" พุ ท ธ า นุ ภ า พ " อยู่รอบๆตัวเรา
พุทธานุภาพอยู่รอบๆตัวเรา อยู่ในทุกอณูเนื้ออากาศ อยู่ทุกลมหายใจเข้าออก พวกเราสามารถน้อมรับพลังพุทธานุภาพเข้ามาสู่กาย ใจ ของเราได้กันทุกคน ถ้าเราหมั่นเพียรฝึกฝน
จิตที่สามารถรับพลังพุทธานุภาพได้นั้น จะต้องเป็นจิตที่สะอาด บริสุทธิ์ ยิ่งสะอาด บริสุทธิ์มากเท่าไหร่ ยิ่งรับพลังพุทธานุภาพได้มากเท่านั้น เปรียบเสมือนพระพุทธองค์ คือผู้ถ่ายทอดพลังงาน จิตของเราเป็นผู้รับ คลื่นผู้รับและผู้ส่ง ต้องตรงกันเสียก่อน จึงจะสามารถส่ง รับ ถึงกันได้
พลังพุทธานุภาพเป็นของละเอียด มีคุณค่าสูงส่ง จึงต้องนำจิตที่ละเอียดอ่อนเข้าน้อมรับสัมผัส อันได้แก่ จิตที่ทรงสมาธิอยู่เนืองๆ การทรงสมาธิทำให้จิตมีกำลัง ยิ่งทำสมาธิ นิ่ง เนิ่นนาน มากเท่าไหร่ ยิ่งเสมือนเป็นการฟอกจิตใจ ให้ใสสะอาดผ่องใสมากเท่านั้น
เพราะขณะใดที่จิตถูกฝึกให้นิ่ง เป็นบุญกุศล อยู่ตลอดเวลา เมื่อนั้นจิตย่อมห่างจากโลก เมื่อจิตห่างจากโลก ย่อมพบความสงบสุขภายใน เมื่อจิตภายในสงบนิ่งมากๆเข้า ปัญญาภายในก็จักเกิด ด้วยการออกวิปัสสนาธรรม รูป นาม ในขันธ์ 5 อันได้แก่ รูปหนึ่ง นามสี่ ในเบื้องต้น จิตออกวิปัสสนาธรรมในเรื่องหยาบๆก่อน คือ รูป เมื่อแยกรูปกับจิตได้แล้ว ว่ารูป(กาย) ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา ต่อไปก็ไปแยกนามละเอียดออกจากจิต เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันเป็นส่วนประกอบของขันธ์
การทำจิตให้นิ่งเป็นบุญกุศลอยู่บ่อยๆ ผู้นั้นจักได้เปรียบ เพราะอารมณ์ กิเลส ตัณหา อุปาทาน ย่อมเข้าไม่ถึงจิต ถึงเข้ามาก็รู้เท่าทัน และดับลงตรงนั้น ไม่รับเข้ามาเสวยอารมณ์ใดๆ ถึงมีก็เหมือนไม่มี เพราะฉะนั้นแล้ว พื้นฐานของสติต้องดี
การน้อมรับพลังพุทธานุภาพนั้นทำได้ทุกคน ถ้าขยันหมั่นฝึกฝน ในเบื้องต้น ต้องหมั่นเชื่อมกระแสจิตกับพระพุทธเจ้า ด้วยการน้อมระลึกถึงพระองค์บ่อยๆ จะเป็นภาพก็ดี พระธรรมคำสอนก็ดี คุณความดีของพระองค์ก็ดี ที่ได้บำเพ็ญเพียรมาตลอดการปรารถนาพระโพธิญาณ จวบจนครบบารมีทั้งสามสิมทัศ ซึ่งหาค่าประมาณมิได้
เมื่อเราเชื่อมกระแสจิตได้บ้าง ก็จะเริ่มมีสัญญาณบ่งบอก เราจะสามารถสัมผัสถึงกระแสที่ไหลเวียนเข้ามาในร่างกาย ถ้าจิตเรานิ่ง เราจะรู้ได้เอง
ในลำดับถัดไปเราสามารถเร่งเครื่อง ให้ทรงสมาธิให้ได้อย่างต่อเนื่อง และรวดเร็วได้มากยิ่งขึ้น หมายถึงทรงสมาธิระดับอัปปนาสมาธิ ด้วยการ สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆให้เต็มปอด แล้วนึกถึงพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ทำไมต้องสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ขออธิบายเปรียบเทียบให้เข้าใจง่ายๆว่า..
การรู้ลมหายใจเข้าออกปกติ เปรียบเสมือนการเดินขึ้นบันไดทีละขั้นๆ แต่การสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆให้เต็มปอดนั้น แล้วน้อมระลึกถึง พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ เปรียบเสมือนการขึ้นลิฟท์ การขึ้นลิฟท์ในช่วงแรกๆที่ยังไม่คล่อง อาจขึ้นได้ ชั้นที่ 1 บ้าง ชั้นที่ 2 บ้าง แต่หากฝึกบ่อยๆ สามารถสูดลมหายใจครั้งเดียว ทะลุถึงดาดฟ้าเลย การรู้ลมหายใจปกติก็ดี หรือ การสูดลมหายใจเข้าลึกๆก็ดี จัดอยู่ในหมวดกรรมฐาน "อานาปานุสติกรรมฐาน"
สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ไม่ใช่ว่าทำครั้งเดียวแล้วจะได้เลย ของทุกอย่างต้องผ่านการฝึกฝนจนเกิดความชำนาญ เหมือนกับที่เราเริ่มฝึกเขียนหนังสือ แรกๆ ก็เขียนไม่ได้ เขียนไม่สวย แต่พอเราเขียนบ่อยๆเข้า ก็เขียนได้ง่ายขึ้น สวยขึ้น นี่คือความเป็นธรรมดา และได้จากการลงมือทำจริง ช่วงที่ฝึกแรกๆ อาจสูดลมหายใจติดๆกันหลายครั้งหน่อย แต่พอชำนาญแล้ว สูดลมหายใจเพียงไม่กี่ครั้ง ก็สามารถเข้าสมาธิได้เลย
นึกถึงคุณของพระรัตนตรัย ในขณะที่สูดลม หากยังนึกไม่ออก ก็ท่องในใจก็ได้ว่า พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ แต่หากใคร รู้สึกว่ายาวไป จะนึกถึงแต่พุทธคุณอย่างเดียวก่อนก็ได้ หรือ จะนึกถึงภาพพระพุทธเจ้า ภาพพระสงฆ์ ที่เราชอบใจ แบบนี้ก็ทำได้
ส่วนตัวผู้เขียน จะชอบนึกถึงความรัก ความเมตตาของท่านพ่อ(พระพุทธเจ้า) หลวงพ่อพระราชพรหมยาน ที่ทรงมีต่อพวกเรา เหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลาย อันเป็นความรักที่บริสุทธิ์ เป็นอัปปมัญญา และอัปปมาโณอย่างแท้จริง กำหนดไหลเข้ามาสู่กาย ใจของเรา
อย่าปล่อยลมหายใจทิ้งขว้าง โดยเปล่าประโยชน์นะ หายใจเข้าออกทั้งทีน้อมกระแสพลังพุทธานุภาพ เข้ามาสู่กาย ใจของเราด้วย เพราะนี่คือมหากุศล ไม่ต้องเสียเวลาลางาน เข้าวัดปฏิบัติธรรม เราสามารถทำกรรมฐานได้ทุกเมื่อ #ทุกครั้งที่เราได้หายใจ
หินพระธาตุ พลังพุทธานุภาพ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น