ภาพถ่ายศักดิ์สิทธิ์คุณแม่บัญเรือน โตงบุญเติม
รูปภาพนี้สามารถนำไปขยายได้เลยครับ มีพลังจริงๆ พลังธาตุนำด้วยธาตุไฟ (เหมือนสมเด็จโต) ตามธาตุน้ำ ไฟ ลม
เด่นด้านอำนาจ บารมี รวมทั้งโชคลาภ มหาอุตม์ แคล้วคลาดครับ
ภาพถ่ายอธิษฐาน ของคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม
ถ่าย ณ วัดท่าผา จ.กาญจนบุรี ที่คุณแม่บุญเรือนอธิษฐานไว้ว่า
ไม่ว่า รูปนี้จะอัดขยายต่อไปอีกกี่พันกี่หมื่นกี่แสนครั้งทุกๆ
ภาพก็จะมีความศักดิ์สิทธิ์เสมอกับรูปต้นแบบที่ถ่ายไว้ทุกประการ
สุดยอดคาถาแห่งความมั่งคั่งร่ำรวย
ผู้ใดสวดบูชาจะได้มาซึ่งเงินทองโชคลาภอย่างเหลือเชื่อ!!
พระคาถานี้คุณแม่บุญเรือนได้จากการนั่งสมาธิจิต
เมื่อวันศุกร์ที่ ๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๐๐
เมื่อวันศุกร์ที่ ๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๐๐
"จากตำราได้เขียนบอกไว้ว่าเป็นคาถาที่ท้าวสักกเทวราชหรือพระอินทร์นำมาถวายแด่คุณแม่บุญเรือน"
ท่านให้สวดตามกำลังวันเพื่อบูชาพระสิวลีมหาเถระหรือพระฉิมพลี จะเป็นมหาลาภ มหาโชค มหาโภคทรัพย์ และเจริญ ด้วยจตุรพิศพรชัย คือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาณธนสารสมบัติประสพสิ่งอันพึงปรารถณาทุกประการนั่นแลฯ
คุณแม่บุญเรือนโตงบุญเติมอุบาสิกาผู้มีพลังจิตมหัศจรรย์
**สวดตามกำลังวันเกิด**
วันอาทิตย์ ๖
วันจันทร์ ๑๕
วันอังคาร ๘
วันพุธ ๑๗
วันพฤหัสบดี ๑๙
วันศุกร์ ๒๑
และวันเสาร์ ๑๐
-นะโม 3 จบ- แล้วว่า
" นะชาลีติ ฉิมพาลี จะ มหาเถโร
สุวรรณะมามา โภชนะมามา
วัตถุวัตถามามา พลาพลังมามา
โภคะมามา มหาลาโภมามา
สัพเพชะนา พหูชะนา ภวันตุเม "
ขออำนาจของพระรัตนตรัยจงเป็นที่พึ่ง ขออัญเชิญบารมีอันสูงยิ่งของคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม จงสถิตสถาพรอยู่กับท่านทั้งหลาย แม้ประสงค์สิ่งใดจงสมประสงค์ทุกประการ และถึงพร้อมด้วยธรรมสี่ประการคือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ ทุกท่าน เทอญ ฯ
คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม อุบาสิกาผู้มีพลังจิตมหัศจรรย์
“อิทธิปาฏิหาริย์” เป็นเรื่องที่ดูเหนือธรรมชาติ ชวนพิศวงสำหรับผู้ที่ยังอยู่ในวังวนของกิเลส สำหรับผู้ปฏิบัติทางจิตที่กำลังจะล่วงพ้นบ่วงกิเลส “ปาฏิหาริย์” ดูจะเป็นเรื่องธรรมดาที่ผู้ปฏิบัติสามารถทำได้ทุกคน
ในอดีตหลายสิบปี ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปี ขึ้นไปคงจะเคยคุ้นชื่อของอุบาสิกาท่านหนึ่ง ซึ่งมีชื่อเสียงเป็นที่กล่าวถึงอย่างมากสำหรับสานุศิษย์และผู้ศรัทธา ท่านคือ “อุบาสิกาบุญเรือน โตงบุญเติม” ผู้สามารถบรรลุธรรมอันวิเศษสำเร็จ “จตุตถฌาณ 4” และ “อภิญญา 6” อันเป็นอานิสงส์สูงสุดแห่งชีวิต ปรากฏเป็นปาฏิหาริย์จนเลื่องลือในทางตาทิพย์ หูทิพย์ รู้วาระจิตผู้อื่น ล่องหนหายตัว สั่งฟ้า ห้ามฝน และใช้พลังจิตรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้คนทั่วไปจนหาย
อุบาสิกาบุญเรือน โดยทั่วไปคนที่เคารพท่านมักเรียกท่านว่า “คุณแม่บุญเรือน” เพราะความเมตตากรุณาที่ท่านมีให้กับทุกคนไม่เลือกชั้นวรรณะ อีกทั้ง กระทำตนเป็น “แม่” ของทุกคนที่ไปขอความช่วยเหลือจากท่าน เหมือนอย่างที่แม่คนหนึ่งที่ให้แก่บุตรธิดาของตนนั่นเอง
คุณแม่บุญเรือนท่านเป็นนักบุญ และเป็นผู้นำในการประกอบการทำบุญต่างๆ ที่เข้มแข็งแกล้วกล้าสามารถทุกอย่าง ทั้งยังเป็นผู้อบรมสั่งสอนและบรรยายธรรมให้บุคคลทั่วไปเข้าใจทราบซึ้งในธรรมได้อย่างดีเลิศ พื้นเพเดิมท่านเป็นชาวอำเภอมีนบุรี กรุงเทพมหานคร เกิดเมื่อวันอาทิตย์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2437 เวลา 11.20 นาฬิกา ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 4 ปีมะเมีย ครอบครัวมีฐานะค่อนข้างยากจน พ่อแม่เป็นชาวสวน ซึ่งต่อมาครอบครัวได้ย้ายถิ่นฐานไปอยู่แถวบางปะกอก อำเภอราษฎร์บูรณะ ฝั่งธนบุรี
ในวัยเด็กท่านได้รับการศึกษาพออ่านออกเขียนได้ ตามอัตภาพของสตรีเพศในสมัยก่อน แต่ได้รับการฝึกอบรมเกี่ยวกับการบ้านการเรือนเป็นอย่างดี เมื่ออายุได้ 15 ปี ท่านได้รับตำราหมอนวดและการฝึกอบรมจากอาจารย์กลิ่น หมอนวดที่มีชื่อเสียงในสมัยนั้นซึ่งมีศักดิ์เป็นปู่ ท่านสนใจศึกษาจนแตกฉานจนกลายเป็นหมอนวดที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก โดยท่านไม่เคยคิดค่านวดค่ารักษาแม้ครั้งเดียว แต่จะให้ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้อาจารย์กลิ่นตลอด
ด้วยมีนิสัยฝักใฝ่ในทางธรรมมาแต่เด็ก ได้รับการสั่งสอนให้รู้จักธรรมะในพระพุทธองค์จาก “หลวงตาพริ้ง” ซึ่งบวชเป็นพระอยู่ที่วัดบางปะกอก ผู้มีศักดิ์เป็นลุง พระสายวิปัสสนากรรมฐานที่มีชื่อเสียงในสมัยนั้น จนทำให้คุณแม่บุญเรือนเกิดความเลื่อมใสศรัทธา ฝักใฝ่ในบุญกุศล หมั่นเพียรในทางธรรมตลอดมา
เมื่อมีอายุในวัยครองเรือน คุณแม่บุญเรือนได้สมรสกับสิบตำรวจโทจ้อย โตงบุญเติม แต่ไม่มีบุตรด้วยกัน ภายหลังจึงรับเด็กหญิงมาอุปการะเป็นบุตรบุญธรรมคนหนึ่ง ขณะเดียวกันคุณแม่บุญเรือน ก็ยังมีโอกาสได้ปฏิบัติและศึกษาธรรมมากขึ้น โดยมีท่านเจ้าคุณพระมหารัชชมังคลาจารย์ (เทศ นิทฺเทสโก) เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่ “พระรัชชมงคลมุนี” เจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์ (ในสมัยนั้น) เป็นพระอาจารย์สอนสมถะวิปัสสนากรรมฐานให้
ท่านเป็นผู้นำในการจัดตั้งคณะผู้ร่วมบุญในนาม “คณะสามัคคีวิสุทธิ” ซึ่งช่วยเหลืองานบุญงานกุศลต่างๆ ตลอดจน รักษาโรคภัยไข้เจ็บนานัปการด้วยอำนาจพระพุทธคุณแก่ทุกคนอย่างเต็มที่ ไม่เลือกชั้นวรรณะ ด้วยความเสียสละอันยิ่งใหญ่ และยึดถือหลักการบริจาคและการให้เป็นหลักสำคัญ ในที่สุดจนกระทั่งปี พ.ศ. 2470 ท่านก็เข้าสู่พระพุทธศาสนาอย่างเต็มตัวโดยการบวชชี โดยได้ลาสามีเพื่อมาบวชชีที่วัดสัมพันธวงศ์อยู่ระยะหนึ่ง แล้วลาสึกไป และเมื่อสามีถึงแก่กรรมแล้ว จึงมีศรัทธากลับมาบวชชีอีกในปี พ.ศ. 2482
ด้านอุปนิสัยนั้น ผู้ที่รู้จักคุณแม่บุญเรือนดีตั้งแต่อายุท่านยังน้อยอยู่ คงพอจะทราบได้ดีว่า ท่านเป็นผู้ที่เพียบพร้อมด้วยมารยาท คุณธรรมอันสูงส่ง มีอุปนิสัยเปี่ยมด้วยความเมตตากรุณาปรานีแก่บุคคลที่รู้จักพบเห็นทุกคน แต่ทว่าท่านเป็นคนที่ค่อนข้าง “ดุเดือด โผงผาง และมีวาจาไม่อ้อมค้อมแบบขวานผ่าซาก” อยู่บ้าง พูดเสียงดัง กังวาล เด็ดขาด และจริงจัง หรือนัยหนึ่งก็คือพูดจริงทำจริงตลอดเวลา
งานบุญตามคติแห่งพระพุทธศาสนา ซึ่งประกอบด้วยการทำทาน ถือศีล การภาวนา สวดมนต์ ฟังธรรม และปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนั้น คุณแม่บุญเรือน รัก ศรัทธา เลื่อมใส ปฏิบัติมาตั้งแต่อายุเริ่มวัยกลางคน ขณะยังครองชีวิตร่วมกับสิบตำรวจโทจ้อย ทีเดียว งานทำทานไม่ว่าจะเป็นทานต่อบุคคลธรรมดาทั่วไป หรือการถวายของแด่พระภิกษุสงฆ์ รวมทั้งการถวายอาหาร เครื่องดื่ม เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค ได้เพียรบำเพ็ญตลอดมาไม่ขาดสาย ท่านเป็นผู้รักการบำเพ็ญทานการกุศลตั้งแต่อายุน้อย ตลอดมาจนเติบใหญ่ และจนตลอดชีวิตของท่าน
คุณแม่บุญเรือน เคารพศรัทธาเลื่อมใสในคำสั่งสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างจริงจัง และเคร่งครัดตลอดเวลา ท่านฝึกจิตใจและความรู้สึกให้เป็นผู้ที่เต็มไปด้วยการเสียสละ ไม่นิยมการสั่งสม โปรดการให้เป็นหัวใจสำคัญ ตัดความรู้สึกด้านโกรธ รัก โลภ และหลง โดยสิ้นเชิง นับได้ว่าเป็นชาวพุทธที่สำคัญยิ่งผู้หนึ่ง ซึ่งยากจะหาผู้อื่นที่บำเพ็ญตนให้เท่าเทียมได้
การถือศีล คุณแม่บุญเรือนเคร่งครัดในศีล 5 วันธรรมสวนะยึดมั่นในศีล 8 แต่ชีวิตตอนหลังส่วนใหญ่ท่านถือศีล 5 เป็นประจำ การภาวนาอันประกอบด้วยสวดมนต์ ฟังธรรม และทำวิปัสสนากัมมัฏฐาน ฝึกจิตให้สะอาดปราศจากมลทิน มีสมาธิแน่วแน่ เกิดปัญญาแจ่มแจ้งในธรรมอันวิเศษของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ได้เพียรบำเพ็ญปฏิบัติโดยสม่ำเสมอจนตลอดชีวิตของท่าน
ความเพียรในการฝึกจิตและเรียนรู้ทางธรรมของคุณแม่บุญเรือน ปรากฏเรื่องราวอันเป็นอิทธิปาฏิหาริย์ ที่จะสำเร็จได้ก็ด้วยอำนาจสมาธิซึ่งเป็น “พลังจิต” อันมหัศจรรย์ จึงมีเรื่องเล่ามากมายจากคนเก่าแก่ และผู้ประสบเหตุเรื่องราวพิศวง อันเกิดจากอำนาจทิพย์ของอุบาสิกาท่านนี้
คุณแม่บุญเรือนบรรลุธรรม
คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เคยเล่าถึงเหตุการณ์ตอนที่ท่านจะบรรลุธรรมไว้กับพระรูปหนึ่ง (หลวงตาสุวรรณ) อันมีนัยยะอันสำคัญตอนหนึ่งว่า
“ตั้งใจจะขอปฎิบัติธรรมให้สำเร็จอยู่ที่ศาลาวัดสัมพันธวงศ์ เป็นเวลา 90 วัน โดยถือศีล 8 บวชเป็นชี นั่งสวดมนต์ภาวนา เจริญวิปัสสนาตามแนวทางของท่านเจ้าคุณพระมหารัชชมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์ในเวลานั้น การปฏิบัติธรรมดำเนินไปจนล่วงเข้าวันที่ 89 ก็ยังไม่สำเร็จธรรมหรือเห็นธรรมแต่ประการใด จึงคิดท้อใจกลับบ้านที่บ้านพักตำรวจปทุมวัน
ได้พบกับสิบตำรวจโทจ้อย ผู้เป็นสามี ซึ่งได้ทักมาว่า “กลับมาแล้วหรือ ? เมื่อกลับมาแล้วก็อยู่บ้านเถิด...” คุณแม่บุญเรือนจึงว่า “เมื่อจะให้อยู่บ้าน ก็ขอให้โยมจ้อยถือศีล 8 เลิกยุ่งเกี่ยวฉันสามีภรรยาจะได้ไหม ?” สิบตำรวจโทจ้อยก็รับคำ
จากนั้นสิบตำรวจโทจ้อย ก็ขอตัวออกไปปฏิบัติหน้าที่ราชการ ที่บ้านคงเหลือแต่โยมมารดาของคุณแม่บุญเรือน และหลานๆ 2-3 คน คุณแม่บุญเรือนจึงอาบน้ำ นุ่งขาวห่มขาว เตรียมตัวไหว้พระสวดมนต์ ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณ 21.00 นาฬิกา เดือน 6 ขึ้น 14 ค่ำ พ.ศ. 2470
จากนั้น คุณแม่บุญเรือนก็ได้แลเห็นโยมมารดาและหลานๆ นอนหลับกันหมดแล้ว โยมมารดานั้นมีอาการกรน ส่วนหลานๆ ก็มีอาการละเมอบ่นพึมพำ และกัดฟันกรอดๆ รู้สึกเกิดธรรมสังเวชเบื่อหน่ายต่อสภาพอย่างนั้นขึ้นมาในขณะนั้นทีเดียวว่า “เออ.....สังขารร่างกายนี้ ถึงแม้จะหลับใหลไปแล้ว แต่ก็ยังมีเวทนาผุดซ้อนขึ้นมาอีกนะนี่...”
ท่านจึงคิดอยากหลีกหนีเสียชั่วคราว ครั้นแล้วคุณแม่บุญเรือน ก็ได้นั่งสมาธิกรรมฐานในห้องพระ จนกระทั่งถึงเวลาประมาณตี 2 ก็มีอาการแน่นหน้าอก อึดอัด หายใจไม่ออก คล้ายกำลังจะตาย จึงตั้งสติว่า “ถ้าจะตายก็ขอให้ตายในตอนนี้เถิด จะได้หมดเวรหมดกรรม ธรรมก็ยังไม่ได้บรรลุเลย” น่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก เมื่อคุณแม่บุญเรือนคิดดังนี้เท่านั้น อาการทุกขเวทนาทั้งปวงก็พลันหายไปสิ้น บังเกิดความสว่างขึ้นมาทั้งตัว มีความใสสว่างอย่างสุดที่จะประมาณ รู้ชัดว่าตนเองบรรลุอภิญญาถึง 5 อย่าง มีพระธรรมเข้าประทับ เมื่อนึกอยากรู้อยากเห็นอะไร ก็รู้แจ้งแทงตลอดสว่างไสวไปหมด และยังได้อิทธิปาฏิหาริย์อีกด้วย !”
ล่องหนหายตัว
จากนั้น เมื่อคุณแม่บุญเรือนบรรลุธรรมแล้ว ก็ได้นั่งกรรมฐานต่อไปอีก จนกระทั่งเวลาใกล้ตี 5 รุ่งเช้า ได้คิดถึงวัดสัมพันธวงศ์ จึงตั้งจิตอธิษฐานขอให้เข้าไปนั่งในศาลาวัดสัมพันธวงศ์ ซึ่งศาลานี้เป็นที่อยู่ของแม่ชีนักปฏิบัติธรรม คุณแม่เองก็เคยอาศัยบำเพ็ญธรรมที่ศาลานี้
พอสิ้นอธิษฐาน แล้วหลับตาลง ก็คล้ายกับหัวได้หกกลับไปเบื้องหน้า คล้ายกับตีลังกา เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก็ปรากฏว่าตัวเองได้เข้ามานั่งอยู่ในศาลาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่ทราบว่าเข้าศาลามาทางไหน และที่บ้านพักตำรวจกับศาลาวัดสัมพันธวงศ์ก็ไกลกันพอสมควร ขณะนั้น ประตูศาลาวัดยังคงปิดใส่กุญแจอยู่ คุณแม่บุญเรือนจึงได้ร้องเรียกให้พระภิกษุสามเณรซึ่งอยู่ในบริเวณนั้น ช่วยไขกุญแจเปิดประตูให้ที
การล่องหนหายตัวจากสถานที่หนึ่งไปยังสถานที่อีกแห่งหนึ่ง เป็นผลจากการปฏิบัติทางจิตจนได้ “อภิญญา” เมื่อเรื่องที่คุณแม่บุญเรือนหายตัวมาปรากฏอยู่ในศาลาวัด แพร่หลายออกไป ก็มีพระเณรเถรชี อุบาสกอุบาสิกาต่างก็มารุมล้อม โจษจันกันเซ็งแซ่ด้วยความตื่นเต้นอัศจรรย์ใจอย่างเหลือที่จะกล่าวได้ไปตามๆ กัน จนความนี้ได้ทราบถึง ท่านเจ้าคุณพระมหารัชชมังคลาจารย์ (เทศ นิทฺเทสโก) เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่ “พระรัชชมงคลมุนี” เจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์ (ในสมัยนั้น) พระอาจารย์ผู้สอนกรรมฐานให้คุณแม่บุญเรือนเอง
ท่านจึงให้เชิญคุณแม่บุญเรือนไปสอบถาม และขอให้คุณแม่บุญเรือนแสดงปาฏิหาริย์หายตัวเข้ามาอยู่ในศาลาวัดให้เป็นที่แจ้งประจักษ์อีกครั้ง ซึ่งคุณแม่บุญเรือนก็ตอบรับ ขอทดลองดูอีกครั้งในเวลาใกล้รุ่งของอีกวัน
คืนนั้นตรงกับวันแรม 1 ค่ำ เดือน 6 แม่ชีฟัก เพื่อนปฏิบัติธรรม พักอยู่เป็นประจำที่ศาลานี้ ให้แม่ชีผู้อยู่ศาลาอีก 3 คนดูแลปิดประตูหน้าต่างลงกลอนให้เรียบร้อยอย่างแน่นหนา และดูให้รู้เห็นเป็นพยานด้วย คืนนั้นปรากฏว่าที่วัดสัมพันธวงศ์ก็เกิดการโกลาหลอลหม่านคึกคักตื่นเต้นกันน่าดู มีการจัดยามเฝ้าที่ประตูวัดทุกๆ ด้าน ถึงประตูละสองคน และมีการเดินสำรวจรอบศาลาวัดกันให้ขวักไขว่ทั้งคืน ชนิดมดแมงสักตัวเดินผ่านมา ก็ยากจะรอดพ้นสายตาไปได้
ส่วนที่บ้านพักตำรวจปทุมวัน คุณแม่บุญเรือนได้เข้าไปเจริญพระกรรมฐานตั้งแต่หัวค่ำ จนใกล้รุ่ง จึงอธิษฐานให้หายวับจากบ้านพัก เข้าไปปรากฏตัวในศาลาวัดสัมพันธวงศ์ได้เช่นเดียวกับคราวก่อน แต่คราวนี้ไม่มีลีลาอาการหกคว่ำคะมำหงายเหมือนคราวแรก นั่นคือพออธิษฐานเสร็จแล้วหลับตาลง พอลืมตาปั๊บ ตัวของคุณแม่บุญเรือนก็มานั่งเรียบร้อยอยู่ในศาลาทันที
เมื่อคุณแม่บุญเรือนปาฏิหาริย์มานั่งในศาลาเสร็จ สิ่งแรกที่หูได้ผัสสะกับเสียงที่มากระทบก็คือ เสียงอุบาสิกาคุยกันว่า “จะแจ้ง (สว่าง) แล้ว น่ากลัวไม่มาแล้วมั๊ง ?” ส่วนอีกรายก็ว่า “ไม่มาก็ดี...ถ้ามา...ฉันจะต้องไปเป็นลูกศิษย์ขอเรียนวิชากับเขาอีก !?”
