าไว้ 1,000 ตำลึงทอง ใช้ภาวานาหาลาภ ภาวนาค้าขาย ใช้ภาวนาคู่กับสมเด็จหลวงพ่อทุกแบบ หลวงพ่อได้ใช้คาถานี้ลงในผ้ายันต์พัดโบกผืนใหญ่ของวัด ท่านลงว่า "นะสิวัง พรหมมามะอะอุ จิตตัง มานิมามา" ใช้ภาวนาเป็นประจำจะร่ำรวย

การฝึกมโมมยิทธิ เด็กหญิง สุนทรีย์ ชัยดารา


กราบขออนุญาติท่านเจ้าของเรื่องและลูกหลานที่ได้นำประวัติของท่านมาเผยแผ่ครับผม

เมื่อวันที่ 6. พฤษภาคม 2535 คุณพ่อของหนูได้พาหนูไปฝึกมโนมยิทธิที่วัดโขงขาว. โดยมีคุณครูอำไพ. สุจนิล เป็นผู้ฝึกให้ มีผู้ใหญ่และเด็กๆฝึกกันหลายคน. หนูฝึกได้ คุณครูพาหนูไปเที่ยวสวรรค์ทั้ง 6 ชั้นและพรหม
อีก 2-3 ชั้น แล้วคุณครูก็พาขึ้นนิพพาน
จากนั้นหนูก็มาฝึกกับคุณครูทุกเสาร์ - อาทิตย์ ผลการฝึกมโนมยิทธิ
หนูขอเล่ารวมๆเป็นตัวอย่าง. เล็กๆ น้อยๆ จากที่ไปพบมามากมาย. หนูไปเที่ยวสวรรค์เขตที่ 1. จาตุมหาราช. หนูได้ไปกราบท่านปู่ท้าวมหาราชทั้ง 4
ท่านปู่ทั้ง 4 นี้รูปร่างของท่านออกสีทองอ่อนๆ. สวยสดงดงามมาก. เขตที่ 2 ดาวดึงส์ โดยไปกราบพระพุทธเจ้าที่พระจุฬามณีเจดียสถาน. กราบท่านปู่ ท่านย่า. หลวงพ่อ ท่านแม่ และขอชมพระเขี่ยวแก้วและพระเกศา
ของพระพุทธเจ้า. ลักษณะของพระเขี้ยวแก้วและพระเกศาเป็นเพชรระยิบ
ระยับสวยสดงดงามมาก.
เขตที่ 4 ดุสิต หนูไปกราบหลวงปู่ปาน. ท่านปู่ศรีอาริยเมตไตร. คือ ( องค์
เดียวกับท่านปู่ครูบาศรีวิชัย ). ฃึ่งจะมาตรัสเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ 5. วิมานของท่านปู่ทั้งสองสวยงามมาก. เป็นมณฑปประดับแก้ว. ต่อจากนั้น
หนูไปพรหมชั้นที่ 16. คือเขตอกนิษฐ์สุทธาวาส. ไปเที่ยวแดนเนรมิต. หนูไปเล่นชิงช้าสวรรค์ทองคำ. ต่อจากนั้นหนูก็ไปวิมานของหลวงพ่อ. พระราชพรหมยานที่บนพระนิพพาน. วิมานของหลวงพ่อสวยสดงดงามมาก
มากกว่าที่วิหาน 100 เมตร เป็นล้านๆเท่า. ต่อจากนั้นหนูก็ไปนั่งสมาธิที่วิมานของหนู และ สมเด็จองค์ ประฐมท่านบอกว่า อย่าโลภมากเพราะทำให้มีกิเลสมากและยังทำให้ตกนรก และหนูก็ขอบพระคุณท่านกราบขอขมาและลาท่านลงมา

หลวงปู่ปานสอนฌาน. 1-4. และญาณ 8
หลวงปู่ได้พาหนูไปฝึกฌาน 1-8 ที่ป่าหิมพานต์ ฃึ่งอยู่ในเขตพรหมชั้นที่ 5
โดยหลวงปู่ให้หนูไปนั่งสมาธิที่สะดือน้ำตก ใกล้ๆ กับท่านอุปคุต. โดยใช้เวลา 8 วันหนูก็ฝึกฌาน 1-4 สำเร็จ. แล้วหลวงปู่ท่านก็ให้ผนูฝึกเข้า - ออก
ฌานให้คล่อง. แล้วหลวงปู่ท่านก็สอนญาน. 8. คือ
1 ทิพจักขุญาณ มีตาทิพย์ ( มีความรู้สึกทางใจคล้ายตาทิพย์)
2 เจโตปริยญาณ. รู้อารมณ์จิตของคนและสัตว์
3 จุตูปปาตญาฌ รู้ว่าสัตว์ที่ตายแล้วไปเกิดที่ใด. ที่มาเกิดนี้มาจากไหน
4 ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ. ระลึกชาติที่เกิดมาแล้วในการก่อนได้
5 อตีตังสญาณ. รู้เหตุการณ์ในอดีตที่ล่วงมาแล้วได้
6 อนาคตตังสญาณ รู้เหตุการณ์ในกาลข้างหน้าต่อไปได้
7 ปัจจุปันนังสญาณ. รู้เหตุปัจจุบันของคนสัตว์สิ่งของสถานที่ได้ตามความเป็นจริง
8 ยถากัมมุตาญาณ. รู้ผลกรรมของคนและสัตว์ได้ทั้งอดีต. ปัจจุบัน. อนาคต
หลวงปู่ให้ทบทวนให้คล่องอยู่เสมอ

หลวงปู่สอนวิชาอภิญญา
ต่อมาหลวงปู่ปานได้สอนวิชาอภิญาให้หนูมากมาย ขอยกตัวอย่างเช่น
วิชาเสกของ. เหาะ. สลาตัน. ดำดิน. ทะลุกำแพง. เป็นต้น วิชาต่างๆนี้จะต้องได้รับอนุญาตจากหลวงปู่เสียก่อนจึงจะใช่ได้

การฝึกวิชาต่างๆกับหลวงปู่ปาน
20 พฤษภาคม 2535. หนูได้ไปเรียนวิชาเหาะกับหลวงปู่ปาน. โดยหลวงปู่พาหนูไปฝึกที่ป่าหิมพานต์ โดยหลวงปู่ให้ท่องคาถา. แล้วหลวงปู่ทำให้ดู
และหลวงปู่ก็บอกว่า. ให้เองลองไปทำที่บ้านดู หลังจากนั้นหนูได้ลองเหาะ
โดยใช้กายเนื้อของหนูเหาะจากที่บ้านไปยังวัดโขงขาว

