01 มิถุนายน 2562

โลกหมุนตามจิต

ใช้พลังจิตพิชิตภัยพิบัติ!! เผยคำสอนท่านพ่อลี "โลกนี้หมุนไปตามจิต" รวมพลังเล็กๆรวมกันก็ยิ่งใหญ่!

เมื่อโลกกำลังเปลี่ยนไปและที่สำคัญคือโลกกำลังปรับสมดุลตัวเองด้วยการสร้างปรากฏการณ์ต่างๆ ได้แก่แผ่นดินไหว น้ำท่วม ภูเขาไฟระเบิด การเปลี่ยนแปลงของอากาศตามประเทศต่างๆ ที่เคยร้อนกลับเย็นที่เคยเย็นกลับร้อน หลายเรื่องที่คนไม่เคยเจอไม่เคยเห็นก็ได้เห็นกันในยุคนี้

มีหลายท่านตั้งคำถามว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร โลกเรากำลังเปลี่ยนแปลงและก้าวไปทางไหนทางเสื่อมหรือเจริญ เมื่อเจอคำถามนี้ผู้เขียนก็นึกถึงคำสอนของท่านพ่อลี หรือ “หลวงพ่อลีแห่งวัดอโศการาม” ซึ่งท่านเคยสอนไว้นานแล้ว เป็นคำสอนที่มาแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าสัพพัญญูสมณะโคดม ซึ่งท่านสอนไว้เมื่อ ๒๕๐๐ กว่าที่ผ่านมาว่า  "โลกนี้หมุนไปตามจิต"

เมื่อใดจิตมนุษย์มีคุณธรรมมีความเจริญภายในใจ เป็นไปในทางที่ดี เมื่อนั้นโลกก็จะสุขสงบ

แต่เมื่อใดที่จิตใจมนุษย์หมกหมุ่นรุ่มร้อนด้วยกิเลสเมื่อนั้นโลกก็หมุนไปสู่ความเสื่อม มีแต่ความเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า ฝนฟ้าจะวิปริต แผ่นดินจะไหว ภูเขาไฟปะทุสารพัดภัยพิบัติจะเกิดขึ้น

อันกาลเวลาแห่งจิตใจมนุษย์เจริญทางศีลธรรมนั้น มิได้หมายความว่าโลกนั้นต้องเจริญด้วยวัตถุเทคโนโลยีก็หาไม่ เพราะโลกหรือสังคมที่สงบสุขน่าอยู่ มีความร่มเย็นนั้นไม่จำเป็นว่าโลกนั้นๆ สังคมนั้นๆ ต้องเต็มไปด้วยวัตถุที่งาม ตาน่ารักน่าชม ไม่จำเป็นต้องเต็มไปความเครื่องมือเครื่องไม้อันทันสมัยสะดวกสบาย ความสุขของมนุษย์แท้ที่จริงอยู่ที่ใจ ยิ่งไกลจากใจก็ไกลจากความสุข

เช่นเดียวกันที่ว่าโลกที่มีความทันสมัยนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าโลกนั้นจะเต็มไปด้วยความสุขแต่อย่างใด ยิ่งมีวัตถุมากสมบัติมากก็ยิ่งมีทุกข์ มีเดือดร้อนมากตามไปด้วย ไกลจากใจเท่าใดก็ทุกข์มากเท่านั้น

พระพุทธองค์กล่าวแล้วว่าแม้ว่าจะเนรมิตรภูเขาทั้งแท่งเป็นทอง ก็หาพอต่อความอยากความต้องการของมนุษย์ไม่ ทรัพย์สินมีเท่าไหร่ให้เงินตกลงมาเป็นฝน คนก็ยังไม่มีความพอ เพราะคนไม่รู้จักใจที่แท้จึงหาความสุขไม่ได้ ตัณหาว่าแล้วไม่พออิ่ม จึงเปรียบได้ว่า แม่น้ำเสมอด้วยตัณหาเป็นไม่มี

โลกใบนี้เจริญมามาก โตทางด้านวัตถุ ดังนั้นทุกวันนี้จึงเต็มไปด้วยผู้คนที่มีความทุกข์ทางใจ ทุกข์โดยรู้ตัวก็มี ไม่รู้ ตัวก็มี หลวงพ่อลีท่านกล่าวว่า กระแสความร้อนจากใจคนแต่ละคนนั้น เมื่อมันมารวมกันก็เป็นกลุ่มเป็นก้อนเป็นมวลพลังงานความร้อน ที่ทำให้โลกวิปริต อากาศฟ้าฝนวิปริต ด้วยกระแสจิตกระแสอารมณ์ร้อนๆ ของแต่ละคนเข้ามารวมตัวกัน มันมีอำนาจทำให้โลกวิปริตได้ ดูสิว่ามันมีอำนาจขนาดไหน ในขณะที่จิตใจอันเยือกเย็นของแต่ละคน ก็จับกลุ่มรวมตัวทำให้โลกใบนี้ร่มเย็น เป็นสุขได้เช่นเดียวกัน

