30 กันยายน 2560

พระรอดทรงเครื่องกษัตริย์ ฝีมือช่างหลวง หริภุญชัย กรุมหาวัน ลำพูน

สุดยอดแห่งพุทธศิลป์ พิมพ์ที่หาดูได้ยากยิ่ง
สร้างเพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนา ช่วงเจริญรุ่งเรือง โดยพระนางจามเทวี และฤาษีผู้ทรงฤทธิ์ ที่ศรัทธาพระพุทธศาสนาปลุกเสก

พลังจตุธาตุนำด้วย ธาตุน้ำ  พลังจักรวาล แห่งโชคลาภโภคทรัพย์
ตามด้วยพลังธาตุดิน  มหาอุตม์
ตามด้วยพลังธาตุไฟ มหาอำนาจ
ตามด้วยพลังธาตุลม แคล้วคลาด ปลอดภัย
โดยรวมเด่นทุกๆ ด้าน ด้วยแรงเสริมในแต่ละธาตุนั้นเอง

29 กันยายน 2560

เทวดาทำบุญ พระอาจารย์ทูล! เล่าถึงอดีตชาติสมัยเกิดเป็นรุกขเทวดา และบอกว่าทำไม เทวดาชั้นต่ำมีโอกาสสร้างบารมีมากกว่าเทวดาฃั้นสูงให้หลวงปู่ขาวฟัง 

การไปเกิดบนสวรรค์ชั้นสูง โอกาสที่จะได้สร้างบารมีนั้นยากมาก วันคืนผ่านไปๆ ไม่ได้นึกถึงบุญกุศลอย่างใด มีแต่เสพสุขในกามคุณที่เป็นทิพย์เท่านั้น มนุษย์เขาทำบุญให้ทานรักษาศีลภาวนาอย่างไรก็ไม่เคยรู้เรื่อง ถึงเมืองมนุษย์จะร้องกล่าวบทชุมนุมเทวดาให้มาร่วมบุญกุศล เทวดาขั้นสูงเขาก็ไม่ได้มาร่วมงานด้วย ที่มานั้นเป็นเทวดาชั้นต่ำๆ ที่เรียกว่า รุกขเทวดาและภุมเทวดา นั่นเอง หลวงปู่(หลวงปู่ขาว อนาลโย) พูดว่า ไหนลองเล่ามาให้ฟังซิว่าเขามากันอย่างไร จึงได้เล่าต่อไปว่า

ในสมัยหนึ่งกระผมเป็นหัวหน้าอุบาสกอุบาสิกาอยู่ในเมืองมนุษย์ ได้พาคณะศรัทธาทั้งหลายไปบำเพ็ญกุศลตามวัดต่างๆ และทำประโยชน์ในสาธารณกุศลทั่วไป มีวัดหนึ่งเป็นถ้ำใหญ่ มีพระเป็นจำนวนมาก กระผมได้พาหมู่คณะไปบำเพ็ญกุศลในวัดนี้เป็นประจำ และทำไปจนตราบเท่าอายุขัย เมื่อกระผมตายไป จงได้ไปเกิดเป็นรุกขเทพบุตร ได้ไปอาศัยตันรังใหญ่ต้นหนึ่งในป่าใหญ่แห่งนั้น กระผมสามารถเนรมิตให้ต้นรังใหญ่กลายเป็นปราสาทได้อย่างสวยงาม และได้เป็นใหญ่ในหมู่รุกขเทวดาทั้งหลาย ในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เช่น วัน ๘ ค่ำ วัน ๑๔ หรือ ๑๕ ค่ำ กระผมจะพาหมู่เทวดาทั้งหลายไปบำเพ็ญกุศลตามวัดต่างๆ โดยจะออกเดินทางในช่วงตี ๓-๕ ก่อนที่มนุษย์เขาจะไปถึง สำหรับพาหนะที่ใช้เดินทางนั้นไม่เหมือนกัน บางกลุ่มเขาก็เนรมิตเป็นปราสาทนั่งอยู่ในนั้น แล้วพากันลอยไปเป็นกลุ่มๆ ดูแล้วสวยงามมาก ระดับความสูงที่ลอยไปนั้น สูงกว่าปลายไม้ไปไม่กี่เมตร บางกลุ่มก็แยกไปที่ต่างๆ ตามต้องการ แต่ใครจะไปที่ไหนต้องมารายงานตัวต่อกระผมทุกครั้งไป
อีกงานหนึ่งเรียกว่างานรับเชิญ นั่นคืองานบุญกุศล พวกเทพเหล่านี้จะได้ไปในงานนี้บ่อยครั้งทีเดียว เพราะมนุษย์เวลาทำบุญได้อัญเชิญเทวดา คำอัญเชิญเทวดานั้น มีความหมายแปลว่าอย่างไรก็ให้ไปถามท่านนักปราชญ์เอาเอง และมีเทวดาอีกกลุ่มหนึ่งที่เรียกว่า เคหเทวดา คือ เทวดาที่อาศัยอยู่ตามบ้านเรือนของมนุษย์ เทวดากลุ่มนี้ไม่ต้องเชิญเขาก็รู้หน้าที่กันเอง เพราะเขาถือว่าเป็นเจ้าของบ้านดูแลรักษาบ้านนั้นอยู่ เมื่อเจ้าของบ้านจะทำบุญเขาก็ส่งข่าวให้รุกขเทวดาให้มาร่วมบุญนี้เหมือนกัน บ้านที่เทวดากลุ่มนี้อยู่เจ้าของบ้านต้องมีคุณธรรม มีการบำเพ็ญกุศลอยู่เสมอ เช่น เทวดาที่อาศัยบ้านของโยมแม่ของพระโสณกุฏิกัณณะที่ร้องทำนองสรภัญญะให้พระพุทธเจ้าฟัง เมื่อร้องจบพระพุทธก็อนุโมทนาสาธุ เทวดาของโยมแม่ของพระโสณะ ก็ได้สาธุด้วยเช่นกัน ฉะนั้น รุกขเทวดา ภุมเทวดา หรือเคหเทวดา จึงได้เปรียบกว่าหมู่เทวดาชั้นสูง เพราะได้บำเพ็ญบารมีกับหมู่มนุษย์เป็นประจำ เรื่องของเทวดานั้นยาวมาก จะไม่นำมาเขียนไว้ในที่นี้ทั้งหมด