25. พฤษภาคม 2535. หนูใช้กายเนื้อของหนูเหาะไปประเทศอินเดีย. โดยมีหลวงปู่พาไป. หลวงปู่ได้พาหนูเหาะไปลงที่วิหารมหาโพธิ ฃึ่งมียอด 3 ยอด มียอดใหญ่ 1 ยอด ยอดเล็ก 2 ยอด และหนูก็เหาะไปชมสถูปชื่อ. ธัมเมกขสถูป. แล้วหนูก็เหาะไปดู ปรินิพพานวิหารที่เมืองกุสินารา สุดท้ายหลวงปู่พาหนูเหาะไปทีโคนต้นโพธิ์ที่ลุมพินีที่ประเทศเนปาลด้วย. แล้วจึงกลับ
27. พฤษภาคม 2535. วันนี้หนูนึกว่าหลวงปู่จะพาไปฝึกวิชาเหาะ. แต่หลวงปู่สอนวิชาเสกของให้ โดยหลวงปู่ทำให้ดูฃ้ำๆ กันหลายครั้ง. แล้วหนูก็ทำได้ มีวันหนึ่งหนูลืมเอาเงินไปโรงเรียน. ไมมี่ค่ากับข้าว. หนูเลยเสกเงิน
32. บาท โดยหนูเอาออมทรัพย์ 22 บาท กิน 5 บาท แล้วเอามาใส่บาตรพระที่บ้าน 5 บาท. แล้วหนูขอบคุณหลวงปู่
30 พฤษภาคม. 2535. หลวงปู่พาไปฝึกวิชาดำน้ำที่สะอโนดาต. แล้วหลวงปู่ให้นั่งสมาธิ พอนั่งเส็จหลวงปู่พาเหาะด้วยกายเนื้อไปที่แม่น้ำฮวงโหในประเทศจีน. แล้วหลวงปู่ได้เนรมิตรเด็กผู้หญิงตัวขนาดเท่าหนู แล้วหลวงปู่บอกว่าถ้าใคร. ดำน้ำถึงพื้นก่อนกันข้าจะให้ลางวัล. ปรากฎว่าเสมอกัน
หลวงปู่จึงให้พระคำข้าวเป็นลางวัล
3. มิถุนายน 2535. หนูได้ฝึกวิชาดำดินกับหลวงปู่ โดยหลวงปู่พาไปฝึกดำดินที่ สวนมิสกวัน. เสร็จแล้วหลวงปู่ให้หนูไปลองทำที่บ้าน. หนูได้ลองดำดินดู จากที่บ้านของหนูไปถึงแม่น้ำกลาง. ฃึ่งห่างจากบ้านหนูประมาณ. 1. กิโลเมตร ตอนไปโผล่ตอนแลกหนูไม่รู้ว่าเป็นแม่น้ำ. หนูรู้สึกเย็นๆ. ดอไปอีกหน่อยก็ถึงแม่น้ำหนูตกใจจึงกลืนน้ำไป3 อึก. หลวงปู่ปานหัวอราะและพูดว่าดูดีๆ. ฃิเอ็ง. ก่อนจะโผล่ค
วรดูให้ดีๆสิแล้วเอ็งค่อยโผล่
6. มิถุนายน 2535 หลวงปู่สอนวิชาดินบนน้ำ. หลวงปู่พาไปที่แม่น้ำเจ้าพระยา. หลวงปู่ทำให้ดูก่อน หนูบอกหลวงปู่ว่าน้ำตรงนี้เย็น ไปแม่น้ำอื่นดีกว่า. หลวงปู่พูดว่า. ข้าให้เองเรียนที่นี่เอ็งอย่าบ่น. ถ้าเอ็งบ่นเดียวโดนดีแน่ หนูยังบ่นต่อ. หลวงปู่เลยยันหนูตกลงแม่น้ำเจ้าพระยา. หนูเลยใช่วิชาดำน้ำ. พอขึ้นมาหลวงปู่ถามเอ็งเข็ดไหม. หนูบอกยังไม่เข็ด. พอหลวงปู่ไดยินจะเอาเท้ายันอีก. หนูพูดว่าเข็ดแล้าจ้า. เข็ดแล้วจ้า. หลวงปู่พูดว่า. เออ. ดีแล้ว. ข้าปราบเอ็งมาทุกชาติ ชาตินี่เอ็งยังฃนอยู่หรือ. แล้วหลวงปูก็ให้หนูลองให้หนูเดินบนน้ำ. หนูก็ทำได้ หนูดีใจมาก
10. มิถุนายน 2535. หนูได้ขึ้นไปฝึกวิชา. สลทตัน. หลวงปู่ให้หนูทำดูตามตัวอย่างที่หลวงปู่ทำให้ดู ผนูก็ทำได้ วิชาสลาตัน. เวลาหมุน. ตัวของอราก็หมันด้วย. เมื่อฝึกเสร็จแล้วหลวงปู่บอกว่าอีก. 2 วันให้มาทบทวน
วิชาสลาตันพร้อมวิชาเหาะ
12. 2535. หนูขึ้นไปทบทวนวิชาเหาะก่อน. วันนี่เหาะได้เร็วกว่าเดิม
หลวงปู่ให้ทบทวน. วิชาเหาะ. สลาตัน. วิชาดำดิน. หลวงปู่พูดว่า. วันนี้พอแค่นี้ก่อน. แกไปพักผ่อนได้ หนูลงมาก็ง่วงนอน. แล้วตอนนั้นหนูเป็นหวัด
หายใจไม่สะดวก. หายใจทางปาก. พอดีจิ้งจกถ่ายอุจจาระเข้าปากหนู
หนูก็แปลกใจว่า. เอ๊ะ. ที่อื่นก็มีทำไมถ่ายอุจจาระใส่ปากเราด้วย. หนูก็ใช่
จิต. ไปถามจิ้งจก. จิ้งจกพูดว่าหมั่นใส้แกว่ะ. หนูก็เลยไม่สนใจขึ้นไปหาหลวงปู่แทน. เห็นหลวงปู่นั่งหัวเราะก๊ากๆ. อยู่ที่วิมานของหลวงปู่
20. มิถุนายน 2535. หลวงปู่พาไปทบทวนวิชาเหาะโดยหลวงปู่ไม่คุม
โดยให้เหาะจากบ้านไปถึงยุโรป. 3 เที่ยวแล้วหลวงปู่พากลับบ้าน. และ
บอกให้งดฝึกชั่วคราว
22 มิถุนายน 2535. หลวงพ่อ ( หลวงพ่อฤาษี) ได้สอนวิชาเสกใบไม้ให้เป็น
ตะขาบโดยหลวงพ่อทำให้ดูก่อน. 1. รอบ. แล้วหลวงพ่อพูดว่าเอ็งลองทำดูฃิ หลวงพ่อบอกให้หนู เสก. 3. ครั้ง. ครั้งแรกและครั้ง. 2 หนูทำได้ พอครั้งที่ 3. หนูก็เสกตะขาบไล่หลวงพ่อ. หลวงพ่อกระโดดตั้ง. 3 ที แล้วหลวงพ่อบอกเอ็งพอก่อน. เดี๋ยวข้าทำให้ดูอีกครั้ง. หนูคิดเอา. เอาแล้วล่ะ
กู เจ็บตัวจนได้ แล้วหลวงพ่อเสกตะขาบไล่หนู หนูก็กระโดดโหย่งๆ
แล้ว. หนูวิ่งไปนั่งที่ใต้ต้นไม้ หนูโดนตะขาบต่อยที่ที่ก้น. หลวงพ่อพูดว่าข้า
เก็บตะขาบใบไม้ไว้แล้ว แต่ที่เจ้านั่งทับมันแล้วมันกัดเอ็ง. นั้นมันเป็นตะขาบจริง พอดีว่าเป็นตะขาบตัวเล็ก. ตอนอยู่ข้างบนก็ไม่รูสึกเจ็บ. พอลงมาก้นเจ็บและบวมไปหลายวัน

คัดรอกจากหนังสือ ลูกศิษย์บันทึก เล่ม 4. หน้า348

ไม่มีคำอธิบายรูปภาพ
ในภาพอาจจะมี 1 คน
ในภาพอาจจะมี 1 คน

ทุกสรรพสิ่งมีพลังงานในตัว ทั้งสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิต...

ทุกสรรพสิ่งมีพลังงานในตัว ทั้งสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิต...
สูงสุดที่จักรวาลกำหนดไว้คือ 99,999 ในทุกๆสรรพสิ่ง สาธุ

ความจริงแล้ว ในธรรมชาติ #ก็มีพลังงานอยู่มากมาย ที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ #คนที่ฝึกในขั้นที่สามารถเชื่อมต่อกับธรรมชาติได้ ก็สามารถนำเอาพลังต่าง ๆ เหล่านั้นมาใช้ได้ มารักษาโรค มาปรับคลื่นไฟฟ้าในร่างกายให้สมดุลย์ หรือมาทำอะไรอื่น ๆ ได้อีกมากมาย

ดังนั้น ถ้าจะเรียกว่ามนุษย์ต่างดาวเขามาให้ “พลัง” เราจะไม่ค่อยรู้สึกแปลกใจ เพราะเคยรับรู้ รับทราบมาบ้างแล้ว โดยเฉพาะคนที่ฝึกพลัง มีพลังรักษาบำบัด ยิ่งมีพลังสามารถทำให้วัตถุเคลื่อนไหวได้ หรือทำอะไรที่เกินปกติ เราจะมองว่าเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ที่สามารถฝึกจนมีพลังได้ขนาดนี้ ดังนั้น ยูริ กิลเลอร์ นักพลังจิตที่มีชื่อเสียง ก็ยังได้รับความนิยมอยู่ดี

ดังนั้น ถ้าจะบอกว่า “#ได้รับพลังจากมนุษย์ต่างดาว” มนุษย์ก็จะไม่แปลกใจ แต่ถ้าบอกว่าเป็น อุปกรณ์ของมนุษย์ต่างดาว อันนี้ไม่น่าฟังเท่าใดนัก ซึ่งความจริงจะบอกว่าเป็น “พลัง” ก็ทำได้ แต่จุดมุ่งหมายของมนุษย์ต่างดาว มีมากกว่านั้น...