เมื่อได้ฟังคำกล่าวเช่นนั้น คุณแม่บุญเรือนจึงร้องออกไปในทันใดว่า “เอ้า..! ใครอยากจะเป็นลูกศิษย์ฉัน...เชิญทางนี้...ฉันมาแล้ว !”
พวกที่คอยอยู่ก็แปลกใจ และแน่ใจว่าหายตัวผ่านเข้ามาได้จริงๆ และมองเห็นผลสำเร็จทางสมาธิที่มีแก่ผู้ปฏิบัติด้วยวิริยอุตสาหะ ต่อมาคุณแม่บุญเรือน ท่านได้อธิษฐานหายตัวจากศาลาไปเขาวงพระจันทร์ ท่านได้พบพระผู้วิเศษที่นั่น และได้รับพระธาตุ 1 องค์จากพระองค์นั้น กลับมาพระธาตุยังกำอยู่ในมือ เป็นพยานแก่ตัวท่านเองว่ามิได้ฝันไป
ทิพยโสตญาณ (หูทิพย์)
อภิญญาในด้านหูทิพย์ของคุณแม่บุญเรือนนี้ มีบันทึกของคุณหญิงเงียบ บุนนาค เขียนไว้ว่า ครั้งหนึ่งคุณแม่บุญเรือน ไปรักษาโรคขาบวมให้น้องสาวคุณหญิงเงียบ บุนนาค ข้างวัดอนงคาราม ธนบุรี ตอนขากลับ น้องสาวคุณหญิงเงียบมอบค่ารถให้ 20 บาท คืนวันนั้นสามีของน้องสาวคุณหญิงกลับบ้าน ทราบว่าภรรยาจ่ายเงินค่ารถให้คุณแม่บุญเรือน 20 บาท (สมัยเงินแพง) เขาเอะอะว่า คุณแม่บุญเรือนเป็นหมอไม่จริง หลอกเอาสตางค์
พอรุ่งเช้า 6 โมงเศษ คุณแม่บุญเรือนไปถึงบ้านน้องสาวคุณหญิง ข้างวัดอนงค์ นำเงิน 20 บาท ไปคืนให้ บอกว่า “เป็นเงินของคุณผู้ชายเขา ดิฉันคืนให้ ดิฉันไม่โกรธคุณหรอก คุณต้องรับเงินนี้ไว้” นี่แสดงว่าคุณแม่บุญเรือนหูทิพย์ ได้ยินคำพูดของสามีน้องสาวคุณหญิงเงียบ พร้อมทั้งรู้วาระจิตของคนพูด ว่าหมายถึงตัวคุณแม่บุญเรือนที่ไปรักษาขาบวม คุณแม่จึงรีบนำเงินไปคืนให้ เพื่อรักษาน้ำใจของน้องสาวคุณหญิงและสามีมิให้ขุ่นข้องหมองใจ
คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ท่านเป็นผู้มีจิตอันเป็นกุศลอย่างยิ่ง นอกจากนั้นท่านยังใช้จิตอันมหัศจรรย์ของท่าน ในการอธิษฐานเพื่อช่วยคนในหลายรูปแบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการรักษาโรคภัยต่างๆ จนหายขาด ดังเรื่องราวที่มีผู้บันทึกไว้ในหนังสือ “คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม อนุสรณ์”
รักษาด้วยวาจาสิทธิ์
เป็นบันทึกของนายจำรัส สุขประเสริฐ อยู่ จ.อุดรธานี มีใจความว่า “อุบาสิกาบุญเรือน โตงบุญเติม เดินทางโดยขบวนรถไฟด่วนถึง จ.อุดรธานี เมื่อวันที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2496 เวลา 07.15 น. ก่อนหน้ารถไฟด่วนจะเทียบเข้าชานสถานีประมาณ 20 นาที ได้มีหมอกลงที่สถานีรถไฟและบริเวณตัวเมืองอุดรธานีหนามืดไปหมด อยู่ห่างกันประมาณ 10 วา ยังแลไม่เห็นกันเลย รถยนต์วิ่งตามถนนต้องเปิดไฟ หมอกหนามืดเช่นนี้ไม่เคยมีมาก่อนเลย พอรถไฟถึงสถานีประมาณ 10 นาที หมอกก็ค่อยๆ จากหายไป ชาวอุดรธานีต่างพิศวงงงงวย ต่างโจษจันกันต่างๆ นานา เมื่ออุบาสิกาบุญเรือน ลงรถไฟแล้ว มีผู้คนไปรับเป็นจำนวนมาก
อุบาสิกาบุญเรือนได้พักที่บ้านผม ค่ำของวันนี้ได้มีผู้มาหาเป็นจำนวนมาก นายครรชิต สกลคลัง พนักงานธนาคารกสิกรไทยได้มาหา และบอกกับอุบาสิกาบุญเรือนว่า ตัวเขาป่วยเป็นโรคปวดท้องมาเป็นเวลานาน เวลานี้ก็ยังปวดอยู่ได้รักษาตัวหมดเงินมากมายแล้ว อุบาสิกาบุญเรือนได้ฟังจึงสั่งในขณะนั้นว่า “อย่าปวด ให้หายปวดเดี๋ยวนี้” แล้วอุบาสิกาบุญเรือนก็ถามนายครรชิตว่า “หายปวดหรือยัง ?” นายครรชิตตอบว่า “หายปวดแล้ว” อุบาสิกาบุญเรือนจึงสั่งว่า “คืนวันนี้อย่าปวด” (เพราะนายครรชิตบอกว่ากลางคืนปวดแทบไม่ได้นอนทุกคืน)
ครั้นรุ่งเช้า นายครรชิตมาบอกอุบาสิกาบุญเรือนว่า เมื่อคืนนี้ไม่ปวดเลย นอนได้สบายตลอดคืน และในระหว่างที่อุบาสิกาบุญเรือนพักอยู่ที่ จ.อุดรธานี นี้ ตอนเช้าอุบาสิกาบุญเรือนได้ไปอธิษฐานจิต ให้พลังจิตแก่ประชาชนที่วัดโพธิสมภรณ์ทุกวัน มีประชาชนนำน้ำ ปูน ไพล พริกไทย สาคู มาให้อุบาสิกาบุญเรือนอธิษฐานจิตอย่างคับคั่งทุกวัน
มีคนหลังโกงคนหนึ่ง เวลาเดินต้องใช้ไม้เท้าค้ำได้มาหาอุบาสิกาบุญเรือนขอให้รักษา อุบาสิกาบุญเรือนได้ออกคำสั่งต่อหน้าประชาชนจำนวนมากว่า “ให้ทิ้งไม้เท้า !” ชายหลังโกงคนนั้นก็ขว้างไม้เท้าทิ้ง อุบาสิกาบุญเรือนจึงสั่งต่อไปให้ยืนตรงๆ ชายหลังโกงก็ค่อยๆ ยืดตัวและยืนตัวตรงได้ แล้วอุบาสิกาบุญเรือนก็สั่งให้ออกเดินและวิ่ง ชายคนนั้นก็วิ่งได้ เลยหายเป็นปรกติ เดินกลับบ้านได้เช่นคนดีๆ นับเป็นเรื่องอัศจรรย์”
นิ่วในถุงน้ำดี
ม.ร.ว.ไกรเทพ เทวกุล บันทึกไว้ว่า เมื่อปี พ.ศ. 2494 ข้าพเจ้าป่วยมีอาการแน่นจุกเสียดทุกเดือน บางที 2 ถึง 3 เดือนต่อครั้ง ครั้นถึงเดือนเมษายน พ.ศ. 2495 รู้สึกว่าอาการเช่นนี้มีมากขึ้นจนทนแทบไม่ได้ เช่นหายใจไม่ออก ข้าพเจ้าจึงได้ไปปรึกษาแพทย์ปริญญาที่ข้างบ้าน นายแพทย์ผู้นั้นได้ฉีดยาและให้ยารับประทาน อาการก็ค่อยทุเลา ต่อมาจากนั้น 2 ถึง 3 วันก็เป็นอีก นายแพทย์ผู้นั้นแนะนำว่าควรไปเอกซเรย์ดู เพราะสงสัยในอาการนั้นคงเนื่องมาจากถุงน้ำดีอักเสบ ข้าพเจ้าก็ปฏิบัติตาม ปรากฏตามฟิล์มเอกซเรย์โดยนายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแผนกนี้ ลงความเห็นว่าเป็นนิ่วในถุงน้ำดี แนะนำให้ทำการผ่าตัดทันที
ข้าพเจ้าได้มาปรึกษาคุณป้าบุญเรือนถึงอาการเจ็บป่วย คุณป้าได้เอ็ดข้าพเจ้ามากมายว่า ทำไมไม่มาปรึกษาฉันตั้งแต่แรก ถ้าอยากตายก็เชิญไปผ่าได้ คุณป้าจึงให้ข้าพเจ้ารับประทานไพล และน้ำอธิษฐาน กับทั้งได้ให้ปูนอธิษฐานไปทาตามบริเวณหน้าอกและท้อง เว้นวันสองวัน ท่านก็นวดให้ข้าพเจ้าหนหนึ่ง ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติตามโดยเคร่งครัด อาการก็ค่อยทุเลาและหายภายในเดือนนั้นเอง
คุณป้าบุญเรือนให้ไปฉายเอกซเรย์ดูใหม่ ข้าพเจ้าก็ปฏิบัติตาม กับได้นำฟิล์มทั้งเก่าและใหม่มาเทียบกันดู ปรากฏว่าในแผ่นแรกมีวงกลมสีขาวประมาณเท่าเหรียญสองสลึง ส่วนในแผ่นเอกซเรย์ทีหลังไม่มี นายแพทย์บอกว่าในบริเวณถุงน้ำดีไม่มีก้อนนิ่วแล้ว
ยาวิเศษ
พลตรียุทธ สมบูรณ์ บันทึกไว้ว่า บางท่านที่มาทำความรู้จักกับคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม มักจะเรียกท่านว่า คุณแม่หมอ คุณยายหมอ หรือคำอื่นๆ ลงท้ายว่า “หมอ” แต่คุณแม่บุญเรือนไม่เคยรับหรืออวดอ้างว่าท่านเป็นหมอแม้แต่ครั้งเดียว อย่างไรก็ดีชื่อเสียงของคุณแม่บุญเรือนก็หอมไปทั่วประเทศไทยในฐานะผู้วิเศษ ก็เพราะท่านอธิษฐานวัตถุสิ่งของต่างๆ ให้เป็นยารักษาโรคได้อย่างน่าอัศจรรย์ที่สุด
คุณหมอปรีดา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระประแดง ทำยาผงแก้โรคผิวหนังออกจำหน่ายด้วยตัวยาที่คุณแม่บุญเรือนเป็นผู้บอกให้ ตัวยาเหล่านี้ล้วนแต่เป็นชื่อภาษาอังกฤษ ไม่ทราบว่าคุณแม่บุญเรือนไปทราบมาได้อย่างไร เพราะการศึกษาของคุณแม่ก็เพียงอ่านออกเขียนได้ นอกจากนั้นคุณหมอปรีดายังได้ตำรายาอีกอย่างหนึ่งคือ น้ำมันโพธิ์งาม ซึ่งคุณหมอปรีดาได้ผสมขาย ผมสีขาวใส่น้ำมันแล้วกลายเป็นสีเทาและเข้มขึ้นทุกที
ยาขนานที่ 3 คือ ยาสีฟันวิเศษนิยมของโรงงานวิเศษนิยม ซึ่งเป็นยาสีฟันที่ทำรายได้อย่างดีตลอดมา...ยาสีฟันวิเศษนิยมนี้ “คุณแม่บุญเรือนก็เป็นผู้บอกตัวยาให้”
การสร้างวัตถุมงคล
ในวงการผู้นิยมสะสมพระเครื่องและเครื่องรางของขลัง คนส่วนใหญ่มักจะสนใจประวัติการสร้างวัตถุมงคลของพระเกจิรูปต่างๆ ขณะเดียวกัน ประวัติของฆราวาสจอมขมังเวทย์ก็เป็นที่สนใจอยู่ไม่น้อย แต่ถ้าพูดถึงการสร้างวัตถุมงคลของอุบาสิกาหรือแม่ชีนั้น คนวงการพระบางคนอาจะรู้จักบ้าง ส่วนคนนอกวงการพระอาจจะเกิดคำถามว่า “มีด้วยหรือ ?”
วัตถุมงคลที่คุณแม่บุญเรือนอธิษฐานจิตมอบให้ลูกศิษย์ คือ ปฐวีธาตุหรือศิลาน้ำ (หินหรือกรวดใต้น้ำ) เพราะเชื่อว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ มีสรรพคุณครอบจักรวาล มีอานุภาพกันภัย รักษาโรคภัย ตลอดจนคุ้มครองรักษาผู้มีติดตัวไป ลูกศิษย์มักนิยมนำมาใส่ในภาชนะที่ตั้งน้ำอธิษฐานประจำวันเสาร์ และภาพถ่าย ซึ่งเป็นที่แสวงหาของคนวงการพระยิ่งนัก นอกจากนี้แล้ว หนังสืออนุสรณ์ในงานบำเพ็ญกุศลฌาปนกิจศพคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม ก็เป็นที่แสวงหาเช่นกัน ส่วน “พระพุทโธน้อย” เป็นพระเครื่องขนาดเล็กที่ท่านสร้างขึ้นและอธิษฐานจิตให้ไว้แก่วัดอาวุธวิกสิตาราม ตำบลบางพลัดนอก ฝั่งธนบุรี เมื่อปี พ.ศ. 2496 เป็นพระพิมพ์แบบครึ่งซีก กรอบทรงสามเหลี่ยม ด้านหน้า องค์พระประทับนั่ง แสดงปางมารวิชัย เหนือฐานบัวสองชั้น พระเกศเป็นมุ่นเมาลี พระนาสิกเป็นสันนูน พระเนตรเป็นเม็ดกลมนูน และพระหัตถ์ซ้ายถือหม้อน้ำมนต์ ส่วนด้านหลังมีอักขระขอมจารึกเป็นเส้นลึกอ่านว่า “พุทโธ”
คุณหลวงแจ่มวิชาสอน กล่าวถึงคุณแม่บุญเรือนว่า “เป็นผู้ปฏิบัติธรรมสำเร็จในอิทธิฤทธิ์บางอย่าง” ท่านเรียกคุณแม่บุญเรือนว่า “แม่หมอ” และได้บันทึกเหตุการณ์ที่ได้พบเห็นด้วยตนเองไว้ ดังนี้
เมื่อเดือนมีนาคม ๘๙ คุณพี่ปลื้ม วิจิตรภัตราภรณ์ เจ้าของห้างวิวิธภูษาคาร ได้ชวนข้าพเจ้าและแม่หมอบุญเรือนไปดูสวนส้มที่จังหวัดจันทบุรีโดยรถยนต์ สวนอยู่ห่างตัวจังหวัดสิบสองกิโลเมตร ตอนกลับจากสวนขณะที่รถกำลังติดไฟ แม่หมอบุญเรือนออกเดินไปก่อน ข้าพเจ้าออกเดินตามไปภายหลังห่างกันประมาณหนึ่งเส้น ข้าพเจ้าเดินมาถึงที่เลี้ยวก็มองไม่เห็นตัวแม่บุญเรือนแล้ว เร่งฝีเท้าเดินตามไปอีกสองสามเลี้ยวก็มองไม่เห็น
ข้าพเจ้าก็เลยหยุดคอยรถเพราะรู้สึกเมื่อย สักครู่หนึ่งรถก็ตามมาทัน ข้าพเจ้าจึงกลับขึ้นรถ ประมาณเวลานับแต่ออกเดินจนรถมาทันนั้นราวสิบห้านาที เมื่อขึ้นรถแล้ว รถแล่นมาอย่างเร็วเพราะเป็นทางลงจากเขา รถแล่นมาเป็นหลายเลี้ยวจนถึงศาลาพักร้อน ซึ่งอยู่กึ่งกลางทางระหว่างจังหวัดกับสวน ก็ไม่เห็นแม่หมอบุญเรือนคอยอยู่
รถหยุดที่ศาลา เติมน้ำหน้าหม้ออยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นแล่นย่อไปจนพ้นเขตเขาทุ่งก็ยังไม่พบแม่หมอบุญเรือน ผู้อยู่ในรถต่างรู้สึกเอะใจ เพราะตามปกติธรรมดาคนเราจะเดินเร็วเช่นนี้ไม่ได้ รถคงจะแล่นผ่านมาเสียแล้ว ขณะที่พวกเราคิดจะให้รถหยุดรอ ก็พอดีเห็นแม่หมอบุญเรือนเดินเนิบๆ อยู่ข้างหน้า เมื่อขึ้นมาบนรถ สังเกตดูไม่เห็นกิริยาแสดงว่าเหน็ดเหนื่อยหรืออิดโรย
การที่คุณแม่บุญเรือนเดินไกลถึงแปดกิโลเมตร ในเวลาเพียงครึ่งชั่วโมงแถมไม่เหน็ดเหนื่อยเสียด้วย คุณว่าเป็นเพราะอะไร ?
กิตติศัพท์เรื่องคุณแม่บุญเรือนมีฤทธิ์ย่นระยะทางเดินได้ พวกศิษย์รู้กันดี แต่สำหรับผู้ไม่เคยเห็นด้วยตาตนเองได้พยายามทดสอบอย่างเงียบๆ กันเสมอ คุณเลื่อน ประสานอักษรพรรณ เป็นผู้หนึ่งที่กระทำดังกล่าว
วันหนึ่ง คุณแม่บุญเรือนไปแวะที่บ้านคุณเลื่อน ตรงสี่แยกอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ วันนั้นคุณแม่บุญเรือนตั้งปณิธานว่าจะเดิน ไม่ขึ้นรถ ตั้งแต่ออกจากบ้านที่พระโขนง ในตอนจะลาจากคุณเลื่อนไปยังสถานที่ต่อไป คือบ้านคุณเขียม วรรณยิ่ง ตรอกสารพัดช่าง บางขุนพรหม คุณแม่บุญเรือนก็เดินอีก คุณเลื่อนพอรู้ว่าคุณแม่บุญเรือนกำลังจะเดิน ก็รีบติดตามไปทันทีโดยไม่ให้รู้ตัว
“ครั้งแรกที่ตามออกมายังไม่เห็น” คุณเลื่อนเล่า “จึงได้แวะเข้าไปในบ้านจ่านายสิบสุข ซึ่งอยู่ใกล้ สามารถมองถนนได้ถนัด ถามจ่านายสิบสุขได้ความว่า แม่หมอบุญเรือนกำลังเดินไปทางอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ พร้อมกับชี้บอก ดิฉันมองตามมือเขาชี้ แลเห็นแม่หมอบุญเรือนกำลังเดินข้ามถนนลานอนุสาวรีย์ฯ บ่ายหน้าไปทางเสนารักษ์ พญาไท ตอนที่จะเข้าสู่ถนนตรงไปทางเสนารักษ์ พญาไทนั่นเอง แม่หมอบุญเรือนเหลียวหน้ามาทางดิฉัน แล้วทำท่าเหมือนกับจะรีบวิ่งหนีรถ หายไปตรงนั้นเอง”
ตอนนี้คุณเลื่อนเข้าใจว่า ถนนทางนั้นมีทางเลี้ยวจึงไม่ได้ติดตามไปดูต่อ คงหยุดคุยกับจ่านายสิบสุขเสียครู่หนึ่ง ภายหลังได้เดินออกไปตรวจสถานที่ ปรากฏว่าตรงที่คุณแม่บุญเรือนหายวับไปกับตานั้น หาได้มีทางเลี้ยวแต่อย่างใดไม่ ผู้คนที่เดินอยู่จะไม่มีโอกาสลับสายตาจากผู้ที่จ้องดูไปได้เป็นอันขาด คุณเลื่อนได้สอบถามผู้ที่อยู่ด้วยกันว่าเห็นอย่างเดียวกับตนหรือไม่ ผู้ที่อยู่กับคุณเลื่อนตอบว่า เห็นหายไปทางต้นสน
“ความจริงหากมีใครเดินเลยต้นสนไป เราก็ยังจะสามารถมองเห็นเขาได้ต่อไปอีก แต่แม่หมอบุญเรือนหายวับไปเลย !”