เมื่อเล่าเรื่องเทวดาทั้งหมดให้หลวงปู่(หลวงปู่ขาว อนาลโย)ฟัง หลวงปู่ก็ยอมรับว่าความจริงเป็นอย่างนั้น แล้วหลวงปู่ก็ได้อธิบายต่อไปว่า การเป็นเทวดาอยู่ในระดับต่ำนี้มีกำไร เพราะได้บำเพ็ญบุญกุศลร่วมกันกับหมู่มนุษย์มิได้ขาด ได้อนุโมทนาส่วนบุญที่มนุษย์ได้ทำแล้ว การไปอยู่บนสวรรค์ชั้นสูงๆ นั้นก็เหมือนอย่างที่ท่านว่านั้นแหละ ถึงจะไปอยู่ก็อยู่ได้ไม่ตลอด เมื่อบุญกุศลหมดเมื่อไรก็ต้องลงมาเกิดในเมืองมนุษย์อีก เพราะการทำบุญกุศลนั้นต้องกระทำอยู่ในเมืองมนุษย์นี้ ผู้จะเป็นพระพุทธเจ้าหรือพระอริยเจ้าทั้งหลาย ก็ต้องมาสร้างบารมีอยู่ที่เมืองมนุษย์นี้ทั้งนั้น
ฉะนั้น เมืองมนุษย์นี้เป็นสถานที่สร้างบารมี ถ้าผู้มีความประมาทลืมตัว ก็เอาเมืองมนุษย์นี้เป็นสถานที่ทำบาปอีก น่าเสียดายที่เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วไม่ได้ทำประโยชน์ให้แก่ตัวเอง ส่วนใหญ่จะทำเพื่อเสียประโยชน์ให้ตัวเองทั้งนั้น คำว่าเสียประโยชน์นั้น คือเราทำในสิ่งที่ไม่ดีนั่นเอง เมื่อทำไปแล้วผลที่ไม่ดีก็ต้องได้รับเอง
• พระอาจารย์ทูล ขิปฺปปญฺโญ •
#ที่มา อัตโนประวัติ พระอาจารย์ทูล ขิปฺปปญฺโญ
วัดป่าบ้านค้อ ตำบนเขือน้ำ อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี

ติดตามข่าวเพิ่มเติมที่ :ฟังกันชัดๆ!!! ... หลวงพ่อทูลสอนวิธีดู "พระอรหันต์"!!!
ข่าวโดย :  กิตติ จิตรพรหม ทีนิวส์  / สำนักพิมพ์ กรีนปัญญาญาณ/ ทีมข่าวปัญญาญาณ – ทีนิวส์

จิตสามารถอ่านจดหม่ย โดยไม่ต้องเปิดซอง

หลวงปู่ชูวัดนาคปรกอ่านจดหมายไม่ต้องเปิดซอง แค่หลับตาก็รู้หมด มหาเถราจารย์ผู้เรืองเวทย์เพียงผู้เดียวที่หลวงปู่เอี่ยม วัดหนังยกย่องว่าเก่งจริง

หลวงปู่ชูวัด นาคปรก มหาเถราจารย์ผู้เรืองเวทย์ ทรงคุณธรรมวิเศษ ทรงวิทยาคุณเข้มขลัง ผู้มากด้วยบุญญาภินิหาร
#ตามประวัติบันทึกว่า 
บ้านเดิมท่านเป็นชาวจังหวัดนครศรีธรรมราช เกิดเมื่อปี พ.ศ.๒๔๐๑โยมบิดาชื่อ คง โยมมารดาไม่ทราบนาม โยมบิดามีอาชีพค้าขาย มีเรือโกลนล่องมาจากนครศรีธรรมราชมาค้าขายที่กรุงเทพฯได้โยกย้ายถิ่นฐานมาตั้งรกรากที่จังหวัดธนบุรี ในปี พ.ศ. ๒๔๑๒ ได้บรรพชาอุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดทองนพคุณ อันเป็นสำนักสอนกัมมัฏฐานที่มีชื่อเสียงมากในสมัยนั้น หลวงปู่ชูท่านได้ศึกษาทางด้านนี้ รวมทั้งจิตใจฝักใฝ่ในด้านพุทธาคมและไสยเวทมาตั้งแต่รุ่นหนุ่ม จึงมุ่งมั่นศึกษาวิชาต่างๆ แต่ละแขนงจนกระทั่งเชี่ยวชาญ ว่ากันว่า ท่านยังเป็นศิษย์เรียนวิชาจากสำนักวัดระฆังโฆสิตารามอีกด้วย ต่อมาท่านได้ลาสิกขาเพื่อสะดวกแก่การเดินทางไปศึกษาวิชาต่างๆ ท่านได้ไปขอศึกษาวิชากับ ท่านอาจารย์พลับ วัดชีตาเห็น (วัดชีโพ้นในปัจจุบัน) จ.อยุธยา ต่อมาการติดต่อกับทางบ้าน บรรดาญาติพี่น้องพากันเข้าใจว่าท่านเสียชีวิตไปแล้วพอท่านกลับมาเยี่ยมบ้าน ยังความปีติยินดีแก่ญาติพี่น้องเป็นอย่างยิ่ง โยมบิดามารดาจึงจัดหาตบแต่งภรรยาให้ท่าน อยู่กินกันจนมีบุตรธิดา รวม ๓ คน เป็นชาย๒ หญิง๑ 
หลังจากท่านแต่งงานมีครอบครัวท่านก็ได้ใช้ความรู้ทางด้านสมุนไพรใบยาและเวทย์มนต์คาถาที่ได้ร่ำเรียนมา ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่ตกทุกข์ได้ยาก เป็นที่เลื่อมใสของชาวบ้าน พากันเรียกท่านว่า พ่อหมอชู ภายหลังท่านเกิดเบื่อหน่ายในโลกีย์วิสัย มองเห็นความไม่เที่ยงแท้ของสังขาร จึงได้อุปสมบทอีกครั้งหนึ่งที่วัดนางชี เขตภาษีเจริญ