จริง ๆ แล้วพลังทุกอย่างมีอยู่ในธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นพลังงาน หรือไม่ว่าจะเป็นการฝึกจิต การเห็นทะลุวัตถุ การรู้ล่วงหน้า การเหาะเหินเดินอากาศ การหายตัว ทุกอย่างมีอยู่ในธรรมชาติ แต่ทุกอย่างต้องใช้จิตเป็นตัวคอนโทรล เป็นตัวสั่งให้ทำ #ดังนั้นจึงต้องมีการฝึกจิตหลายรูปแบบ ฝึกแบบเพ่งให้ทำอย่างโน้น อย่างนี้ อย่างโยคีก็ได้ หรือฝึกให้จิตปล่อยวาง มีความสงบ มีความเบา จนเข้ากับธรรมชาติชนิดนั้น อย่างการปฏิบัติของพุทธศาสนาก็ได้

ดังนั้น ไม่ว่าพรามณ์ ไม่ว่า โยคี ก็มีฤทธิ์ได้เช่นกัน เพราะการฝึกให้จิตทำสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้น แต่ว่า สิ่งที่เพิ่มมาด้วย #ก็คือความมีตัวตนของผู้ฝึก #ที่ยึดถือว่าเราเป็นผู้ทำได้นั่นเอง
สิ่งที่เราเรียกว่า อิทธิปาฏิหารย์นั้น ก็เป็นของมีอยู่แล้วในธรรมชาติ แต่ผู้ไม่เคยรับรู้ก็คิดว่าแปลก เป็นปาฏิหารย์ เป็นผู้วิเศษ แล้วก็บูชาผิดทางกันไปก็มี

มนุษย์ต่างดาว ก็เข้าใจความรู้สึกของมนุษย์โลกดี ดังนั้น หลายจุด หลายสถานที่ จึงรู้จักอุปกรณ์เหล่านี้ในรูปแบบของพลัง จะพลังอะไรก็แล้วแต่ แต่คุณสามารถเอามาใช้รักษา เอามาใช้บำบัดอาการเจ็บป่วย ได้ คนที่รับพลังนั้นมาก็ไม่หวาดกลัว คนที่มารักษาก็ไม่หวาดกลัว เพราะรักษาได้จริงไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใดก็ตาม

แต่ทำไม มนุษย์ต่างดาวให้เราเรียกว่าสิ่งที่จะติดตั้งให้กับมนุษย์ ว่าเป็น “อุปกรณ์” ล่ะ

ซึ่งจริง ๆ แล้ว #มันเป็นอุปกรณ์ #เป็นเทคโนโลยี #ที่ผลิตขึ้นมาเพื่อให้ผู้อยู่ในโครงการช่วยเหลือภัยพิบัติ นำไปใช้ประโยชน์ในเหตุการณ์เฉพาะกิจครั้งนี้ ซึ่งมันไม่ใช่อุปกรณ์ที่เป็นมวลสาร หรือเราคิดว่าเป็นเหล็ก เป็นแร่ธาตุมาฝังไว้ในตัวเรา มันไม่ใช่อย่างที่เราเข้าใจ #มันเป็นกลุ่มพลังงานที่สามารถใช้แทนวัตถุได้

คุณจะมองไม่เห็น สัมผัสไม่ได้ เหมือนบุคคลที่ฝึกพลังจากธรรมชาติมามาก ๆ แต่คนธรรมดาก็มองไม่ออก นอกจากพวกที่ฝึกพลังด้วยกันเท่านั้นที่มองออก

ดังนั้น สิ่งที่เป็นอุปกรณ์นี้ ก็เป็นในรูปแบบของพลังงานอย่างหนึ่ง ที่นำมาใช้ประโยชน์ได้จริง มีประสิทธิภาพสูง และผู้ที่ใช้อุปกรณ์ก็ไม่เหนื่อย จึงเป็นรูปแบบที่มนุษย์ต่างดาวมองเห็นแล้วว่า เหมาะสมที่สุดกับมนุษย์โลกในยุคนี้

ไม่มีคำอธิบายรูปภาพ

นิโรธสมาบัต

📌 

" ฤทธิ์ ฌาน นิโรธสมาบัติ ฌานศักดิสิทธิ์
คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม ศักดิสิทธิ์เพียงใด เปรียบ อุปมา ใด้ ดังนี้ "

" ความหมาย ของคำว่า "นิโรธ" หรือ "นิโรธสมาบัติ" "

🍃 การเข้า ฌาน นิโรธสมาบัติ ของคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เท่าที่จดจำกันได้ มีอยู่เพียง 4 ครั้งคือ ( แต่จริงๆมี 5 ครั้ง )

1.บ้านสามัคคีวิสุทธิ ที่ถนนวิสุทธิกษัตริย์ พ.ศ.2496
2.พระพุทธบาท สระบุรี พ.ศ.2496
3.บ้านนาซา ระยอง ต้นปี มีนาคมพ.ศ.2498 ถึง มีนาคม 2499
4. วัดพระแท่นดงรัง วันเพ็ญเดือน 4 พ.ศ.2498 ตามบันทึกคลาดเคลื่อนเป็นปี 2499

5. และครั้งที่ 5 ทีวัดสารนาท 8 มีนาคม เวลา 17:00 ปี 2499
ข้างบ่อน้ำศักดิ์ ( ครั้งที่ 5 นี้ ผมพุฒิ นิพพาน
ว่าเอง จากการค้นคว้า ของผม และที่ครูบาอาจารย์ เล่าให้ฟัง

📌ตามความหมายของคำว่า "นิโรธ" หรือ "นิโรธสมาบัติ" นั้น เป็นการเข้าฌานสมบัติอันสูงส่ง เป็นฌานลำดับที่ 9 ดังนี้

1. ปฐมฌาน ฌานที่ 1
2. ทุติยฌาน ฌานที่ 2
3. ตติยฌาน ฌานที่ 3
4. จตุตถฌาน ฌานที่ 4
5. ปัญจมฌาน ฌานที่ 5
6. ฉัฏฐมฌาน ฌานที่ 6
7. สัตตมฌาน ฌานที่ 7
8. อัฏฐมฌาน ฌานที่ 8 และ
9. นิโรธฌาน ฌานที่ 9 หรือนิโรธสมาบัติ

เมื่อเข้าสู่องค์ฌานลำดับที่ 9 นี้ กายสังขารและจิตตสังขารจะระงับไป คือแทบไม่มีลมหายใจ ไม่มีความรู้สึกทางกายและทางใจ แต่ก็ไม่ใช่พระนิพพาน สำหรับคุณสมบัติของผู้ที่สามารถเข้า "นิโรธสมาบัติ" ได้นั้น พระบาลีระบุว่า
"ต้องเป็นพระอนาคามีและพระอรหันต์" เท่านั้น ต่ำกว่านั้นไม่สามารถเข้าได้
พระบาลีหลายแห่งยังระบุอานิสงส์ของการเข้าฌานสมาบัติไว้อีกว่า
"เป็นการพักผ่อนของพระอริยเจ้า" สามารถระงับทุกขเวทนาทางกาย ฌานสมาบัตินี้สามารถเข้าได้นานสุดเพียง 7 วัน เพราะร่างกายของคนเราจะทนอดทนกลั้นไม่กินข้าว ไม่หายใจ ไม่รับรู้อะไรเลยนั้น ฝืนธรรมชาติได้เพียง 7 วัน
และเมื่อพระอริยบุคคลท่านนั้นออกจากฌานสมาบัติแล้ว ก็จะเกิดความหิวขึ้นมา (เพราะว่าอดข้าวมาหลายวัน) บุคคลผู้ใดได้ให้อาหารแก่พระอริยบุคคลผู้แรกออกจากฌานสมาบัติเช่นนี้ จะได้รับอานิสงส์ใหญ่หลวง เทียบเท่าระดับจักรพรรดิสมบัติ มีสวรรค์และพระนิพพานเป็นเบื้องหน้คัมภีร์อภิธัมมัตถ
สังคหะ ปริเฉทที่๔

 นิโรธสมาบัติวิถี 

การเข้านิโรธสมาบัติ เหมือนฝึกนิพพาน เข้าสู่ความดับสนิทแห่งนามขันธ์ โดยปราศจากอันตรายใด ๆ เป็นมหาสันติสุขอันยอดเยี่ยม ดังนั้นพระอริยเจ้าจึงนิยม เข้าผลสมาบัติ และนิโรธสมาบัติด้วยศรัทธา และฉันทะในอมตรสนั้น จนกว่าจะ นิพพาน

ผู้ที่เข้านิโรธสมาบัติได้ ต้องเป็นผู้ที่เพียบพร้อมด้วยคุณธรรม ดังจะกล่าวต่อไป นี้ คือ

คุณสมบัติ คือ

๑. ต้องเป็นพระอนาคามี หรือพระอรหันต์
๒. ต้องได้ฌานสมาบัติทั้ง ๘ กล่าวคือ ต้องได้รูปฌาน และ อรูปฌานด้วย ทุกฌาน
๓. ต้องมีวสี ชำนาญคล่องแคล่วในสัมปทา คือ ถึงพร้อมสี่ประการ ได้แก่

