27 กรกฎาคม 2567

มงคล 38 ธรรมอันนำมาซึ่งความสุขความเจริญ

**มงคล 38 ธรรมอันนำมาซึ่งความสุขความเจริญ**
**มงคล 38** (สิ่งที่ทำให้มีโชคดี, **ธรรมอันนำมาซึ่งความสุขความเจริญ; **เรียกเต็มว่า **อุดมมงคล คือมงคลอันสูงสุด**)
คาถาที่ 1
1. อเสวนา จ พาลานํ (ไม่คบคนพาล)
2. ปณฺฑิตานญฺจ เสวนา (คบบัณฑิต)
3. ปูชา จ ปูชนียานํ (บูชาคนที่ควรบูชา)

คาถาที่ 2
4. ปฏิรูปเทสวาโส จ (อยู่ในปฏิรูปเทศ, อยู่ในถิ่นมีสิ่งแวดล้อมดี)
5. ปุพฺเพ จ กตปุญฺญตา (ได้ทำความดีให้พร้อมไว้ก่อน, ทำความดีเตรียมพร้อมไว้แต่ต้น)
6. อตฺตสมฺมาปณิธิ จ (ตั้งตนไว้ชอบ)

คาถาที่ 3
7. พาหุสจฺจญฺจ (เล่าเรียนศึกษามาก, ทรงความรู้กว้างขวาง, ใส่ใจสดับตรับฟัง ค้นคว้าหาความรู้อยู่เสมอ)
8. สิปฺปญฺจ (มีศิลปวิทยา, ชำนาญในวิชาชีพของตน)
9. วินโย จ สุสิกฺขิโต (มีระเบียบวินัย, ได้ฝึกอบรมตนไว้ดี)
10. สุภาสิตา จ ยา วาจา (วาจาสุภาษิต, รู้จักใช้วาจาพูดให้เป็นผลดี)

คาถาที่ 4
11. มาตาปิตุอุปฏฺฐานํ (บำรุงมารดาบิดา)
12/13. ปุตฺตทารสฺส สงฺคโห = ปุตฺตสงฺคห (สงเคราะห์บุตร) และ ทารสงฺคห (สงเคราะห์ภรรยา)
14. อนากุลา จ กมฺมนฺตา (การงานไม่อากูล)๑
๑ ท่านอธิบายว่า ได้แก่ อาชีพการงาน ที่ทำด้วยความขยันหมั่นเพียร เอาธุระ รู้จักกาล ไม่คั่งค้าง ย่อหย่อน. (ขุทฺทก.อ. 153; KhA.139).

คาถาที่ 5
15. ทานญฺจ (รู้จักให้, เผื่อแผ่แบ่งปัน, บริจาคสงเคราะห์และบำเพ็ญประโยชน์)
16. ธมฺมจริยา จ (ประพฤติธรรม, ดำรงอยู่ในศีลธรรม)
17. ญาตกานญฺจ สงฺคโห (สงเคราะห์ญาติ)
18. อนวชฺชานิ กมฺมานิ (การงานที่ไม่มีโทษ, กิจกรรมที่ดีงาม เป็นประโยชน์ ซึ่งไม่เป็นทางเสียหาย)๒
๒ ท่านยกตัวอย่างไว้ เช่น การสมาทานอุโบสถ การบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ สร้างสวน ปลูกป่า สร้างสะพาน เป็นต้น (ขุทฺทก.อ. 156; KhA.141)

คาถาที่ 6
19. อารตี วิรตี ปาปา (เว้นจากความชั่ว)
20. มชฺชปานา จ สญฺญโม (เว้นจากการดื่มน้ำเมา)
21. อปฺปมาโท จ ธมฺเมสุ (ไม่ประมาทในธรรมทั้งหลาย)