ขณะที่ฝ่ายติดตามดูพฤติการณ์มีสี่นัยน์ตาด้วยกันจ้องจับอยู่นั้น เห็นเวลากลางวันแสกๆ ราวสักสิบสี่นาฬิกาเศษๆ แดดเปรี้ยงมิได้มีเมฆหมอกมืดแม้แต่น้อย
คุณเลื่อนได้สอบถามเวลาที่คุณแม่เรือนไปถึงที่หมายปลายทางจากคุณเขียน ได้เวลาแน่นอนว่าคุณแม่บุญเรือนใช้เวลาเดินจากสี่แยกชัยสมรภูมิ ผ่านวงเวียนพญาไท สวนจิตรลดา ออกสี่เสา ไปถึงบางขุนพรหม ระยะทางนับสิบกิโลเมตรด้วยเวลาเพียงไม่กี่นาที่
เร็วยิ่งกว่ารถประจำทางวิ่งเสียอีก
ผมเชื่อว่าคุณผู้อ่านคงจะเคยได้ยินกิตติศัพท์หลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด สามารถเดินบนน้ำได้มาแล้ว คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เคยไปแสดงอภินิหารเดินบนน้ำที่จังหวัดเชียงใหม่เป็นที่อัศจรรย์ ไม่มีใครเห็นตอนที่ท่านกำลังเดินหรอกครับ แต่เหตุการณ์จะเป็นอื่นไปไม่ได้ นอกจากท่านต้องเดินไปบนผิวน้ำ
เรื่องของเรื่องมีว่า เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๑ คุณแม่บุญเรือน ได้ขึ้นไปพักอยู่ที่บ้านคุณนายลิ้นจี่ ฤษาภิรมณ์ วัดเจดีย์หลวง หน้าบ้านคุณนายลิ้นจี่มีหนองน้ำ ห่างจากตลิ่งราวสองวา มีกอหญ้าแห้งลอยอยู่ คุณแม่บุญเรือนไปจับเต่ามาจากกอหญ้า และเอาเปลือกมะพร้าวไปวางไว้แทนอย่างเรียบร้อย
“ดิฉันเอาไม้ลองพาดดูก็ไม่ถึงกอหญ้า” คุณนายลิ้นจี่บอก “น้ำก็ยังกระเพื่อมอยู่ ได้พิจารณาดูตามเท้าและร่างกายคุณบุญเรือน ไม่เห็นมีเปียกมีเปื้อนที่ตรงไหน น้ำตอนนั้นลึก ถ้าจะลุยไปอย่างน้อยจะต้องเปียกขึ้นมาถึงเอวเชียวค่ะ”
“สังเกตดูที่กอหญ้า เห็นเหมือนกับรอยเท้าสองข้างเหยียบกอหญ้านั้น กอหญ้าแห้งนี้สมมุติว่าคนจะไปยืนก็คงไม่ได้ เพราะหญ้าฟูลอยน้ำขึ้นมา ขนาดกอไม่ใหญ่พอจะทานน้ำหนักเด็กๆ ได้ เพียงแต่เอาก้อนอิฐขว้างไป หญ้าก็แยกกระจาย” คุณนายแดง ชัวย่งเสง คหบดีชาวเชียงใหม่ที่อยู่ในที่เดียวกัน อธิบายเพิ่มเติม
ถ้าจะคิดว่าอภินิหารเรื่องเดินบนน้ำยังเลือนลางไม่กระจ่างนัก ลองดูเรื่องฝนกับคุณแม่บุญเรือนกันหน่อยก็ยังได้
คุณนายบ๊วย ศิวพฤกษ์ บ้านเลขที่ ๒๕๓ ถนนดำรงรักษ์ ป้อมปราบ ป่วยมานาน เพื่อนผู้หนึ่งแนะนำให้มาหาคุณแม่บุญเรือนช่วยรักษาจนหาย คุณนายบ๊วยรู้สึกเป็นพระคุณ จึงถือโอกาสพาคุณแม่บุญเรือนไปพักผ่อนทัศนาจรภาคใต้
คุณนายบ๊วยเล่าถึงคุณแม่บุญเรือนเอาไว้ตอนหนึ่งดังนี้
“พวกเราเดินทางต่อไปชุมพรโดยรถไฟถึงสถานีชุมพรเวลาสองทุ่ม นางสาวปราณีและคุณสุดใจเพื่อนของบุตรสาวดิฉันได้มารับที่สถานี คุณปราณีบอกให้ดูเสื้อผ้ากล่าวว่า
“ดิฉันวิ่งมารับ ฝนตกถนนลื่นไปหมด จนหกล้มผ้าซิ่นเปื้อนไปแถบหนึ่ง”
พวกเราช่วยกันลำเลียงของลงจากรถไฟ คุณแม่บุญเรือนสะพายกระเป๋าใบหนึ่ง กับหิ้วกระเป๋าเสื่อบรรจุศิลากรวดกับหนังสือแดนมธุรสและใบตั้ง (เสก) น้ำอีกใบหนึ่ง ขบวนของเราออกเดินทางไปทางหลังสถานี โดยมีคุณสุดใจเป็นผู้นำทาง ดิฉันเดินตามหลังคุณแม่บุญเรือนไปติดๆ เพราะมืดมาก คุณสุดใจจะช่วยถือกระเป๋าเสื่อให้คุณแม่บุณเรือน แต่ท่านไม่ยอม บอกให้คุณสุดใจเดินนำไปที่รถ
ทางเดินตอนนั้นทั้งมืดทั้งแฉะ เลอะเทอะ คุณสุดใจเห็นว่าคุณแม่บุญเรือนมีอายุทั้งหิ้วของหนัก ส่งมือมาจะช่วยจูง คุณแม่ก็ปฏิเสธไม่ต้องจูงอีก พวกเราเดินไปถึงรถ ศูนย์ที่คุณปราณี คุณสุดใจจัดมาคอยรับ พอขึ้นนั่งรถเรียบร้อยแล้ว คุณแม่บุญเรือนถามว่า ใครเท้าเปื้อนบ้าง ทุกคนบอกว่าเปื้อนทั้งนั้น ของดิฉันไม่เปื้อนแต่ไม่บอกใคร
พอถึงบ้านใครๆ ก็เขาห้องน้ำล้างเท้ากัน แต่คุณแม่บุญเรือนกับดิฉันขึ้นบนบ้านเลยทีเดียว พอถึงบนเรือนมีแสงไฟเห็นชัด ดิฉันเห็นว่าดิฉันมีโคลนเปื้อนเล็กน้อย จึงกลับลงมาล้างเท้าใหม่ พบกับคุณลำไยซึ่งมีหน้าที่ในการปฏิบัติคุณแม่บุญเรือนในการเดินทางคราวนี้ กำลังจะยกรองเท้าคุณแม่บุญเรือนนำไปล้าง เขาร้องว่า รองเท้าคุณแม่ไม่เปื้อน ดิฉันตรวจดูรองเท้าที่คุณลำไยยกให้ดู ปรากฏว่าไม่เปื้อนจริงๆ เหมือนกับว่าท่านสวมเดินมาบนถนนแห้งๆ การที่ดิฉันไม่พลอยเปื้อนเหมือนกับคนอื่น เห็นจะเพราะเดินตามคุณแม่มาติดๆ เลยพลอยได้พึ่งบารมี ไม่เปื้อนเปรอะเหมือนคนอื่น”
คราวนี้ถึงเรื่องฝนตกไม่เปียก
คุณนวม ลิมพานิชการ เล่าด้วยความประหลาดใจว่า เพียงแต่ดิฉันนึกถึงคุณหมอบุญเรือนแล้วบูชาพระ ไม่ต้องออกปากเชิญ คุณหมอก็มาหาดิฉันเอง เป็นอย่างนี้ถึงสามครั้ง ครั้งหนึ่งคุณหมอได้ไปหาในเวลาฝนตกมาก คุณหมอจะกลับทั้งๆ ที่ฝนยังตกหนักอยู่ ดิฉันค้านก็ไม่ฟัง จึงต้องออกไปส่งที่ประตู ฝนตกหนักมาก มองดูตัวคุณหมอก็ไม่เห็นเปียก ตอนนั้นดิฉันก็ยังสงสัยอยู่ เพราะมองดูห่างไกล ไม่ค่อยจะเชื่อนัยน์ตาดิฉันแน่นัก
มาเมื่อแต่งงานหลานสาวดิฉันที่บ้านคุณควง อภัยวงศ์ เมื่อออกจากบ้านพี่สาว ดิฉันจะให้พ่อหนุ่มๆ ยกขันน้ำมนต์ไป คุณหมอบุญเรือนไม่ยอมให้ยก ท่านยกขันน้ำมนต์นั่งมาบนรถยนต์เอง ขันใหญ่มาก มีน้ำมนต์ค่อนขันขึ้นมาเกือบเต็ม คุณหมอยกตั้งแต่บ้านข้างวังกรมพระนครสวรรค์ (วังบางขุนพรหม) ไปจนถึงบ้านคุณควง อภัยวงศ์ ข้างสนามกีฬา น้ำไม่ได้กระฉอกหกเลยแม้แต่น้อย ท่านประคองขันชูมาตลอดเวลาไม่ได้วางบนตักเลย
เมื่อไปถึงบ้านคุณควง รดน้ำบ่าวสาวแล้วกลับมาขึ้นรถยนต์ จอดนอกบ้านไกลประมาณสองเส้น ฝนตกเม็ดใหญ่ๆ คุณหมอบุญเรือนก็ออกไปตามรถเองโดยไม่มีร่มกาง กลับเข้ามาก็เดินมาอีก คราวนี้ดิฉันได้พิสูจน์ตามร่างกายคุณหมอ ไม่มีเปียกฝนเลย !”
เรื่องฝนตกไม่เปียกร่างกายคุณเเม่บุญเรือน โตงบุญเติมนี้ เป็นไปหลายครั้งหลายหน ในขณะที่คนอื่นเปียกฝนกัน คุณแม่บุญเรือนร่างกายค่อนข้างร้อนผะผ่าว เสื้อผ้าแห้งสนิททีเดียว
คราวแต่งงานรดน้ำบ่าวสาวที่บ้านคุณควง อดีตนายกฯ ผู้น่ารักท่านนั้น มีนายทหารอากาศผู้หนึ่งท้าพนันเมื่อสังเกตดินฟ้าอากาศแล้วว่า “วันนั้นจะไม่ตก” คุณแม่บุญเรือนทำนายว่า “เวลารดน้ำ ฝนจะตก”
ไม่จำเป็นต้องบอก ก็คงทราบได้ว่าคุณแม่บุญเรือนชนะ
ต่อไปนี้เป็นคำบอกเล่าของนางธำรุโกศา (แปลก ปานคำ) ผู้ไปช่วยจับสายสิญจน์ หล่อพระพุทธรูปพระพุทโธใหญ่ ที่วัดสัมพันธวงศ์
“พอถูกใช้ให้จับสายสิญจน์ ดิฉันใช้ไม้ก้านร่มพันม้วนเป็นแกนสายสิญจน์เลย คุณนายบุญเรือนพูดว่า ทีนี้โปร่งละ พอจับสายสิญจน์สักประเดี๋ยวก็มีฝนตกลงมามาก พายุซัดฝนสาดมาเปียกดิฉัน คุณนายบุญเรือนออกมาเห็นเข้าก็บอกดิฉันให้กระเถิบหนีฝนเข้ามาข้างใน แต่ดิฉันไม่ยอมลุกหนีฝน คุณนายบุญเรือนจึงพูดว่า “ฝนอย่ามาเปียกแม่แปลกชี ! เขาจะจับสายสิญจน์ ไป ! ไป ! ไป !” พอว่าเท่านั้นลมพัดฝนไปทางอื่นไม่สาดดิฉัน และฝนก็เลยหายไป
ข้อความการบอกกล่าวของนางธำรุโกศา ได้พิมพ์ไว้ในประวัติพระพุทโธใหญ่ ซึ่งเมื่อสร้างสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ได้อัญเชิญไปประดิษฐานไว้ที่วัดสารนารถธรรมาราม จังหวัดระยอง
ผมมีโอกาสไปชมความงามของพระพุทธรูปที่ถวายนามว่า พระพุทโธใหญ่ มาแล้ว สวยงามมากครับ อยู่ในโบสถ์รูปร่างแปลก ที่มุมโบสถ์จำลองพุทธเจดีย์จากอินเดียมาก่อสร้างไว้ ภายในโบสถ์หลังใหญ่ปูด้วยหินอ่อน อากาศเย็นเฉียบทั้งๆ ที่ไม่ได้ใช้เครื่องปรับอากาศ
วัดสารนารถฯ เป็นวัดที่กำลังพัฒนา มีเนื้อที่กว้างขวาง นอกจากโบสถ์ที่น่าชมยังมีศาลารูปร่างแปลก ความจริงก็ก่ออิฐถือปูน แต่ทำให้ดูเหมือนกับใช้ซุงมาผ่าซีกทำบันได ฝาก็ทำเหมือนกับใช้ซุงผ่าประดับเหมือนกัน ขนาดของศาลาใหญ่โตมโหฬารทีเดียว
คุณสุจริต ถาวรสุข ผู้เขียนประวัติของคุณแม่บุญเรือน เล่าถึงตนเองกับคุณแม่บุญเรือนว่า
“ข้าพเจ้าได้ไปกราบทำความเคารพท่าน ท่านได้ถามถึงความประสงค์ที่มาหา ข้าพเจ้าก็เลยเล่าถึงความอยากมีโชคดีในการสอบเป็นผู้พิพากษาบ้าง (ข้าพเจ้าได้ผิดหวังในการสอบคัดเลือกเป็นผู้พิพากษาในตอนราวกลางปีนั้น) คุณแม่บุญเรือนบอกว่า เมื่อตั้งใจจริง ใฝ่การกุศลก็ต้องสอบได้ และบอกว่าคราวต่อไปก็สอบได้แล้วละ คำพูดประโยคนั้นซาบซึ้งความรู้สึกของข้าพเจ้าเป็นอันมาก ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าท่านอธิษฐานให้หรืออวยพรให้ หรือท่านมีญาณทราบโดยทางใดหรือไม่อย่างไร เพราะปรากฏว่าในระยะต่อมาอีกไม่เกินหกเดือน นับแต่หลังสอบคราวก่อนนั้น ข้าพเจ้าก็สอบเป็นผู้พิพากษาสำเร็จ ได้คะแนนอันดับดีเป็นที่สอง”
คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม บำเพ็ญเพียรฝึกใจในพระพุทธศาสนา จนบรรลุจตุตถฌานและอภิญญาหก สำเร็จครั้งแรกตั้งแต่บวชเป็นแม่ชีที่วัดสัมพันธวงศ์
ท่านผู้พิพากษาสุจริต ถาวรสุข บันทึกไว้ว่า
“ได้ผลเป็นอิทธิฤทธิ์อันเกิดจากการอธิษฐานเป็นครั้งแรก เมื่อราววันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๖ พ.ศ. ๒๔๗๐ ในวันนั้นคุณแม่บุญเรือนได้กลับไปอยู่ที่บ้านพัก สถานีตำรวจสัมพันธวงศ์ คืนนั้นเข้านอนไม่หลับจนดึก สามีแลบุตรบุญธรรมหลับ มีอาการกัดฟันและกรน รู้สึกเกิดธรรมสังเวชนึกเบื่อ จึงตั้งจิตอธิษฐานเข้าไปในศาลา รู้สึกว่าพอสิ้นคำอธิษฐาน ตัวคุณแม่บุญเรือนก็ไปปรากฏในศาลาดังคำอธิษฐาน ทั้งนี้โดยตัวท่านเองไม่ทราบว่าได้ออกจากห้องทางไหน และเข้าไปในศาลาทางไหน
ในครั้งนั้นเพื่อนแม่ชีไม่สู้เชื่อนัก จนต่อมาอุบาสิกาฟักขอให้อธิษฐานใหม่ และให้นางเล็ก, นางคำ, นางเทียม ซึ่งดูเหมือนเป็นเพื่อนแม่ชีดูเป็นพยาน ได้ใส่กลอนประตูหน้าต่างศาลาเสียในคืนแรม ๑ ค่ำ เดือน ๖ เวลาดึกสงัดปีเดียวกันนั้นเอง คุณแม่บุญเรือนก็ได้อธิษฐานจากสถานีตำรวจสัมพันธวงศ์เข้าไปในศาลาได้เช่นคราวก่อน พวกที่คอยดูก็แปลกใจไปตามๆ กัน
จนต่อมาคุณแม่บุญเรือนได้อธิษฐานไปเขาวงพระจันทร์ พบพระผู้วิเศษ ขอพระธาตุท่าน ท่านก็ให้มาหนึ่งองค์ และได้กลับมาตามคำอธิษฐานพร้อมด้วยพระธาตุ การสามารถทำปาฏิหาริย์ดังกล่าวที่ปรากฏขึ้นได้เป็นผลสำเร็จเป็นครั้งแรก ทำให้ท่านอธิษฐานเมื่อเข้าสมาธิผ่านที่ปิดล้อม หรือไปที่ใดไกลๆ ได้ในชั่วระยะเวลาลัดมือเดียวในเวลาต่อมา ขณะได้ฌานวิเศษนั้นท่านอายุประมาณสามสิบสามปี”
เกร็ดประวัติคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม
จากประวัติหลวงตาไสว สิวญาโณ
ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับคุณแม่บุญเรือน และท่านพุทธทาส
สู่ทางธรรม
แม่แดง-ครูคนแรก
“แม่แดง” คนนี้อยู่บ้านใกล้กับอาตมาที่จังหวัดเชียงใหม่ แกเป็นคนดี ธัมมะ ธัมโม และที่บ้านแม่แดงมักมีแม่ชีมาสอนด้วย ตัวแม่แดงเองก็สอนธรรมะพื้นๆ ได้เก่ง เช่น สอนว่าวิธีที่จะไม่โกรธแม่ยายจะทำยังไง ? จะต้องมีขันติ-อดทน เป็นต้น พออาตมากลับมาบ้านที่ลำปาง ก็เอาข้อธรรมที่แม่แดงสอนนั้นมาเขียนติดไว้ในบ้าน ตามประตู หน้าต่างเต็มไปหมด แต่แล้วขันติก็แตก ทนไม่ได้ อาตมาก็โกรธแม่ยายอีก จึงกลับไปเชียงใหม่เพื่อไปหาแม่แดงอีก แต่แม่แดงไม่อยู่ คนที่บ้านบอกว่า “แม่แดงไม่อยู่ ไปกับคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม (อุบาสิกาที่มีคนนับถือมากในขณะนั้น) ไปที่วัดเจดีย์หลวง” อาตมาจึงตามไป
คุณแม่บุญเรือน
คุณแม่บุญเรือนปกติอยู่กรุงเทพฯ แต่มีคนเชิญท่านมาที่เชียงใหม่ ตอนอาตมาได้พบคุณแม่บุญเรือนที่วัดเจดีย์หลวง จังหวัดเชียงใหม่นั้น ประมาณปี พ.ศ.๒๔๙๑ ขณะนั้นอาตมามีอายุราว ๔๔ ปี อาตมาได้เห็นการปฏิบัติของคุณแม่บุญเรือนแล้ว รู้สึกว่าท่านมีฤทธิ์ คือรู้ใจคน ทั้งสามารถแสดงปาฏิหาริย์ทำให้คนเดินกลางฝนได้โดยไม่เปียก หนังสือพิมพ์สมัยนั้นลงข่าวเกรียวกราวมาก
อาตมารู้สึกศรัทธาคุณแม่บุญเรือนมาก จึงไปสมัครเป็นลูกศิษย์ ต่อมาภรรยาเมื่อไปเชียงใหม่ก็ตามไปเรียนด้วย แรกๆ ภรรยาก็เรียนกับคุณแม่บุญเรือนด้วยเล็กๆ น้อยๆ จนต่อมาก็เป็นลูกศิษย์ที่คุณแม่บุญเรือนรักใคร่ สนิทสนมกันมาก
พระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
ขณะที่อยู่ที่เชียงใหม่ วันหนึ่งอาตมาได้ถามคุณแม่บุญเรือนว่า “พระที่มีปฏิปทาปฏิบัติชอบนั้นมีใครบ้าง ?” ท่านก็บอกว่า “มีหลวงปู่มั่น, เจ้าคุณอุบาลี และท่านอาจารย์พุทธทาส” ซึ่งอาตมาก็ฟังๆ ไปยังงั้นเอง เพราะไม่เคยเห็นไม่เคยรู้จักกับพระทั้งสามองค์ที่ออกนามมานี้ อีกอย่างหนึ่งอาตมาเองก็เคารพในคุณแม่บุญเรือนเป็นอาจารย์อยู่แล้ว อาตมาเป็นศิษย์ศึกษาธรรมกับคุณแม่บุญเรือนอยู่นานถึง ๑๒ ปี