ก. มีสมถพละ และวิปัสสนาพละ คือ มีสมาธิ และปัญญาเป็นกำลัง ชำนาญ

ข. ชำนาญในการระงับกายสังขาร (คือลมหายใจเข้าออก) ชำนาญใน การระงับ วจีสังขาร (คือ วิตก วิจาร ที่ปรุงแต่งวาจา) ชำนาญในการ ระงับจิตตสังขาร (คือสัญญา และเวทนาที่ทำให้เจตนาปรุงแต่งจิต)
ค. ชำนาญในโสฬสญาณ (คือญาณทั้ง ๑๖)
ง. ชำนาญใน ฌานสมาบัติ ๘ มาก่อน
ดังนี้จะเห็นได้ว่า การเข้านิโรธสมาบัติ จำเป็นต้องใช้กำลังทั้ง ๒ ประการ คือ กำลังสมถภาวนา ต้องถึงเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน และกำลังวิปัสสนาก็ต้องถึง ตติยมัคคเป็นอย่างต่ำ กล่าวคือ ต้องใช้ทั้งกำลังสมาธิ และกำลังปัญญาควบคู่กันด้วย

๔. ต้องเป็นบุคคลในภูมิที่มีขันธ์ ๕ (คือ ปัญจโวการภูมิ) เพราะในอรูปภูมิ เข้านิโรธสมาบัติไม่ได้ ด้วยเหตุว่าไม่มีรูปฌาน พระอนาคามี หรือ พระอรหันต์ ที่ได้สมาบัติทั้ง๘ อันเพียบพร้อมด้วยคุณธรรม ดังกล่าวแล้ว

เมื่อจะเข้านิโรธสมาบัตินั้น ต้องกระทำดังนี้

(๑) เข้าปฐมฌาน มีกัมมัฏฐานใดกัมมัฏฐานหนึ่ง ที่ตนได้มาแล้วเป็นอารมณ์ ปฐมฌานกุสลจิตสำหรับพระอนาคามี หรือ ปฐมฌานกิริยาจิตสำหรับพระอรหันต์ ก็เกิดขึ้น ๑ ขณะ
(๒) เมื่อออกจากปฐมฌานแล้ว ต้องพิจารณาองค์ฌาน โดยความเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
(๓) เข้าทุติยฌาน ฌานจิตก็เกิด ๑ ขณะ
(๔) เข้าปัจจเวกขณวิถี
(๕) เข้าตติยฌาน ฌานจิตเกิด ๑ ขณะ
(๖) เข้าปัจจเวกขณวิถี
(๗) เข้าจตุตถฌาน ฌานจิตเกิด ๑ ขณะ
(๘) เข้าปัจจเวกขณวิถี
(๙) เข้าปัญจมฌาน ฌานจิตเกิด ๑ ขณะ
(๑๐) เข้าปัจจเวกขณวิถี
(๑๑) เข้าอรูปฌาน คือ อากาสานัญจายตนฌาน ฌานจิตเกิด ๑ ขณะ
(๑๒) เข้าปัจจเวกขณวิถี
(๑๓) เข้าวิญญาณัญจายตนฌาน ฌานจิตเกิด ๑ ขณะ
(๑๔) เข้าปัจจเวกขณวิถี
(๑๕) เข้าอากิญจัญญายตนฌาน ฌานจิตเกิด ๑ ขณะ
(๑๖) เมื่อออกจาก อากิญจัญญายตนฌานแล้ว ไม่ต้องเข้าปัจจเวกขณวิถี แต่เข้าอธิฏฐานวิถี คือ ทำ บุพพกิจ ๔ อย่าง ได้แก่
ก. นานาพทฺธ อวิโกปน อธิษฐานว่า บริขารต่าง ๆ ตลอดจนร่างกาย ของข้าพเจ้า ขออย่าให้เป็นอันตราย
ข. สงฺฆปฏิมานน อธิษฐานว่า เมื่อสงฆ์ประชุมกัน ต้องการตัวข้าพเจ้า ขอให้ออกได้ โดยมิต้องให้มาตาม
ค. สตฺถุปกฺโกสน อธิษฐานว่า ถ้าพระพุทธองค์มีพระประสงค์ตัว ข้าพเจ้า ก็ขอให้ออกได้ โดยมิต้องให้มีผู้มาตาม
ง. อทฺธาน ปริจฺเฉท อธิษฐานกำหนดเวลาเข้า ว่าจะเข้าอยู่นานสัก เท่าใด รวมทั้งการพิจารณาอายุสังขารของตนด้วยว่าจะอยู่ถึง ๗ วันหรือไม่ ถ้าจะตายภายใน ๗ วัน ก็ไม่เข้า หรือเข้าให้น้อยกว่า ๗ วัน
(๑๗) อธิษฐานแล้วก็เข้าเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน วิถีนี้ เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน เกิดขึ้น ๒ ขณะ (๒ ขณะ ไม่ใช่ ๑ ขณะ)
(๑๘) ลำดับนั้น จิต เจตสิก และจิตตชรูปก็ดับไป ไม่มีเกิดขึ้นอีกเลย ส่วน กัมมชรูป อุตุชรูป และอาหารชรูป ยังคงดำรงอยู่ และดำเนินไปตามปกติ หาได้ดับ ไปด้วยไม่จิตเจตสิก และจิตตชรูป คงดับอยู่จนกว่าจะครบกำหนดเวลาที่ได้อธิษฐานไว้
(๑๙) เมื่อครบกำหนดเวลาที่ได้อธิษฐานไว้ ซึ่งเรียกว่า ออกจากนิโรธสมาบัติ นั้น
อนาคามิผล สำหรับอนาคามิบุคคล หรือ อรหัตตผล สำหรับอรหัตตบุคคล ก็เกิดขึ้น ๑ ขณะก่อน ต่อจากนั้น จิต เจตสิก และจิตตชรูปจึงจะเกิดตาม ปกติต่อไปตามเดิม

สัญญาเวทยิตนิโรธ คือ อารมณ์จิตของพระอรหันต์ขั้นปฏิสัมภิทาญาณ หรือ พระอนาคามีระดับปฏิสัมภิทาญาณเท่านั้นที่มีจิตที่ว่างจากอารมณ์ทุกชนิด โดยจิตไม่ยอมรับรู้อารมณ์อะไรเลย แม้จะเป็นพระอรหันต์ระดับเตวิชโช หรือฉฬภิญโญ ก็ไม่สามารถทำจิตว่างจากอารมณ์ใดๆ ได้............

นี่ว่ากันตาม พระบาลี”แท้ๆนะครับ

ก็เพื่อให้สะดวกแก่ความเข้าใจ จึงจะขอสรุปสั้นๆก็คือ อันผู้ที่"มีสิทธิ์"เข้า"นิโรธสมาบัติ"(ของจริง)ได้นั้น ต้องมีคุณสมบัติดังนี้
1. ต้องเป็น"พระอริยบุคคล"ระดับ"พระอนาคามี"ถึง"พระอรหันต์"เท่านั้น (นอกจากนี้ไม่ว่าจะเป็นพระโสดา,สกทาคามี หรือแม้พระโพธิสัตว์ทั้งหลายก็ไม่อาจเข้า"นิโรธสมาบัติ"(ของจริง)ได้ เพราะเนื่องจากท่านยังมิอาจละกามราคานุสัย อันเป็นกิเลสอย่างละเอียดอ่อนที่นอนเนื่องอยู่ในขันธสันดานซึ่งเป็นศัตรูตัวฉกาจของการทำสมาธิในระดับสูงเช่นนี้ได้ ฉะนั้น พระอริยบุคคลโสดาบันหรือพระสกทาคามี และหรือพระโพธิสัตว์(ไม่ว่าจะได้รับหรือยังไม่ได้รับพยากรณ์ ซึ่งยังคงอยู่ใน"ปุถุชน"เต็มภูมิอยู่)ทั้งสิ้น จึงมิอาจเข้านิโรธสมาบัติ(ของจริง)ได้ สภาวจิตยัง"ไม่ใช่"นั่นเอง)
2.พระ"อนาคามี"หรือ"อรหันต์"นั้น จะต้องเป็นผู้ชำนาญใน"สมาบัติ 8"เท่านั้น จึงจะเข้านิโรธสมาบัติ(ของจริง)ได้

. เพราะการเข้า"นิโรธสมาบัติ"(ของจริง) อันเปรียบด้วยการ"เข้านิพพานทั้งเป็น" นั้น จิตและเจตสิกดับไปเลยชั่วคราว ในช่วงเวลาที่กำลังเข้าสมาบัตินี้อยู่ ท่านที่กำลังเข้าสมาบัตินี้อยู่จึงมีร่างนิ่งๆเหมือนหัวตอ ลมหายใจก็ไม่มี จึงไม่ต้องกล่าวถึงการ"กิน"การ"ดื่ม"และ"ขับถ่าย"ใดๆทั้งสิ้น

ด้วยเหตุการเข้า"นิโรธสมาบัติ"(ของจริง) ดังกล่าว เป็นการตัดสัญญาอารมณ์และเวทนาใดๆโดยสิ้นเชิง (จิตใจจะไม่รับรู้สิ่งภายนอกใดๆแม้สัญญาอารมณ์ในจิตตนเองทั้งสิ้น) หากใครว่า "เข้านิโรธสมาบัติ"แล้ว ยังกินยังดื่มยังมี movement เคลื่อนไหวใดๆ มีการปลุกเสกพระเครื่องราง 108 เป็นต้นได้อยู่ ก็จงรู้เถิดว่า นั่นหาใช่"นิโรธสมาบัติ"(ของจริง)แต่ประการใดไม่!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!