คาถาที่ 7
22. คารโว จ (ความเคารพ, การแสดงออกที่แสดงถึงความเป็นผู้รู้จักคุณค่าของบุคคล สิ่งของ หรือกิจการนั้นๆ และรู้จักให้ความสำคัญและความใส่ใจเอื้อเฟื้อโดยเหมาะสม)
23. นิวาโต จ (ความสุภาพอ่อนน้อม, ถ่อมตน)
24. สนฺตุฏฺฐี จ (ความสันโดษ, ความเอิบอิ่มพึงพอใจในผลสำเร็จที่ได้สร้างขึ้น หรือในปัจจัยลาภที่แสวงหามาได้ ด้วยเรี่ยวแรงความเพียรพยายามของตนเองโดยทางชอบธรรม)
25. กตญฺญุตา (มีความกตัญญู)
26. กาเลน ธมฺมสฺสวนํ (ฟังธรรมตามกาล, หาโอกาสแสวงหาความรู้เกี่ยวกับหลักความจริง ความดีงาม และเรื่องที่เป็นประโยชน์)

คาถาที่ 8
27. ขนฺตี จ (มีความอดทน)
28. โสวจสฺสตา (เป็นผู้ว่าง่ายสอนง่าย, พูดกันง่าย ฟังเหตุผล)
29. สมณานญฺจ ทสฺสนํ (พบเห็นสมณะ, เยี่ยมเยียนเข้าหาท่านผู้สงบกิเลส)
30. กาเลน ธมฺมสากจฺฉา (สนทนาธรรมตามกาล, หาโอกาสสนทนาแลกเปลี่ยนความรู้ความคิดเห็นกันเกี่ยวกับหลักความจริงความดีงามและเรื่องที่เป็นประโยชน์)

คาถาที่ 9
31. ตโป จ (มีความเพียรเผากิเลส, รู้จักบังคับควบคุมตน ไม่ปรนเปรอตามใจอยาก)
32. พฺรหฺมจริยญฺจ (ประพฤติพรหมจรรย์, ดำเนินตามอริยมรรค, การรู้จักควบคุมตนในทางเพศ หรือถือเมถุนวิรัตตามควร* )
* พรหมจรรย์ในที่นี้ มุ่งเอาอัฏฐังคิกมรรคเป็นหลัก แต่จะตีความแคบหมายถึงเมถุนวิรัติก็ได้ ความหมายอย่างหย่อนสำหรับคฤหัสถ์ คือ ถือพรหมจรรย์ในบุคคลที่มิใช่คู่ครอง หรือถือเด็ดขาดในวันอุโบสถ เป็นต้น

33. อริยสจฺจาน ทสฺสนํ (เห็นอริยสัจ, เข้าใจความจริงของชีวิต)
34. นิพฺพานสจฺฉิกิริยา จ (ทำพระนิพพานให้แจ้ง, บรรลุนิพพาน)

คาถาที่ 10
35. ผุฏฺฐสฺส โลกธมฺเมหิ จิตฺตํ ยสฺส น กมฺปติ (ถูกโลกธรรม จิตไม่หวั่นไหว)
36. อโสกํ (จิตไร้เศร้า)
37. วิรชํ (จิตปราศจากธุลี)
38. เขมํ (จิตเกษม)

แต่ละคาถามีบทสรุปว่า “เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ” (นี้เป็นมงคลอันอุดม)
มีคาถาสรุปท้ายมงคลทั้ง 38 นี้ว่า

“เอตาทิสานิ กตฺวาน

สพฺพตฺถมปราชิตา

สพฺพตฺถ โสตฺถี คจฺฉนฺติ

ตนฺเตสํ มงฺคลมุตฺตมนฺติ.”

แปลว่า “เทวะมนุษย์ทั้งหลายกระทำมงคลเช่นนี้แล้ว ย่อมเป็นผู้ไม่ปราชัยในที่ทุกสถาน ย่อมถึงความสวัสดีในที่ทั้งปวง นี้คืออุดมมงคลของเทวะมนุษย์เหล่านั้น.”

