08 กันยายน 2565

พระยามาราธิราช


    พระยามาราธิราช เป็นเทวดาชั้นที่ ๖ หรือ ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี ชื่อจริงๆ "ท้าวมาลัย" พวกเดียวกัน เขาปรารถนาพุทธภูมิเหมือนกัน จริงๆ แล้วก็เป็นเพื่อนกับพระพุทธเจ้า แล้วปรารถนาพุทธภูมิมาด้วยกัน สมัยหนึ่งที่ท่านเป็นมนุษย์ เป็นคนเลี้ยงม้าเหมือนกัน ต่างคนต่างเกี่ยวหญ้าม้า เวลาบ่ายพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งท่านอยู่บนเขาคันธมาศกุฏิที่ทำด้วยดินของท่านเกิดร้าว ต้องการหญ้าไปผสมดินเหนียวทำฝา ท่านก็มายืนอยู่ข้างหลัง พระพุทธเจ้าของเราก็เอาหญ้าถวายไปฟ่อนหนึ่ง ท่านยืนเฉย ก็คิดว่าเวลานีเพื่อนของเราอยู่ไกล อยากเอาหญ้าของเพื่อนถวายก็ไม่แน่ใจ ถ้าเขาไม่เต็มใจเกิดตำหนิพระปัจเจกพุทธเจ้า ก็จะลำบาก เลยไม่ได้ให้ไป เพื่อนกลับมาตอนเย็นก็เล่าสู่กันฟัง พระยามาราธิราชก็โกรธเพื่อน หาว่าอยากเป็นพระพุทธเจ้าคนเดียวและจะตามแกล้ง
    ก่อนพระพุทธเจ้าจะบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ แกก็นั่งมองถ้าสิทธัตถะราชกุมารบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ดีไม่ดีจะสอนคนไปนิพพานหมด ถ้าเราเป็นพระพุทธเจ้า ไม่มีใครจะให้สอน หาลูกศิษย์ไม่ได้ ก็เลยหาทางขัดคอ พระพุทธเจ้าท่านก็ทราบ เป็นเพื่อนกันมา คือเจตนาของท่านน่ะดี อยากจะสงเคราะห์คนให้พ้นทุกข์เหมือนกัน แต่เกรงว่าพระพุทธเจ้าจะเอาคนไปหมด ฉะนั้น เวลาที่กลั่นแกล้ง พระพุทธเจ้าจึงไม่ทำอะไร ไม่มีการทรมาน ไม่มีการปราบปราม ก็แกล้งเยอะมาก
    ก่อนจะออกสู่มหาภิเนษกรมณ์ ก็ไปยืนขวางทางบอก "สิทธัตถะจะไปทำไม อีก ๗ วัน ตำแหน่งจักรพรรดิก็จะเป็นของท่านแล้วจะได้ครองโลก" 
    ตอนจะบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณก็มาแกล้งอีก ส่งลูกสาวมา ต่อมาก็มาสะกิดข้างๆ ให้ลืมตา "นี่ๆ ตามข้ามาซิๆ" มายั่วให้โกรธ พระพุทธเจ้าก็ไม่โกรธ 
    ต่อมาเมื่อพระพุทธเจ้าบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว พระยามาราธิราชก็แกล้งพระสาวกองค์นั้นองค์นี้ คราวหนึ่งพระราหุลอยู่หน้าพระวิหารก็ไปบีบขา พระราหุลร้องจ้า พระพุทธเจ้าบอกว่า "มาร เธอถือว่าหยิกเล็บจะเจ็บเนื้อหรือ มันหมดความหมายเสียแล้ว เพราะเราบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว"
    ต่อๆ มาท่านก็กลั่นแกล้งทุกอย่าง ครั้งหลังสุดก็แปลงเป็นหนุ่มน้อยผิวเหลืองรูปร่างสวย มาเฝ้าพระพุทธเจ้า บอกว่า 
  "สมณโคดม ในวันบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ เราอาราธนาให้ท่านนิพพานไป ท่านไม่ไป ท่านบอกว่าบริษัท ๔ ยังไม่ครบเพียงใดจะยังไม่นิพพาน เวลานี้มีบริษัท ๔ ครบสมบูรณ์แล้ว ขอจงนิพพานเถอะ"
    วันนั้นเป็นวันมาฆบูชา วาระมาถึงพอดี พระพุทธเจ้าก็ทรงพิจารณาขันธ์ ๕ แล้ว ทรงปลงอายุสังขาร ประกาศว่า "ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปอีก ๓ เดือน เราจะนิพพานระหว่างนางรังทั้งคู่ที่เมืองกุสินารามหานคร"
    หลังจากนั้นท่านก็เทศน์เฉพาะศีล สมาธิ ปัญญา ร่างกายก็ทรุดลงไปทุกวันด้วยอาการป่วย
    พระยามาราธิราชยังอยู่ที่สวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี แล้วต่อมาก็ลาจากพุทธภูมิ
    มีพระเคยถามว่า ทำไมไม่ปราบปรามพระยามาราธิราช ท่านบอกว่า "ไม่ใช่หน้าที่ของตถาคต ในเมื่อตถาคตนิพพานแล้ว จะมีคู่ปรับมีนามว่า อุปคุต"
    ต่อมาพระเจ้าอโศกมหาราชต้องการบำรุงพระศาสนา ทรงสร้างพระเจดีย์ ๘๔,๐๐๐ องค์ พระอรหันต์ประชุมกัน หาผู้ที่จะรับมือกับพระยามาราธิราช ก็หาทางให้เณรผู้มีฤทธิ์ ไปเชิญพระอุปคุตที่จำพรรษาอยู่กลางสะดือทะเลมา เพื่อต่อต้านพระยามาราธิราช ในที่สุดพระอุปคุตก็สามารถปราบพระยามาราธิราชได้ ไม่กลั่นแกล้งสาวกคนใดอีกตั้งแต่นั้นมา

หนังสือ พ่อสอนลูก หน้า ๕๐๗-๕๐๙

อริยสัจ 4 และมรรคแปด

ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ห่างไกลจากกิเลสตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาค ทรงตรัส...