แต่เพราะการเข้านิโรธสมาบัติ(ของจริง)นั้น จะเกิด"พลังงานพิเศษ"ที่ทรงอานุภาพมากแผ่ซ่านไปทั่ว อันย่อมรักษาตัวตนแห่งผู้เข้านิโรธสมาบัติ(ของจริง)นั้นให้ปลอดภัยในทุกกรณีในที่ทุกสถานได้อย่างสิ้นเชิง แม้วัตถุอันเกี่ยวเนื่องด้วยอัจฉริยบุคคลผู้เข้านิโรธสมาบัติ(ของจริง) ไม่ว่าจะเป็นโดยตำแหน่ง,ที่ตั้ง หรือการตั้งโปรแกรมจิตก่อนหรือหลังเข้านิโรธฯนั้น ย่อมกลายเป็นของศักดิ์สิทธิ์ ทรงอานุภาพมากล้นตามไปด้วยโดยปริยาย โดยไม่จำต้องหรือสามารถ"ถอนจิต"มาปลุกเสกใดๆเลย สมดังประโยคที่มีการเปรียบเทียบกันไว้อย่างน่าคิดน่าฟังที่สุดประโยคหนึ่งว่า
"ไม่เสกก็เหมือนเสก แต่ถ้าเสกก็ยิ่งกว่าเสก" ไปด้วยประการฉะนี้.....

และแน่นอนที่สุด หนึ่งใน “พระอริยะ” ชั้นสูงที่ทรง “อัจฉริยภาพ”อันประเสริฐยิ่งที่สามารถเข้า “นิโรธสมาบัติ” (ของจริง) ตามที่พระอรรถกถาจารย์ได้พรรณนาไว้ ก็คือ “คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม” แห่งบ้านสามัคคีวิสุทธิ นั่นเอง...!!!!!!

อันการเข้า"นิโรธสมาบัติ" นี้ คุณแม่บุญเรือนเคยกล่าวกับศิษย์ใกล้ชิดว่า หากเป็นการเข้านิโรธสมาบัติแบบ"เต็มภูมิ"แล้วไซร้ จะต้องไม่มีการดื่ม การกิน การถ่าย ทั้งอุจจาระ ปัสสาวะใดๆทั้งสิ้น
การเข้านิโรธสมาบัติแบบ"เต็มภูมิ"นี้ ท่านกล่าวว่า จะอยู่ได้เพียง 7 วัน เพราะพลังงานต่างๆทุกชนิดที่สะสมไว้ในร่างกาย จะถูกเผาผลาญไปจนหมดสิ้น ซึ่งหากใครขืนเข้านิโรธสมาบัติแบบเต็มภูมิเกินไปกว่านั้น ร่างกายสังขารก็อาจจะถึงแก่การอวสานได้
ซึ่งการเข้านิโรธสมาบัติอย่าง"เต็มภูมิ"นี้ คุณแม่บุญเรือนก็เคยเล่าไว้ว่า
"แม่ก็เคยทำมาแล้ว ไม่กินไม่ถ่ายตลอด 7 วัน...!!!!"

นอกจากนี้ คุณแม่บุญเรือนยังได้เคยกล่าววิพากษ์ถึงการเข้า"นิโรธฯ"ของท่านเจ้าคุณพระมหารัชชมังคลาจารย์ (เทศ นิเทสโก) เจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์ในสมัยนั้น แม้จะเคยเป็น"อาจารย์สอนกรรมฐานเบื้องต้น"ให้คุณแม่มาก่อน แต่เมื่อถึง"ธรรมะชั้นสูง"ยัง"ไม่ใช่" คุณแม่ก็ต้องว่า "ไม่ใช่" อย่างตรงไปตรงมาทีเดียวว่า
"เจ้าคุณรัชฯ...เจ้าคุณอาจารย์นี่ทำนิโรธไม่เป็น ทำไมเวลาเข้านิโรธแล้ว จึงยังฉันน้ำผึ้งอยู่อีก ท่านทำไม่ถูกนะคะ...!!!?”

หมายเหตุ , จากคำกล่าวของคุณแม่บุญเรือน ดังกล่าว ก็ย่อมส่งสะท้อนไปถึงใครก็ตามที่ว่า “เข้านิโรธ” หากยังมี “การกินการดื่ม” ไม่ว่าจะเป็นเพียงแม้ “ข้าวหนึ่งเมล็ด” หรือ “น้ำหนึ่งหยด” ก็จงรู้ไว้เถิดว่า นั่นหาใช่เป็น “นิโรธสมาบัติ”(ของจริง)แต่ประการใดไม่....(ส่วนการนั้น จะเป็นเพียง “นิโรธสมบัติ”หรือ “นิโรธสมมุติ” ประการใดนั้น ก็กรุณาไปพิจารณากันเทอญ !)

จากประวัติที่คุณเสทื้อน สุภโสภณได้เคยบันทึกไว้ ระบุไว้อย่างแน่ชัดว่า สถานที่สำคัญต่างๆที่คุณแม่บุญเรือนเคยเข้านิโรธสมาบัติ เพื่อช่วยทุกข์และบันดาลความสำเร็จให้แก่บรรดาสานุศิษย์ของท่านนั้น เท่าที่จดจำกันได้ มีอยู่เพียง 4 ครั้งคือ
1.บ้านสามัคคีวิสุทธิ ที่ถนนวิสุทธิกษัตริย์ พ.ศ.2496
2.พระพุทธบาท สระบุรี พ.ศ.2496
3.บ้านนาซา ระยอง ต้นปีพ.ศ.2499
4.วัดพระแท่นดงรัง วันเพ็ญเดือน 4 พ.ศ.2499


ที่มา

เคดิ พุฒิ นิพพาน

22 กรกฎาคม 2563

#ผู้ที่จะพ้นจากทุกข์คือพระนิพพานต้องอ่าน

โลกุตรภูมิ คือ ภูมิหรือชั้นที่พ้นจากภพ 3 คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ หมายถึง ระดับจิตของพระอริยบุคคลที่พ้นจากกิเลสโดยเด็ดขาดตามลำดับและรวมถึงอมตมหานิพพานด้วย

1. #ภูมิของพระโสดาบัน เป็นภูมิลำดับแรกในโลกุตรภูมิ เป็นภูมิที่พ้นจากภพ 3 ของผู้ถึงกระแสพระนิพพาน เป็นพระอริยบุคคลชั้นต้น ผู้ที่เป็นพระโสดาบัน มีคุณวิเศษสามารถละสังโยชน์ได้ 3 อย่าง คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส จะกลับมาเกิดอีกไม่เกิน 7 ชาติ

2. #ภูมิของพระสกิทาคามี เป็นโลกุตรภูมิลำดับที่ 2 เป็นภูมิที่พ้นจากภพ 3 ของผู้ที่จะกลับมาเกิดอีกเพียงครั้งเดียว ผู้ที่จะเข้าถึงสภาวะของความเป็นพระสกิทาคามี จะต้องผ่านความเป็นพระโสดาบันก่อน พระสกิทาคามี มีคุณวิเศษสามารถละสังโยชน์ที่พระโสดาบันละได้ และสามารถขจัดสังโยชน์เพิ่มอีก 2 ตัว คือ กามราคะ และปฏิฆะ ให้เบาบางลงได้อีกด้วย

3. #ภูมิของพระอนาคามี เป็นโลกุตรภูมิลำดับที่ 3 ของโลกุตรภูมิ ซึ่งจะต้องเจริญภาวนาผ่านความเป็นพระโสดาบัน และพระสกิทาคามีมาตามลำดับ จึงจะเข้าถึงภาวะแห่งความเป็นพระอนาคามี พระอนาคามีมีคุณวิเศษสามารถละสังโยชน์เบื้องต่ำทั้ง 5 อย่าง ซึ่งละสังโยชน์ต่อจากพระสกิทาคามีอีก 2 อย่าง คือ กามราคะ และปฏิฆะ ผู้ที่เป็นพระอนาคามี เมื่อละโลกแล้ว จะบังเกิดในพรหมชั้นสุทธาวาสและบรรลุพระอรหันต์บนนั้น ไม่กลับมาเกิดอีก