ขุ.ขุ. 25/5/3;
ขุ.สุ. 25/317/376.

พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม พิมพ์ครั้งที่ ๑๒ พ.ศ. ๒๕๔๖

รีบทำความดีให้มากก่อนตาย

คนสมัยนี้มีความเห็นตรงกันข้ามกับคนสมัยก่อน คนสมัยก่อนถ้าคิดถึงความตายเค้ารีบทำความดีให้มากก่อนตาย
ทีนี้คนสมัยนี้เมื่อคิดถึงความตายว่าต้องตายแน่เนี่ย มันรีบกินรีบเล่นรีบเอาเปรียบคนอื่น นั่นคือความดี

อย่างภาษิตของพวกที่ว่ากินดื่มร่าเริงเต็มที่วันนี้เพราะว่าเราอาจจะตายพรุ่งนี้ก็ได้ เดี๋ยวนี้เป็นอย่างนั้น Eat drink and be merry, tomorrow we may die พวกฝรั่งเค้าชอบพูด แต่คนโบราณเค้าถ้านึกถึงความตายรีบทำความดี

อย่างนี้เรียกในบาลีครั้งพุทธกาลว่า อาคาฬหปฏิปทา หรือ กามสุขัลลิกานุโยค ประกอบตนพัวพันอยู่ในกาม นี่เรียกว่า ตามใจตัวเอง คือตามใจกิเลส

พระพุทธเจ้าตรัสว่าเมื่อนึกถึงความตายแล้วก็ โลกาวิสัง ปาฌเห สันติเบกโข ให้รีบละ "เหยื่อในโลก" นี้เสียแล้วหวังนิพพาน 

เหยื่อในโลกมีความหมาย คือ เอร็ดอร่อยทางเนื้อทางหนัง แม้ในชั้นสวรรค์วิมานก็เรียกว่าเหยื่อในโลก ให้หวังนิพพานคือจิตใจที่อยู่สูงเหนือสิ่งเหล่านี้

#พุทธทาส #ธรรมะ #สวนโมกข์กรุงเทพ

โลกียอภิญญา

เรื่อง    โลกียอภิญญา 

โอวาท : หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ~พระราชพรหมยานฯ
..." โลกียอภิญญา นี้ ท่านแยกเรียกว่า วิชชา ๘  ก็มี.. อภิญญา ๕ ก็มี..  จะเอามารวมไว้ที่เดียวกัน   และ บอกวิธีปฏิบัติโดยย่อไว้ด้วย.. ใครอยากได้ เดินไปหาอาจารย์ที่ทำได้แล้ว ก็เรียนแล้วกัน..

* คนที่อ่านหนังสือจำได้ แต่ทำไม่ได้ อย่าไปขอเรียน  จะพากันเลอะใหญ่..  ฉันเคยเป็นนักเทศน์สอนคน  จนตัวฉันเกือบลงนรก มาหลายที.. ทั้งนี้ เพราะ ตีความหมายของตำราไม่ตรง  เมื่อทราบแล้ว  ต้องกลับไปเทศน์แก้ใหม่  เกือบแย่..!

* อยากหุงข้าวเป็น  ก็ไปเรียนกับพ่อครัว  อย่าไปเรียนกับลิง ที่ไม่มีวิชาความรู้เรื่องหุงข้าว..  อยากเดินป่า จงอย่าเอาปลาในทะเลเป็นครู..  อยากได้อภิญญา ถ้าไปหาคนที่ไม่ได้  จะเอาอะไรมาสอน  ตัวเองก็ยังสอนตัวเองไม่ได้  จะเสียเวลาเปล่า..