สมาธิภาวนาแบบพองหนอ-ยุบหนอ
ขณะที่อาตมายังเป็นศิษย์ของคุณแม่บุญเรือนนั้น อาตมาก็ยังไปๆ มาๆ เชียงใหม่บ้าง ลำปางบ้าง ส่วนโรคปวดหัวและริดสีดวงทวารของอาตมาก็ยังไม่หาย แถมยังเริ่มเป็นโรคปอดเพิ่มขึ้นมาอีกอย่าง อาตมาจึงหันไปฝึกสมาธิภาวนาแบบพองหนอ-ยุบหนอ, ยืนหนอ-นั่งหนอ, มีการเดินจงกรมชั่วโมงหนึ่ง นั่งสมาธิหลับตาภาวนาชั่วโมงหนึ่ง ตอนนั้นเขาสอนทำตบะตัวแข็งเลย
อาตมาเรียนอยู่ถึง ๒ เดือน เอาจริงๆ เลย ! ผลที่ได้รับคือรู้สึกว่าตัวเบา มีปีติสูงมาก อยากให้คนอื่นได้รับเหมือนเราบ้าง ในขณะนั้นครูผู้สอนยังบอกอาตมาว่า “แค่นี้ยังไม่พอ ยังมีอีก” อาตมาก็เรียนได้ดีจนครูผู้สอนยกย่อง จะให้อาตมาเป็นครูช่วยสอนให้ผู้อื่นด้วย แต่อาตมาไม่เอา เรื่องอาตมาเรียนสมาธิภาวนาแบบพองหนอ-ยุบหนอ ที่เชียงใหม่นี้ มีคนฟ้องมายังคุณแม่บุญเรือนด้วยน่ะ
ชักชวนให้พี่สาวศรัทธาในคุณแม่บุญเรือน
ต่อมาเมื่อคุณแม่บุญเรือนได้ลงมากรุงเทพฯ อาตมาได้มีจดหมายบอกไปยังพี่สาวแกมแก้ว ซึ่งยังอยู่ที่บ้านบางขุนพรหม ที่กรุงเทพฯ ให้ไปหาคุณแม่บุญเรือนที่บ้านของท่าน ที่ถนนวิสุทธิ์กษัตริย์ เพราะบ้านอยู่ใกล้กันแค่นั้น โดยอาตมาไปเล่าเรื่องปาฏิหาริย์ของคุณแม่บุญเรือนที่เดินกลางสายฝนได้โดยไม่เปียกให้พี่สาวฟังด้วย พี่สาวอาตมาซึ่งเรียนจบวิทยาศาสตร์จากโรงเรียนราชินี พอฟังเรื่องที่อาตมาเล่าให้ฟัง ก็ว่า “น้องชายถ้าจะเสียสติเสียแล้ว” แต่ลงท้ายพี่สาวอาตมาก็ไปหาคุณแม่บุญเรือน
พอคุณแม่บุญเรือนพบพี่สาวอาตมา ก็พูดว่า “ฉันมีอะไรไม่ดีให้บอกฉัน” พี่สาวได้เล่าให้อาตมาฟังว่า ตัวเขาเองถึงกับสะดุ้งในตอนนั้น ต่อมาพี่สาวอาตมาก็ศรัทธาในคุณแม่บุญเรือนยิ่งกว่าอาตมาเสียอีก
วิธีสอนของคุณแม่บุญเรือน
วิธีสอนของคุณแม่บุญเรือน ค่อนข้างดุ รุนแรง ถึงขั้นลงไม้ลงมือเลยทีเดียว เช่นเมื่อราว พ.ศ.๒๕๐๐ ตอนนั้นอาตมามีอายุได้ราว ๕๓ ปีแล้ว เมื่ออาตมาได้เข้ามากรุงเทพฯ และได้แวะมากราบเยี่ยมคุณแม่บุญเรือนในฐานะอาจารย์ ท่านก็ถามเรื่องไปเรียนกัมมัฏฐาน เล่นตบะตัวแข็ง ว่าจริงหรือไม่ ? พออาตมารับว่าจริงเท่านั้นแหละ ท่านก็ลุกขึ้นมากระทืบอาตมา กระทืบในขณะที่อาตมายังนั่งพับเพียบอยู่ต่อหน้าคนทั้งหลายในที่นั้นเลย เมื่อคนกลับไปหมดแล้ว ท่านยังพูดว่า “นายไสวนี่กระดูกเหล็ก ทำเอาเท้าฉันเจ็บ” นี่ ! เป็นยังงั้น
ต่อมาเมื่ออาตมาได้มาเยี่ยมท่านอีกที่บ้านพระโขนง ที่หลวงแจ่มวิชาสอนสร้างให้ พออาตมาไปเห็นบ้าน ซึ่งขณะนั้นถนนยังเป็นโคลน อาตมาจึงโทรศัพท์สั่งหินมาคันรถหนึ่ง ให้เขาเอามาถมและเกลี่ยถนนให้พอเดินได้ พอดีเกิดฝนตก ถนนก็เป็นหลุมเป็นบ่อ คุณแม่บุญเรือนสั่งให้อาตมาเอาจอบไปเกลี่ยหินกลบตามหลุมตามบ่อนั้น อาตมาไม่เคยจับจอบมาก่อน จึงทำไม่เป็น ท่านก็ตบเอา แล้วว่า “งานแค่นี้ก็ทำไม่เป็น” ตกตอนเช้า ขณะที่อาตมากำลังก้มลงเก็บหินที่กระจายเกลื่อนๆ อยู่ ท่านเดินมาเห็นเข้าก็เตะก้นอีกที
อีกหนหนึ่ง อาตมาไปเยี่ยมท่าน ขณะนั้นมีคนนั่งกันเต็ม ท่านบอกให้อาตมาไปเอาดอกไม้มาให้คุณหญิงคุณนายจัดแจกัน พอดอกไม้เหลือ ท่านก็สั่งอาตมา “เอาไปไว้ที่เก่า” อาตมาก็เอาไปวางที่เก่า
สักครู่ท่านพาคุณหญิงคุณนายผ่านไปพบเข้า ก็ดุว่าอาตมาว่า “ทำไมเอาดอกไม้มาวางไว้ตรงนี้ ?” อาตมาก็บอกท่านว่า “ที่เก่ามันอยู่ตรงนี้” เท่านั้นแหละท่านตบอาตมาทันที เห็นเขียวๆ แดงๆ ตาลายเลย พอท่านทำท่าจะตบครั้งที่ ๒, อาตมาก็เอนตัวหลบ ท่านก็ว่า “จะสู้ยังงั้นรึ ?”
อาตมาก็นิ่งเฉยเสีย พออาตมาเดินห่างไปหน่อย ท่านก็ประกาศบอกใครๆ ว่า “ฉันสอนลูกศิษย์ของฉันยังงี้” ในตอนนั้นอาตมาไม่เข้าใจ, ต่อมาภายหลังเมื่อมาอยู่ที่สวนโมกข์แล้ว จึงเข้าใจว่า ท่านสอนแบบเซ็นด้วยวิธีฉับพลัน กล่าวคือ ขณะนั้นลูกศิษย์ที่มาหาท่าน คุยกันแซ็ดไปหมด, พอคุณแม่บุญเรือนตบอาตมาเท่านั้น เสียงเงียบกริบลงทันทีเลย, เป็นการข่มขวัญ หรือเชือดคอไก่ให้ลิงดูนั่นเอง
ความเคารพในครูบาอาจารย์
ขณะที่อาตมาถูกคุณแม่บุญเรือนตบตีอย่างรุนแรงนั้น อาตมาก็มิได้มีอารมณ์โกรธเคืองแต่อย่างใด เนื่องจากมีความเคารพว่าท่านเป็นอาจารย์ ท่านได้แนะนำสั่งสอนมา อาตมาได้ความรู้จากคุณแม่บุญเรือนหลายอย่าง จนตั้งตัวมาได้ถึงปานนี้
แต่ทว่าโรคภัยไข้เจ็บก็ยังเบียดเบียน ไม่ว่าจะเป็นโรคปวดหัว ริดสีดวงทวาร โรคปอด และยังมีโรคต่อมลูกหมากโตเพิ่มเข้ามาอีกด้วย
อิทธิปาฏิหาริย์ของคุณป้า โดย อุษา ไวคะกุล
"ประมาณปี ๒๔๘๘ เดือนพฤศจิกายน ได้ทราบข่าวจากเพื่อนว่า คุณป้าบุญเรือนมีความสามารถรักษาโรคและบอกอาการของโรคได้ถูกต้อง โดยไม่ต้องทำการเอกซ์เรย์ คุณอาพัธนี (พรพิบูลย์ ภรรยาคุณสม พรพิบูลย์ เจ้าของโรงพิมพ์วิบูลกิจ ถนนวิสุทธิกษัตริย์) ได้ไปหาคุณป้าบุญเรือนที่บ้านพักที่พระโขนง (บ้านเก่าหลวงแจ่มวิชาสอน) คุณป้าบุญเรือนได้ตรวจและรักษาให้โดยการนวดและคุณอาพัธนีได้เรียนให้คุณป้าบุญเรือนทราบว่า มีหลานสาวคนหนึ่ง เป็นโรคอะไรไม่ทราบ ถ่ายอุจจาระเป็นโลหิตออกมาสดๆ เมื่อเวลาท้องเดินหรือไม่สบายมาก อาการเช่นนี้เป็นมาเป็นเวลา ๒-๓ ปีได้รับการรักษาทางแผนปัจจุบันแล้วก็ยังไม่หาย นายแพทย์แผนปัจจุบันลงความเห็นว่า เป็นแผลที่ลำไส้เล็กต่อลำไส้ใหญ่ ต้องทำการผ่าตัดจึงจะหาย คุณป้าบุญเรือนรับปากว่าจะมาดูให้
ต่อมาประมาณ ๓-๔ อาทิตย์ คุณป้าได้มาที่บ้านและได้ตรวจให้ โดยบอกอาการของโรคตรงกับที่นายแพทย์แผนปัจจุบันเอกซ์เรย์ไว้ ทั้งนี้ท่านมองด้วยตาเปล่า และบอกล่วงหน้าไว้ด้วยว่า หมอที่กำลังรักษาอยู่ เขาจะเปลี่ยนยาให้ ให้ทำตามที่นายแพทย์สั่ง จนกว่าจะหมดสัญญากับนายแพทย์ เมื่อเสร็จแล้วก็จะรักษาให้ ดังนั้นจึงได้ให้นายแพทย์รักษาจนเสร็จตามที่คุณป้าสั่ง แล้วจึงหยุดการรักษากับแพทย์นั้น
ต่อมาประมาณเดือนเศษ คุณป้าบุญเรือนมาที่บ้านอีก พอดีขณะนั้นข้าพเจ้ากำลังป่วย คุณป้าก็ได้เริ่มรักษาให้ ด้วยการอธิษฐานน้ำให้รับประทาน งด ไม่ให้รับประทานยาและฉีดยา ทำการนวด และตรวจดูโรคภายในและสั่งให้ทาปูนอธิษฐานของท่าน นับแต่นั้นมา ข้าพเจ้าก็หายจากโรคนั้นโดยเด็ดขาด
ต่อมาข้าพเจ้าได้แต่งงาน ขณะนั้นคุณป้ายังพักอยู่ที่โรงพักกลาง ต่อมาคุณอาพัธนีได้เชิญคุณป้ามาอยู่ที่บ้านวิสุทธิกษัตริย์ โดยสร้างบ้านด้วยทุนของลูกศิษย์ของคุณป้า (ที่ดินเป็นของคุณนายพัธนี) รวมเงินได้ภายใน ๑๘ วัน และคุณป้าได้มาอยู่ที่บ้านใหม่นี้ และตั้งชื่อว่า “บ้านสามัคคีวิสุทธิ”
ที่บ้านสามัคคีวิสุทธิ คุณป้าได้เริ่มสอนให้ลูกศิษย์สวดมนต์ไหว้พระทุกบ่ายวันเสาร์ เวลาบ่าย ๓ โมง ต่อมาวันหนึ่ง ข้าพเจ้าปรารภกับท่านว่า ได้แต่งงานมา ๕ ปีแล้ว อยากจะได้ลูกสัก ๑ คน คุณป้าก็แนะนำให้ขอจากหลวงพ่อพระพุทธชินราชประทานพร ซึ่งเป็นพระบูชาที่บ้านคุณป้า และในขณะนั้น เจ้าคุณรัชชมงคลมุนี กำลังจะหล่อพระประธานหลวงพ่อพุทโธองค์ใหญ่ ซึ่งจะนำไปไว้ที่วัดสารนาถ อำเภอแกลง จังหวัดระยอง ให้ข้าพเจ้าทำบุญร่วมสร้างพระพุทโธองค์ใหญ่เป็นจำนวนเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท ขอบารมีของพระช่วยประทานพรให้สมความปรารถนา บังเอิญต้นมะม่วงอธิษฐานที่หน้าบ้านสามัคคีวิสุทธิออกดอกอีกเป็นครั้งที่สอง ห่างจากครั้งที่ ๑ ซึ่งบางท่านได้กล่าวไว้แล้วเพียงไม่กี่เดือน และมะม่วงที่ออกช่อนี้ติดเป็นลูกเล็กๆ ข้าพเจ้าได้ขอต่อคุณป้าขอรับมะม่วงนั้นสัก ๑ ผล เมื่อสุกแล้ว ต่อจากนั้นมา ๓ วัน มะม่วงก็สุก คุณป้าได้นำมาให้ข้าพเจ้าที่บ้านในตอนเช้า และพูดว่า “เอ้า มะม่วงที่ขอสุกแล้วกินเสีย จะได้มีลูกตามที่ขอ และสั่งให้ข้าพเจ้ากับสามีไปไหว้พระในเย็นวันนั้น ให้ตั้งใจทั้ง ๒ คนว่าจะขอลูกหญิงหรือชาย ข้าพเจ้าพร้อมใจกันขอลูกผู้ชาย ห่างจากนั้นประมาณ ๓ เดือน ข้าพเจ้าเริ่มตั้งครรภ์ คุณป้าได้มามาทำการรักษา และฝืนท้องให้วันเว้นวัน จนครบ ๔ เดือน เหตุที่ต้องมาทำให้ เพราะลูกที่เกิด ติดอยู่ที่ปีกมดลูก ถ้าไม่ทำการรักษาก็อาจจะแท้งได้ ต่อมาข้าพเจ้าก็แข็งแรง และบุตรในครรภ์ก็เจริญดี ต่อมาข้าพเจ้าก็ได้บุตรีอีก ๑ คน ลูกของข้าพเจ้าทั้ง ๒ มีสติปัญญาดี ดังพรที่คุณป้าให้
เรื่องฝนตกไม่เปียกตัวคุณป้า วันหนึ่งตอนเย็นประมาณ ๖ ดมง คุณป้านัดว่าจะมานวดให้ อย่าเพิ่งรับประทานอาหาร ข้าพเจ้าเห็นว่าเย็นแล้ว และฝนก็กำลังตกหนัก มีพายุด้วย คุณป้ายังคงไม่มา ข้าพเจ้าได้ปิดประตูหน้าบ้านเพราะฝนสาดเข้ามา
ในเย็นวันนั้น เพื่อนข้าพเจ้าหลายคนก็ได้มาทานอาหาร เพื่ออยากจะพบคุณป้าด้วย ขณะที่ฝนกำลังตกหนัก เป็นเวลาอีก ๑ นาทีจะ ๖ โมงตามนัด เพื่อนคนหนึ่งบอกว่า “รับประทานข้าวกันเถอะ ท่านคงไม่มาแล้ว เพราะฝนตกหนัก” พอพูดยังไม่ทันขาดคำ มีเสียงเคาะประตูหน้าบ้าน ข้าพเจ้ารีบไปเปิดประตู ก็ได้พบคุณป้ายืนอยู่หน้าประตูบ้าน ตัวข้าพเจ้าและเด็กถูกฝนสาดเข้ามาเปียกมาก แต่คุณป้าไม่เปียกฝนเลย แม้แต่เสื้อผ้าที่สวมอยู่ก็ไม่เปียก คุณป้ามากอดข้าพเจ้า รู้สึกตัวท่านร้อนผ่าว ข้าพเจ้าจึงได้พูดว่า “วันนี้ได้เห็นแล้วว่า ฝนตกไม่เปียกตัวคุณป้า” และทุกคนในที่นั้นก็ได้เห็นด้วย ท่านได้นวดให้ข้าพเจ้าจนเสร็จและรับประทานอาหารกับข้าพเจ้าด้วย แล้วท่านก็กลับไป ขณะนั้นฝนก็ยังตกอยู่หนาเม็ดมาก ข้าพเจ้าก็ได้บอกเด็กให้นำร่มมาให้ท่านๆ บอกว่า “มาได้ ก็ต้องไปได้” โดยไม่ได้ถือร่มไปด้วย เพราะการทำจริงและความมีสัจจะของท่าน ไม่ว่าจะมีเหตุอะไรเกิดขึ้น ท่านก็มาตามนัดโดยไม่ผิดเวลาสักนาทีเดียว ซึ่งคนธรรมดาจะต้องผิดเวลาบ้าง
เรื่องเดินเร็วกว่ารถ วันหนึ่งเวลาบ่าย ๓ โมง ที่บ้านวิสุทธิกษัตริย์ ข้าพเจ้าได้ไปหาท่านที่บ้าน ท่านถามว่าจะรีบกลับหรือเปล่า เพราะเป็นวันที่ท่านนัดจะนวดให้ ในตอนนั้นมีพระชาวเชียงใหม่มาลาท่านเพื่อจะกลับเชียงใหม่ ท่านรับปากกับพระว่าจะไปส่งและจะถวายปัจจัยเพื่อเป็นค่าอาหารในรถระหว่างเดินทาง ข้าพเจ้าได้ดูนาฬิกาและบอกกับท่านว่า นี่บ่าย ๓ โมงกว่าแล้ว ท่านก็ว่า กี่นาทีแล้ว ข้าพเจ้าดูนาฬิกาอีกเป็นเวลา ๑๕.๔๕ น. ท่านก็รีบเดินออกไปที่หน้าประตูบ้าน ข้าพเจ้าเดินตามออกไปดูว่าท่านจะไปรถอะไร พอไปถึงหน้าบ้านพบรถ ๓ ล้อ ท่านก็ขึ้นและบอกไปหัวลำโพงโดยไม่ต่อราคาเลย ข้าพเจ้ากลับมานั่งรอที่บ้าน คุณป้ากลับมาถึงเวลา ๑๖.๒๐ น. ซึ่งใช้เวลาไป-กลับเพียง ๓๕ นาทีเท่านั้น ซึ่งเราไม่สามารถจะทำเช่นนี้ได้ ข้าพเจ้าถามคุณป้าว่าทำไมกลับเร็วนัก ท่านบอกว่า “ใจท่านนึกจะให้ถึงสถานีหัวลำโพง พอก้าวขึ้นรถก็ถึงสถานีแล้ว” และเข้าไปพบพระที่จะไปส่งและได้มอบเงินให้ไว้กับคนขายอาหารในรถ สำหรับพระ ๒ องค์ เสร็จแล้วกลับมาด้วยรถแท๊กซี่
เรื่องความศักดิ์สิทธิ์ของน้ำ ข้าพเจ้าได้ตั้งครรภ์คนที่ ๒ ข้าพเจ้าได้ตั้งน้ำอธิษฐานและทาปูนเสมอมิได้ขาด จนกระทั่งครบกำหนดคลอด วันที่ข้าพเจ้ารู้สึกเจ็บครรภ์ ข้าพเจ้าได้ไปหาคุณ ป้าที่บ้านสามัคคีวิสุทธิ เวลา ๑๘.๐๐ น.เศษ พอไปถึงท่านก็ฝืนท้องให้ข้าพเจ้าและอธิษฐานให้รับประทาน ๑ ถ้วย และสั่งว่า ถ้าเกิดรู้สึกเจ็บ ก็ให้คลอดออกมาเลย เสร็จแล้วข้าพเจ้าก็กลับบ้านและเตรียมตัวไปโรงพยาบาลเพื่อเตรียมตัวคลอด การที่ข้าพเจ้าต้องไปคลอดที่โรงพยาบาล เพราะเหตุว่า ท้องคนที่ ๑ ข้าพเจ้าต้องถูกทำการผ่าท้องออก ท้องที่ ๒ นายแพทย์ปัจจุบันก็บอกว่าต้องผ่าท้องออกเหมือนกัน พอข้าพเจ้าไปถึงโรงพยาบาล นายแพทย์ก็เตรียมการเพื่อจะผ่าท้องข้าพเจ้า เขากลัวว่า ถ้าเจ็บมากมดลูกจะแตก พอรู้สึกเจ็บต้องทำการผ่าทันที ขณะที่อยู่ที่โรงพยาบาลไม่มีการเจ็บท้องเลย พอรุ่งขึ้นประมาณ ๖.๐๐ น. รู้สึกเจ็บครรภ์ ก็ได้บอกกับนายแพทย์ว่า “จะคลอดแล้ว” และได้นำข้าพเจ้าเข้าห้องคลอด พอขึ้นเตียงทำคลอด นายแพทย์ยังใส่ถุงมือไม่เสร็จ ข้าพเจ้าก็คลอดออกมาเอง เป็นเวลา ๖ โมง ๑๕ นาที ซึ่งเจ็บท้องเพียง ๑๕ นาทีก็คลอด ขณะนั้นมีคนไข้ข้างเตียงเจ็บท้องมา ๒ วันแล้ว เขาถามว่าพี่ทานน้ำอะไรจึงคลอดง่าย ข้าพเจ้ามีน้ำอธิษฐานของคุณป้าอยู่ด้วย ข้าพเจ้าถามว่า “ศรัทธาไหม ถ้าศรัทธา ก็ระลึกถึงเจ้าของ และดื่มน้ำอธิษฐานนี้” เขาก็รับน้ำไปดื่ม ภายใน ๒๐ นาทีเขาก็คลอดบุตรออกมาโดยสะดวก เป็นการช่วยทุกข์มนุษย์อีกประการหนึ่ง