เมื่อเป็นเช่นนี้ท่านผู้อ่านทั้งหลายคงพอเห็นภาพได้ว่า คนเราจำนวนมากมายมหาศาลแค่ไหนที่ไม่เคยฝึกจิตไม่เคยควบคุมจิตปล่อยให้อำนาจกิเลสสร้างความร้อนแผดเผาจิตใจตนเอง จิตใจผู้อื่น กลายเป็นเพลิงกิเลสลุกลาม ต่อๆ กันไปไม่สิ้นสุด ผลสุดท้ายก็ร้อนรนไปทั้งโลก กระแสความร้อนเหล่านั้นก็ไม่ได้หายไปไหน ไปจับกลุ่มรวมตัวกันทำให้โลกนี้ วิปริตไปในลักษณะต่างๆ เกิดความลำเค็ญยากเข็ญเป็นภัยพิบัตินานาชนิดนี่แหละมา จากจิตมาจากใจของคนเราแท้ๆ ไม่ผิดไปจากพุทธพจน์และคำของพ่อแม่ครูบาอาจารย์เลยแต่น้อย ถ้าวันนี้เราจะช่วยกันเอาตัวรอดก็ดี ช่วยกันให้โลกนี้ผ่อนจากหนักเป็นเบาก็ดี ก็ต้องอาศัยการฝึกใจ อาศัยธรรมะดั่งคำที่ว่า “ถ้าศีลธรรมไม่กลับมาโลกาจะวินาศ” นั่นเอง

แนวทางการฝึกจิตฝึกฝนตนเอง

                ด้านการฝึกจิตนั้น เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขในปัจจุบันและอนาคต เมื่อเราเป็นสุขแล้วอำนาจจิตจากคุณความดีซึ่งมีกระแสเย็นจะทำให้คนรอบข้างพลอยรับอานิสงส์ความเย็นความชุ่มชื่นไปด้วย ทำให้สังคมมีความสุขมากขึ้น นอกจากนี้การฝึกจิตยังเป็นไปเพื่อความความสุขในอนาคต ยามสิ้นใจก็ได้ไปสู่สุคติมีสวรรค์นิพพานเป็นต้น แม้เมื่อเกิดภัยพิบัติอำนาจจิตหรืออานิสงส์จากคุณความดีที่เราทำไว้ก็จะมาช่วยเหลือให้ผ่านพ้นภัยพิบัติไปได้

มีคำถามเราควรเริ่มฝึกจิตอย่างไร

ตอบว่า เราเริ่มจากการทำความเข้าใจให้ดีก่อนว่าจิตของเรานั้นปกติมักรุ่มร้อน หรือวุ่นวายในเรื่องต่างๆ ไม่มีความสงบเยือกเย็นหรือมีก็น้อยมาก ดังนั้นเรามาทำจิตให้เย็นเป็นกุศล เพื่อความสุขภายในของเรา และเป็นการบรรเทาภัยพิบัติเป็นการลดกระแสความร้อนของจิตที่จะไปรวมตัวกันจนเกิดภัยพิบัติได้

                เริ่มต้น ต้องเริ่มจากการมี “ศีล” ถือศีลรักษาความสงบสำรวมเรียบร้อยในกายวาจาใจของเราก่อน ศีลเบื้องต้นมีเพียง ๕ ข้อถือว่าเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะยิ่งคนเราผิดศีล ๕ ไม่ว่าข้อใดข้อหนึ่งมากๆ โลกก็วุ่นวาย เราเองผู้ประมาทผู้ผิดศีลเองก็เดือดร้อน ศีล ๕

ผู้ที่รักษาศีล รักศีล จะเยือกเย็นเองโดยอัติโนมัติ ผู้รักศีลที่ตนรักษา ใจจะชุ่มชื่นเกิดเมตตา เกิดความสงบขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน คนที่รักษาศีลภายนอกก็จะยังไม่รู้สึกปลาบปลื้มปีติในศีลที่รักษาอยู่ ไม่เข้าใจความสงบความเย็นจากศีลได้ ต้องบ่มเพาะต่อไปจนเกิดความรักความเย็นใจในศีลของตน

                เมื่อชั้นแรกคือศีลเราได้รักษา ก็จะไม่มีความกังวลว่าเราไปทำอะไรไม่ดีมาหรือเปล่า จิตใจเบื้องต้นก็เบาสบายไม่มีกังวลเนื่องด้วยบาปกรรม ซึ่งนั่นให้เราทำความเข้าใจใน “สมาธิ”

“สมาธิ” นั้นเป็นการยกจิตขึ้นอีกชั้นหนึ่ง เป็นการบ่มเพาะจิตให้เจริญให้สูงขึ้นด้วยการฝึกฝนอย่างต่อเนื่องพากเพียรการทำสมาธิเบื้องต้นนั้นคือ ทำจิตทำใจให้จดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั่นก็เรียกว่าสมาธิ เช่นอ่านหนังสือก็เป็นการทำสมาธิ เล่นกีฬาก็เป็นการทำสมาธิหรือวาดภาพ เล่นดนตรีก็ล้วนเป็นการฝึกสมาธิในตัวทั้งสิ้น แต่การทำสมาธิให้ยิ่งให้ละเอียดขึ้นไปนั้น เป็นการทำสมาธิโดยหันเข้ามาภายในตัวของตัวเอง ได้แก่การฝึกบริกรรมภาวนา