๑. อิทธิวิธี :  แสดงฤทธิ์ได้

๒. ทิพโสตญาณ :  มีประสาทหูเป็นทิพย์

๓. มโนมยิทธิ :  มีฤทธิ์ทางใจ ถอดกายในออกเที่ยวได้

๔. ทิพจักขุญาณ :  มีอารมณ์เป็นทิพย์ คล้ายตาทิพย์

๕. จุตูปปาตญาณ :  รู้ สัตว์ที่ตายแล้วไปเกิดที่ไหน สัตว์ที่มาเกิดนี้ มาจากไหน

๖. เจโตปริยญาณ :  รู้อารมณ์ใจ ของคนและสัตว์

๗. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ :   ระลึกชาติที่เกิดมาแล้วได้ ตามความต้องการ

๘. อตีตังสญาณ :  รู้เหตุการณ์ ที่ล่วงมาแล้ว

๙. อนาคตังสญาณ :  รู้เรื่องราวที่ยังไม่ได้เกิด

๑๐. ปัจจุปันนังสญาณ :  รู้เรื่องราวในปัจจุบัน ที่ปรากฏขึ้น ในที่ไกล หรือ โลกอื่น

๑๑. ยถากัมมุตาญาณ : รู้กฏของกรรม

( จากหนังสือ ธรรมปฏิบัติ เล่มที่ ๔๕ หน้าที่ ๔๕ ของวัดท่าซุง จ.อุทัยธานี )

“ปัญจมฌาน"

“ปัญจมฌาน” คืออะไร ?
ตอบ : ปัญจมฌาน ก็คือฌานที่ ๕ มีสำหรับพระโพธิสัตว์บารมีเข้มเท่านั้น โดยทั่ว ๆ ไปแล้วถ้าคุณเป็นสาวกภูมิไม่สามารถที่จะทำ่ได้ เพราะว่าฌาน ๔ จะประกอบไปด้วยตัวสุดท้ายก็คือ ตัวเอกัคตารมณ์ แปลว่า อารมณ์ที่ตั้งมั่นเป็นหนึ่งเดียว ไม่คลอนแคลน ไม่หวั่นไหวไปไหน 

แต่เนื่องจากว่าเอกัคตารมณ์ของทุกขั้นตอน ไม่ว่าจะฌานที่ ๑ ฌานที่ ๒ ฌานที่ ๓ จะมีตัวอุเบกขาอยู่ภายในนั้น ถ้าคุณขาดตัวอุเบกขา คุณจะทรงฌานไม่ได้ ตัวอุเบกขาก็อย่างที่บอกว่า เรามีหน้าที่ภาวนา ส่วนภาวนาแล้วจะเป็นอย่างไรก็ช่าง นั่นคืออุเบกขา 

คราวนี้ผู้ที่มีความชำนาญมาก ๆ ในระดับนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นพระโพธิสัตว์ที่มีบารมีเข้มมาก ท่านจะแยกตัวเอกัคตารมณ์กับตัวอุเบกขาออกจากกันได้ ก็จะกลายเป็นฌานที่ ๕

ถาม : ใช่อรูปฌานหรือไม่ ?

ตอบ : ไม่ใช่ แต่ถ้าหากว่าเราจะนับเป็นอรูปฌาน ๑-๒-๓-๔ ขึ้นไป ถ้าจะเรียกปัญจมฌาน ก็จะเป็นอรูปฌานที่ ๑

ถาม : ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าเรียกได้ทั้ง ๒ อย่าง ?

ตอบ : ก็ไม่ใช่ เพราะว่าอรูปฌานใช้กำลังแค่ฌาน ๔ เท่านั้น เพียงแต่ว่าใช้ฌาน ๔ ในการพิจารณาอากาศ พิจารณาวิญญาณ ถ้าอย่างนั้นก็ดูด้วยว่าเขาต้องการอะไร 

ถ้าเป็นอรูปฌานที่ ๑ จะเรียกปัญจมฌานก็ได้ แต่ว่าปัญจมฌานที่แท้จริงนั้นผู้ที่เป็นพระโพธิสัตว์เท่านั้นที่ฝึกได้ คนทั่ว ๆ ไปไม่จำเป็นที่จะต้องศึกษาถึงขั้นนั้น เพราะไม่ใช่ครูเขา ถ้าเป็นครูเขาก็จำเป็นที่จะต้องรู้ถึงขั้นนั้น ไม่อย่างนั้นถึงเวลาแล้วไม่สามารถที่จะตอบเขาได้

ถาม : ถ้าอย่างนั้นปัญจมฌานก็ไม่ใช่ฌาน ๔ หรือว่าเป็น ?