ต่อมาหลวงปู่ฃูได้ย้ายมารับตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดนาคปรก จวบจนกระทั่งมรณภาพ เมื่อวันพุธ แรม๕ ค่ำ เดือนยี่ ปีจอ พ.ศ.๒๔๗๗ รวมสิริอายุได้ ๗๖ ปี เท่าที่มีการบันทึกเรื่องราว และคำเล่าขานของชาวบ้านแถบวัดนาคปรกที่เล่ากันต่อๆ มา
ถึงวัตรปฏิบัติปฏิปทาของหลวงปู่ชู ว่ากันว่า ท่านเป็นพระที่เรียบง่าย ไม่โอ้อวดตนว่าเป็นผู้วิเศษ มีความรู้ความสามารถเหนือผู้อื่น แต่กลับมีความอ่อนน้อมถ่อมตน มีคุณธรรมสูง เป็นแบบอย่างที่ดี และเป็นที่รักเคารพของบรรดาศิษย์ 
มีเรื่องเล่ากันว่า หลวงปู่ชู เป็นพระอาจารย์รูปเดียวที่ พระภาวนาโกศลเถระ หรือหลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง พระเกจิอาจารย์ชื่อดัง กล่าวยกย่องว่า เก่งทางไสยศาสตร์และวิชาแพทย์แผนโบราณ ว่ากันว่า ถ้ามีคนตลาดพลูไปขอของดีจากหลวงปู่เอี่ยมท่านจะบอกให้มาเอาจากหลวงปู่ชู ในทางกลับกัน ถ้ามีคนบางขุนเทียนมาขอของดีจากหลวงปู่ชู ท่านจะแนะนำให้ไปขอจากหลวงปู่เอี่ยม หลวงปู่ทั้งสองนี้ต่างก็ให้ความเคารพซึ่งกันและกัน ต่างก็รู้วาระจิตกันดี และมักจะไปมาหาสู่กันเสมอหลวงปู่ชูท่านจะให้การอบรมพระภิกษุสามเณรในวัดเป็นอย่างดี ท่านจะมักเทศนาให้ชาวบ้านฟังเสมอๆ ว่าให้ตั้งมั่นอยู่ในศีลธรรม ประกอบอาชีพทำมาหากินสุจริต สมัยก่อนวัดนาคปรกและบริเวณโดยรอบเต็มไปด้วยป่าครึ้ม ชาวบ้านประกอบอาชีพกสิกรรม ทำสวนผลไม้และปลูกหมากพลู มีมากจนคนขนานนามว่า ตลาดพลู การคมนาคมในสมัยก่อนยังใช้เรือเป็นพาหนะ ไฟฟ้า ประปายังไม่มี ตกค่ำก็พากันจุดไต้และตะเกียงเพื่ออ่านคัมภีร์และหนังสือธรรมะ เป็นกิจวัตรประจำวัน
ที่ตำนานมาหลวงปู่ชูให้หวยแม่น
ในสมัยนั้น ชาวบ้านย่านตลาดพลู ใครมีเรื่องทุกข์ร้อน มักจะมาหาท่านให้ท่านช่วยเหลือ บางคนที่ไม่มีอะไรจะกิน หลวงปู่ท่านจะสงเคราะห์ให้ตามสมควร จนกระทั่งมีข่าวเล่าลือว่า หลวงปู่ให้หวย อันเป็นการผิดกฎของคณะสงฆ์ สมเด็จพระสังฆราชทรงทราบเรื่องจึงทรงสอบสวนวินัย โดยมอบให้ท่านเจ้าคุณวัดอนงค์คาราม เป็นผู้สอบสวน ท่านเจ้าคุณวัดอนงค์จึงเรียกให้หลวงปู่ชูมาพบที่วัด หลวงปู่ก็ไปพบแต่โดยดี ไปถึงก็กราบท่านเจ้าคุณพร้อมกับนั่งประนมมือฟังคำบัญชาด้วยใจเด็ดเดี่ยวและมั่นคง ท่านเจ้าคุณวัดอนงค์จึงถามขึ้นว่า “ให้หวยเก่งนักหรือ”
หลวงปู่ชูได้ตอบไปว่า “ขอก็ให้ ไม่ขอก็ไม่ให้” ท่านเจ้าคุณวัดอนงค์ได้ฟังดังนั้นจึงสรุปว่าหลวงปู่ให้หวยผิดวินัย โกหกหลอกลวงชาวบ้าน แต่ถ้าสามารถตอบอะไรท่านได้ จะไม่ถือเอาโทษ หากตอบไม่ได้จะปรับโทษทางวินัย แล้วท่านเจ้าคุณก็เขียนหนังสือใส่ซองจดหมายอย่างหนาแล้วนำเอามาวางไว้ตรงหน้าหลวงปู่ โดยมีพระเถระเป็นสักขีพยานหลายรูป รวมทั้งมัคนายกอีกทั้งสองนายซึ่งนั่งดูการพิจารณาพิพากษาในที่นั้นอยู่ด้วย เมื่อวางซองจดหมายแล้ว เขียนว่าอย่างไรบ้าง
หลวงปู่ชูจึงนั่งหลับตาอยู่ราวอึดใจหนึ่งจึงกราบเรียนท่านเจ้าคุณรวมทั้งสักขีพยานว่า “ในซองนั้นเขียนคำว่า "สมภารชูให้หวย” พอฉีกซองออกมาดู ทั้งข้อความที่ปรากฏอยู่ เป็นไปดังที่หลวงปู่กล่าวทุกประการ หลังจากนั้นได้นิมนต์ให้กลับวัดหมดโทษ หมดมลทินใดๆ เพราะท่านไม่ได้หลอกลวงใครดังกล่าวหา และต่อมาภายหลังท่านเจ้าคุณวัดอนงค์ได้มาเยี่ยมเยียนหลวงปู่ชูที่วัดเสมอ จนถูกอัธยาศัยไมตรีกันตราบจนสิ้นชีวิตเรื่องหลวงปู่ชูให้หวยแม่นและเรื่องที่ท่านโดนท่านเจ้าคุณอนงค์เรียกไปสอบกลายเป็นข่าวเลื่องลือไปทั่ว

