25 ตุลาคม 2565

ความฉลาดในทาง" #คดีโลก "กับความฉลาดในทาง" #คดีธรรม "นั้น #เป็นคนละเรื่องกัน


       ความฉลาดในทาง" #คดีโลก "กับความฉลาดในทาง" #คดีธรรม "นั้น  #เป็นคนละเรื่องกัน
     ความฉลาดในทาง" คดีโลก "นั้น 
      ถ้า บุคคลใดสามารถแสวงหาทรัพย์สิน,ข้าวของ,เงินทอง,ยศ,ตำแหน่งและชื่อเสียงได้มากกว่าคนอื่น
            แม้ว่า การได้สิ่งเหล่านี้มา จะไม่สุจริตหรือไม่ชอบธรรมก็ตาม   #ทางคดีโลกถือว่า..." เป็นคนฉลาด "

              ส่วน" ความฉลาด "ในทาง" #คดีธรรม "นั้น หมายถึง....
             ผู้ที่มีจิตใจอิสระเสรี ไม่ต้องตกเป็น" #ทาสรับใช้ "ของกิเลส เช่น... ความโลภ, #ความเห็นแก่ตัว,ความเห็นผิด เป็นต้น 
      ไม่ถูกกิเลสเหล่านี้" ไสหัว "ให้ต้องดิ้นรนทะยานอยากจนต้องเบียดเบียนตนเองบ้าง, 
      เบียดเบียนผู้อื่นบ้าง, เบียดเบียนทั้งตนเองและผู้อื่นบ้าง 
       ซึ่งหลายครั้งนำไปสู่ความทุกข์ความเดือดร้อนต่างๆ  
      ( เช่น...
       มีศัตรูคู่เวรบ้าง, ประสบอุบัติเหตุจนเสียชีวิตหรือพิกล,พิการบ้าง, 
        เครียดจนเส้นเลือดในสมองแตกบ้าง, เป็นโรคร้ายต่างๆ เช่น มะเร็ง, โรคหัวใจ, โรคความดัน เป็นต้น บ้าง )

         ผู้ที่มีปัญญา ฉลาดในทาง" คดีโลก "สามารถแสวงหาทรัพย์สิน,สมบัติ,ข้าวของเงินทอง,ยศ,ตำแหน่งและชื่อเสียงได้อย่างมากมายมหาศาล 
     แต่....#ไม่มีความฉลาดในทาง" คดีธรรม "ถูกกิเลสตัณหาอุปาทานและ #ความเห็นแก่ตัวไสหัวให้คิด ๆ ๆ ๆ ๆ   #คิดแต่จะกอบโกย, คิดแต่จะหาผลประโยชน์,
       #คิดแต่จะเอาเปรียบผู้อื่น, คิดแต่จะได้, คิดแต่จะเอา ๆ ๆ ๆ 
             จิตใจแบบนี้ #เป็นจิตใจที่น่าสงสาร เพราะเป็นจิตใจที่ตกเป็น" ทาส "ของกิเลสความโลภ,ความอยาก,ความเห็นแก่ตัว
       เป็นจิตใจที่" ไม่มีอิสรภาพ " #หลับก็ไม่เป็นสุข 
      จะเดินทางไปในที่ไหนๆ ก็ต้องมี" บอดี้การ์ด "ล้อมหน้าล้อมหลังเคร่งเครียดหวาดระแวง #กลัวโดนจับไปเรียกค่าไถ่,
        #กลัวศัตรูคู่อริที่ขัดผลประโยชน์จะตามมาเอาคืน

 แล้วมีความสุขที่ตรงไหน....? 

ฉลาดในทาง" คดีโลก " ผลิตอาวุธนิวเคลียร์,อาวุธไฮโดเยนบอมส์ 
        โกรธขึ้นมา ถล่มกันแต่ละที มีคนตายเป็นแสน บาดเจ็บและพิกลพิการเป็นล้าน
        ฉลาดกอบโกยถลุงทรัพยากรธรรมชาติจนทำให้เกิดภาวะโลกร้อน อันเป็นสาเหตุแห่งภัยพิบัติต่างๆ เช่น ไฟป่า, น้ำแข็งขั้วโลกละลาย, สภาพดินฟ้าอากาศแปรปรวน, น้ำท่วม, พายุหมุน น่ะหรือ....?

