ความหายนะของการปรามาสพระรัตนตรัย
ท่านกล่าวไว้ว่า บุคคลที่เป็นพระโสดาบันแล้ว ถ้าปรากฏว่า มีผู้อื่นผู้ใดประมาทพลาดพลั้ง หรือคะนองปาก กล่าวตำหนิติเตียน หรือนินทาว่าร้าย ด่าบริภาษ
แม้จะเป็นพระอริยะบุคคลที่เป็นคฤหัสถ์
แม้จะเป็นพระอริยะบุคคลที่เป็นคฤหัสถ์
ท่านกล่าวว่า ห้ามมรรค ผล นิพพาน แม้บุคคลผู้นั้นจะพากเพียรปฏิบัติธรรม อย่างไรก็มิอาจสามารถ บรรลุมรรคผลได้
การติเตียน ด่าบริภาษพระอริยเจ้า จึงมีโทษมาก
การติเตียน ด่าบริภาษพระอริยเจ้า จึงมีโทษมาก
เกิดความหายนะอย่างร้ายแรงที่สุด10อย่างคือ
1.บุคคลผู้นั้นจะยังไม่บรรลุธรรมที่ยังไม่บรรลุ
2.เสื่อมจากธรรมที่บรรลุแล้ว ฌาณ สมาธิ จะเสื่อมทันที
2.เสื่อมจากธรรมที่บรรลุแล้ว ฌาณ สมาธิ จะเสื่อมทันที
3.สัทธรรมของบุคคลผู้นั้นย่อมไม่ผ่องแผ้ว
4.เป็นผู้หลงคิดว่าตนเป็นผู้บรรลุสัทธรรม
4.เป็นผู้หลงคิดว่าตนเป็นผู้บรรลุสัทธรรม
5.ไม่ยินดีในการประพฤติพรหมจรรย์
6.ถ้าเป็นภิกษุต้องอาบัติเศร้าหมองอย่างใดอย่างนึง
6.ถ้าเป็นภิกษุต้องอาบัติเศร้าหมองอย่างใดอย่างนึง
7.ย่อมถูกโรคเบียดเบียนอย่างหนัก
8.ถึงความเป็นบ้ามีจิตฟุ้งซ่าน
8.ถึงความเป็นบ้ามีจิตฟุ้งซ่าน
9.หลงตามกาละ คือตายอย่างขาดสติ
10.เมื่อตายย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก
10.เมื่อตายย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก
กรรมที่บริภาษ ด่าทอ พระอริยบุคคลนี้ เป็นกรรมตัดรอน มรรคผล นิพพาน
มิใช่กรรมเก่า แต่เป็นกรรมที่สร้างขึ้นใหม่ และมีผลรุนแรงมาก มีอำนาจตัดรอนกรรมดีอื่นๆในทันใด
มิใช่กรรมเก่า แต่เป็นกรรมที่สร้างขึ้นใหม่ และมีผลรุนแรงมาก มีอำนาจตัดรอนกรรมดีอื่นๆในทันใด
วิธีแก้กรรมนี้ ต้องกล่าวขอขมาโทษ แก่พระอริยเจ้า เมื่อพระอริยเจ้าอดโทษไม่เอาโทษแล้ว ก็ไม่ห้าม มรรค ผล นิพพาน กลับมาเป็นปรกติดังเดิม
องค์สมเด็จพระสังฆราช สุกไก่เถื่อน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น