ท่านผู้อ่านทั้งหลายตรงนี้สำคัญมากพ่อแม่ครูอาจารย์มีพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต หลวงปู่ปาน โสนันโท วัดบางนมโค หรือพระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน ท่านก็ผ่านการปฏิบัติจาการบริกรรมภาวนามาทั้งสิ้น เอาคำว่า “พุทโธ” เป็นหลักยึดของใจ ให้หมั่นบริกรรรมเข้าไว้จะนั่งนอนยืนเดิน นึกได้เมื่อไหร่ก็บริกรรมเข้าเมื่อนั้น ก่อนนอนให้มานั่งสมาธิสัก ๑๐-๑๕ นาที ออกจากการนั่งสมาธิแล้วก็ให้บริกรรมพุทโธต่อไป เรียกว่าบริกรรมเป็นกิจวัตร ทำให้ต่อเนื่องถึงจะได้ผลเพราะการฝึกฝนวันละ ๑๐ – ๑๕ ไม่เพียงพอ

การฝึกสมาธิด้วยการบริกรรมที่ได้ผลนั้นคือ ว่างเมื่อไหร่ทำทันที และทำในทุกๆ อิริยาบทด้วยใครทำได้ดังนี้จิตจะคุ้นชินกับคำบริกรรม จิตจะค่อยๆ หลอมเป็นหนึ่งเดียวกับพุทโธ ตอนนี่แหละที่จิตจะเริ่มมีพลังมีความสงบมีความเย็นและพัฒนาขึ้น กว่าจิตจะรวมกับพุทโธได้ต้องใช้เวลาค่อยๆ ทำหมั่นเพียรไปเรื่อยก็จะสำเร็จ สำหรับเริ่มต้นเอาเพียงแค่นี้ถ้าทำกันจริงก็จะเข้าใจในความสงบของจิตจากการทำสมาธิโดยการบริกรรมได้

                ข้อสุดท้ายคือ “ปัญญา” คือเราหมั่นคิดตรึกตรองเสมอว่าคนเรามีความแก่ ความเจ็บ ความตายเป็นธรรมดา สุดท้ายก็สรุปได้ว่ามีเกิดแล้วมีดับเป็นเรื่องจริงที่หนีไม่ได้และควรยอมรับ เมื่อยอมรับธรรมะนี้จิตจะเยือกเย็นและเกิดสมาธิขึ้นเพราะจิตรู้แล้วว่าวุ่นวายเรื่องภายนอกก็วนเวียนไม่จบไม่สิ้น ไม่มีสาระมีแต่ความทุกข์ เมื่อนั้นจิตจึงรวมกลับสู่ภายในเพื่อความรู้แจ้ง ปัญญาชั้นนี้ถ้าทำอย่างติดต่อจะสามารถถอดถอนกิเลสพ้นเกิดพ้นตายได้ทีเดียว

                “ศีล สมาธิ ปัญญา” คือหัวใจของการปฏิบัติ ทำตามนี้แล้วจิตจะเยือกเย็นสว่างไสวมีพลังขึ้นเรื่อยๆ พลังงานที่แผ่จากจิตที่ผ่านการบำเพ็ญทางศีล สมาธิ ปัญญานั้นจะมีอานุภาพลี้ลับ ภูตผีปีศาจไม่กล้าเข้าใกล้ ผู้ฝึกเองก็จะไม่มีความหวั่นไหวต่อสิ่งใดง่ายๆ เพราะมีกำลังสมาธิ สติ ปัญญาแก่กล้า มีสติเท่าทันเหตุการณ์ ยามเกิดภยันอันตรายขึ้นอำนาจจากจิตที่มีกำลังก็จะช่วยผ่อนหนักเป็นเบา หรือแคล้วคลาดทำให้ปลอดภัยได้อย่างน่าอัศจรรย์

ที่สำคัญที่สุดคือไม่ว่าวันหน้าจะเกิดภัยพิบัติหรือไม่ สิ่งที่เราฝึกเอาไว้ก็จะทำให้เราพ้นจากทุกข์ ทั้งทุกข์จากเหตุการณ์เฉพาะหน้าและทุกข์จากการเกิดการตาย จึงนับเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เราท่านทั้งหลายควรขยันหมั่นเพียรในการปฏิบัติ อย่าปล่อยเวลาผ่านไปวันๆ เป็นการเสียวันเวลาไปอย่างน่าเสียดาย

........................................................................

ไม่มีความคิดเห็น:

อริยสัจ 4 และมรรคแปด

ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ห่างไกลจากกิเลสตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาค ทรงตรัส...