ข้าพเจ้ากับคุณป้ามีความผูกพันกัน เพราะท่านสอนให้ข้าพเจ้ารู้จักบาปบุญคุณโทษ ให้เรียนธรรมะและรักษาให้ข้าพเจ้าหายจากการป่วยไข้ทั้งครอบครัวของข้าพเจ้า และได้บุตรธิดาสมความปรารถนา ก่อนที่ข้าพเจ้าจะพบคุณป้า ข้าพเจ้าทำทุกอย่างตามอารมณ์ ท่านก็เพียรสอนให้ละเสีย และบอกว่าในอดีตชาติหลานเคยเป็นญาติกับป้า ป้าก็สงสารและจะเตือนให้หลานละโมหะ โทสะเสีย จะทำให้หลานเป็นคนสุขุมขึ้น จะทำการงานใดๆ ก็จะได้เป็นใหญ่และเป็นผู้นำของพรรคพวก การที่มีโมหะและโทสะครอบงำอยู่ทำให้ขาดสติ แม้เราจะทำบุญสุนทานเท่าไร ถ้าเกิดโทสะหรือโมหะขึ้นก็เป็นผลเสีย แม้ถึงเวลาเจ็บก็ไม่มีจิตแน่วแน่ จะตกเวทนามาก ขอให้ทำใจเสียใหม่ ให้รู้ว่า เราจะโกรธ ก็รีบหนีความโกรธเสีย ข้าพเจ้าได้พยายามทำตามที่คุณป้าบอกมาได้สัก ๑๐ ปีแล้ว ก็รู้สึกว่าโกรธน้อยลงกว่าเดิม รู้สึกว่าทุกอย่างดีขึ้นเป็นไปตามคำแนะนำของท่าน ข้าพเจ้าจึงขอเป็นหลานท่าน และนับถือท่านประดุจเป็นญาติผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง เมื่อท่านจากข้าพเจ้าไปข้าพเจ้าก้ขาดที่พึ่งและที่ปรึกษาที่ดีซึ่งหาไม่ได้อีกแล้วในโลกนี้ ท่านทำตัวเป็นญาติ อาจารย์ และเพื่อนที่ดี ในเมื่อข้าพเจ้ามีทุกข์ ท่านก็ช่วยปลอบและให้กำลังใจข้าพเจ้าเสมอ
สดุดีรักษาโรคคอพอก โดย บุญเสม มีหลีสวัสดิ์
ดิฉันได้รู้จักคุณแม่บุญเรือนเมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๔๙๕ เนื่องจากนางน้อย มาตร์สกุล ร้านทอนพานิช ลำปาง ได้มาให้คุณแม่ทาปูนอธิษฐานให้หายจากโรคคอพอก (เป็นไทรอยด์) โตเท่าไข่เป็ด เขาหายดีแล้ว ถึงได้ไปหาดิฉันให้พาไปพบคุณแม่ที่บ้านวิสุทธิกษัตริย์ ฉันจึงได้ จ.ม. ไปเชิญชวนคุณแม่บุญนาค บุปผาเจริญ ลงมาหาคุณแม่บุญเรือน แม่บุญนาคเจ็บหัวเข่าเดินไม่สะดวกมาตั้งแต่อายุ ๓๖ ปี เจ็บ ๒๐ กว่าปี และรักษามามากมาย คุณหมอเฟื่องก็ไปรักษาหายชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น คุณแม่บุนนาคก็ลงมากรุงเทพ พักอยู่ที่บ้านดิฉันๆ ก็ได้พาไปพบคุณแม่บุญเรือน ท่านก็สั่งให้ไปซื้อปูนมา ๕ บาท ท่านได้กรุณาให้คุณไสว ศรีงามเป็นคนไปซื้อมาให้ โดยดิฉันเป็นคนใหม่ คุณแม่บุญเรือนก็ไม่รับอะไรทั้งนั้นของดิฉัน ดิฉันพาคุณแม่บุนนาคไปหาท่าน แล้วแต่คุณแม่บุญเรือนท่านจะสั่งให้พาไปหาทุกวัน หรือบางครั้งท่านสั่งให้พาไปตอนเช้าให้รับประทานข้าวร่วมกับท่าน บางครั้งก็สั่งพัก ๒-๓ วันก็พาไปหาตามคำสั่งของท่าน อยู่ประมาณ ๓ อาทิตย์ก็เดินได้สะดวกคล่องแคล่วดี
ถึงเดือนพฤศจิกายน เป็นเดือน ๑๒ ขึ้น ๑๕ ค่ำ คุณแม่บุนนาคได้ไปทำบุญบ้านคุณแม่บุญเรือนที่วิสุทธิกษัตริย์ และกลางคืนได้ไปลอยกระทง นั่งเรือใบไปที่ช่องนนทรีย์ คนไปร่วมลอยกระทงประมาณร้อยกว่าคน มีลมคลื่นแรงมาก อากาศก็หนาวมาก ลงเรือใบออกไปกลางแม่น้ำเจ้าพระยา คุณแม่บุญเรือนสั่งให้คุณหลวงสุภี พูดว่า ขอให้ลมหยุด ข้าพเจ้าจะจุดเทียนบูชาสักการะแม่เทวพรหมา แม่พระคงคา พอหยุดพูด ลมก็หยุดนิ่ง ไม่พัด พวกข้าพเจ้าทั้งหลายก็จุดเทียนลอยกระทงบูชาแม่พระคงคาได้ พอปล่อยกระทงถึงน้ำเป็นเสร็จพิธี ลมก็เริ่มพัดแรงอย่างเดิม ต่อมาดิฉันก็ได้พาคุณแม่บุนนาคไปหาคุณแม่บุญเรือนอีกจนหายเป็นปกติดี ประมาณหนึ่งเดือนเศษ คุณแม่บุญนาคก็กลับไปลำปาง ต่อมาดิฉันก็ได้ไปสวดมนต์ที่บ้านคุณแม่บุญเรือนเสมอมา และดิฉันก็ได้ตั้งน้ำอธิษฐานรับประทาน ทั้งตัวดิฉันและลูกๆ ทุกคนเจ็บป่วยก็ใช้ปูนทาเป็นประจำก็ได้ผลดี ไม่ต้องไปเสียเงินค่าหมอตลอดมา นับว่าคุณแม่บุญเรือนมีพระคุณต่อดิฉันมาก
อภินิหารคุณแม่บุญเรือนครั้งไปเที่ยวลำปาง พ.ศ. ๒๔๙๗ ท่านได้ไปพักที่บ้านคุณไสว พี่จันทร์ฟอง ศรีงาม คนลำปางรู้ว่าคุณแม่บุญเรือนมาลำปาง ก็มีคนมาหาท่าน ฟังท่านสอนธรรมะและแนะนำการใช้ปูนและตั้งน้ำอธิษฐาน คนมาหามากมาย วันรุ่งขึ้นจะเดินทางไปเชียงใหม่ คุณแม่บุญนาคได้นั่งรถยนต์ไปรับท่านตอนเช้าที่บ้านพี่จันทร์ฟองในเวลาก่อน ๖ โมงเช้า รถไฟออก ๖ โมง ๕ นาที คุณแม่แต่งตัวเตรียมของเสร็จแล้ว ก็ขึ้นนั่งรถยนต์เรียบร้อยแล้วบอกว่า "นายบุญนาค พาฉันไปไหว้พระที่บ้านนายก่อน ฉันยังไม่ได้ไหว้พระ" น้องอาภรณ์ซึ่งเป็นคนขับรถก็เรียนคุณแม่ว่า "เดี๋ยวนี้จวน ๖ โมงแล้วเจ้าค่ะ กลัวว่าจะช้าไปและยังจะต้องไปซื้อตั๋วจองที่นั่งอีกด้วย" คุณแม่บุญเรือนท่านตอบว่า "ถ้าฉันไม่ไป รถไฟก็ไม่ออก ฉะนั้นพาฉันไปไหว้พระเสียก่อน" น้องต้องพาคุณแม่พร้อมกับคณะมาไหว้พระสวดมนต์ที่บ้านคุณแม่บุญนาค เสร็จแล้วเป็นเวลา ๖ โมง ๑๐ นาที ท่านสั่ง "พาฉันไปได้แล้ว" น้องอาภรณ์ก็ขับรถยนต์มาถึงสถานี นายสถานีบอกว่า รถไฟเสียเวลา ๑๕ นาที พอซื้อตั๋ว คุณแม่ขึ้นรถไฟเรียบร้อย รถไฟเคลื่อนพอดี คุณแม่เดินทางต่อไปเชียงใหม่
อิทธิฤทธิ์ของคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม โดยสนิท ชาติยานนท์
ในฐานะที่ข้าพเจ้าเป็นศิษย์ของคุณแม่บุญเรือน และเรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องจริงที่ปรากฏแก่ตัวข้าพเจ้าเอง คือว่า วันหนึ่งบุตรของข้าพเจ้าเป็นไข้หวัด มีอาการตัวร้อนมากถึงกับสลบไป เหตุเกิดที่บ้านของข้าพเจ้าเอง เมื่อเช้ามืดของวันหนึ่ง บุตรของข้าพเจ้ามีอาการตัวเย็นแน่นิ่งไป ข้าพเจ้าเห็นว่า อาการเช่นนี้เป็นอาการตาย ก็มีความตกใจ แต่ไม่ทราบว่าจะทำประการใดดี คิดขึ้นมาได้ว่า มีคุณแม่ที่ช่วยได้อยู่คนเดียว คือคุณแม่บุญเรือน ข้าพเจ้ารีบตรงไปหา ในขณะที่ท่านพึ่งตื่นนอนใหม่ๆ ข้าพเจ้าก็เล่าอาการของลูกให้ท่านฟัง เมื่อท่านฟังแล้ว ท่านสั่งให้ฟันต้นกล้วยหลังบ้าน เพื่อให้กล้วยตายแทนบุตรของข้าพเจ้า ซึ่งปรากฏภายหลังว่า วิญญาณของลูกข้าพเจ้า ได้ออกจากร่าง และกำลังเดินทางไป จะไปทางไหนไม่ปรากฏ แต่คุณแม่แจ้งว่าเห็นรัศมีวับๆ จำได้ว่าเป็นวิญญาณของบุตรข้าพเจ้า ก็เรียกให้กลับมายังร่างเดิมของเขา ซึ่งบัดนี้มีอายุได้ ๖ ปีเศษแล้ว จิตใจและสุขภาพสมบูรณ์ดีทุกประการ จึงขอจารึกพระคุณของคุณแม่บุญเรือนไว้ ณ ที่นี้ด้วย
คุณแม่ช่วยข้าพเจ้าอย่างใด โดยนายแพทย์ปรีดา ล้วนปรีดา
รู้วาระน้ำจิต
ชีวิตของมนุษย์ บางครั้งก็ขัดสน ทั้งตัวเองรู้จะแก้ไขประการใดดี ได้แต่ทนทุกข์ ยิ่งนานก็ยิ่งเป็นการเดือดร้อนรำคาญมากขึ้นทุกวัน เรื่องนี้ได้แก่ตัวของข้าพเจ้าเอง เมื่อออกจากราชการแล้ว ต้องทำมาหาเลี้ยงชีพอย่างสุดความสามารถ บางครั้งหาไม่ได้ ต้องขายของเก่ากิน ถึงแม้ว่าจะได้ราคาถูกก็จำใจ ถึงกระนั้นก็ดี ยังไม่ทราบว่าจะขายให้แก่ใคร เรียกราคาเท่าไร และจะตกลงเมื่อไร ซึ่งผู้อื่นไม่สามารถจะช่วยได้นอกจากคุณแม่ผู้เดียวเท่านั้น โดยมิต้องติดสินบนเลยแม้แต่สตางค์แดงเดียว บางครั้งคุณแม่ส่งเงินให้ข้าพเจ้า ๑,๐๐๐ บาท เพื่อช่วยแก้หน้าให้ได้มีโอกาสทำบุญกับสานุศิษย์ทั้งหลาย
ขอกลับไปพูดเรื่องการค้าขาย เรื่องขายที่ดิน ซึ่งผู้ซื้อต่อราคาเด็ดขาด คุณแม่ห้ามไม่ให้ข้าพเจ้าไปติดต่ออีก จนถึงโอกาสอันเป็นโชคดีของข้าพเจ้า คุณแม่สั่งให้ข้าพเจ้าไปเสนอราคาตามที่ท่านกำหนดให้ ในเวลาที่ท่านสั่ง ต่อบุคคลที่ท่านชี้แจง การนั้นก็สำเร็จได้ ด้วยอำนาจของการรู้วาระน้ำจิตของฝ่ายผู้ซื้อ และข้าพเจ้าขอบูชาคุณของคุณแม่ด้วยน้ำใจอันบริสุทธิ์ของคุณแม่ ได้กรุณาต่อลูกหลานต่อไป เสมือนเมื่อคุณแม่ยังมีชีวิตอยู่
ระลึกชาติได้
ครั้งหนึ่ง คุณแม่เล่าให้พวกลูกๆ ฟังว่า คุณแม่เกิดเป็นท่านผู้หญิงโม ได้ปราบเจ้าอนุเวียงจันทร์ ช่วยกู้เกียรติและเอกราชของชาติไทยไว้ได้ ครั้นต่อมา คุณนายบ๊วย มาแจ้งให้คุณแม่ทราบว่า ที่วัดๆ หนึ่ง ที่อำเภอปักธงชัยยังไม่มีพระประธาน คุณแม่ได้ชักชวนลูกๆ ให้ช่วยกันออกเงินสร้างพระพุทธรูปขนาดใหญ่ และเมื่อเสร็จแล้ว ได้แห่ออกจากบ้านช่างหล่อ จังหวัดธนบุรี ไปสู่วัดที่อำเภอปักธงไชย และให้พระนามว่า หลวงพ่อชนะประทานพร อันเป็นอนุสรณ์อย่างล้นเกล้าล้นกระหม่อมแก่พวกลูกๆ ซึ่งจะต้องมีชีวิตต่อสู้กับโลกไปอีกนาน และจุดหมายปลายทาง ก็ขอให้ชีวิตของพวกลูกๆ ชนะต่อศัตรูและหมู่พาล สมดังพระนามที่คุณแม่ได้ให้ไว้ ก็นับว่าเป็นที่หลบภัยและที่ยึดเหนี่ยวที่แน่นอน และไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไปเป็นอื่น นับว่าเป็นพระคุณของคุณแม่ ถึงท่านจะล่วงลับไปแล้ว ก็เพียงแต่สังขารอันไม่มีสาระ ส่วนจิตใจของคุณแม่ พวกลูกๆ คิดว่าเป็นจิตใจที่ถึงแล้วซึ่งพระนิพพานอันเป็นแดนอมตะ อักษรที่ลูกร้อยกรองวันนี้ ถ้าเป็นส่วนที่ดี ขอให้แทนเท่าเครื่องบูชา ที่พวกลูกๆ นำมาบูชาพระคุณของคุณแม่ไม่มีวันจะลืมเลย
คุณแม่สละแล้วทางฝ่ายโลก
ดังจะเห็นได้จากกิริยาที่คุณแม่แสดงทุกวันมา ไม่ว่าจะเป็นเงินทองของใช้จะมีค่าสักเท่าใดก็ดี มิได้มีใจรวบรวมเก็บทำไว้เพื่อประโยชน์แก่ตนเอง มีแต มีเท่าใดรีบส่งให้พวกลูกๆ ที่ยากจนทันที เครื่องกินเครื่องใช้พอเลี้ยงชีพไปวันหนึ่งๆ เท่านั้น สำหรับบ้านที่ท่านอยู่ ท่านคืนให้เจ้าของบ้าน ในวันเดียวกับที่เจ้าของบ้านให้ท่าน ทั้งนี้เพื่อแสดงว่า ท่านไม่ต้องการของใคร และรีบสละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้ลูกๆ เห็นแนวปฏิบัติที่ถูกต้องโดยมิได้กังวลสรรพสิ่งต่างๆ ในโลกนี้ ซึ่งล้วนแต่เป็นอนิจจัง
ตามที่กล่าวมาแล้วทั้งหมดนี้ จะเห็นได้ว่า คุณแม่ได้มีพระคุณต่อลูกๆ มากจนไม่มีที่สิ้นสุด ท่านให้ความรักความปราณีแก่ลูกโดยเสมอหน้าเท่าเทียมกัน ทั้งคุณแม่ได้สละทรัพย์สิ่งของทั้งปวงแล้วโดยสิ้นเชิง ความมุ่งหมายแด่พระนิพพานแต่อย่างเดียวเท่านั้น
หากกล่าวโดยสรุปเฉพาะตัวข้าพเจ้าแล้ว คุณแม่ได้ช่วยข้าพเจ้าได้ในสิ่งต่อไปนี้
๑. คุณแม่ ช่วยปลดเปลื้องความทุกข์
๑.๑ เมื่อการเงินฝืดเคือง
คุณแม่กำหนดราคาที่ดินให้ขายได้
๑.๒ เมื่อบุตรเจ็บไข้ อาการหนัก ไปหาคุณแม่ บอกคุณแม่ว่า บุตรไม่สบายมาก ท่านบอกว่าไม่เป็นไร ลูกก็หายตามที่ท่านบอก
๑.๓ เมื่อว่างงาน ท่านหางานให้ทำ
๒. คุณแม่สอนวิชาแพทย์ให้
๒.๑ ถึงชีพจักรของเชื้อแบคทีเรีย ว่าตัวท่านเคยเป็นบาดทะยัก เชื้อมันแบ่งตัว ทำลายเส้นประสาทชักกระตุก ใช้ยาฉีดมากเกินไป มีอาการแพ้ยา เหมือนกับอาการไข้
๒.๒ เชื้อวัณโรคที่อยู่ตามหลอดลม คุณแม่บอกว่ามีเชื้อจับอยู่ เมื่อไอแรงๆ เชื้อออกหมด อาการไอก็หาย
๒.๓ เชื้อหนองใน ทำลายช่องปัสสาวะจนเป็นหนอง
๒.๔ เชื้อซิฟิลิส ทำให้เป็นฝีมะม่วง อาการของโรคเป็นอย่างไร ท่านชี้แจงให้เข้าใจ โดยไม่ต้องหาหนังสืออ่าน
๓. คุณแม่อธิษฐานปูน ให้มีสรรพคุณรักษาโรคได้
๓.๑ รักษาโรคผมร่วง
๓.๒ รักษาโรคเรื้อน
๓.๓ รักษาวัณโรค
๔. คุณแม่ให้ยารักษาโรค
๔.๑ ให้น้ำมันใส่ผม ทาศีรษะแก้ผมร่วง ทาหน้าไม่เหี่ยว ไม่ย่น ทาผิวหนัง เป็นเครื่องประเทืองผิว เวลาบอก บอกเป็นภาษาอังกฤษ และเมื่อผสมแล้ว นำไปให้ตรวจ บอกว่าต้องแก้ไข กระทั่งบอกว่าใช้ได้ดีแล้ว
๔.๒ บอกยาผงเหลือง แก้มะเร็ง ทานแก้ท้องร่วง ทาห้ามโลหิต ทาแผลสด เป็นยาสมานแผล
๕. คุณแม่สอนธรรมะ
๕.๑ ให้รู้วิธีหายตัว คือหลีกไปเสียให้พ้นจากเหตุการณ์
๕.๒ สอนให้สวดมนต์ไหว้พระ
๕.๓ ชักชวนให้สร้างพระ สร้างโบสถ์ และสร้างหนังสือ เพื่อเผยแพร่คุณของ พระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า
ปาฏิหาริย์ของคุณย่า โดยชูชาติ ทองนาค
(บุตรชาย นายสุวรรณ ทองนาค หรือ ต่อมาคือ พระสุวรรณ ปภัสสโร)
กระผมชื่อชูชาติ ทองนาค บ้านเกิดอยู่สุพรรณบุรี เคยมาบ้านคุณย่าบุญเรือนมาแต่บ้านวิสุทธิกษัตริย์ จำได้ว่าตอนนั้นอยู่ชั้นประถมปีที่ ๓ โดยมาพักกับคุณพ่อ ผมได้พบเหตุการณ์เกี่ยวกับอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์ของคุณย่าบุญเรือนหลายหน แต่เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ขอเอาแต่ที่นับว่าสำคัญที่สุด ๒ ครั้งคือ