 


27 กันยายน 2560

เมื่อธาตุทั้งสี่เลิกประชุม จิต ต้องออกเดินทางไปสู่ที่ชอบ..

“ตอนใกล้ตาย” มันมีความรู้สึกอย่างไร?

อาการของการ “ตาย” ที่คนอื่นได้ศึกษามาหรือเคยได้พูดคุย
กับคนมีประสบการณ์ใกล้ตาย (near-death experience) นั้นเป็นเช่นไร คุณหัชชา ณ บางช้าง เคยค้นคว้าเรื่องนี้มาเขียนใน “ภาวะหลังตาย” และเล่าว่า “กระบวนการตาย” ในระยะต่าง ๆ นั้นเป็นเช่นไร
ท่านบอกว่ามันมี 4 ขั้นตอนอย่างนี้

๑. ระยะแรก เป็นระยะที่ธาตุดินเริ่มสลายตัว
     กลายเป็นน้ำ ผู้ตายจะรู้สึกอ่อนระโหย     
     ไม่มีแรง การมองเห็นต่าง ๆ เริ่มเสื่อม   
      มองอะไร ๆ ก็ไม่ชัด ทุกอย่างดูมัว ไปหมด
      ทุกอย่างที่เห็น เหมือนมองไปกลางถนน
      ขณะแดดจัดๆภาพต่างๆจะเต้นระยิบระยับ
      เต็มไปหมด

๒. ระยะที่น้ำจะกลายเป็นไฟ ช่วงนั้น
     น้ำในร่างกายเริ่มแห้งลง จะรู้สึก ชา ๆ ตื้อ ๆ
     เริ่มหมดความรู้สึก ไล่จากปลายเท้าขึ้นมา
     ประสาทหูเริ่มไม่รับรู้คือเริ่มไม่ได้ยินเสียง
     อะไร มองไปทางไหนก็เห็นแต่ควัน

๓. ระยะนี้ไฟเปลี่ยนเป็นลม  
     หูจะไม่ได้ยินอะไรอีกเลย รู้สึกหนาว
     จับใจ ความรู้สึกนึกคิดต่าง ๆ หยุดหมด 
     ลมหายใจอ่อนลงเรื่อย ๆ  
     จมูกเริ่มไม่รับความรู้สึกเรื่องกลิ่น

๔. ระยะนี้ ธาตุลมจะเปลี่ยนเป็นอากาศธาตุ
     ตอนนี้ เจตสิกทุกอย่าง รวมทั้งการหายใจ
     จะหยุดหมดพลังงานทั้งหลายที่เคย
     ไหลเวียนอยู่ในร่างกายจะไหลกลับคืนไปสู่
     ระบบประสาทส่วนกลางหมด ลิ้นแข็ง   
     ไม่รับรู้เรื่องรสชาติใดๆความรู้สึกสัมผัส 
     หมดไป ความรู้สึกอยากโน่น อยากนี่ต่าง ๆ
     ที่เคยมีก็หมดไป มีความรู้สึกเหมือน
     อยู่กับแสงเทียนที่กำลังลุกโพลงอยู่เท่านั้น

ท่านบอกว่าตอนนี้แหละที่แพทย์จะประกาศว่า
ผู้ป่วยในความดูแล “ถึงแก่กรรม” แล้ว (clinical death)

นั่นก็คือจุดที่ “เวทนา” ทั้งหมดดับไป สมองและระบบไหลเวียนต่าง ๆ ของร่างกายหยุดทำงานหมด แปลว่ารูปและนาม หรือเบญจขันธ์ ตายไปแล้ว

