๐๐๐ การทำความดีสุขในใจ พุทธบริษัทให้ถือพรหมวิหาร ๔ เป็นสำคัญ๐๐๐
ถ้าเรายังเกิดเป็นมนุษย์อยู่ ถึงแม้ว่าเราจะทำดี เราจะคิด แต่ทว่าคนที่พูดชั่ว ทำชั่ว คิดชั่วเขายังมีอยู่ ต้องดูตัวอย่างสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับพระเทวทัต ความจริงพระพุทธเจ้าไม่เคยทำความเจ็บช้ำน้ำใจกับพระเทวทัตเลย แม้ชาติใดก็ตาม ไม่เคยทำ แต่ว่าพระเทวทัตนี่จองล้างจองผลาญพระพุทธเจ้าทุกชาติ อย่าคิดว่าเราทำดีแล้วคนอื่นเขาจะดีกับเราเสมอไปน่ะ มันไม่แน่นะ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะชาติต้นที่จองล้างจองผลาญกันก็อาศัยที่พระเทวทัตท่านเป็นคนเลว พระพุทธเจ้าเป็นคนดี ในเมื่อคนดีกับคนเลวคบกันก็คบกันไม่ได้นาน
เรื่องมันมีว่าสมัยหนึ่งท่านพระเทวทัตเป็นพ่อค้า พระพุทธเจ้าก็เป็นพ่อค้า ต่อมาก คุณยายคนหนึ่งแกเป็นคนในตระกูของมหาเศรษฐีเดิม แต่ว่าพอมาถึงปลายแถวนี่ยากจนลง คุณยายคนนั้นมีสมบัติของมหาเศรษฐีเก่า มันมีถาดทองคำอยู่ลูกหนึ่ง แกก็ตั้งใจจะขายเอาเงินไปประกอบอาชีพเลี้ยงตัว พ่อค้าเทวทัตไปแกก็นำถาดทองคำมาให้ พ่อค้าเทวทัตเห็นเข้าก็ทราบว่าเป็นทองคำแท้ โดยนิสัยเลวก็บอกว่า คุณยาย...นี่มันไม่ใช่ถาดทองคำแท้ มันเป็นกะไหล่ทอง (ถาดชุบทอง) ตีราคาให้เท่ากะไหล่ทอง คุณยายแกทราบว่าเป็นทองคำแท้ แกก็ไม่ให้ ท่านเทวทัตคิดว่าวันนี้ไม่ให้วันหลังจนแต้มเข้าคงให้เราแน่
ต่อมาในวันเดียวกันตอนหลัง พระพุทธเจ้าเป็นพ่อค้าเหมือนกันเป็นเพื่อนของพระเทวทัต ไปที่บ้าน คุณยายแกก็เอาถาดทองคำมาให้ดูบอกขาย ท่านดูแล้วก็บอกคุณยายว่านี่มันถาดทองคำแท้ ตีราคาทองคำให้ แกก็ขายให้ รุ่งขึ้นพ่อค้าเทวทัตไป จะไปเอาถาดทองคำแล้วก็จะให้ในราคาทองคำปลอมคือทองกะไหล่ คุณยายก็บอกว่า พ่อค้าอย่างแกฉันคบไม่ได้ ฉันขายไปแล้วในราคาถาดทองคำแท้ ก็ถามว่าใครซื้อ ก็บอกว่าพระพุทธเจ้าของเราซื้อ ตอนนั้นยังไม่เป็นพระพุทธเจ้านะ ความจริงเป็นเพื่อนกัน พอตอนเย็นพบกัน พ่อค้าเทวทัตก็ถามพ่อค้าพระพุทธเจ้า (จำชื่อสมัยนั้นไม่ได้) ท่านก็บอกว่าฉันซื้อมาจริงให้ราคาถาดทองคำ ท่านพระเทวทัตก็โกรธหาว่าหักหน้าท่าน ทำลายผลประโยชน์ ก็หยิบทรายมา ๑ กำมือ แล้วประกาศบอกว่า....
“เราจักขอจองล้างจองผลาญท่านทุกๆชาติไป เท่าเม็ดทรายในกำมือ”
เม็ดทราย ๑ เม็ดเท่ากับ ๑ ชาติ ไอ้การจองล้างจองปลาญของเทวทัตก็มีผลเป็นเหตุให้พระพุทธเจ้าลำบากมาทุกชาติ แล้วก็มีบางชาติที่พระพุทธเจ้าทรงปลอดภัย บางชาติเทวทัตก็ทรมานมากจนพระพุทธเจ้าตายก็มี มาชาติหนึ่งในสมัยที่พระองค์ทรงปฏิบัติใน “อุปบารมี” ทรงเป็นฤาษี ถือขันติเป็นสำคัญ เมื่อเข้าไปในเขตที่พระเทวทัต ครองเมือง แกไม่ค่อยชอบหน้าฤาษี ให้จับฤาษีไป ถามว่า ท่านถืออะไร...บอก ถือขันติ...ไม่โกรธใช่ไหม บอก ใช่ แกก็สั่งตัดแขนซ้าย ถามโกรธไหม ฤาษีพระพุทธเจ้าก็บอกไม่โกรธ สั่งตัดแขนขวา ถามว่าโกรธไหม สั่งตัดขาซ้าย ขาขวา ท่านก็บอกไม่โกรธ สั่งตัดกลางตัว ไม่ต้องถาม ถามก็ไม่ตอบถือขันติมั่นคง แล้วก็ตาย...
นี่บางชาติเทวทัตทำแบบนี้ แต่ก็จะถามว่าพระพุทธเจ้ามีบาปอะไร ความจริงไม่มีบาปเลย นั่นพระเทวทัตเป็นผู้มีบาปอย่างเดียว เป็นผู้จองล้างจองผลาญ ฉะนั้น บรรดาญาติยามพุทธบริษัท การปฏิบัติความดีของท่านทุกคนที่พระพุทธเจ้าทรงแนะนำว่า...การทำความดีแล้วจะมีความสุข อันนี้ความสุขอยู่ในใจของเรา แล้วก็จงคิดว่าคนบางคนที่มีความเลวเกินขนาดเขาอาจจะคิดประทุษร้ายเราได้ ถ้าอาการอย่างนี้เกิดขึ้นก็นึกถึงพระพุทธเจ้าก็แล้วกัน.....
ว่าพระพุทธเจ้าท่านดีกว่าเราขนาดไหน ท่านยังถูกขนาดนี้ เราก็อาจจะถูกน้อยกว่าท่าน แต่เราจะอดทนไม่ได้เท่าท่านก็ได้นะ แค่ด่าเบาๆ อาจจะอดได้ ถ้าด่าหนักๆ คือจ่ายมากเกินไป เราอาจจะจ่ายคืนเขาก็ได้ ก็เป็นอันว่าการเจริญธรรมของบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทให้ถือพรหมวิหาร ๔ เป็นสำคัญ แต่ก็ต้องรู้ไว้ด้วยนะ ถ้าเราดีเขาอาจจะไม่ดี ต้องคอยหลบ นี่เป็นเรื่องธรรมดา..
อ้างอิง – หนังสือคำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง ๕๙ หน้า ๑๐๘-๑๐๙ โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น