ครั้งแรก ผมทำดินปืนเพื่อจะทำจรวดเล่น โดยมีส่วนผสมของ ดินประสิว กำมะถัน ถ่าน คุณพ่อเคยบอกว่า ไม่ให้ทำในบ้าน เพราะเกรงว่าจะระเบิด แต่ผมก็มิได้ทำตาม ตอนที่เกิดเหตุดินปืนระเบิดนั้น เป็นตอนเช้าวันอาทิตย์ ไม่ได้ไปโรงเรียน ผมก็เอาดินปืนออกมาตำ เอาครกวางข้างหน้า แล้วนั่งขัดสมาถตำดินปืน ส่วนคุณพ่อกวาดพื้นอยู่ห่างประมาณ ๔-๕ วา จะเนื่องจากเหตุใดไม่ทราบ ดินปืนก็ระเบิด มารู้สึกตัวอีกที ปรากฏว่าอยู่ถนนหน้าบ้าน ห่างจากที่ทำดินปืนประมาณ ๑๕ วา โดยที่ไม่รู้สึกตัวเลย ส่วนคุณพ่อนั้น ถูกลูกไฟของดินปืนพองไปครึ่งตัว มีคนบอกว่าต้องไปโรงพยาบาล มิฉะนั้นต้องตาย คุณพ่อก็ไม่เชื่อ อยู่รักษาตัวที่บ้าน โดยใช้น้ำอธิษฐานและปูนเท่านั้น ไม่ช้าก็หาย ส่วนผมเองถูกลูกไฟเพียงลูกเดียวเท่าหัวไม้ขีดไฟ ผมเองมั่นใจเหลือเกินว่า จะต้องเป็นอภินิหารของพระพุทโธ ที่อู่ในคอของผมอย่างแน่นอน แต่ส่วนคุณพ่อนั้นไม่ได้แขวนหลวงพ่อพุทโธ ซึ่งตามการณ์แล้วผมควรโดนไฟจากดินปืนเข้าเต็มหน้า เต็มอก มากกว่า เหตุที่ไม่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะอำนาจความศักดิ์สิทธิ์ของคุณย่าบุญเรือน ซึ่งเป็นผู้สร้างหลวงพ่อพุทโธ
ครั้งสอง เกิดขึ้นกับคุณแม่ ตามปกติ คุณแม่ไม่ค่อยเชื่อคุณย่านัก อยู่มาวันหนึ่งตอนกลางคืน ขณะที่คุณแม่กำลังนอนแต่ยังไม่หลับ ปรากฏว่า มีอะไรไม่ทราบ ทรงกายมีแสงสีน้ำเงินลอยเข้ามาทางหน้าต่าง แล้วเข้าไปหายที่หลวงพ่อพุทโธองค์ใหญ่ ที่คุณย่าเป็นผู้อธิษฐาน คุณแม่กลัวมาก จึงตรงไปกราบหลวงพ่อพุทโธ พอเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นดอกไม้ในแจกันลอยขึ้นไปในอากาศแล้วหายไปสักครู่ก็หยุด คุณแม่ก็ยังไม่ค่อยเชื่อ ก็บอกหลวงพ่อพุทโธว่า คืนพรุ่งนี้ขอให้ดอกไม้ลอยอีก พอคืนรุ่งขึ้นบนอากาศให้ดูอีก แต่นั้นมาคุณแม่ก็นับถือคุณย่าอย่างมั่นใจ
อธิษฐานธรรมไปสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็น บันทึกของนางสาววรรณี สุนทรเวช
เมื่อประมาณเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๐๐ ข้าพเจ้าได้รับปริญญา M.S. in Ed. สาขาประถมศึกษา จากมหาวิทยาลัย Wisconsin ณ เมือง Madison แล้วก็ลงไปดูงานการสอนอ่านแบบ Dual Approach อยู่ที่เมือง Urbana และ Champaign มลรัฐ Illinois
ขณะที่ดูงานอยู่นั้น บังเอิญเป็นหวัดอย่างแรง แล้วกลายเป็นต่อมอักเสบ อาการเป็นมากขนาดลิ้นบวม ขากรรไกรแข็ง รับประทานอาหารไม่ได้เลย
ข้าพเจ้าได้ไปอยู่ที่โรงพยาบาลชื่อ Cole Hospital ขณะที่ตรวจอาการหมอถามว่า ถ้าตายจะให้แจ้งข่าวแก่ใคร ข้าพเจ้าพูดไม่ได้จึงเขียนบอกไปว่า ถ้าข้าพเจ้าตายให้แจ้งที่สำนักผู้ดูแลนักเรียน สถานเอกอัครสถานทูตไทย ณ กรุงวอชิงตัน
ตกกลางคืนอาการมาก ข้าพเจ้าคิดว่าคงจะตายคราวนี้เอง ก็ระลึกถึงคุณยายบุญเรือน โตงบุญเติม ให้ช่วย
ข้าพเจ้าขณะนั้น เหมือนกับเคลิ้มฝันครึ่งหลับครึ่งตื่น ได้เห็นดวงเขียวๆ แดงๆ ลอยมาในห้องที่พัก แล้วเห็นคุณยายบุญเรือนเข้ามาหา แต่มิได้พูดว่ากระไร ข้าพเจ้าก็รู้สึกสิ้นสติไป
ข้าพเจ้าป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล ๓ คืน พอเช้าวันที่ ๔ ก็หายเป็นปกติ สามารถเดินทางด้วยรถไฟจากเมือง Champaign-Urbana ขึ้นมายัง Chicago ต่อรถไฟไปลง Water Town แล้วต่อรถเมล์ไปเมือง Madison ได้ โดยสามารถลากกระเป๋าเดินทาง ๒ ใบไปได้ด้วย ข้าพเจ้าเชื่อว่าคุณยายได้ไปหา และช่วยรักษาข้าพเจ้าจึงได้รอดชีวิตมาได้
อนึ่ง ข้าพเจ้าจวนจะกลับบ้านแล้ว จึงมิได้บอกข่าวมากรุงเทพฯ เลย ด้วยเกรงทางบ้านจะเป็นห่วง
ครั้นเมื่อข้าพเจ้ากลับมาถึงกรุงเทพฯ คุณแม่บอกก็เล่าว่า คุณยายบอกกับผู้ที่มาสวดมนต์วันอาทิตย์ที่บ้านพระโขนงว่า ขอให้สวดมนต์ให้ข้าพเจ้าเพราะเจ็บ คุณแม่ก็นึกว่า คงไม่เป็นอะไรมาก ระยะเวลาที่คุณแม่เล่านี้ ตรงกับที่ข้าพเจ้าป่วยหนัก
คุณหมอปรีดาก็ได้เล่าเรื่องที่คุณยายขอให้ศิษย์สามัคคีวิสุทธิสวดมนต์ให้ข้าพเจ้าฟังด้วย ข้อความก็ตรงกับที่คุณแม่เล่า
สดุดี คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม โดย จำนรรจ์ ล้วนปรีดา(ภรรยา นายแพทย์ปรีดา ล้วนปรีดา)
การที่คุณแม่ทิ้งสังขารไปในเวลาอันกระทันหันเช่นนี้ นำความเศร้าสลดใจมาสู่ดิฉันและครอบครัวสุดจะพรรณนา ดิฉันรู้สึกว่าได้ขาดผู้ที่มีทั้งพระเดชและพระคุณ ขาดผู้ทรงคุณธรรมอันสูงส่ง ซึ่งจะคอยแนะแนวทางชีวิต เป็นกำลังใจในยามทุกข์ยาก และให้ความเมตตากรุณาห่วงใยอย่างแท้จริง
ดิฉันเชื่อมั่นในคุณธรรมของคุณแม่มาเป็นเวลานานแล้ว และจะยึดตลอดไปตราบชั่วชีวิต ท่านเคยแสดงอิทธิฤทธิ์อธิษฐานธรรม ช่วยชีวิตบุตรชายคนโตของดิฉัน ซึ่งขณะนั้นกำลังทรมานด้วยอาการของโรคหอบหืด จนเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด คุณแม่ได้กรุณามาทาปูนให้บุตรชายของดิฉันถึงบ้าน และอธิษฐานให้หายจากโรค ซึ่งก็เป็นไปตามคำอธิษฐาน ความรู้สึกซาบซึ้งในพระคุณของคุณแม่ ที่ได้ช่วยชีวิตบุตรชายของดิฉัน ทำให้ดิฉันเกิดความเชื่อมั่นและได้ตั้งปณิธานไว้ว่า จะยอมอุทิศกายและใจเพื่อรับใช้คุณแม่ และท่านก็คงจะรู้วาระน้ำจิตของดิฉันดี นับแต่นั้นมา ดิฉันได้รับความกรุณาจากคุณแม่เสมอ ไม่ว่าจะมีการอธิษฐานหรือประกอบการกุศลครั้งใด ดิฉันและคุณหมอปรีดา จะได้มีโอกาสรับใช้คุณแม่อย่างใกล้ชิดเสมอมา
คุณแม่มีตาทิพย์บอกสภาพการณ์ต่างๆ ล่วงหน้าได้ ท่านเคยมาที่บ้านของดิฉันซึ่งอยู่ในซอยสุขุมวิทที่ ๖๙ และบอกว่า ต่อไปบริเวณนี้จะเป็นชุมทางคมนาคมใหญ่ ซึ่งปรากฏว่าในปัจจุบัน ที่ปากซอยบ้านของดิฉันเป็นที่ตั้งของสถานที่ทำการไปรษณีย์พระโขนง และมีถนนพระราม ๔ ตัดมาบรรจบกับถนนสุขุมวิทอีกด้วย และเมื่อดิฉันได้เล่าให้คุณแม่ฟังว่า จะขายที่ที่ชลบุรี คุณแม่ก็ห้ามไว้และบอกว่า อีกไม่นานจะมีถนนผ่านที่ของดิฉันไปยังจังหวัดตราด ซึ่งขณะนี้รัฐบาลก็ได้เริ่มดำเนินงานแล้ว
คุณแม่มีความเมตตากรุณาและห่วงใยต่อศิษย์ทั้งหลายโดยทั่วหน้า ท่านมีวิธีโปรดศิษย์ให้พ้นทุกข์ด้วยการแจกผลไม้อธิษฐาน ซึ่งถือว่าเป็นอาหารทิพย์ ผู้ที่ได้บริโภคจะประสบแต่ความสุข ความเจริญ นอกจากนั้น คุณแม่ยังได้อธิษฐานของวิเศษเพื่อช่วยคุ้มครองบรรดาศิษย์ ให้ปราศจากภัยอันตรายและมีอำนาจวาสนา ท่านได้แนะให้บรรดาศิษย์สร้างพระพุทโธไว้บูชาประจำครอบครัว และอธิษฐานศิลาน้ำสำหรับใส่ในน้ำเพื่อให้เป็นน้ำอธิษฐาน นอกจากนั้นยังได้มีผู้ประจักษ์ในอำนาจอันมหัศจรรย์ของศิลาน้ำในลักษณะต่างๆ กันด้วย
เนื่องจากคุณแม่มีพระเดชพระคุณต่อดิฉันและครอบครัวอย่างล้นเหลือ ดังนั้นเมื่อดิฉันได้รับอนุญาตจากคุณแม่ว่า “ทุกสิ่งอันเป็นความสุขของแม่แล้ว ให้ลูกปฏิบัติได้” ดิฉันจึงรับใช้คุณแม่ด้วยความบริสุทธิ์และสุขใจ แม้ในการอธิษฐานบางครั้งคุณแม่จำเป็นต้องใช้เสียงดังท่ามกลางธารกำนัล เพื่อแสดงอำนาจบังคับสิ่งต่างๆ นั้น ดิฉันและคุณหมอก็เข้าใจคุณแม่ดี และยอมปฏิบัติตามทุกอย่าง
ในระยะหลังๆ ที่คุณแม่ป่วย ท่านได้บอกกับคุณหมอและดิฉันเสมอว่า “ช่วยแม่ให้สำเร็จ” และ “ช่วยส่งแม่ให้ถึงที่ก่อน” ซึ่งเมื่อได้ฟังเช่นนั้น ดิฉันและคุณหมอก็ไม่ได้นึกว่า จะหมายถึงการทิ้งสังขารของคุณแม่ หากได้ประสบเหตุการณ์เช่นนี้ ดิฉันจึงแน่ใจว่า คุณแม่ทราบกาลเวลาที่จะละสังขารของท่านได้เป็นอย่างดี นอกจากคำพูดแล้ว คุณแม่ยังมีการกระทำที่เป็นปริศนา ซึ่งดิฉันพึ่งจะเข้าใจพร้อมกับการจากไปของคุณแม่ คือ วันหนึ่ง คุณนายอาภรณ์ผู้เรียนธรรม และเป็นเพื่อนกับคุณแม่มาเยี่ยมท่าน พร้อมกับนำผ้าเช็ดหน้าขาว ๑ ผืนมาให้ ขณะนั้นดิฉันอยู่ด้วยพร้อมกับหญิงเจ้าของละครชาตรี คุณแม่บอกว่าจะเล่นละครให้ดู ท่านให้ดิฉันไปหยิบถาด และเผาผ้าเช็ดหน้าซึ่งใส่ในถาดจนกลายเป็นเถ้า แล้วให้ยกถาดขี้เถ้าไปโปรยหน้ามุข สั่งให้ดิฉันหยิบกล้วยหอมหวีใหญ่มาให้หัวหน้าละครชาตรี แล้วให้ไปโหมโรงเล่นละครได้ (ขณะนั้นหัวหน้าละครชาตรี ได้นำคณะของตนมาแสดงอยู่ใกล้บ้านของคุณแม่)
คุณแม่ได้แสดงให้ศิษย์ทั้งหลายเห็นแล้วว่า “ท่านไม่ตาย” ท่านเพียงแต่ทิ้งสังขารไป หลังจากที่ได้ใช้กรรมที่ระลึกได้ในชาติก่อนโดยเรียบร้อย และบรรลุซึ่ง นิพพานํ ปรมํ สุขํ สมดังปรารถนาของท่าน ไม่มีศิษย์คนใดได้ยินคำสั่งเสียของท่าน ท่านจากไปด้วยสติสัมปชัญญะและความรู้สึกที่ยังครบบริบูรณ์
คุณธรรมความดีและพระคุณของคุณแม่ เป็นสิ่งประทับใจดิฉันและครอบครัวตราบชั่วชีวิต แม้คุณแม่จะมิได้มีเรือนร่างปรากฏแก่สายตาของดิฉันเช่นเดิม ภาพของท่านยังคงเป็นสัญญลักษณ์อันศักดิ์สิทธิ์ของดิฉันอยู่ชั่วกาลนาน
คุณแม่กับยาทิพย์ โดยพลตรี ยุทธ สมบูรณ์
บางท่าน ที่มาทำความรู้จักกับคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม มักจะเรียกท่านว่า คุณแม่หมอ คุณหมอ คุณยายหมอ หรือคำอื่นๆ ลงท้ายว่า “หมอ” คุณแม่บุญเรือน ไม่เคยรับหรืออวดอ้างว่าท่านเป็นหมอแม้แต่ครั้งเดียว
อย่างไรก็ดี ชื่อเสียงของคุณแม่บุญเรือนหอมไปทั่วประเทศไทย ในฐานะผู้วิเศษ ก็เพราะท่านอธิษฐานวัตถุสิ่งของต่างๆ ให้เป็นยารักษาโรคได้อย่างน่าอัศจรรย์ที่สุด
ก่อนที่จะผ่านไปถึงเรื่องการอธิษฐานสิ่งของให้เป็นยาทิพย์ ขอนำเรื่องความรู้ทางหมอของคุณแม่มาเผยแพร่ไว้บ้างเล็กน้อย รายละเอียดต่างๆ สอบถามได้จากคุณนายแกมแก้ว คุณหมอปรีดา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระประแดง ถึงจะได้ความที่น่าซาบซึ้ง ปัจจุบันคุณหมอปรีดาทำยาผงแก้โรคผิวหนังออกจำหน่าย ด้วยตัวยาที่คุณแม่บุญเรือนเป็นผู้บอกให้แก่คุณนายแกมแก้วมาก่อน ตัวยาเหล่านั้น ล้วนแต่เป็นชื่อภาษาอังกฤษทั้งนั้น ไม่ทราบว่าคุณแม่ไปทราบมาได้อย่างไร เพราะการศึกษาของคุณแม่บุญเรือนก็ได้รับเพียงอ่านออกเขียนได้ ปัจจุบันนี้ ยาแก้โรคผิวหนังดังกล่าวยังมีจำหน่ายอยู่เสมอ
นอกจากนั้น คุณหมอปรีดาได้ตำรายาอีกอย่างหนึ่ง คือ น้ำมันโพธิ์งาม ซึ่งคุณหมอปรีดาได้ผสมขายอยู่ทุกวันนี้เช่นดียวกัน ผมสีขาวใส่น้ำมันโพธิ์งามแล้ว ผมจะกลายเป็นสีเทา และจะเข้มขึ้นทุกที และยังใช้ทาเพื่อเหตุอื่นๆ อีกด้วย
ยาขนานที่ ๓ คือ ยาสีฟันวิเศษนิยม ของโรงงานวิเศษนิยม ซึ่งเป็นยาสีฟันขนานเดียวที่สามารถทำรายได้ อย่างดีตลอดมา แม้ว่ายาสีฟันต่างประเทศมาแปลกๆ ก็ไม่สามารถลดความนิยมของประชาชนได้ เป็นยาวิเศษสมชื่อ เพราะใช้ทาหน้าแก้สิวฝ้าหน้าตกกระ และยังทำให้เกิดเมตตามหานิยมตามที่จะอธิษฐานเอาเอง ฟันที่ปวดทำให้หายปวดฟันได้ รายละเอียดอาจสอบถามได้จากคุณนายผิน แจ่มวิชาสอน ที่พระโขนง
ขอย้อนกล่าวถึงยาทิพย์ การอธิษฐานให้ศักดิ์สิทธิ์เป็นเรื่องของคุณแม่ สิ่งของเรานำไปให้ท่านเอง เราจะปรารถนาให้ศักดิ์สิทธิ์ไปในทางใดก็ได้ น้ำเป็นสิ่งที่คุณแม่บุญเรือนให้ลูกๆ ทุกคนตั้งอธิษฐานกันเองในวันเสาร์ จำได้ว่า ปูนกับพริกไทยจะต้องนำไปให้คุณแม่อธิษฐาน เราทำเองไม่ได้ การตั้งน้ำแต่ละครั้งจะผสมผลไม้และสิ่งของเครื่องอุปโภคบริโภคอื่นๆ ก็ได้ สิ่งของเหล่านั้น กลายเป็นยาทิพย์หรือของทิพย์ขึ้นมา
นอกจากน้ำซึ่งลูกๆ ตั้งให้เป็นยาทิพย์กันทุกๆ คนแล้ว ปูน เป็นยาทิพย์ขนานที่สอง เมื่อทาปูนแล้วจะต้องการให้หายโรค ป้องกันโรค ทาที่ตัวของเราเอง จะตั้งความปรารถนาให้คนอื่นด้วยก็ได้ ใช้ได้ทุกอย่างตามปรารถนา น้ำปูนใช้ทาหน้าทำให้ผิวหน้าสวย ผสมกับไพลอธิษฐานแก้โรคท้องร่วง ท้องเสีย
พริกไทย เป็นยาทิพย์อีกขนานที่ลูกๆ มีติดบ้านเป็นประจำ นอกจากแก้โรคธรรมดาแล้วยังแก้โรคปัญญาทึบ ทำให้เฉลียวฉลาดได้ เป็นไวตามินบำรุงประสาทได้อย่างดี ไปต่างประเทศที่อากาศหนาว ใช้รับประทานเพื่อให้ร่างกายอบอุ่น หลานๆ คุณแม่ที่ไปเมืองนอกพกกันเอาไปแทบทุกคน
สาคู เป็นยาทิพย์อีกขนาน มีชื่อเสียงโด่งดังเมื่อได้ชุบชีวิตให้กับท่านพลตำรวจโท หลวงวิทิตกลชัย คุณแม่เคยพูดว่า ท่านผู้นี้มีความซื่อสัตย์สุจริตต่อชาติบ้านเมือง ต้องช่วยกันเอาไว้ให้ทำคุณประโยชน์ต่อไปใหม่ สาคูอธิษฐานยาทิพย์ที่มีสรรพคุณในการเพิ่มโลหิตแดง เพิ่มกำลังร่างกายให้แข็งแรง