ก็ต้องถกกันต่อไปว่า ถ้าเราเชื่อว่า วิญญาณยังอยู่ต่อเมื่อร่างกายสลายไป จะไปอยู่ที่ไหนอย่างไรต่อไป

อ่านเจออีกแหล่งหนึ่งเรื่อง “ลักษณะการตาย” ตามแนวคิดแบบ “เซน” ที่คุณ “โชติช่วง นาดอน” เคยรวบรวมไว้ในหนังสือ “จิตคือพุทธะ” เมื่อนานมาแล้ว

ท่านบอกว่าคนเราตายได้สองลักษณะ คือ “ตายอย่างปราศจากที่พึ่ง” และ
“ตายอย่างสมบูรณ์ด้วยที่พึ่ง”

คนที่ตายย่างแรกนั้นเวลาใกล้จะสิ้นลม มีอารมณ์ผิดไปจากปกติ จิตใจกลัดกลุ้มยุ่งเหยิง เรียกว่า “จิตวิการ” ซึ่งหมายถึงจิตเกิดความปวดร้าวทรมานเพราะ
ยัง “ยึดติด” กับหลายเรื่อง

หรือที่ผมเรียกว่า “ไม่ยอมตายทั้ง ๆ ที่ต้องตาย” นั่นคือจิตใจยังติดข้องกับอุปาทาน ๔ ประการคือ

๑. ติดอยู่กับทรัพย์สินเงินทอง
๒. ห่วงใยอาลัยในสิ่งที่เป็นรูป และอรูป    
     โดยเห็นว่าเป็นของเที่ยง
๓. มีนิวรณ์ความวุ่นวาย ฟุ้งซ่าน
     มาห้ามจิตมิให้บรรลุความดี
๔. มีความดูแคลนเมินเฉยในคุณพระรัตนตรัย

เขาบอกว่าคนส่วนใหญ่ตายลักษณะอาการ
อย่างนี้ เรียกว่าตายอย่างอนาถา

ส่วนการตายอย่างสมบูรณ์ด้วยที่พึ่งนั้น
แปลว่าคนใกล้ตายมีสติอารมณ์ผ่องใส
ไม่หวั่นไหว และซาบซึ้งในวิธีของมรณกรรม และยึดหลัก ๔ ประการคือ

๑. มีอารมณ์เฉย ๆ  
     ซาบซึ้งถึงกฎธรรมดาแห่งความตาย
๒. ซาบซึ้งถึงสภาพการณ์สิ่งในโลกของ
     ความไม่เที่ยง ไม่เป็นแก่นสาร
๓. รำลึกถึงกุศลกรรมที่ได้ผ่านมาในชีวิต     
     และเกิดปิติปลาบปลื้ม
๔. ยึดมั่นเอาคุณพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง
     อยู่ตลอดเวลาจนสิ้นลมหายใจ

ด้วยเหตุนี้แหละ, ผมจึงเห็นว่าการ
“ฝึกตายก่อนตาย”ดั่งที่ท่านพุทธทาส หรือ.. หลวงพ่อ หลวงปู่ ครูบาอาจารย์ โดยเฉพาะ..
หลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี ท่านเคยสอนเรานั้น
เป็นเรื่องที่ประเสริฐสุดแล้ว

แต่คนส่วนใหญ่กลัวตาย แม้จะเอ่ยถึงคำว่าตายก็รับไม่ได้ เพราะถือว่าเป็นการ “แช่ง” ทั้ง ๆ ที่ไม่มีใครหนีความตายได้แม้แต่คนเดียว
การเรียนรู้ “มรณาอุปายะ” หรือ “ฝึกตายก่อนตาย” นั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญ
ทำให้มันสนุกเสีย ให้มันเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นน่ายินดี ก็จะทำให้ความทุกข์ระหว่างมีชีวิตอยู่นั้น
ลดน้อยถอยลง และเมื่อถึงเวลาที่ต้องจากโลกนี้ไปก็ไม่ตกใจ
ไมตื่นเต้น ไม่รันทดและทรมานเพราะ..
ความกลัวและความไม่ต้องการที่จะจากไป

ชาวพุทธที่ฝึกปฏิบัติธรรมในสาระจริง ๆ (ไม่ใช่แค่ทำบุญแล้วนึกว่าจะต้องไปสวรรค์
โดยไม่ต้องปฏิบัติธรรม) ก็จะเข้าใจว่า.. “ขันธ์ทั้งห้า” ล้วนไม่เที่ยง ไม่มีความแน่นอน เปลี่ยนแปลงและทรุดโทรม และท้ายสุดก็แตกดับไป และระหว่างที่มรณกาลมาถึงนั้น ขันธ์ห้าก็ย่อมจะแปรปรวน จึงควรจะเตรียมตัวและเตรียมใจไว้

เมื่อความตายมาถึง, เราก็จะได้ไม่ทุรนทุราย และตายอย่างมีสติ และ “รู้เท่าทันความตาย” ซึ่งเป็นสุดยอดของการมีชีวิตอยู่นั่นเอง..

ข้อมูลดีๆโปรดแชร์ต่อ @บุญรักษา

พระแก้วจุยเจีย.