4. #ภูมิของพระอรหันต์ เป็นโลกุตรภูมิลำดับสุดท้าย อันเป็นภูมิขั้นสูงสุดของโลกุตรภูมิ เป็นเป้าหมายอันสูงสุดของมวลมนุษยชาติ การจะเป็นพระอรหันต์จะต้องเจริญภาวนาผ่านความเป็นอริยบุคคลทั้ง 3 ขั้นมาตามลำดับ แล้วจึงจะเข้าถึงภาวะแห่งความเป็นพระอรหันต์ได้ คุณวิเศษของพระอรหันต์ คือ นอกจากละสังโยชน์เบื้องต่ำได้ 5 ประการแล้ว ในขั้นนี้สามารถละสังโยชน์เบื้องสูงอีก 5 ประการ คือ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา เมื่อละกิเลสได้หมดแล้ว ได้ชื่อว่าเป็นพระอรหันต์ อันเป็นการทำกิจของการเกิดเป็นมนุษย์ได้สมบูรณ์แล้ว เป็นผู้มีความบริสุทธิ์กาย วาจา ใจ อย่างเต็มเปี่ยม เป็นผู้ที่ควรแก่การบูชา และได้ชื่อว่าเป็นทักขิไณยบุคคลโดยแท้

ตายแล้วไปไหนชีวิตหลังความตายเป็นอย่างไร อารมณ์ที่มาปรากฏก่อนตาย มี 3 ประการ สรรพสัตว์ย่อมตายไปเพราะเหตุแห่งความตาย 4 ประการ เมื่อเวลาใกล้จะตายนั้น อารมณ์ 3 อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง ย่อมปรากฏแก่สัตว์ทางทวาร 6 ใน ทวารใดทวารหนึ่ง ได้โดยอำนาจของกรรมทั้งสองคือ อุปปัชชเวทนียกรรมและอปราปรเวทนียกรรม (ในภาคปฏิบัติหมายถึงดวงบุญหรือบาปจะมาฉายภาพให้เห็นการกระทำของตน และอุปกรณ์ประกอบกรรม หรือภพที่จะไปเกิดใหม่) ตามสมควร คือ

1. กรรมอารมณ์ 2. กรรมนิมิตอารมณ์

3. คตินิมิตอารมณ์

1. กรรมอารมณ์ หมายถึง เจตนาที่เป็นกุศลหรืออกุศลที่เป็นสภาวธรรมล้วนๆ ที่มาปรากฏทางความรู้สึกนึกคิดที่ตนเคยประสบมาแล้วในอดีตกี่ภพกี่ชาติก็ตาม เช่น ความรู้สึกดีใจปีติ เพราะเคยไหว้เจดีย์ ความศรัทธาในพระสงฆ์องค์โน้น หรือ ความรู้สึกโกรธเกลียด รู้สึกกำหนัดยินดีในแก้วแหวนเงินทองในบุคคล ที่เคยเกิดแล้วขณะทำกรรมในอดีต จะมาปรากฏอีกครั้งในขณะนั้นตอนใกล้ตายเหมือนกับเพิ่งจะเกิดใหม่ กรรมใดจะเป็นกุศลกรรมหรืออกุศลกรรมก็ตามชนิดใดชนิดหนึ่งได้โอกาสจักให้ผลปฏิสนธิในภพใหม่ กรรมที่ได้โอกาสนั้นย่อมปรากฏขึ้นโดยอำนาจแห่งสภาวะของกรรม และมาปรากฏทางใจอย่างเดียว สรุปคือสภาวะที่ทำให้เศร้าหมองหรือผ่องใสนั่นเอง กรรมอารมณ์นี้ บางตำราว่าหมายถึง ความคิด คำพูด หรือการกระทำทางกายของตน ที่เคยทำมาในอดีตมาฉายภาพให้เห็นทางใจตอนใกล้ตาย

2. กรรมนิมิตอารมณ์ หมายถึง อารมณ์กรรมที่เป็นประธาน (อุปลทฺธปุพฺพํ) คือ อารมณ์ 6 มีรูปเสียงเป็นต้น ที่เคยได้เห็นได้ยินเป็นต้น รวมทั้งรูปนาม บัญญัติ ที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำของตน และวัตถุอุปกรณ์ต่างๆ ที่เป็นบริวารของกรรมที่เป็นประธานนั้นที่ตนเคยใช้ประกอบในการกระทำกรรมนั้นๆ เช่น เคยใช้ประกอบในการกระทำกรรมนั้นๆ เช่น ต้องการถวายจีวร จีวรเป็นอารมณ์หลัก ส่วนอุปกรณ์ที่ประกอบการถวายจีวรให้สำเร็จ เช่น พระภิกษุ ไทยธรรมอื่นๆ เป็นบริวารกรรมที่จะให้การถวายจีวรสำเร็จ กรรมนิมิตนี้จะมาปรากฏทางทวารใดทวารหนึ่งในทวารทั้ง 6 ได้ดังนี้

ถ้าเป็นอดีตกรรมนิมิต ก็เป็นอดีตอารมณ์ ย่อมเกิดในมโนทวารอย่างเดียว ถ้าเป็นปัจจุบันกรรมนิมิต ก็เป็นปัจจุบันอารมณ์ ย่อมเกิดได้ทั้ง 6 ทวารตามสมควร : 1. ฝ่ายกุศลกรรม เช่น ได้เห็นพระเจดีย์ ได้ยินเสียงพระแสดงธรรม ได้กลิ่นธูปเทียนหอมที่บูชาพระรัตนตรัย ได้ลิ้มรสอาหารที่ตนเคยถวายพระ ได้สัมผัสผ้านุ่มๆ เหมือนจีวรที่เคยถวายพระ เป็นต้น, 2. ฝ่ายอกุศลกรรม เช่น ได้เห็นสัตว์ที่ตนฆ่า ได้ยินเสียงสัตว์ที่ตนฆ่าร้อง ได้กลิ่นคาวเลือด รสสุราที่เคยดื่ม มาปรากฏทางลิ้นรู้สึกเปรี้ยวปากอย่างดื่มขึ้นมาทันทีหรือรู้สึกเหนื่อยกายเหมือนตอนทำอกุศลกรรมนั้น หรือ ความรู้สึกนึกคิดขณะนั้น เช่น เกิดความโกรธ ความกำหนัดยินดีในขณะนั้น เป็นต้น

3. คตินิมิตอารมณ์ หมายถึง อารมณ์ 6 ที่จะได้รับในภพหน้าที่จะเกิด มี 2 ประการ

ก. อุปลภิตัพพคตินิมิตอารมณ์ คือ คตินิมิตตารมณ์ในภพที่จะเกิดโดยตรง เช่น จะเกิดเป็นมนุษย์ ก็จักเห็นครรภ์มารดา จะเกิดเป็นเทวดา จักได้เห็นเทพบุตรเทพธิดาหรือวิมาน จะเกิดเป็นสัตว์นรก จักได้เห็นเปลวไฟ เห็นนายนิรยบาล จะเกิดเป็นเปรต จักได้เห็นหุบเขาที่มีสภาพมืดมนเป็นต้น

ข. อุปโภคคตินิมิตอารมณ์ คือ เครื่องใช้สอยในภพนั้นๆ เช่น ถ้าจะเกิดเป็นเทวดา ก็จะเห็นตนเองได้นั่งอยู่บนเทวรถ กำลังเสวยสุธาโภชน์ร่วมกับเหล่าเทพ ถ้าจะไปเกิดเป็นมนุษย์ เห็นตนกำลังสนทนาปราศรัยกับคน ประกอบการงานอย่างใดอย่างหนึ่งบนมนุษย์โลก รู้สึกว่าตนอยู่ในครรภ์ ถ้าจะไปเป็นสัตว์ชนิดใดชนิดหนึ่ง จะเห็นอาหารสัตว์ชนิดนั้นหรือกำลังเล่นอยู่กับสัตว์เหล่านั้น ถ้าจะเป็นสัตว์นรก จะรู้สึกว่าตนกำลังถูกจองจำ ทุบตีด้วยอาวุธ ถูกสุนัขนรกไล่กัดเป็นต้น

ศึกษาความรู้เบื้องต้นเกี่ยวพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หลักธรรมสำคัญที่นำไปสู่เป้าหมายสูงสุด โครงสร้างองค์รวมและลักษณะคำสอนในพระไตรปิฎก ศึกษาความสำคัญ ความหมาย และวิธีปฏิบัติในเรื่อง ทาน ศีล ภาวนา ศัพท์ทางพระพุทธศาสนา เพื่อเป็นพื้นฐานในการศึกษา หัวข้อธรรมที่ละเอียดลึกซึ้ง หลักการ วิธีการปฏิบัติ และมารยาทพื้นฐานต่อพระรัตนตรัย

http://book.dou.us/dhammakaya-book-gb.html?fbclid=IwAR2IMGtf_1dwo0zSGjE7ylhwUDuFu7bTSIT21r9D85zjKs0CQajIOMp-h4c