ไพล เป็นยาทิพย์อีกเหมือนกัน คุณใหญ่ คุณลุงที่อยู่สุพรรณ คุณยายตี่ที่อยู่สุโขทัยชอบมาก เห็นนำมาให้คุณแม่อธิษฐานทีละถุง เกือบเท่าถุงปูนซีเมนต์ ผู้ป่วยด้วยโรควัณโรค โรคไต ฯลฯ ตำแล้วคั้นเอาแต่น้ำ ผสมกับน้ำอธิษฐานรับประทาน ชะงัดนัก ถ้าจะให้เป็นยาระบายอย่างอ่อนๆ ด้วย ก็ต้องเติมเกลือเม็ดหรือสองเม็ด
ผลไม้ที่ใช้รับประทาน อธิษฐานให้เป็นยาทิพย์ได้ คุณแม่มักจะมีผลไม้ยาทิพย์แจกพวกลูกๆ หลานๆ ที่ไปสวดมนต์ในวันอาทิตย์เป็นประจำ ต่อไปนี้ไม่มีการแจกกันอีกแล้ว
ยาทิพย์ของคุณแม่บุญเรือนยังมีอีกมาก ไม่รู้จบ ศิลากรวด ศิลาน้ำ หลวงพ่อพุทโธน้อย ฯลฯ ก็ใช้เป็นยาทิพย์ได้ทั้งสิ้น คุณแม่ทำไว้มากมายหลายอย่าง อธิษฐานเองก็ได้ เทียนแนวชีวิต ซึ่งลูกๆ รักษากันไว้เปรียบดวงชีวิตนั้น รักษาโรคได้เหมือนกัน เช่น คุณนายฉวี จุดขึ้นแล้ว คุณแม่ท่านก็มาจัดการให้เองเสร็จ
ขอย้อนกล่าวเรื่องน้ำอธิษฐานอีกครั้งว่า คุณแม่บอกว่า ตั้งกินเข้าไปเถิด ให้ “เนื้อเป็นทิพย์” เมื่อใดก็จะหมดโรค หมดภัย แม้แต่รังสีปรมาณูก็จะทำอันตรายมิได้ ตัวผู้เขียนเองตั้งน้ำวันเสาร์ ก็เลยตั้งเครื่องใช้ทุกอย่างด้วยให้เป็นของทิพย์
คุณแม่เองก็เป็นยาทิพย์ได้เหมือนกัน จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่า ฯพณฯ จิ๊ด (เศรษฐบุตร) เมื่อคราวเป็นเอกอัครราชทูต อยู่มอสโคว์ เคยป่วย คุณผู้หญิงของ ฯพณฯ จิ๊ด หมดปัญญาจะช่วย ระลึกถึงคุณแม่บุญเรือนขึ้นมาได้ เรียกให้คุณแม่บุญเรือนช่วย ฯพณฯ จิ๊ดก็หายโรคเป็นปัจจุบัน
คุณแม่สถิตย์อยู่ ณ สถานพิมานใด ลูกขออัญเชิญมาสิงสถิตย์อยู่กับลูกๆ ตลอดไป และขอให้ลูกๆ ทุกคนปราศจากโรค ภัย ทุกชนิด ให้แนวชีวิตรุ่งโรจน์ ให้อายุยืน ให้รู้อรรถธรรมเป็นอยัมภทันตา หากข้อความที่เขียนมามีความบกพร่องแม้แต่น้อย ขอโปรดอโหสิกรรมลูกผู้มีปัญญายังน้อยด้วย
ผู้ช่วยคลายทุกข์ โดยพันเอกดำเนิน เลขะกุล
ผมรู้สึกตัวชาเย็น เมื่อพบข่าวล้อมกรอบเล็กๆ ในหนังสือพิมพ์รายวันฉบับหนึ่งว่า คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม ถึงแก่กรรม และจะมีการรดน้ำศพท่านถึง ๒ วัน วันที่พบข่าวนี้เป็นวันสุดท้ายเสียด้วยซี เย็นวันนั้น เมื่อออกจากที่ทำงานแล้ว ผมจึงขับรถตรงไปยังบ้านพระโขนงทีเดียว ที่นั่น ผมพบบรรดาญาติและศิษย์ของท่าน แต่งดำและไว้ทุกข์มารวมกันอยู่หลายคนแล้ว ต่อไปนี้ขอให้ผมเรียกท่านตามแบบอย่างที่บรรดาศิษย์ชายหญิง ของท่านใช้เรียกท่านว่า “คุณแม่” เถอะครับ เพราะเราถือว่า ระหว่างท่านกับศิษย์ผู้ปฏิบัติธรรมทุกคนเป็นญาติสนิทกันทั้งหมด
ขณะที่ผมรดน้ำลงบนฝ่ามือของท่านที่คอยแบรออยู่แล้ว ผมใจหาย ความคิดต่างๆ ได้วิ่งแข่งเข้ามาหาพรั่งพรู ดูซิ ฝ่ามือของท่านไม่ได้เหี่ยวแห้ง คงมีเนื้อเต็มอย่างฝ่ามือคนธรรมดา ไม่บวมฉุแต่อย่างใด แม้คุณแม่จะได้สิ้นมาถึง ๒ วันแล้ว และมือนี้เอง เคยรับใช้คุณแม่ หยิบข้าวของยื่นให้คนนั้น ส่งให้คนนี้ ควักปูนทาอกทาหลังให้แก่ผู้เจ็บไข้ได้ป่วยทางกายและทางใจ คนแล้วคนเล่า
ต่อไปนี้ เราจะสูญเสียมือวิเศษนี้ไปแล้ว เหลือบมองไปทางดวงหน้าของคุณแม่ เห็นนัยน์ตาหลับสนิทเหมือนคนนอนหลับ ไม่แสดงอาการเจ็บปวดห่วงใยอะไรเลย ตามลักษณะของผู้ปฏิบัติธรรม และรู้ความจริงและรู้วาระสุดท้ายของชีวิตตน
ในขณะที่คุณแม่ยังมีชีวิตอยู่ นัยน์ตาแจ่มใสและเปี่ยมด้วยแววเมตตาคู่นี้ เคยจ้องดูคนทุกคนที่เข้ามาหาอย่างสนใจพินิจพิเคราะห์ และแทงทะลุรู้ถึงจิตใจและโรคภัยภายในของผู้นั้นได้อย่างน่าอัศจรรย์ แต่บัดนี้ เราก็ไม่เห็นนัยน์ตาคู่นั้นอีกแล้ว
ละจากนัยน์ตามาดูปาก ปากคุณแม่เม้มสนิท ต่อไปนี้เราก็ไม่ได้ยินเสียงคุณแม่สวดมนต์ สั่งสอนธรรม ดุเมื่อศิษย์ทำผิด และชมเชยให้พร เมื่อศิษย์ปฏิบัติดีอีกแล้ว ผุ้ใหญ่ท่านว่า การรดน้ำศพนั้น นอกจากเป็นการเคารพและขอขมาต่อศพแล้ว ยังเป็นการคิดปลงตามคติธรรมของพุทธศาสนาด้วยว่า สังขารไม่เที่ยงหนอ
เมื่อได้รดน้ำคุณแม่เสร็จแล้ว ผมได้ถอยออกมานั่งคุยกับศิษย์คนที่รู้จัก และได้รอดูอยู่ จนเขาจัดการนำร่างของคุณแม่ลงหีบ และจัดการนำหีบขึ้นประกอบวางบนขาไม้ เพื่อจัดดอกไม้แต่งบูชา เสร็จแล้วผมจึงได้ลากลับ ถึงบ้านแล้วผมก็ได้ใช้เวลาทบทวนเรื่องเก่าๆ ของคุณแม่ที่เกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวผม แม้ว่าเหตุการณ์เหล่านั้นจะเนิ่นนานมาถึง ๑๐ ปีแล้ว แต่ผมก็ยังจำได้เป็นส่วนมาก
ผมยังจำได้ว่า ขณะที่ชาตาของผมกำลังตกอยู่ในภาวะที่เลวร้ายที่สุดของชีวิตที่ผ่านมาเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๖ นั้น ผมถูกทรมานทางใจอย่างแสนสาหัส นอนไม่หลับไปตั้งหลายคืน เรื่องราวนี้ได้รู้ไปถึงพลตรียุทธ สมบูรณ์ (ขณะนั้นยังเป็นพันเอก) เพื่อนรักเหมือนญาติสนิทองผมเข้า คุณยุทธก็หาทางแก้ แต่การแก้ของเขาแปลก แทนที่จะแก้ตรงปมปัญหาที่ผูกมัดผมอยู่ถึง ๑๐-๑๐ เปลาะออกโดยตรง เขากลับนำเอาผมมาหาคุณแม่บุญเรือนที่บ้านสามัคคีวิสุทธิ ถนนวิสุทธิกษัตริย์
ในตอนที่ขึ้นไปบนบ้านและเข้าไปนั่งในห้องสวดมนต์ซึ่งอยู่ด้านหน้า และมีพระพุทธรูปองค์ใหญ่ประดิษฐานอยู่บนตั่งตรงมุมห้องนั้น คุณแม่กำลังอยู่ข้างใน คุณยุทธและผมนั่งรอสักครู่หนึ่ง คุณแม่เดินออกมาจากห้อง เราทั้งสองทำความเคารพท่านพร้อมกัน แล้วคุณยุทธก็แนะนำชื่อให้คุณแม่รู้จัก แล้วต่างคนก็เงียบกันไปครู่หนึ่ง แต่สำหรับคุณแม่ ท่านจ้องมองดูที่ผมครู่หนึ่ง แล้วกล่าวเปรยๆ ขึ้นว่า “คนจะเป็นสุขได้ต่อเมื่อใจสงบ” พูดแล้วท่านก็ลุกเข้าไปข้างใน ปล่อยให้เรานั่งอยู่ที่เดิม แล้ววันนั้นผมไม่ได้รบกวนอะไรท่านอีก เพราะเป็นคนหน้าใหม่ ผมเห็นหมดธุระแล้ว ก็ลาคุณยุทธกลับบ้านก่อน
เมื่อกลับมาถึงบ้าน ผมมีเวลาว่าง ก็เก็บเอาประโยคที่คุณแม่กล่าวว่า “คนจะสุขได้ ต่อเมื่อใจสงบ” มาคิด คิดแล้วผมก็ตีความหมายออก อ้อ ! นี่คุณแม่สอนเรานั่นเอง จริงด้วยซิ เพราะจิตใจรุ่มร้อนอยู่ทั้งกลางวันกลางคืน ไม่สงบได้ เช่นนี้แล้วจะมีความสุขอย่างไร แน่เหลือเกิน แต่เอ๊ะ ! คุณแม่ท่านทราบเรื่องภายในอกในใจของผมได้อย่างไร ในเมื่อยังไม่มีใครเล่าเรื่องส่วนตัวของผมให้ท่านฟัง หรือท่านจะมีตาทิพย์มองเห็นและรู้จิตใจคนอื่นได้ คงเป็นไปไม่ได้น่ะ ทั้งนี้เป็นเพราะ ขณะนั้นผมเป็นคนหัวใหม่ ไม่ใช่จะเชื่อผลที่ทดลองไม่ได้ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์นั่นเอง แต่ก็ก็แปลกที่ผมเป็นคนเชื่อในหลักธรรมของพระพุทธเจ้า ทั้งนี้เห็นจะเป็นเพราะผมได้ใกล้ชิดกับพระมาก นับแต่เป็นลูกศิษย์วัดมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยนั่นเอง จึงเมื่อผมพิจารณาเห็นว่า คำของคุณแม่เข้ากับหลักธรรมดังกล่าวแล้ว ผมก็รับเข้าไว้ปฏิบัติอย่างเต็มใจด้วยวิธีต่างๆ เช่น พยายามรับรู้เสียว่า ความทุกข์ที่ผมได้รับนั้น เกิดจากผลกรรมที่เคยกระทำไว้แต่อดีต เมื่อกรรมนั้นมาถึง ก็ควรจะทนรับไปจนกว่าจะหมด เช่นนี้เป็นต้น แต่ที่ได้ผลมากก็คือ นับแต่วันนั้นมาผมได้หมั่นไปนั่งฟังคำสอนของคุณแม่ และนั่งหลับตาทำสมาธิที่บ้านสามัคคีวิสุทธิเป็นประจำ ไม่นานนักผมก็ชนะ คือคลายใจคลายทุกข์ร้อน ไม่ยึดไม่จับความกลุ้มไว้อีก แม้ว่าวิบากกรรมที่ได้รับนั้นยังคงมีอยู่ ไม่หมดไป แต่ผมกล้าหันหน้าเข้าสู้ คลายปมขัดข้องออกไปทีละเปลาะๆ อย่างหน้าชื่นตาบาน ไม่ยอมนอนไม่หลับอีก จนทุกวันนี้ ปมยุ่งสิบกว่าเปลาะของผม ได้คลี่คลายไปเกือบหมดแล้ว ยังเหลือเปลาะสำคัญๆ อีกสองสามเปลาะเท่านั้น
การชุมนุมปฏิบัติธรรมของศิษย์คุณแม่ที่บ้านสามัคคีวิสุทธิในวันเสาร์และอาทิตย์ครั้งนั้น ทีแรกที่ผมไปร่วมนั้นรู้สึกว่า มีจำนวนคนมิไม่น้อย ถึงกระนั้น แต่ละคราว มีคนไปร่วมกันสวดมนต์ ฟังคำสอนของคุณแม่ และทำสมาธิจำนวนพอดีๆ กับขนาดบ้าน แต่ต่อๆ มา ชักจะมีสมาชิกมากขึ้นทุกที จนกระทั่งนั่งกันเต็มทุกห้องแม้แต่หน้าครัว เฉลียง แล้วล้นออกไปถึงบันได
ในพ.ศ. ๒๔๙๗-๒๔๙๘ ผมต้องเดินทางออกต่างจังกวัดเกือบตลอดเวลา จึงเหินห่างไปอย่างน่าเสียดาย ถึงอย่างไรก็ตาม ผมยังคิดอยู่เสมอว่า การนั่งสมาธิของคุณแม่ ที่ผมเริ่มปฏิบัติเป็นครั้งแรกนี้ แม้เป็นการทำอย่างง่ายๆ และท่านไม่ยอมบอกวิธีการอะไรมากไปกว่าให้หลับตาก็ได้ ลืมตาก็ได้ สำรวมใจเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง แต่ผลที่ได้นั้น ทำให้ผมสามารถบังคับความไวของหูตาและความนึกคิดฟุ้งซ่านได้ดี เมื่อนั่งหลายๆ ครั้งเข้า หูที่ผมบังคับไม่ให้ได้ยินเสียงได้ยาก นอกจากจะหาอะไรอุดเสียนั้น ก็สามารถบังคับให้เมินเฉยต่อเสียงวิทยุกระจายเสียงจากบ้านที่อยู่ติดกับบ้านสามัคคีวิสุทธิได้เป็นอย่างดี แล้วจิตก็โปร่งใส
นอกจากนั้น เมื่อผมไปนั่งทำสมาธิกับพระอาจารย์ที่วัดบรมนิวาสเป็นเวลาถึงสี่ชั่วโมง ก็ทำได้อย่างสบาย ไม่รู้สึกปวดเมื่อย หรือรำคาญแม้แต่น้อย และเมื่อผมได้เข้าปฏิบัติวิปัสสนาอย่างจริงจังที่วัดมหาธาตุในระหว่างบวชเป็นพระภิกษุ ก็ได้ผลดี ทั้งนี้เพราะผมได้นิสัยจากการปฏิบัติมาจากคุณแม่ ครั้งที่อยู่ที่บ้านสามัคคีวิสุทธินั่นเอง
ในระหว่างที่ผมไปปฏิบัติธรรมอยู่ที่บ้านสามัคคีวิสุทธิ์นั้น ผมยังประสบกับปรกฎการณ์แปลกและอัศจรรย์ของคุณแม่หลายอย่าง ที่ทำให้ผมเชื่อสนิทว่า ในโลกที่กำลังว้าวุ่นสับสนนี้ ยังมีพลังอำนาจแปลกประหลาดอย่างที่เราเรียกว่า อิทธิฤทธิ์ซ่อนอยู่ คนที่จะใช้อิทธิฤทธิ์นี้ได้ จะต้องสร้างอำนาจภายในตนให้มีระดับสูงขึ้นๆ จนถึงระดับหนึ่ง ที่เพียงพอที่จะบังคับพลังอำนาจธรรมชาตินั้นได้เสียก่อน
คุณแม่เป็นผู้สร้างอำนาจนั้นขึ้นได้ ด้วยการทำจิตใจให้สะอาด ปฏิบัติธรรม คุณแม่จึงสามารถอธิษฐานใช้อำนาจที่เกิดขึ้นในตัว บังคับอำนาจธรรมชาติ ทำให้น้ำสะอาดธรรมดากลายเป็นน้ำที่คนดื่มกินหายโรคภัยได้ อธิษฐานให้ปูนแท้ๆ กลายเป็นปูนศักดิ์สิทธิ์ทารักษาคนให้หายโรคต่างๆ ได้สาระพัด อธิษฐานพริกไทเม็ดให้เป็นของวิเศษกินแก้อะไรต่ออะไรก็ได้ ไม่แต่เท่านั้น สิ่งเหล่านี้ผู้ใช้อาจอธิษฐานให้บำบัดโรคทางใจได้อย่างชะงัดอีกด้วย
แน่ละ นักวิทยาศาสตร์และนายแพทย์จะรับรู้เรื่องประหลาดเหล่านี้ไม่ได้ แต่ก็ได้เกิดขึ้นจริงๆ แล้ว มิใช่รายเดียว แต่นับเป็นร้อยเป็นพันราย หรือไม่คนบางคนที่ไม่เห็นด้วยตาตนเอง อาจคิดไปว่าคงมีเลศนัย หรือเลวไปกว่านั้น อาจจะเข้าใจว่า เป็นอุบายหาสตางค์เข้ากระเป๋า แต่เปล่าเลย คนที่ไปให้คุณแม่รักษา จะเอาอะไรไปให้ท่านไม่ได้เป็นอันขาด เพราะถ้าทำเช่นนั้น ท่านจะไม่ยอมรักษาให้ ตรงกันข้าม ท่านกลับจะเลี้ยงอาหารและให้ของกินของใช้กลับไปบ้านเสียอีก
จริง พวกศิษย์ใกล้ชิดเท่านั้น ที่จะนำเอาอาหารคาวหวาน ส้มสูกลูกไม้ไปรวมกันเพื่อถวายพระ หรือไม่ก็ให้คุณแม่อธิษฐานให้ได้ แต่เมื่อเสร็จแล้วก็รับประทานกัน ถ้าเหลืออีกก็แจกจ่ายไปฝากคนที่บ้าน ไม่เคยมีการเก็บเลย
ผมเข้าใจว่า ปรากฏการณ์ทางอภินิหารต่างๆ ท่านผู้อ่านคงได้ทรายจากบันทึกของศิษย์อื่นๆ ที่เขียนและพิมพ์ไว้ในหนังสือเล่มนี้แล้วเป็นส่วนมาก เพื่อไม่ให้เรื่องที่ผมเขียนนี้ซ้ำและยาวเกินไป ผมขอเล่าสักเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของผมเองเท่านั้น เรื่องมีว่า
ในคราวที่ผมกำลังไปปฏิบัติธรรมอยู่ที่บ้านสามัคคีวิสุทธิเป็นประจำนั้น ผมได้นำปูนไปให้คุณแม่อธิษฐานให้กระป๋องนมหนึ่ง แล้วนำมาทารักษาทางใจ ในขณะนั้น ลูกชายคนโตของผม ซึ่งอยู่คนละแห่งได้มาเยี่ยม ผมนึกได้ว่า ที่หลังมือของเขา มีถุงน้ำเป็นลูกกลมโตอยู่ใต้ผิวหนังลูกหนึ่ง โตสักปลายนิ้วก้อย ถุงน้ำชนิดนี้ ผมเห็นเขารักษากันด้วยการผ่าตัดเอาถุงน้ำออก แต่ผมไม่อยากให้ลูกเจ็บตัว จึงบอกให้เขาลองใช้ปูนอธิษฐาน ที่ผมได้มาจากคุณแม่ทาดู ก่อนทาก็ขอให้เขาอธิษฐานเสียก่อน เขาทำตามที่ผมบอก แต่ดูเขาจะไม่เชื่อ เพราะทำหน้ายิ้มๆ อยู่ ปฏิบัติไปด้วยความเกรงใจเท่านั้น คงทากันได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น