แร่ธาตุธรรมชาติที่พลังภายในตัว จากการกาลเวลาหลายๆล้านปี บำเพ็ญบารมีผ่านการเข้าครองของเทพจากรุ่นสู่รุ่น จุดหมายปลายทางคือนิพพาน การแปรเปลี่ยนสภาพภายนอกเป็นรูปพระเป็นอีกขั้นหนึ่งของเป้าหมายสู่เป้าหมายสูงสุด  
    พลานุภาพในตัวบวกแรงศรัทธาอันบริสุทธิ์จากเทพดลใจหรือมนุษย์ก็ตาม. แม้ไม่ผ่านพิธีใดๆ ก็มีพลังดึงดูดเพิ่มพลังในตัวมากเช่นเดียวกั

นำด้วยพลังธาตุจักรวาลแห่งธาตุน้ำ
ตามด้วยพลังธาตุดิน มหาอุตม์  ตามด้วยธาตุ   ไฟแห่งอำนาจ  และพลังธาตุลมผู้นำการเปลี่ยนแปล แคล้วคลาด นอกจากนี้ยังมีพลังธาตุลมตีคู่มากับทุกธาตุ กระแสการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วทันใจ สมปราถนาทุกๆประการ..เทอญ
   ก็ขอพลานุภาพอำนาจพระแก้วจุยเจียนี้  ได้โปรดใหญาติธรรมทุกๆท่าน เจริญทั้งทางโลกและทางธรรมทุกๆประการด้วยเทอญ....สาธุ..สาธุ...สาธุอนุโมทามิ .

26 กันยายน 2560

คำทำนายที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้..!



            (จากนักปฎิบัติธรรมสายมโนมยิทธิท่านหนึ่งโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านด้วยตัวเองครับ )
            หลวงปู่ปาน หลวงพ่อฤาษีฯ พาไปศึกษาธรรมในส่วนคำพยากรณ์ฯ กับพระฯ มีดังนี้ (โดยเฉพาะข้อที่ ๑๐ )
            ในอนาคตอันใกล้นี้คนไทยจะปกครองโลกธาตุและจักรวาล เพราะเวลานี้พระโพธิสัตว์ใหญ่หลายท่านได้มาถือกำเนิดบนแผ่นดินไทยมานานแล้ว
            ถ้าหากว่าผู้ใดบำเพ็ญบารมีมาถูกต้องตามแบบแผนและกฎกติกาที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายบัญญัติไว้จริง โอกาสที่จะไปทำบุญและเข้าถึงธรรมจากท่านก็มีอยู่มาก
            ถึงแม้ผู้ที่มาปฏิบัติจะเข้าถึงธรรมอันบริสุทธิ์ได้มากก็จริงอยู่ แต่ถ้าจะไปรู้เรื่องส่วนตัว ที่ละเอียดของพระโพธิสัตว์แต่ละท่านย่อมเป็นไปไม่ได้
            เช่น จะไม่รู้ว่าท่านเป็นใครมาเกิด บำเพ็ญบารมีมาแล้วเท่าไร ได้รับคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ใดมา ในพุทธกาลนี้มีชื่อสมมติว่าอะไร และในพุทธกาลหน้ามีชื่อสมมติว่าอะไร


เหตุปัจจัยที่จะทำให้คนไทยเป็นใหญ่ในโลกธาตุคือ
            ๑) ทรัพยากรบุคคล อันได้แก่ พระโพธิสัตว์ใหญ่หลายท่าน ซึ่งมาเกิดเป็นคนไทย ท่านเหล่านี้มีทั้งบุญฤทธิ์และอิทธิฤทธิ์ แม้แต่พรหมเทวดาที่อยู่ในทุกๆ ภพภูมิ ก็ยังให้ความเคารพท่านอยู่ตลอดเวลา
            ๒) ทรัพยากรธรรมชาติ อันมีอยู่มากมายในผืนแผ่นดินไทย เช่น น้ำมัน ทองคำ ยูเรเนียม รัตนชาติ รวมทั้งแร่ธาตุต่างๆ อีกจำนวนมาก

