11 มิถุนายน 2562

แดนิพพาน

เมื่อเราเข้าสู่ความตระหนักรู้ขั้นสูงสุด หรือ รู้แจ้ง (นิพพาน) แล้วมันเป็นจุดสิ้นสุดของ
ชีวิตหรือไม่?...

"เมื่อคำทำนายที่ว่า หลักคำสอนในพุทธศาสนาจะถูกพิสูจน์ความจริงโดยนักวิทยาศาสตร์
และ จะกลับมาเป็นศาสนาแห่งวิทยาศาสตร์ของมนุษย์ในโลกยุคพลังงานใหม่"!!#

คนส่วนใหญ่อาจจะคิดว่า "นิพพาน" เป็นเรื่องเล่า เรื่องแต่ง เรื่องกุศโลบาย คนส่วนมาก
ก็เชื่อกันอย่างแคลงใจ แต่ในทุกวันนี้ วิทยาศาสตร์พิสูจน์แล้วว่า "นิพพาน" เป็นเรื่องจริง!!

มิชิโอะ คากุ เป็นนักฟิสิกส์ และ นักดาราศาสตร์ระดับชั้นนำของโลก ที่เคยเขย่ารากฐาน
ของจักรวาลวิทยามาแล้วหลายครั้ง ตอนแรกนักฟิสิกส์ด้วยกันรับมันไม่ได้ กระทั่งไม่ถึง
สองทศวรรษมานี้เอง จึงได้รับการยอมรับอย่างแทบจะเป็นเอกฉันท์...

นั่นคือ การคาดการณ์ทางจักรวาลวิทยาบางประการ ที่มีข้อพิสูจน์บนสมการคณิตศาสตร์
ว่าด้วยทฤษฎีใยมหัศจรรย์และ ทฤษฎี แมททริกซ์ (string theory / M - theory) และ
ควอนตัม เมคานิกส์ รวมทั้งทฤษฎีสัมพันธภาพทั่วไปของไอน์สไตน์ คือ การพิสูจน์ได้ว่า
จักรวาลมีมิติหลากหลาย สสารดำรงอยู่ด้วยพลังงานที่ให้ความถี่ของการสั่นสั่นเทือน
(vibration) ในแต่ละมิติสั่นหยาบหรือละเอียดแตกต่างกัน และ แตกต่างจากจักรวาลที่
สั่นสะเทือนอย่างหยาบ ที่มี 4 มิติ ของเรา

จักรวาลนั้นมี 15 มิติ แต่นักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันเท่าที่พิสูจน์ได้ในตอนนี้ตรวจพบแล้วมี 11
มิติ และ ...

มิชิโอะ บอกว่า มิติที่ 11 เป็นสภาวะนิพพาน (nirvarna) ที่มีคลื่นความสั่นสะเทือนความถี่
ที่ละเอียดอย่างยิ่ง เมื่อเปรียบเทียบกับโลก 4 มิติ ของเรา

มิชิโอะ กากุ พิสูจน์ได้ว่าจักรวาลมีมากมาย (multiverses) อย่างไม่มีที่สิ้นสุด โดยแต่ละจักรวาลจะมีลักษณะเหมือนกับของเหลว - ที่ยุบๆ พองๆ - หรือ ให้ฟองขึ้นมาใหม่ตลอดเวลา มิชิโอะ บอกว่าจักรวาลถัดไปอาจอยู่ห่างเพียงหนึ่งมิลลิเมตรจากผิว (brane) จักรวาลของเรา แต่เรารับรู้ไม่ได้ เพราะมันอยู่เหนือ (4 มิติ) ของเรา..

มิชิโอะกล่าวว่า เวลานั้นไม่เคยมีอยู่จริง ทุกสรรพสิ่งที่เคยเกิดขึ้น หรือ ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่
ล้วนแต่เกิดขึ้นในปัจจุบันขณะนี้ ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น "ก่อนหน้า" เพราะมันไม่มีก่อนหน้านี้
และ ไม่มีอะไรที่เกิดขึ้น "หลังจาก" เพราะมันไม่มีอะไรหลังจากนี้ มีเพียงปัจจุบันขณะนี้
เสมอ

ฉะนั้น ดวงวิญญาณของมนุษย์จะคงที่อยู่เสมอ เพราะมันมีที่มาจากจิตวิญญาณดวงเดียว
เอง ที่แบ่งภาค แบ่งตัวเองมาเกิด แต่ถ้ามองจากสายตาของพวกเรา ในตอนนี้ และ ตอนนั้น มันก็สามารถเปลี่ยนแปลงไปได้ตลอด

ฉะนั้น ดวงวิญญาณจึงสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองบทบาทของตัวเอง เป็นตัวแสดงได้
หลายร้อยหลายพันบุคคลิกในแต่ละภพชาติเกิดเป็นบุคคลได้ต่างๆ กัน ไม่มีจบสิ้น เหมือน
นักแสดงภาพยนต์ที่เปลี่ยนบทบาทไปตามบทที่ผู้กำกับกำหนดมา ในแต่ละเรื่องของหนัง
เรื่องนั้น ตั้งแต่บทพระราชาไปจนถึงยาจก คนดี คนร้าย คนเลว..ฯลฯ

ฉะนั้นมันจึงดูเหมือนมีชีวิตเป็นอนันต์ แต่ทว่า ถ้าเราดูจาก "จุดใดจุดหนึ่งของกาลเวลา" มัน
จึงดูเหมือนมีเพียงดวงวิญญาณเดียว

หลังจากดวงวิญญาณเข้าถึงความตระหนักรู้ขั้นสูงสุด และ เป็นหนึ่งเดียวกับความจริงขั้น
สูงสุดแล้ว (#นิพพาน) วิญญาณนั้นสามารถยอมให้ตัวเอง "ลบเลือนความทรงจำทั้งหมด"
และ เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง เพราะไม่มีสิ่งใดในจักรวาลที่จะหยุดการเคลื่อนไหวได้ และ ชีวิต
คือสิ่ง "อมตะ" ไม่มีว้นตายได้

และ วิญญาณบางดวงก็เลือกที่จะเป็น "วิญญาณใหม่" อีกรอบ แต่ทว่า วิญญาณทั้งหมด
คือส่วนหนึ่งของกลุ่มวิญญาณแรกเริ่ม ทั้งสิ้น พวกเขาก่อกำเนิด มาพร้อมกับโลกของเรา
ใบนี้ นั่นแหละ เพราะทั้งหมดของดวงวิญญาณ เหล่านี้มีทางเลือกเสรีที่จะตัดสินใจที่จะไป
หาประสบการณ์ชีวิต ยังภพอื่นๆ หรือ โลกอื่นๆ ได้ บนวัฒจักรของจักรวาล

เพราะดวงวิญญาณทั้งหมดนี้มัน "กำลังถูกสร้างขึ้น" และ "เคยถูกสร้างมาก่อน" และ "จะ
ถูกสร้างขึ้นมาใหม่" ในห้วงปัจจุบันขณะ เดียวกันนี้เอง...

ดังนั้น องค์รวมของดวงวิญญาณ มันเพียงแต่นั่งดูเราโลดแล่นในบทละครละครแห่งชีวิต
เสมือนจริง เจ็บจริง ตายจริง ภพแล้ว ภพเล่า โดยไม่เคลื่อนที่ไปไหน เลย ในม่านพราง
ของทวิภาวะ...
ที่มา
แสงสว่าง มองการไกล...

ไม่มีความคิดเห็น:

อริยสัจ 4 และมรรคแปด

ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ห่างไกลจากกิเลสตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาค ทรงตรัส...