              #เวลาตายก็แบมือหรา....เอาอะไรติดตัวไปไม่ได้สักอย่าง
       ยกเว้นบุญและบาปที่ตนเคยกระทำบำเพ็ญไว้ในสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ 

              ก็เพราะไม่เคยรู้เรื่องศาสนา ไม่เคยรู้เรื่อง" ชีวิตหลังความตาย "#จึงคิดว่า .... " ตายแล้วสูญ "จึงทำอะไรๆ ตามใจอยาก แต่ด้วยเหตุที่ ตนเคยทำบุญบางอย่างเอาไว้ในอดีต จึงได้ตั๋วพิเศษ 
     มาเกิดในโลกมนุษย์เพียงชั่วคราว #แต่เป็นผู้หลงโลก #คิดว่าโลกนี้เป็นบ้านอันถาวรของตน จึงไม่ขวนขวายสร้างบุญกุศลคุณงามความดีเพิ่มเติม 
            เมื่อหมดบุญตายไป #ทุคติจึงเป็นอันหวังได้ 
              และบุคคลที่ละจากโลกนี้ไปแล้ว 
      ผู้ที่จะได้กลับมาเกิดใน" สุคติโลกสวรรค์ "นั้น พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ใจความว่า...#มีน้อยเหมือนเศษดินที่ปลายเล็บ เมื่อเทียบกับแผ่นดินทั่วปฐพี

       ดังนั้น ผู้ที่มีความฉลาดตามแบบฉบับของชาวโลก #แต่ไม่มีความรู้,ไม่มีความเข้าใจเรื่อง" ความฉลาด "ในทาง" คดีธรรม " #จึงเป็นดุจบุคคลผู้มีตาเพียงข้างเดียว, 
            ผู้ที่มีความฉลาดรอบรู้ทั้งทาง" คดีโลก "และทาง" คดีธรรม  "จึงเป็นดุจผู้มีตา ๒ ข้าง 
             ส่วนผู้เจริญวิปัสสนากรรมฐานจนลดละอาสวะกิเลสได้ไปตามลำดับ #รู้แจ้งในอริยสัจ ๔ เข้าถึง" #พระนิพพาน "อันเป็น" #บรมสุขนิรันดร์ "นั้น #เปรียบเสมือนผู้มีตาดี 
        สามารถนำพาชีวิตของตนให้ #เข้าถึงความประเสริฐสูงสุด ของการได้มีโอกาสเกิดเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา 
       เป็นความฉลาดที่ภาษาทางพระพุทธศาสนาเรียกว่า..." #กุศล "หรือ" #กุศลธรรม "นั่นเอง

23 ตุลาคม 2565

12 ประเด็นชวนคิดจากหนังสือ ชีวิตเราไม่ได้ยืนยาวพอที่จะอยู่อย่างอดทน

1. เมื่อใช้ชีวิตอยู่กับ "ระบบคุณค่าของคนอื่น" มาตั้งแต่เด็ก เราจะแยกแยะ "สิ่งที่ตัวเองอยากทำ" กับ "สิ่งที่ถูกคนอื่นยัดเยียดให้อยากทำ" ไม่ออก

2. คนส่วนใหญ่ทำตามกฎที่คนอื่นและสังคมกำหนด ให้ความสำคัญกับมันมากกว่ากฎของตัวเอง และพยายามอดทนมากเกินจำเป็น

3. การโทษตัวเองกับโทษคนอื่นนั้นมีสาเหตุเดียวกัน นั่นคือเส้นแบ่งระหว่างตัวเรากับคนอื่นไม่ชัดเจน จึงไม่รู้ว่าส่วนที่ตัวเองต้องรับผิดชอบอยู่ตรงไหนกันแน่

4. ความรู้สึกผิดนั้นบางทีก็เกิดจากการเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง หลายคนรู้สึกผิดเพียงเพราะว่าตัวเองไม่อยากถูกเกลียด

5. I message คือประโยคที่ขึ้นต้นด้วยฉัน "ฉันเสียใจที่โดนว่าแบบนี้" "ฉันไม่สบายใจที่เจอแบบนี้" ส่วน You message คือประโยคที่มีคำว่า "คุณ" เป็นประธาน เช่น "ทำไมคุณถึงทำแบบนี้" "คุณพูดแบบนี้ไม่ได้นะ" เมื่อเราใช้ You message คนฟังจะเหมือนถูกโจมตี เราจึงควรหลีกเลี่ยง You message และเน้นการใช้ I message ในการพูดคุยกับคนสำคัญ