ตอบ : ปัญจ แปลว่า ๕ ปัญจม แปลว่า ที่ ๕ ปัญจมฌาน คือ ความเคยชินขั้นที่ ๕

ถาม : ........(ไม่ชัด)..........

ตอบ : อย่างนั้นเขาต้องเรียกอรูปฌานที่ ๑ แต่ที่เขาเรียก “สมาบัติที่ ๕” คือการเข้าถึงขั้นที่ ๕

ถาม : เขาบอกว่ามีสมาบัติ ๙ ด้วย ?

ตอบ : สมาบัติ ๙ มีเหมือนกัน ขั้นสุดท้ายเขาเรียก “นิโรธสมาบัติ” ...(หัวเราะ)... แต่สำหรับพระโพธิสัตว์นี่ต้องเป็นสมาบัติ ๑๐ ...(หัวเราะ)... เพราะว่าท่านสามารถเข้าถึงฌานที่ ๕ ได้ซึ่งเป็นฌานที่ถัดจากฌานที่ ๔ และไม่ได้เข้าอรูปฌานที่ ๑ แบบที่เราเข้าใจ ฌานที่ ๕ ของท่านก็คือฌานที่ต่อจากฌานที่ ๔

สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนกันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๔

17 กรกฎาคม 2567

.การเข้าออกฌาน ในบุคคลมี4จำพวก

..การเข้าออกฌาน ในบุคคลมี4จำพวก.
ฌานคือ.เพ่ง หรืออารมณ์ที่เกิดจากสมาธิ
.บางท่านเข้าฌานง่ายออกฌานยาก
.บางท่านเข้าฌานยากออกฌานง่าย
.บางท่านเข้าฌานยากออกฌานยาก
.บางท่านเข้าฌานง่ายออกฌานง่าย

การเข้าถึงฌานคือการเจริญสติ.ดีๆนี่เอง
เมื่อเรามีกำลังสติ.ที่ต่อเนื่องตั้งมั้นแล้วเเรกๆเราจะได้สัมผัสอารมณ์ฌาน แบบไม่เจตนา เพราะกำลังสติพาเป็นพาไป

เมื่อกำลังสติมีกำลังมากขึ้นๆ เราก็จะได้สำผัสอารมณ์ฌานบ่อยๆ จนแยกแยะได้ว่าอารมณ์ใดอารมณ์ความรู้สึกแบบใดเป็นฌานไหน

เมื่อคุ้นเคยในอารมณ์ฌานก็สามารถกำหนดฌานที่จะเข้าจะออกฌานได้จนชำนาญ

การทรงฌาน คือทรงอารมณ์ในสมาธิฌานนั้นๆได้นานๆ

การเข้าฌานคือการกำหนดอารมณ์เข้าในฌานใดฌานนึงได้ตามเจตนา 

การถอยฌานออกฌาน คือ.การกำหนดอารมณ์ในการออกฌานถอยฌานได้ตามใจปราถนา

สติ.ที่มีกำลังมากๆที่ทำให้เกิดฌานได้ทุกกาลทุกเวลาในทุกๆสถาน

.เจริญในธรรม

15 กรกฎาคม 2567

พระโกศพระบรมอัฐิของพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาหลายๆ พระองค์