หมายเหตุ
            ขนาดพระเลวที่พาคนไปอยู่นรกเป็นจำนวนมาก สังคมโลกยังให้เกียรติมอบรางวัลพิเศษให้ขนาดนั้น
            แล้วพระที่สอนนิพพานได้ถูกต้องตามที่ศาสดาเอกในโลกบัญญัติไว้ สังคมโลกจะไม่ยอมรับเป็นทางการกันบ้างหรือ
            อย่างไรเสียชาวโลกก็ต้องยอมรับความจริงให้เกียรติสูงสุดกันอยู่แล้วกันอยู่แล้ว คนไทยจะเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณทางโลกธาตุทั้งหมด
            พระฯ ท่านบอกว่าเวลานี้พระโพธิสัตว์ใหญ่หลายท่านต่างก็จำศีลภาวนากันอยู่ แต่คนส่วนใหญ่ในโลกธาตุยังไม่คิดถึงท่าน
            เพราะไปมัวเพลิดเพลินแต่ความสุขอันจอมปลอม เช่น กามสุขและอบายมุขต่างๆ
            ถ้าหากไม่ใกล้ตายด้วยมหันตภัยร้ายแรงเกือบทั้งโลก ก็ยากที่จะระลึกถึงท่านด้วยความจริงใจ
            แต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นไปตามกฎแห่งกรรมของสัตว์โลก
            เหตุที่ผู้เขียนเชื่อ ก็เพราะคำสอนศาสดาเอกในโลกเท่านั้นที่จะหยุดยั้ง การเวียนว่ายตายเกิดของสัตว์โลกให้ไปนิพพานได้
            เพราะศาสดาพยากรณ์อื่นสอนไม่ถึงนิพพาน สอนได้เพียงเทวโลกและพรหมโลกเท่านั้น
            และผู้ก่อตั้งศาสนาอื่นทั้งหมดเวลานี้มาเกิดในเมืองไทยหมดแล้ว ซึ่งผู้เขียนทำบันทึกไว้ตั้งแต่ปี ๒๕๒๘ แล้ว
            ถ้าอยากหาข้อมูลเพิ่มเติมมากกว่านี้ ต้องไปหากับพระและครูสอนกรรมฐานในสายมโนมยิทธิ ที่พบนิพพานและพระพุทธเจ้าจริง (เพราะถ้าได้พบนิพพานและพระพุทธเจ้าจริง การที่จะรู้เห็นเรื่องคำพยากรณ์ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ของยากเลย)
            นิมิตและสิ่งบอกเหตุอีกหลายอย่างที่จะปรากฏก่อนที่จะได้พบผู้มีบุญออกมาทำงานใหญ่ อาทิ
            ๑) สัตว์จะเริ่มเข้าใจภาษาคนมากขึ้น (เพราะสัตว์จำนวนมากกำลังหมดกรรม หรือเป็นพระโพธิสัตว์มาเกิดเพื่อบำเพ็ญบารมีต่อ) ส่วนคนจะเริ่มไม่เข้าใจภาษาคน (คนส่วนใหญ่มักจะประกอบกรรมชั่ว ไม่คิดปฏิบัติตามคำสอนที่ดีกัน)
            ๒) โรคภัยไข้เจ็บชนิดแปลกๆ จะเกิดขึ้นมาท้าทายวงการแพทย์ ซึ่งหมอสมัยใหม่ก็ยากที่จะเยียวยา หรือรักษาให้หายขาดได้ แต่จะมาแพ้ยาโบราณและอภิญญาของพระโพธิสัตว์
            ๓) สัตว์ชนิดแปลกๆ ที่มนุษย์คิดว่าสูญพันธุ์ไปแล้ว และสัตว์โลกใหม่ๆ ที่มนุษย์ยังไม่เคยเห็นจะออกมาปรากฏ
            ๔) ยานพาหนะของมนุษย์ที่อยู่ต่างโลกธาตุ จักรวาลจะปรากฏเหนือน่านฟ้าโลกเรามากขึ้นในหลายรูปแบบ
            ๕) ต่อไปชาวธรรมจำนวนมาก จะแยกเดียรถีย์อลัชชี ออกจากผู้บำเพ็ญได้ถูกต้อง
            ๖) ดวงดาวต่างๆ จะค่อยๆ โคจรเข้ามาใกล้ระบบสุริยะเรามากขึ้น
            ๗) อากาศจะวิปริตแปรปรวน ยิ่งใกล้เวลาที่กำหนดไว้ คือเวลาที่มนุษย์จำนวนมาก ต้องสังเวยชีวิตกับภัยธรรมชาติและภัยสงคราม อากาศจะมืดครึ้มอย่างชอบกล แม้ในวันเดียวกันจะมีอากาศในลักษณะ ๓ ฤดู
            ๘) จะเกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงติดๆ กัน ภูเขาไฟระเบิด พายุโหมกระหน่ำ น้ำท่วมฉับพลัน ไฟไหม้ อุบัติเหตุร้ายแรงจะเกิดขึ้นถี่ขึ้นในทวีปต่างๆ และยิ่งใกล้ถึงเวลาอุกกาบาตเล็กและใหญ่ จะตกลงมาถี่ขึ้นบนพื้นผิวโลก
            ๙) พรหม เทวดา พญาครุฑ พญานาค ยักษ์ ชาวลับแล ฯลฯ ที่อยู่ในโลกธาตุนี้และโลกธาตุจักรวาลอื่น จะออกมาทำบุญกันหลายรูปแบบในสถานที่บำเพ็ญบุญแห่งใหม่
            ๑๐) หลวงปู่อุปคุตที่จำพรรษาอยู่กลางสะดือทะเลอันเป็นวังใหญ่ของพญานาค ซึ่งเป็นสถานที่เก็บถาดทองคำ (ภาชนะที่พระพุทธเจ้าทรงใช้ฉันข้าวมธุปายาสก่อนตรัสรู้) ของพระพุทธเจ้า ๔ พระองค์ ในกัปนี้ จะออกมาให้ชาวโลกได้พบและทำบุญ
            ๑๑) ญาติพระเทวทัต และพระโพธิสัตว์จอมปลอม จะถูกเปิดเผยความชั่ว ที่เลวยิ่งกว่ามหาโจรใดๆ ทั้งสิ้นในโลก
หมายเหตุ
            ให้ตามหากันเอาเอง ถ้ารู้จักพญายมจริงไม่ใช่ของยาก ไม่ขอบอกเพราะถ้ารู้แล้วจะเลิกคบคนอีกเยอะ แต่รู้ไว้ก็จะเป็นประโยชน์กับตัวเองเพราะจะได้ไม่ไปทำบุญกับสัตว์นรก เพื่อจะได้ไม่อยู่นรกตาม เพราะที่ผ่านมาชาวธรรมจำนวนมากโดนหลอกอยู่
            ๑๒) พระสาวกของพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย พระพุทธเจ้าทั้งหลาย และพระพุทธเจ้าองค์ปฐมจะเสด็จมาเป็นประธานในพิธีต่างๆ ณ บริเวณสำคัญแห่งใหม่ของโลกก่อนยุคสุดท้าย
            ๑๓) พระโพธิสัตว์ใหญ่หลายท่านจะนำพระธาตุ พระบรมธาตุ จากชาวเทพ หรือชาวลับแล ที่เก็บไว้ รวมทั้งวัตถุมงคลใช้ป้องกันรังสีจากอาวุธสงครามสมัยใหม่ ออกมามอบให้แก่ผู้ที่ศรัทธาไว้เคารพบูชาเพื่อป้องกันภัยจากสงครามใหญ่ที่กำลังจะมาถึงในอนาคตอันใกล้
หมายเหตุ ๑
            ในเรื่องของพระธาตุ พระบรมสารีริกธาตุ ต้องดูคนแจกด้วย เพราะมีคนแอบอ้างสวมรอยพระโพธิสัตว์เยอะ
            ถ้าเป็นพระบรมสารีริกธาตุจริงรวมทั้งพระที่พระโพธิสัตว์ใหญ่ปลุกเสกจริงจะต้องเสด็จออกมาสอนกรรมฐาน
            ทั้งหมดที่เขียนเอาไว้ได้ เพราะผู้เขียนก็ได้จากหลวงพ่อฯ หลักสูตรกรรมฐานทั้งหมดที่เขียน ก็ได้มาจากครูบาอาจารย์คนเดียวกัน
            ถ้าเสด็จออกมาสอนไม่ได้ ก็เป็นแค่กรวดหินดินทรายธรรมดาที่มีลักษณะคล้ายพระธาตุเท่านั้น
            ของจริงต้องอยู่กับคนที่มีบุญจริง ชาวธรรมทั้งหลายอย่าหลงเชื่อพวกต้องการความยิ่งใหญ่ทางโลกธรรม
            พระและครูกรรมฐานหลงเยอะ ยังไม่ได้อริยประเพณี แต่กลับโดดมาทำผลของพุทธประเพณี
หมายเหตุ ๒
            พระบรมธาตุ และวัตถุมงคลบางอย่างก็ใช้ป้องกันไม่ได้ คือพระพุทธเจ้าไม่ได้อธิษฐานไว้
            แต่ให้พระโพธิสัตว์มาอธิษฐานเอาใหม่ ยกตัวอย่างเช่น พระของหลวงปู่ทวด หลวงปู่โต หลวงปู่ปาน ก็ไม่ได้ทำเอาไว้
            มีแต่หลวงพ่อฤาษีฯ ทำ และให้ผู้เขียนอาราธนาหลวงพ่อฯ และหลวงปู่ปานมาทำด้วย แต่ก็ไม่ได้ทำมากมายอะไร เพราะไม่ได้ทำไว้เพื่อขาย

