😇เพราะเห็นจริงตามจริงเสียเช่นนั้น   อ้ายเห็นจริง ตามจริงเช่นนั้น  อ้ายทางนั้นจำเอาไว้  จำเป็นรอยใจเอาไว้   อย่าให้ลบเชียว  นึกไว้ร่ำไป  ค่ำมืดดึกดื่นเที่ยงคืนอย่างไร   นึกไว้ร่ำไป  นึกถึงความเกิดดับเหล่านั้น  ก็เบื่อหน่ายจากทุกข์   
😇อ้ายที่เบื่อหน่ายจากทุกข์นั่นแหละ   จิตบริสุทธิ์ ใจอยู่ในความบริสุทธิ์ที่เบื่อหน่ายจากทุกข์นั่น  ที่เบื่อหน่ายอยู่ในทุกข์นั่นแหละ  ทุกข์คือความเกิด ความแก่ ความตาย เหล่านี้เบื่อหน่าย   ใจก็ว่างจากความยึดถือในเบญจขันธ์ทั้ง 5  นั่นแหละเป็นทางบริสุทธิ์  
🧘♂️เมื่อรู้จักหลักจริงดังนี้แล้ว   สภาพอันไม่เที่ยงนั่นแหละ ที่ยักเยื้องแปรผันไปนั่นแหละเป็นทุกข์  ชื่อว่าเป็นทุกข์แท้ๆ    เพราะเหตุใด เพราะว่าถูกความเกิดขึ้นเสื่อมไปบีบคั้นอยู่อย่างเดียว   เกิดขึ้นเสื่อมไป บีบคั้น อยู่อย่างเดียว   เกิดขึ้นก็บีบคั้นอยู่  เสื่อมไปก็บีบคั้นอยู่  บีบคั้นให้สัตว์เดือดร้อนอยู่ด้วยชาติทุกข์ ชราทุกข์ พยาธิทุกข์  ทุกข์ทั้งนั้น  บีบคั้นให้เดือดร้อนอยู่ร่ำไปทีเดียว    เมื่อบีบคั้นให้เดือดร้อนอยู่อย่างนี้  
🧘♀️เพราะว่าสภาพเหล่านั้นๆ เป็นของทนได้ยาก  เป็นของเดือดร้อน  เป็นของเร่าร้อน  เป็นของทุรนทุราย  เป็นของไม่สบาย   ท่านถึงยืนยันว่า  เมื่อใดเห็นตามความจริงว่า ความเกิดนั่นแหละเป็นทุกข์  ไม่ใช่เป็นสุข  เมื่อรู้ว่าความเกิดนั่นเป็นทุกข์แล้วเมื่อใด   เมื่อนั้น ย่อมเหนื่อยหน่ายในทุกข์   เมื่อเหนื่อยหน่ายในทุกข์  เบื่อในทุกข์แล้ว  ไม่อยากได้ในเบญจขันธ์เหล่านั้น  ปล่อยเบญจขันธ์เหล่านั้น  
😷นั่นแหละได้ชื่อว่าเป็นหนทางหมดจดวิเศษ   ปล่อยเสีย ไม่ยึดถือ   สบายด้วย   หน้าที่เราปล่อยเสียได้นะ   ลูกหญิงก็ดี ลูกชายก็ดี ภรรยาก็ดี สามีก็ดี ใจว่างวางเสีย   ไม่เอาธุระเสีย  เอาธุระแต่ความบริสุทธิ์ของใจเท่านั้น ใจก็เย็นเป็นสุข   ร่างกายก็อ้วน ร่างกายก็สบาย  เพราะว่าทอดธุระเสียได้  
คัดลอกมาส่วนนึงจากพระธรรมเทศนาเรื่องเบญจขันธ์
เมื่อวันที่21 ธันวาคม 2496
หลวงปู่สด จนฺทสโร
 
 
 
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น