          หลังจากประดิษฐานพระราชวงศ์จักรี เมื่อปี พ.ศ.๒๓๒๕ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชได้ทรงเปลี่ยนธรรมเนียมการเก็บรักษาพระบรมอัฐิและพระอัฐิของเหล่าพระประยูรญาติมาไว้ยังพระมหามณเฑียรสถานแทนการอัญเชิญไปเก็บรักษาไว้ยังจรนำวัดพระศรีศาสดารามในพระบรมมหาราชวังเหมือนดั่งธรรมเนียมเดิมของกรุงศรีอยุธยาที่จะอัญเชิญพระบรมอัฐิ พระอัฐิไปเก็บรักษายังท้ายจรนำวัดพระศรีสรรเพชญ์เนื่องด้วยทรงมีพระราชดำริที่ว่า
          " หากจะนำพระบรมอัฐิของพระราชบิดาไปประดิษฐานไว้ท้ายจรนำพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามหรือตามพระอารามหลวงนั้นเห็นทีจะเป็นการลำบากในภายหน้า เพราะเมื่อตอนที่กรุงศรีอยุธยาแตกนั้น ข้าศึกเข้าปล้นทรัพย์สินของมีค่าแม้กระทั่งพระโกศพระบรมอัฐิของกษัตริย์ที่ทำจากทองคำก็เอาไปหมดเหลือเพียงแต่พระบรมอัฐิที่เททิ้งไว้เรี่ยราดจนไม่รู้ว่าเป็นของพระองค์ใด เหตุนี้พระองค์จึงอัญเชิญพระบรมอัฐิเข้ามาไว้ในพระมหามณเฑียรใกล้ห้องพระบรรทม เผื่อหากภายภาคหน้าข้าศึกเกิดเข้าประชิดติดกำแพงวังก็จะเป็นการง่ายที่พระองค์จะหยิบฉวยติดมือไปด้วย "
          นี่จึงเป็นต้นเค้าธรรมเนียมการเก็บรักษาพระบรมอัฐิ พระอัฐิ ของเจ้านายในพระราชวงศ์จักรีไว้ในพระบรมหาราชวัง โดยพระบรมอัฐิ พระอัฐิ ของพระมหากษัตริย์ สมเด็จบวรราชเจ้า และพระราชวงศ์ฝ่ายวังหลวง ได้อัญเชิญไปไว้ยังสถานที่ต่างๆ ได้แก่ พระวิมานชั้น ๓ ของพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท หอพระธาตุมณเฑียร และหอพระนาก ในขณะที่พระโอรสธิดาในสมเด็จพระบวรราชเจ้า (วังหน้า) ได้อัญเชิญไปรักษาไว้ยังท้ายจรนำวัดชนะสงคราม 
ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ทรงมีพระราชดำริอยากให้แม่ลูกได้อยู่ร่วมกันจึงได้มีการสถาปนาสุสานหลวงขึ้นยังวัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร เพื่อบรรจุพระอัฐิ พระอังคาร อัฐิ อังคาร ของพระราชโอรสธิดารวมไปถึงเจ้าจอมมารดาและผู้ที่เกี่ยวข้องไว้ ณ สถานที่แห่งนี้ ดังนั้นพระบรมอัฐิ พระอัฐิ ของเหล่าพระราชวงศ์จักรีจึงยังมีอยู่ครบทุกพระองค์มาจนถึงปัจจุบัน