6. ถ้าเราเอ่ยปากแล้วแต่ยังมีบางคนคอยล้ำเส้นเราอยู่เรื่อยๆ นั่นแสดงว่าเขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรา เราจึงไม่จำเป็นต้องเกรงใจคนที่ไม่เห็นว่าเราสำคัญ

7. คนที่มีพลังบวกมากเกินไปอาจเป็นพิษกับจิตใจที่อ่อนแอของเราได้ เพราะเขาไม่อาจเข้าใจว่าทำไมเราถึงเป็นแบบนี้ และอาจยิ่งกระตุ้นความรู้สึกว่าเราเป็นคนไม่ได้เรื่อง เวลาเรากำลังคิดว่า "อยากหายไปจากโลกนี้" คำพูดปลอบประโลมอย่าง "อย่าพูดอย่างนั้นสิ" หรือ "เธอมีค่ามากพอนะ" มันดังไม่ถึงหัวใจของเราหรอก

8. เราไม่ควรทำงานด้วยการเอาความอดทนไปแลกเงิน ความอดทนเป็นแค่ไพ่ใบหนึ่งในสำรับ และมันไม่ใช่ไพ่สารพัดประโยชน์ที่จะช่วยให้เราก้าวข้ามทุกอย่างในชีวิตไปได้

9. ยิ่งเราเป็นคนที่ยอมรับกฎเกณฑ์ที่คนอื่นขีดให้เท่าไหร่ ก็ยิ่งมีความเสี่ยงที่จะประสบวิกฤติวัยกลางคนมากขึ้นเท่านั้น

10. คุณค่าของมนุษย์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับชัยชนะหรือการเป็นที่ยอมรับของคนอื่น การแขวนความสุขไว้กับการต้องเอาชนะไปเรื่อยๆ นั้นมีราคาแพงเกินไป

11. เมื่อร่างกายและจิตใจทนไม่ไหว ความรู้สึกจะเผยตัวออกมาให้เห็น ตัวอย่างที่ได้ยินบ่อยๆ ก็เช่น "ขึ้นรถไฟอยู่ดีๆ น้ำตาก็ไหลออกมา"

12. เส้นทางที่ใครๆ ก็เดินไปนั้นดูปลอดภัยก็จริง แต่มันก็หนาแน่นและการแข่งขันสูงลิ่ว ทำให้เราต้องคอยตอบสนองความคาดหวังของคนอื่นเรื่อยไป การออกนอกเส้นทางบ้างจะช่วยให้ได้เราเห็นโลกที่อยู่ง่ายขึ้น

-----

ขอบคุณเนื้อหาจากหนังสือ ชีวิตไม่ได้ยืนยาวพอจะอยู่อย่างอดทน ซูซูกิ ยูซึเกะ เขียน ชลฎา เจริญวิริยะกุล แปล สำนักพิมพ์วีเลิร์น

https://anontawong.com/2022/10/22/life-is-not-long-enough/

"ความฉลาด" กับ "ปัญญา" เป็นคนละเรื่องกัน ...