            ๑๔) พวกเปรตอสุรกายที่แฝงกายอยู่ในคราบนักบุญและนักการเมืองผู้ยิ่งใหญ่ของโลก จะถือเอาเหตุปัจจัยความแตกต่างทางศาสนาและนิกายมาเป็นเครื่องยุยงให้ชาวโลก แตกออกเป็นสองฝ่าย
            และก็จะเริ่มค่อยๆ ประหัตประหารไปทีละจุด ๆ ในที่สุด (ความขัดแย้งในเรื่องลัทธิ นิกาย และศาสนาจะบานปลายเป็นสงครามใหญ่ภายหลัง) เพราะกิเลสในใจผู้นำของแต่ละศาสนามีมาก (อย่ามองข้ามเหตุที่เกิดในประเทศไทย เพราะในเมืองไทยก็เป็นชนวนใหญ่เช่นกัน)
หมายเหตุ
            นักปฏิบัติในประเทศไทย ใครคบกับใครชาวธรรมโปรดดูให้ดี ผู้ที่เป็นพระอริยเจ้าในปัจจุบัน และผู้ที่จะเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต จะไม่คบกับสัตว์นรกเป็นอันขาด
            ผู้สนใจในธรรมถ้ากลัวนรก ควรตรวจสอบในเรื่องนี้ดูให้ดี ก็ไม่แน่นักผู้เขียนอาจเป็นสัตว์นรกตัวสำคัญที่สุดของอริยวงศ์และพุทธวงศ์ก็ได้
            อะไรที่ไม่ควรเชื่อถือก็อย่าเชื่อถือชาวธรรมต้องระวัง ผู้ที่มาทำหน้าที่นี้ต้องเป็นผู้ที่พระใหญ่ใช้มา และครูบาอาจารย์ให้ความไว้เนื้อเชื่อใจฝากงานไว้เท่านั้น
            ต้องพิสูจน์ความรู้หลายอย่างด้วยไม่ใช่เชื่อกันแบบงมงาย ที่ผ่านมาหลวงปู่ฯ หลวงพ่อฯ บอกว่ายังไม่ใช่ตัวจริง
            ตัวจริงของจริงยังไม่มีใครรู้จัก และทุกอย่างจะต้องมีการพิสูจน์ความรู้ความสามารถ และพฤติกรรมมามากกว่าที่เห็น
            กรรมใดเป็นการฝืนกฎแห่งการบำเพ็ญฯ ถ้าหลวงปู่ปาน และหลวงพ่อฤาษีฯ ไม่ได้สั่งงานให้ข้าพเจ้าทำเรื่องพิเศษบางส่วนต่อจากท่าน รวมทั้งไม่ได้ศึกษาธรรมในส่วนคำพยากรณ์จากพระฯ จริงๆ
            ขอให้ปรับโทษอนันตริยกรรมสูงสุดแก่ข้าพเจ้าให้ยิ่งกว่าพระเทวทัตและผู้กระทำความผิดทุกๆ พุทธศาสนาในอดีตทั้งหมดด้วยเทอญ

อริยสัจ 4 และมรรคแปด

ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ห่างไกลจากกิเลสตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาค ทรงตรัส...