ระหว่างการศึกษาจากตำรา คือศึกษาด้านปริยัติ กับอีกฝ่ายหนึ่งเน้นการปฏิบัติแนวทางใดจะให้ผลดีกว่ากัน

ในหมู่ผู้สนใจศึกษาศาสนาจะมีข้อโต้แย้งกันเสมอระหว่างการศึกษาจากตำรา คือศึกษาด้านปริยัติ กับอีกฝ่ายหนึ่งเน้นการปฏิบัติและไม่เน้นการศึกษาจากตำรา ว่าแนวทางใดจะให้ผลดีกว่ากัน
สำหรับหลวงปู่ดูลย์ อตุโล ท่านเสนอแนะให้ดำเนินสายกลาง นั่นคือถ้าเน้นเพียงด้านใดด้านหนึ่ง แล้วละเลยอีกด้านหนึ่ง ก็เป็นการสุดโต่งไป

หลวงปู่ท่านแนะนำลูกศิษย์ลูกหาที่มุ่งปฏิบัติธรรมว่า ให้อ่านตำรับตำราส่วนที่เป็นพระวินัยให้เข้าใจ เพื่อที่จะปฏิบัติไม่ผิดแต่ในส่วนของพระธรรมนั้นให้ตั้งใจปฏิบัติเอา

พระราชวุฒาจารย์ (หลวงปู่ดูลย์ อตุโล)
วัดบูรพาราม อ.เมือง จ.สุรินทร์
จากหนังสือ:การเจริญสมาธิด้วยการกำหนดรู้
และละอารมณ์

  ..........................................................................

 มหาจุนทสูตร

             [๓๑๗] สมัยหนึ่ง ท่านพระมหาจุนทะอยู่ที่นิคมชื่อสัญชาติในแคว้นเจดีย์ ครั้งนั้น ท่านพระมหาจุนทะเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย
ภิกษุเหล่านั้นรับคำท่านพระมหาจุนทะแล้ว ท่านพระมหาจุนทะได้กล่าวดังนี้ว่า

ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบธรรมในธรรมวินัยนี้ ย่อมรุกรานภิกษุผู้เพ่งฌานว่า ก็ภิกษุผู้เพ่งฌานเหล่านี้ ย่อมเพ่งฌาน ยึดหน่วงฌานว่า เราเพ่งฌานๆ 
ดังนี้ ก็ภิกษุเหล่านี้ เพ่งฌานทำไม เพ่งฌานเพื่ออะไร เพ่งฌานเพราะเหตุไร ภิกษุผู้ประกอบธรรมย่อมไม่เลื่อมใสในการเพ่งฌานนั้น และภิกษุผู้เพ่งฌาน
ย่อมไม่เลื่อมใสในการประกอบธรรมนั้น ทั้งไม่ปฏิบัติเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ชนหมู่มาก เพื่อความสุขแก่ชนหมู่มาก เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูลแก่ชนหมู่มาก
เพื่อความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ฯ

             ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุผู้เพ่งฌานในธรรมวินัยนี้ ย่อมรุกรานพวกภิกษุผู้ประกอบธรรมว่า ก็ภิกษุผู้ประกอบธรรมเหล่านี้ ย่อมเป็นผู้ฟุ้ง
เฟ้อ เย่อหยิ่ง วางท่า ปากจัด พูดพล่าม มีสติหลงใหล ไม่มีสัมปชัญญะ มีใจไม่ตั้งมั่น มีจิตฟุ้งซ่าน มีอินทรีย์ปรากฏว่า เราประกอบธรรมๆ ดังนี้ ก็ภิกษุเหล่านี้
ประกอบธรรมทำไม ประกอบธรรมเพื่ออะไร ประกอบธรรมเพราะเหตุไร ภิกษุผู้เพ่งฌานย่อมไม่เลื่อมใสในการประกอบธรรมนั้น และภิกษุผู้ประกอบธรรมย่อม
ไม่เลื่อมใสในการเพ่งฌานนั้น ทั้งไม่ปฏิบัติเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ชนหมู่มาก ... ฯ

             ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุผู้ประกอบธรรมในธรรมวินัยนี้ ย่อมสรรเสริญภิกษุผู้ประกอบธรรมเท่านั้น ไม่สรรเสริญภิกษุผู้เพ่งฌาน ภิกษุผู้ประกอบธรรมย่อมไม่เลื่อมใสในการเพ่งฌานนั้น และภิกษุผู้เพ่งฌานย่อมไม่เลื่อมใสในการประกอบธรรมนั้น ทั้งไม่เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ชนหมู่มาก ... ฯ

             ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุผู้เพ่งฌานในธรรมวินัยนี้ ย่อมสรรเสริญภิกษุผู้เพ่งฌานเท่านั้น ไม่สรรเสริญภิกษุผู้ประกอบธรรม ภิกษุผู้เพ่งฌาน ย่อมไม่เลื่อมใสในการประกอบธรรมนั้น และภิกษุผู้ประกอบธรรมย่อมไม่เลื่อมใสในการเพ่งฌานนั้น ทั้งไม่ปฏิบัติเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ชนหมู่มาก เพื่อความสุขแก่ชนหมู่มาก เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูลแก่ชนหมู่มาก เพื่อความสุขแก่เทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย ฯ

             เพราะเหตุนั้นแหละ ท่านทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เราทั้งหลายเป็น ผู้ประกอบธรรม จักสรรเสริญภิกษุผู้เพ่งฌาน ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แล ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่า บุคคลผู้ที่ถูกต้องอมตธาตุด้วยกาย เป็นอัจฉริยบุคคล หาได้ยากในโลก ฯ

             เพราะเหตุนั้นแหละ ท่านทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เราทั้งหลายเป็นผู้เพ่งฌาน จักสรรเสริญภิกษุผู้ประกอบธรรม ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ท่าน
ทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แล ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่า บุคคลผู้ที่แทงทะลุเห็นข้ออรรถอันลึกซึ้งด้วยปัญญานั้น เป็นอัจฉริยบุคคล หาได้ยากในโลก ฯ

จบสูตรที่ ๔

             เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๒ บรรทัดที่ ๘๓๘๙-๘๔๒๖ หน้าที่ ๓๖๗-๓๖๙.
http://84000.org/tipitaka/read/v.php?B=22&A=8389&Z=8426&pagebreak=0