"ความฉลาด" กับ "ปัญญา" เป็นคนละเรื่องกัน ...
ความฉลาดเป็นความสามารถอย่างหนึ่งในการดำรงอยู่
ส่วนปัญญาเป็นภาวะอย่างหนึ่งในการดำรงอยู่
ในโลกนี้ คนฉลาดมีไม่มาก คาดว่าประมาณหนึ่งในสิบ ส่วนคนมีปัญญายิ่งหายาก คาดว่าราวหนึ่งในร้อย  ก็ดูเถิด แม้โสเครตีสที่เห็นพ้องกันว่าเป็นคนมีปัญญาก็ยังยอมรับว่า หากยึดตามข้อเรียกร้องของความมีปัญญาแล้ว ตนนั้นไม่รู้อะไรเลย
ในชีวิตจริง คนที่ไม่เสียเปรียบคือคนฉลาด 
ส่วนคนที่ยอมเสียเปรียบคือคนมีปัญญา
คนฉลาดจะรักษาผลประโยชน์ของตนไว้ได้เสมอเมื่อทำงานกับคนอื่น เช่น ทำการค้า พวกเขาจะค้าขายได้ดีจนได้กำไรงาม
ส่วนคนมีปัญญาจะไม่ยอมแสวงหาผลประโยชน์สูงสุดทางการค้าเด็ดขาด การค้าบางอย่าง แม้ต้องแถมเงินก็ยังยอม
คนฉลาดรู้ว่าตนทำอะไรได้ 
ส่วนคนมีปัญญาเข้าใจว่าตนทำอะไรไม่ได้
คนฉลาดกุมโอกาสได้ รู้ว่าควรลงมือเมื่อใด
คนมีปัญญารู้ว่า ควรปล่อยมือเมื่อใด
ดังนั้น หยิบขึ้นมาได้คือฉลาด แต่วางลงได้จึงเป็นปัญญา
คนฉลาดมักแสดงด้านที่เปล่งประกายของตน นั่นก็คือลอกคราบออกมา 
ส่วนคนมีปัญญาจะปล่อยให้คนอื่นแสดงด้านที่เปล่งประกาย
เช่นในงานสังสรรค์ คนฉลาดปากไม่ว่าง พูดคุยได้เรื่อยๆ  จึงเป็นกาน้ำชา  ส่วนคนมีปัญญา หูไม่ว่าง ตั้งใจฟังคนอื่น จึงเป็นถ้วยน้ำชา น้ำในกาน้ำชาย่อมต้องเทใส่ถ้วยน้ำชา
คนฉลาดเน้นรายละเอียด ส่วนคนมีปัญญาเน้นองค์รวม
คนฉลาดวิตกกังวลมาก นอนไม่หลับกันโดยทั่วไป ดังนั้น คนฉลาดจะรู้สึกไวกว่าคนทั่วไป  
ส่วนคนมีปัญญาลี้ห่างความวิตกกังวล ลุถึงขั้นที่ "ไม่ยินดีในวัตถุ ไม่เสียใจกับตนเอง"  คนมีปัญญาจึงกินได้ นอนหลับ  
ดังนั้นคนฉลาดมักวายชนม์เร็ว ส่วนคนมีปัญญาจะไร้ทุกข์ไร้กังวล จึงมักอายุยืนนานกว่า
คนฉลาดใคร่อยากเปลี่ยนแปลงคนอื่น ให้คนอื่นทำตามเจตนาของตน  
ส่วนคนมีปัญญามักปล่อยไปตามธรรมชาติ  
ดังนั้น มนุษยสัมพันธ์ของคนฉลาดจะเครียดง่าย ส่วนของคนมีปัญญาจะผ่อนคลาย
คนฉลาดส่วนใหญ่ฉลาดแต่กำเนิด ได้ประโยชน์ทางพันธุกรรม ส่วนปัญญานั้นต้องอาศัยการเพียรบำเพ็ญ
ความฉลาดจะได้ความรู้มาก ส่วนความมีปัญญาทำให้คนมีวัฒนธรรม กลับกัน คนยิ่งมีความรู้ก็ยิ่งฉลาด ส่วนคนยิ่งมีวัฒนธรรมก็ยิ่งมีปัญญา
ความฉลาดพึ่งหู ตา ที่เรียกว่าหูตาดูฉลาด
ส่วนปัญญาอาศัยจิตวิญญาณ ก็คือ ปัญญาเกิดแต่ใจ
วิทยาศาสตร์ทำให้คนฉลาด
ปรัชญาสอนปัญญาคน
ความฉลาดนำมาซึ่งทรัพย์สินและอำนาจ ปัญญานำมาซึ่งความสุข  เพราะคนฉลาดมักมีความสามารถ และในความเป็นจริง ความสามารถเหล่านี้จะแปรเป็นความมั่งคั่งกับอำนาจหากโอกาสอำนวย  ทว่า ความมั่งคั่งและอำนาจกับความสุขนั้น บ่อยครั้งไม่เป็นสัดส่วนกัน  
ความสุขเกิดแต่ใจ ดังนั้น หากแสวงความสามารถ ความฉลาดก็เพียงพอ  แต่หากแสวงหลุดพ้นจากทุกข์ ไม่มีปัญญาทำไม่ได้
... คำจีน : ไม่ทราบผู้เขียน
... แปล : วิภาดา กิตติโกวิท

อริยสัจ 4 และมรรคแปด

ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ห่างไกลจากกิเลสตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาค ทรงตรัส...