ทั้งเขาและผมต่างก็ลืมว่าได้ทำอะไรไปบ้าง ล่วงไปราว ๑๐ วัน เมื่อเขามาเยี่ยมอีก ผมจึงนึกได้ ขอเขาดูหลังมือที่เคยมีถุงน้ำ เราพากันแปลกใจเป็นที่สุด เพราะถุงน้ำก้อนโตที่เป็นมาตั้งแต่เล็กๆ นั้น หายตัวไปแล้ว มันหายไปได้อย่างไร ? ใครเล่าจะตอบได้
บัดนี้ คุณแม่บุญเรือนที่ได้ปฏิบัติตนต่อสังคมหรือคนทั่วไป มีแต่ประการเดียวคือ ช่วยทุกข์ให้แก่ผู้อื่นเยี่ยงพระโพธิสัตว์ทั้งหลายนั้น ได้ล่วงลับไปแล้ว คงทิ้งแต่ธรรมที่ท่านเพียรสั่งสอนไว้ให้เป็นอนุสรณ์แก่พวกเราผู้เป็นศิษย์ของท่านเท่านั้น
ผู้เสมือนคุณแม่ โดยสุจริต ถาวรสุข
แต่เดิมมา ข้าพเจ้าหาได้รู้จักกับคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติมไม่ จนกระทั่งปี ๒๔๙๖ หลังจากข้าพเจ้าได้ผิดหวังในการสอบคัดเลือกเป็นผู้พิพากษาในตอนราวกลางปีนั้นแล้ว บังเอิญข้าพเจ้าได้พบกับหม่อมถวิล สุทัศนีย์ สุภาพสตรีที่ข้าพเจ้าเคารพนับถือและได้เรียกว่าคุณแม่มาแต่เยาว์วัย ได้ให้คำแนะนำข้าพเจ้าว่า น่าจะไปหาคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม ซึ่งเป็นนักบุญผู้แกร่งกล้าสามารถขอให้ท่านอธิษฐานธรรมให้บ้าง จะได้โชคดีในวันข้างหน้า
เมื่อพูดถึงนักบุญหรืองานบุญปกติ ข้าพเจ้าก็ย่อมเลื่อมใสศรัทธา เพราะข้าพเจ้าได้รับการอบรมให้ใฝ่ใจด้านนี้มาแต่อายุน้อย ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงได้รับการนัดหมายให้ไปพบคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม โดยการนำของคุณแม่หม่อมถวิล สุทัศนีย์ ที่บ้านสามัคคีวิสุทธิ ถนนวิสุทธิกษัตริย์ พระนคร ในวันแรกที่ได้ไปพบคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม ในปีที่กล่าวนั้น ข้าพเจ้าได้ไปกราบแสดงความเคารพท่านๆ ได้ถามถึงความประสงค์ที่มาหา ข้าพเจ้าก็เลยเล่าถึงความอยากมีโชคดีในการสอบเป็นผู้พิพากษาบ้าง
คุณแม่บุญเรือนท่านบอกว่า เมื่อตั้งใจจริง ใฝ่ในการกุศล ก็ต้องสอบได้ และบอกว่า คราวต่อไปก็สอบได้แล้วละลูก คำพูดของท่านประโยคนั้นซาบซึ้งความรู้สึกของข้าพเจ้าเป็นอันมาก ข้าพเจ้าก็ไม่ทราบว่าท่านอธิษฐานธรรมให้ หรือท่านอวยพรให้ หรือท่านมีญาณทราบโดยทางใดหรือไม่อย่างไร เพราะปรากฏในระยะต่อมาอีกไม่เกิน ๖ เดือนนับแต่หลังสอบคราวก่อนนั้น ข้าพเจ้าก็สอบเป็นผู้พิพากษาสำเร็จ ได้คะแนนในลำดับดีเป็นที่ ๒ นับว่าการได้มาพบคุณแม่บุญเรือนโตงบุญเติมแล้ว ข้าพเจ้าก็ได้ประสบโชคดีอย่างยิ่งประการหนึ่งของชีวิต
เมื่อข้าพเจ้าได้มาพบกับคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม ในครั้งแรกแล้ว ข้าพเจ้าก็ได้ถือตัวเป็นลูกหรือเป็นศิษย์ของท่านมาแต่บัดนั้น ต่อมาข้าพเจ้าก็ได้ไปหาท่านที่บ้านสามัคคีวิสุทธิ ถนนวิสุทธิกษัตริย์ อีกมากมายหลายครั้ง ไปพร้อมกับคุณแม่หม่อมถวิล สุทัศนีย์บ้าง ไปโดยตนเองบ้าง ไปกับเพื่อนอื่นๆ บ้าง ได้ไปร่วมสวดมนต์ภาวนา ฝึกหัดทำกัมมัฏฐานเป็นครั้งคราวแทบทุกวันเสาร์ตอนบ่าย ได้ร่วมรับประทานอาหารกับคณะผู้ร่วมบำเพ็ญบุญ อันมีฐานะเป็นศิษย์หรือลูกของคุณแม่บุญเรือน ซึ่งมีนามคณะว่า คณะสามัคคีวิสุทธิ ได้เคยรับแจกผลไม้อธิษฐานและของอื่นอีกแทบทุกครั้ง ข้าพเจ้าเคยนำปูน พริกไท และของอื่นไปให้ท่านอธิษฐานธรรมเพื่อความศักดิ์สิทธิ์มากให้ ข้าพเจ้าได้เห็นสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีมากหลายเป็นจำนวนร่วมร้อยคนที่มาร่วมสวดมนต์ภาวนาทุกวันเสาร์ตอนบ่าย ได้เห็นบุคคลที่เป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ทั้งทหาร พลเรือนมาร่วมการบำเพ็ญบุญนี้เกือบทุกเสาร์ ทั้งยังได้เห็นและทราบด้วยว่า ในจำนวนคนทั้งหมดนั้นมีผู้เป็นผู้พิพากษาอยู่หลายคน นอกจากนั้น เวลาคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม ประกอบการบุญใหญ่ๆ เป็นพิเศษ มีการเลี้ยงพระก็ดี การลอยกระทงกลางเดือน ๑๒ ในปี พ.ศ. ๒๔๙๗ ก็ดี ข้าพเจ้าก็ได้มาร่วมในพิธีต่างๆ นั้นด้วย
ในพิธีลอยกระทงดังกล่าวแล้ว ข้าพเจ้าได้เห็นคนเป็นจำนวนมากมายหลายร้อยคนได้มาร่วมงานบุญกับท่านอย่างคับคั่ง ต่อมาเมื่อคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติมได้ไปทำพิธีการบุญที่พระพุทธบาท สระบุรี ขณะนั้นข้าพเจ้ารับราชการอยู่ที่นั่น ก็ได้ไปร่วมในงานบุญที่กล่าวนี้ ทั้งได้รับแจกถุงสีเขียว ซึ่งท่านว่าเป็นถุงสำหรับเหนี่ยวทรัพย์ด้วย
การได้มาร่วมบำเพ็ญบุญสวดมนต์ภาวนา ได้รับแจกผลไม้อธิษฐานของท่านและของอื่นเป็นประจำ รู้สึกเป็นมงคลอยู่เป็นอันมากเสมอมา
พฤติการณ์ที่พบเห็น ได้รู้จักกับท่านและเป็นลูกของท่านมา แสดงให้เห็นความเป็นนักบุญผู้เพียบพร้อมด้วยมารยาทและคุณธรรมอันสูงส่ง ทั้งเสียสละอย่างยิ่งยวด มีคนนับถือท่านเป็นอันมาก เป็นเครื่องยืนยันให้เห็นว่า คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติมต้องมีความดี มีคุณธรรมและความสามารถอย่างยิ่งยวดทีเดียว จึงสามารถสร้างศรัทธาให้แก่บุคคลกลุ่มใหญ่ได้
ข้าพเจ้าได้ยินได้ฟังได้ทราบเรื่องความสามารถในการักษาโรคภัยไข้เจ็บด้วยใช้ของอธิษฐานมี น้ำ ปูน ไพล พริกไท และของอื่นได้อย่างศักดิ์สิทธิ์ โดยการอธิษฐานธรรมอันแน่วแน่ มีพลังทางใจอย่างสูง ซึ่งข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่าท่านต้องสามารถทำได้ แม้ความเป็นจริงข้าพเจ้าเองจะไม่ได้เจ็บป่วย ไปขอให้ท่านรักษาโดยตรง และไม่ได้มีโอกาสได้เห็นประจักษ์โดยตรงในเรื่องเกี่ยวกับอิทธิปาฏิหาริย์ของท่าน แต่เนื่องจากได้ทราบจากท่านผู้มีชื่อ ผู้ใหญ่ และเพื่อนๆ มากท่าน ทำให้เชื่อโดยปราศจากข้อสงสัย อย่างไรก็ดี ข้าพเจ้าเองก็ได้พกพระพุทโธองค์น้อย อันเป็นพระอธิษฐานของคุณแม่ติดตัวอยู่เสมอ บางครั้งข้าพเจ้าก็ได้ผ่านพ้นอันตรายและอุบัติเหตุอย่างน่าหวาดเสียว ทำให้เชื่อว่าน่าจะด้วยพุทธคุณพระพุทโธมีส่วนคุ้มครองอยู่ด้วยอย่างแน่นอน
หากจะตัดเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ต่างๆ ออก เพียงพิจารณาท่านแต่ด้านการบำเพ็ญงานบุญ ซึ่งท่านได้พากเพียรประกอบการบุญทุกเวลาและโอกาส พากเพียรพยายามฝึกใจ มีสมาธิแก่กล้า ทั้งเป็นนักเสียสละอย่างยอดเยี่ยม พยายามช่วยเหลือผู้อื่นเป็นนิจสิน เพียงด้านนี้ด้านเดียว ท่านก็ควรเป็นยอดนักบุญอันควรได้รับความเคารพนับถืออย่างยิ่งอยู่แล้ว ยิ่งยังปรากฏชื่อเสียงด้านอิทธิปาฏิหาริย์ สร้างยาทิพย์ด้วยการอธิษฐานธรรมได้ ทั้งยังสามารถช่วยแก้ข้อขัดข้องทางชอบธรรมให้บุคคลผู้เดือดร้อนได้ด้วยแล้ว ไม่เป็นปัญหาเลยว่า ท่านควรแก่การเคารพนับถืออย่างยิ่งยวดสูงส่งทีเดียว
ปกติคำว่า คุณแม่ จะใช้เรียกสตรีใดได้ เราก็ต้องเลือกสรรค์บุคคลที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับคุณแม่ที่แท้จริง ผู้ให้ความเมตตาปราณีแก่ลูก คนเราจะเรียกคนอื่นที่ไม่ใช่คุณแม่ที่แท้จริงว่า คุณแม่ ได้ย่อมมีน้อยคนมาก สำหรับข้าพเจ้าเองจะเรียกสุภาพสตรีอื่นว่าคุณแม่ก็ต้องเป็นผู้ที่เคารพรักถึงขนาดจริงๆ เท่านั้น
แต่สำหรับคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม ข้าพเจ้าเต็มใจสมัครใจในการเรียกคุณแม่ได้อย่างเต็มที่ เพราะท่านมีลักษณะแห่งความเป็น “แม่” อยู่อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ทั้งความเป็นจริงท่านเป็นคุณแม่ของศิษย์ของท่าน และผู้ร่วมการบุญกับท่านด้วยความสมัครใจอยู่แทบทั่วทุกคน และดูเหมือนท่านครองความเป็นแม่ที่มีลูกอยู่มากมายทั่วสารทิศ เป็นจำนวนหลายพันคนหรือเรือนหมื่นคน หรือเป็น “แม่” ที่มีลูกมากที่สุดผู้หนึ่ง
ระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๙๙-๒๕๐๓ ข้าพเจ้าย้ายไปรับราชการที่ชัยนาท มีโอกาสน้อยจึงไม่ค่อยได้พบท่าน ต่อมาเมื่อข้าพเจ้าย้ายกลับมารับราชการในกรุงเทพฯ ได้มาร่วมสวดมนต์ ภาวนา ที่บ้านพระโขนงอีก ในระยะนี้เนื่องด้วยติดภารกิจอื่น จึงมาได้น้อยครั้งและไม่สม่ำเสมอ แต่ในห้วงความรู้สึกนึกคิดก็ระลึกถึงเคารพท่านอยู่เป็นเนืองนิตย์
ในปี ๒๕๐๗ ได้ทราบว่าท่านเริ่มป่วย ตั้งใจจะมาเยี่ยมท่าน ก็ยังไม่ทันได้มา จนกระทั่งวันที่ ๗ กันยายนตอนบ่าย ข้าพเจ้าได้รับโทรศัพท์แจ้งว่า คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม ทิ้งร่างวายชนม์ไปแล้ว ข้าพเจ้าใจหายวูบ รู้สึกเศร้าสลดอย่างลึกซึ้ง เพราะเมื่อไม่นานนี่เอง ข้าพเจ้ายังไปร่วมสวดมนต์ภาวนา ได้ฟังเสียงที่ท่านทักทายยังสดชื่นแจ่มใสดีอยู่แท้ๆ
ในคืนวันนั้นเอง ข้าพเจ้าก็ได้รีบไปกราบเคารพศพท่านที่บ้านพระโขนง ได้เห็นบรรดาศิษย์และผู้ร่วมการบุญกับท่านเป็นจำนวนมากมาช่วยชุมนุมแสดงความเคารพและฟังพระอภิธรรม ข้าพเจ้าได้ร่วมงานบำเพ็ญกุศล ณ ที่ตั้งศพที่วัดธาตุทอง พระโขนงด้วย และปวารณาตัวที่จะรับใช้งานนี้สนองพระคุณท่าน จนกระทั่งเสร็จพิธีประชุมเพลิง
การทิ้งร่างวายชนม์ของคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม จากไป ย่อมเป็นการสูญเสียยอดนักบุญผู้บำเพ็ญเพียรปฏิบัติการบุญชั้นเยี่ยมยอดทุกสาขาไปอย่างน่าเสียดายอย่างยิ่ง ทั้งย่อมเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของคณะสามัคคีวิสุทธิผู้ร่วมบำเพ็ญบุญเป็นต้นมาในอดีตเป็นเวลาสิบๆ ปีอย่างไม่อาจจะหานักบุญใดมาเทียมเทียบได้ ทั้งเท่ากับเป็นการเสียผู้เพียรบำเพ็ญฝึกใจจนบรรลุฌาน ๔ และอภิญญา ๖ ซึ่งหาได้ยากในปัจจุบันนี้ไปอย่างไม่อาจจะหาผู้อื่นมาแทนได้ง่ายนักเช่นเดียวกัน สำหรับข้าพเจ้าเอง รู้สึกเศร้าโศกสลดรันทดใจอย่างใหญ่หลวงและลึกซึ้งตลอดมาจนบัดนี้อันไม่อาจจะบรรยายถ้อยคำใดมาเทียบเท่าความรู้สึกทางใจอันสั่นสะเทือนอย่างยิ่งได้
ซาบซึ้งในพระคุณที่รักษาโรคร้ายให้หาย โดยประภาพรรณ โพธิทัต
โอ้ว่าเจ้าพระคุณ คุณแม่ที่นับถือของลูก พระคุณของคุณแม่นั้น ลูกจะขอเทิดทูนไว้เหนือเกล้า คุณแม่เป็นผู้ที่มีทั้งคุณธรรมอันสูงล้ำ และมีเมตตาแก่ลูกๆ ทั้งหลายเหมือนประดุจเป็นลูกของคุณแม่เอง ตลอดเวลาที่ลูกได้อยู่ใกล้คุณแม่มา ลูกรู้สึกซาบซึ้งในคุณธรรมของคุณแม่อย่างมั่นคง คุณแม่มีธรรมอันสูงและประเสริฐ ท่านสามารถทราบได้ว่าลูกเป็นอะไร โดยที่ใครก็ไม่รู้ แต่คุณแม่รู้โรค โดยที่ไม่ได้เรียนคุณแม่ให้ทราบ แต่ท่านบอกได้ถูกต้องตามหมอตรวจทุกประการ และสั่งให้ไปตรวจก็ตรงตามคุณแม่ว่า และคุณแม่ก็รักษาให้หาย โดยให้นั่งบ้าง เรียนธรรมะบ้าง เวลาจะหายท่านก็แจ้งให้ทราบว่า หายแล้ว ให้ไปหาหมอตรวจ หมอตรวจบอกว่า “หายแล้ว” โดยที่หมอเคยบอกว่าโรคนี้ไม่หาย แต่คุณแม่ก็รักษาหาย หมอใหญ่แห่งโรงพยาบาลเลยงงไปเลย โดยไม่ได้ผ่าตัดก็หายเอง
พอโรคหายดีก็ซาบซึ้งในรสพระธรรมที่คุณแม่อบรมให้แก่ลูกๆ และรู้สึกว่ามีความสุขดีที่สุด ที่ได้พบแสงสว่างแห่งชีวิตใหม่ที่ได้รับ รู้สึกยินดีปรีดาอย่างยิ่ง ที่ได้รับใบโพธิ์ทองคำของคุณแม่ไว้บูชา และดอกตะไคร้ซึ่งไม่เคยเห็นเลยในชีวิต พร้อมทั้งรูปถ่ายนาฬิกาเรือนทองคำและสิงห์โตคู่ พร้อมทั้งรูปคุณแม่นั่งอยู่ข้างๆ คุณแม่บอกว่า ใครได้รูปนี้ไปก็จะรวยเร็วๆ เหมือนนาฬิกาที่เดินอยู่ทุกๆ วินาที
เวลาลูกชายของลูกไปลาบวช คุณแม่ก็จัด คาว หวาน ช่วย อนุโมทนาให้ศีลให้พร เวลาหลานสาว หลานชายเกิด คุณแม่ก็ยังกรุณาตั้งชื่อให้ สธน นลินี และเวลาที่คุณแม่จะอธิษฐานอะไร ก็ให้ใครๆ ไปตามลูกถึงที่บ้าน โดยที่ท่านว่า มีชื่อดีนามดีเป็นสิริมงคล เวลาที่ลูกไม่สบายมากๆ ก็รู้สึกว่ามีคุณแม่มาขจัดปัดเป่าให้ และคุณแม่ยังเคยกรุณาให้อะไรๆ และอธิษฐานให้สิ่งของต่างๆ มากมายสุดที่จะพรรณนาคณานับในความกรุณาปราณีของคุณแม่
รูปภาพนี้สามารถนำไปขยายได้เลยครับ มีพลังจริงๆ พลังธาตุนำด้วยธาตุไฟ (เหมือนสมเด็จโต) ตามธาตุน้ำ ไฟ ลม
เด่นด้านอำนาจ บารมี รวมทั้งโชคลาภ มหาอุตม์ แคล้วคลาดครับ
ที่มา http://khunmaeboonruen.blogspot.com/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น