#เหตุแห่งความเสื่อมและเหตุของผู้เจริญ

#เหตุแห่งความเสื่อม | ผู้รู้ดีเป็นผู้เจริญ #ผู้รู้ชั่วเป็นผู้เสื่อม.,ผู้ใคร่ธรรมเป็นผู้เจริญ #ผู้เกลียดธรรมเป็นผู้เสื่อม
.
ผู้อ่านที่เคารพ ขึ้นชื่ออะไรคือมงคล ชาวพุทธก็คงทราบดีถึง มงคล 38 ประการที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ใน “มงคลสูตร” ซึ่งเป็นการตอบความสงสัยของเทวดา ซึ่งถกเถียงกันว่าอะไรคือ “มงคล” 
.
อย่างไรก็ตาม หากจะถามว่า แล้วพระพุทธเจ้าตรัสเรื่องเหตุแห่งความเสื่อมไว้บ้างไหม ก็ตอบว่ามี ในพระสูตรชื่อ “ปราภวสูตร” ซึ่งเป็นพระสูตรที่เทวดาทูลถามอีกเช่นเดียวกัน
.
ความมีว่า ในวันที่ 2 จากวันที่ตรัสมงคลสูตร เทวดาทั้งหลายในหมื่นจักรวาล ประสงค์จะฟังพระสูตรว่าด้วยความเสื่อม ได้ขอให้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่า “อะไรเป็นทาง คือ เป็นประตู เป็นกำเนิด เป็นเหตุของคนเสื่อม ซึ่งพวกข้าพระองค์พึงรู้คนเสื่อม ... เพราะเมื่อรู้เหตุแห่งความเสื่อมแล้ว ก็อาจรู้คนเสื่อมบางคนได้ ด้วยเหตุสามัญนั้น.”
.
พระพุทธเจ้าตรัสแสดง...
.
@@@@@@@
.
ข้อที่ 1. คนที่ใคร่ธรรมเป็นผู้เจริญ คือ ย่อมใคร่ กระหยิ่ม ปรารถนาฟัง ปฏิบัติซึ่งธรรม คือ กุศลกรรมบถสิบ คนนั้นชื่อว่าเป็นผู้รู้ได้ง่าย เพราะเห็นและฟัง ปฏิบัตินั้นแล้วพึงรู้ได้ ., ผู้เกลียดธรรมแม้นอกนี้ เป็นผู้เสื่อม ย่อมเกลียด คือ ย่อมไม่กระหยิ่ม ไม่ปรารถนา ไม่ฟัง ไม่ปฏิบัติธรรมนั้นนั่นเทียว ผู้เกลียดธรรมนั้น ., ชื่อว่า เป็นผู้รู้ได้ง่าย เพราะเห็นและฟังการปฏิบัติผิดนั่นแล้ว พึงรู้ได้.
.
นอกจากนั้น พระพุทธองค์ตรัสบอก “ทางของคนเสื่อม” ไว้ทั้งหมดถึง 12 ข้อ โดยย่อ (ในวงเล็บเป็นคำอธิบายเพิ่มเติมจากอรรถกถา) ดังนี้
.
ข้อ 2. - คนมีอสัตบุรุษ (ศาสดาทั้ง 6 (ผู้มีมิจฉาทิฏฐิ)หรือผู้ประกอบพร้อมด้วย กายกรรม วจีกรรม และ มโนกรรม อันไม่สงบ) เป็นที่รัก ไม่กระทำสัตบุรุษ (พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระสาวก หรือ ผู้ประกอบพร้อมด้วย กายกรรม วจีกรรม และ มโนกรรม อันสงบ) ให้เป็นที่รัก ชอบใจธรรมของอสัตบุรุษ (ทิฏฐิ 62 หรือ อกุศลกรรมบถ 10) ข้อนั้นเป็นทางของคนเสื่อม
.
@@@@
.
ข้อ 3. - คนใดชอบนอน ชอบคุย ไม่หมั่น เกียจคร้าน โกรธง่าย (ผู้โกรธง่าย โทสจริต มีจิตเหมือนบาดแผล ผู้ถึงพร้อมด้วยฐานะ 5 อย่างนี้จะไม่เจริญทั้งทางโลกและทางธรรม ไม่ว่าจะเป็นคฤหัสถ์ หรือบรรพชิต) ข้อนั้นเป็นทางของคนเสื่อม
.
ข้อ 4. - คนใดสามารถ แต่ไม่เลี้ยงมารดาหรือบิดาผู้แก่เฒ่า ผ่านวัยหนุ่มสาวไปแล้ว (มีวัย 80 ปี หรือ 90 ปี ผู้ไม่สามารถกระทำการงานด้วยตนเอง) ข้อนั้นเป็นทางของคนเสื่อม(ผู้บำรุงมารดาบิดาในโลกนี้ เขาละโลกไปแล้ว ย่อมบันเทิงในสวรรค์ ส่วนผู้ไม่บำรุงมารดาบิดา ย่อมถึงความนินทาและติเตียนและถึงทุคติเมื่อตาย)
.
ข้อ 5. - คนใดลวงสมณพราหมณ์ หรือแม้แต่วณิพกอื่นด้วยมุสาวาท (ด้วยการปวารณา ว่าจะถวายจะให้แล้ว ไม่ให้ตามที่ปวารณา ย่อมค้าขายขาดทุนในโลก ถูกนินทา และเข้าถึงทุคติ) ข้อนั้นเป็นทางของคนเสื่อม
.
@@@@
.
ข้อ 6. - คนมีทรัพย์มาก มีเงินทองของกิน กินของอร่อยแต่ผู้เดียว (ไม่ให้ของกินอันอร่อยแม้แก่บุตรของตน เพราะความตระหนี่ ย่อมถูกติเตียน เข้าถึงทุคติ) ข้อนั้นเป็นทางของคนเสื่อม
.
ข้อ 7. - คนใดหยิ่ง (มีมานะ ลำพอง) เพราะชาติ หยิ่งเพราะทรัพย์ (ดูหมิ่นว่าเขายากจน) และหยิ่งเพราะโคตร ย่อมดูหมิ่นญาติของตน (ไม่ทำสามีจิกรรม ญาติทั้งหลาย ย่อมปรารถนาความเสื่อมเท่านั้นแก่คนนั้น) ข้อนั้นเป็นทางของคนเสื่อม
.
ข้อ 8. - คนใดเป็นนักเลงหญิง (ผู้กำหนัดในหญิงทั้งหลาย ให้ทรัพย์ที่มีอยู่แม้ทั้งหมด สงเคราะห์หญิงอื่นๆ) เป็นนักเลงสุรา (ทิ้งของแม้ทั้งหมดที่มีอยู่ ประกอบการดื่มสุรา) และเป็นนักเลงการพนันผลาญทรัพย์ที่ตนหามาได้ (ทิ้งแม้ผ้าที่ตนนุ่งแล้ว ประกอบการเล่นการพนัน) ข้อนั้นเป็นทางของคนเสื่อม
.
ข้อ 9. - คนไม่สันโดษด้วยภริยาของตน ประทุษร้ายในภริยาของคนอื่นเหมือนประทุษร้ายในหญิงแพศยา ข้อนั้นเป็นทางของคนเสื่อม (เพราะการเพิ่มให้ทรัพย์แก่หญิงแพศยา เพราะเสพภรรยาคนอื่น และกรรมกรณ์มีราชทัณฑ์ เป็นต้น)
.
@@@@
.
ข้อ 10. - ชายแก่ (ล่วงวัยหนุ่มอายุ 80 หรือ 90 ปี) ได้หญิงรุ่นสาวมาเป็นภริยา (นำมาบำเรอ ความยินดีและการสังวาสกับชายแก่ทั้งหลาย ย่อมไม่เป็นที่ชอบใจของหญิงสาวรุ่นกำดัด ชายแก่นอนไม่หลับเพราะหึงหวงแผดเผาว่าอย่าพึงปรารถนาชายหนุ่มเลย) ย่อมนอนไม่หลับ เพราะความหึงหวงหญิงรุ่นสาวนั้น ข้อนั้นเป็นทางของคนเสื่อม
.
ข้อ 11. - คนใดตั้งหญิงนักเลงสุรุ่ยสุร่าย (ใช้จ่ายทรัพย์เหมือนฝุ่น ให้ฉิบหาย เป็นผู้เหลวไหล คือ ติดในปลา เนื้อ และน้ำเมา เป็นต้น) หรือแม้ชายเช่นนั้นไว้ในความเป็นใหญ่ (ให้วัตถุมีเครื่องประทับตรา เป็นต้น ให้กระทำการขวนขวายในการงาน) ข้อนั้นเป็นทางของคนเสื่อม
.
ข้อ 12. - บุคคลผู้เกิดในสกุลกษัตริย์ มีโภคทรัพย์น้อย มีความมักใหญ่ (ไม่สันโดษด้วยโภคทรัพย์ตามที่ตนหามาได้) ปรารถนาราชสมบัติ (อันตนเป็นทายาท ซึ่งไม่ควรได้ หรือของคนอื่น ให้โภคทรัพย์น้อยแม้นั้นแก่คนทั้งหลายมีทหาร เป็นต้น ย่อมไม่ลุถึงราชสมบัติ ย่อมเสื่อมถ่ายเดียว) ข้อนั้นเป็นทางของคนเสื่อม
.
@@@@@@@
.
บัณฑิตผู้ถึงพร้อมด้วยความเห็นอันประเสริฐ พิจารณาเห็นคนเหล่านี้ เป็นผู้เสื่อมในโลก ท่านย่อมคบโลกที่เกษม (คนเจริญ) ในพระสูตรนี้ความเสื่อม หมายถึง ย่อมไม่ถึงความเจริญในโลกนี้หรือในโลกหน้า 
.
และพระสูตรนี้เป็นพระสูตรที่มีความสำคัญยิ่งด้วยว่า เมื่อเทวดาทั้งหลายฟังแล้วก็เกิดความสังเวช ได้บรรลุธรรมเป็นจำนวนมาก เช่นเดียวกับ มหาสมัยสูตร มงคลสูตร ธรรมจักรสูตร เป็นต้น

___________________________________
ขอบคุณ : https://www.posttoday.com/dhamma/289063
โพสต์ทูเดย์ ธรรมะ ,วันที่ 13 เม.ย. 2557 ,เวลา 11:14 น.

สมัยก่อน...#ดอยอ่างขาง จากไร่ฝิ่น

สมัยก่อน...#ดอยอ่างขาง ได้ชื่อว่าเป็นดงฝิ่น ในหลวง #รัชกาลที่9 อยากให้ฝิ่นหมดไปจากประเทศ เพราะทรง เห็นว่าไม่ใช่แนวทางการประกอบอาชีพที่ยั่งยื...