          ธรรมเนียมของกรุงศรีอยุธยานั้น เมื่อทำการถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระราชทานเพลิงพระศพแล้วจะมีการอัญเชิญ พระบรมอัฐิ พระอัฐิ ไปประดิษฐานยังวัดหลวงต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วัดพระศรีสรรเพชญ์ในพระราชวังหลวง นอกจากพระเจดีย์องค์ใหญ่ทั้ง ๓ และบริเวณท้ายจรนำซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระโกศพระบรมอัฐิของพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาแล้ว ปราสาทจตุรมุขรวมไปถึงเจดีย์รายต่างๆ ที่อยู่โดยรอบก็ยังเป็นที่ประดิษฐานพระอัฐิของเจ้านายหลายๆ พระองค์อีกด้วย วัดพระศรีสรรเพชญ์จึงเปรียบเสมือนพระราชสุสานของเหล่าพระราชวงศ์แห่งกรุงศรีอยุธยา
          เมื่อปี พ.ศ.๒๓๑๐ กรุงศรีอยุธยาถึงกาลล่มสลายลงทรัพย์สินมีค่าต่างๆ ได้ถูกปล้นสะดมนำไปยังบ้านเมืองของข้าศึกจนแทบจะเกือบหมดสิ้น ซึ่งแน่นอนว่า วัดพระศรีสรรเพชญ์ก็ไม่สามารถพ้นจากภยันตรายนี้ได้เช่นกัน บรรดาพระโกศพระบรมอัฐิ พระโกศอัฐิที่ประดิษฐานอยู่ ณ สถานที่นั้นก็พลอยถูกรื้อค้นทำลายลงไปด้วย เนื่องด้วยสร้างจากสิ่งมีค่า อาทิ ทองคำและอัญมณีต่างๆ เป็นที่ต้องการของข้าศึก พระบรมอัฐิ พระอัฐิ ที่บรรจุอยู่ภายในก็คงจะถูกเททิ้งไว้อยู่ ณ สถานที่แห่งนี้นั่นเอง เนื่องด้วยยังไม่เห็นเหตุผลใดๆ ที่เหล่าข้าศึกจะนำเศษซากเหล่านี้กลับไปยังบ้านเมืองของตน แทบไม่ต้องสงสัยเลยว่า ณ เวลานั้นคงจะมีกองพระอัฐิของเจ้านายทั้งหลายกระจัดกระจายอยู่ทั่วบริเวณวัดอย่างแน่นอน  เมื่อเวลาผ่านไปพระอัฐิเหล่านั้นก็คงจะย่อยสลายกลายเป็นธุลีดินอยู่บริเวณวัดพระศรีสรรเพชญ์นั่นเอง
กาลเวลาผ่านไปจากซากอิฐซากปูนก็ได้รับการบูรณะจากทางราชการจนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อของจังหวัดพระนครศรีอยุธยาไปในที่สุด แต่พึงระลึกไว้เสมอว่าผืนแผ่นดินแห่งนี้ก็ยังคงเต็มไปด้วยเศษเถ้าธุลีของพระบรมอัฐิ และพระอัฐิ ที่กลายเป็นส่วนหนึ่งของแผ่นดิน
          ภายใต้ความงดงามของสถานที่ในสายตานักท่องเที่ยวที่เดินเข้าไปชมใต้รองเท้าของคนเหล่านั้นก็ได้เหยียบย่ำไปบนแผ่นดินอันเป็นที่ที่เหล่าพระบรมอัฐิ พระอัฐิได้ประดิษฐานเช่นเดียวกัน เพียงแต่เราๆ ท่านๆ ไม่สามารถมองเห็นได้แล้วก็เท่านั้นเอง
          คำกล่าวที่ว่า "กระดูกที่ถูกเหยียบย่ำ" จึงเป็นสิ่งที่ไม่ไกลเกินกว่าความเป็นจริง

วงกลมสีแดง คือ บริเวณท้ายจรนำสถานที่ประดิษฐานพระโกศพระบรมอัฐิของพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาหลายๆ พระองค์

วงกลมสีเขียว คือ เจดีย์ราย สถานที่เก็บรักษาพระอัฐิของเจ้านายในพระราชวงศ์แห่งกรุงศรีอยุธยา มีร่องรอยของการขุดเจาะคาดว่าคงจะเป็นฝีมือของพวกที่ค้นหาของเก่า

cr.ขอบคุณข้อมูลของกรุงเก่าชาวสยามที่ให้เผยแพร่

01 กรกฎาคม 2567

ทหารทั้ง 4 ของสมเด็จพระเจ้าตากสิน

ทหารทั้ง 4 ของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ที่อยู่ในใบละ 20 บาท
 คือ
#มือซ้ายถือดาบอยู่ในฝักดาบ มือขวาชี้ไปข้างหน้า คือ พระยาเชียงเงิน (พระยาสุโขทัย)
#แบมือ ไม่ถือดาบ คือ หลวงพิชัยอาสา (พระยาพิชัยดาบหัก)
#มือขวา ถือปืนแอบอยู่ข้างอาชา คือ หลวงเสน่หา (กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท)
#ชักดาบเตรียมสู้ เหลียวระวังหลัง คือ หลวงพรหมเสนา

จิตที่ไม่มีสมาธิก็เพราะมีนิวรณ์

#จิตที่ไม่มีสมาธิก็เพราะมีนิวรณ์ ทำให้ไม่ได้มีความสงบ ไม่ใช้ปัญญา
"..จึงได้แสดง นิวรณ์ ๕ 
และกัมมัฏฐานสำหรับแก้เพิ่มเติม ดังต่อนี้

๑. ความพอใจใฝ่ถึงด้วยอำนาจของกิเลสกาม เรียกว่า “กามฉันทะ” 

แก้ด้วยเจริญ อสุภกัมมัฏฐาน พิจารณาซากศพ 
หรือเจริญ กายคตาสติ 
พิจารณาร่างกายอันยังเป็นให้เป็นของน่าเกลียด

๒. ความงุ่นง่านด้วยกำลังโทสะ เรียกรวมว่า “พยาบาท”

แก้ด้วยเจริญ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
หัดจิตให้เกิดในทางหัดคิดให้เรียเกิดเมตตา สงสาร กรุณา 
ช่วยเหลือเมื่อมีความสามารถ 
เกิดความพลอยยินดีไม่มีริษยา 
เกิดความปล่อยวาง หยุดใจที่คิดโกรธได้

๓. ความท้อแท้ หรือคร้าน หรือความหดหู่ง่วงงุน เรียกว่า “ถีนมิทธะ” 

แก้ด้วยเจริญ อนุสติกัมมัฏฐาน 
พิจารณาคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ บ้าง
พิจารณาความดีของตนบ้าง 
เพื่อให้จิตเบิกบาน และมีแก่ใจหวนอุตสาหะ 
หรือทำอาโลกสัญญา กำหนดหมายแสงสว่าง ให้จิตสว่าง

๔. ความฟุ้งซ่าน หรือคิดพล่าน 
และความจืดจางเร็ว หรือความรำคาญ เรียกว่า “อุทัจจกุกกุจจะ” 

แก้ด้วย เพ่งกสิณ กำหนดลมหายใจเข้าออก 
หัดผูกใจไว้ในอารมณ์เดียว 
หรือเจริญมรณสติ อันจะทำให้ใจสงบด้วยสังเวช

๕. ความลังเลไม่แน่ลงได้ เรียกว่า “วิจิกิจฉา”

แก้ด้วยเจริญ ธาตุกัมมัฏฐาน หรือ วิปัสสนากัมมัฏฐาน 
เพื่อกำหนดรู้สภาวที่เป็นอยู่ตามเป็นจริง

อีกอย่างหนึ่ง 
ทำความกำหนดรู้จิตที่มีนิวรณ์ และนิวรณ์ที่มีในจิต 
เมื่อเกิดปัญญาความรู้จักนิวรณ์ และโทษของนิวรณ์ขึ้น 
นิวรณ์ก็จะสงบหายไป.."

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพมหานคร
        🙇🏻‍♂️สุดทางไป📖🖋️

อริยสัจ 4 และมรรคแปด

ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ห่างไกลจากกิเลสตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาค ทรงตรัส...