เจ้ากรรมนายเวร
ธรรมโอวาทหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง
ธรรมโอวาทหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง
..เจ้ากรรมนายเวร หมายถึงบาปที่เป็นอกุศล
ที่เราได้ทำไว้กับคนและสัตว์ในอดีตชาติก็ดี
ในชาติปัจจุบันก็ดี อย่างบางคนที่เราฆ่าเขาบ้าง
เราทำร้ายเขาบ้าง เขาอาจจะไปเกิดเป็นเทวดา
หรือพรหมแล้ว ถ้าเป็นเทวดาเขาไม่สนใจแล้ว
ที่เราได้ทำไว้กับคนและสัตว์ในอดีตชาติก็ดี
ในชาติปัจจุบันก็ดี อย่างบางคนที่เราฆ่าเขาบ้าง
เราทำร้ายเขาบ้าง เขาอาจจะไปเกิดเป็นเทวดา
หรือพรหมแล้ว ถ้าเป็นเทวดาเขาไม่สนใจแล้ว
แต่ไอ้ตัวบาปที่เราทำไว้ อย่างคนที่ไปขโมยของเขา
เจ้าของเขาไม่ติดใจ แต่ตำรวจมีหน้าที่ตามไม่ใช่
อยากตาม แต่กฎหมายให้ตาม ฉะ...นั้น กรรมหรือเวร
ตัวนี้คือกฎหมาย ถ้าหากปฏิบัติในขั้นสุกขวิปัสสโก
ก็จะบอกว่าไม่มีตัวตนเพราะไม่เคยเห็น แต่ว่าตั้งแต่
เตวิชโชขึ้นไปเขาเห็น ดังเรื่องที่อาตมาเล่าให้ฟัง
ประกอบเรื่องนี้
เจ้าของเขาไม่ติดใจ แต่ตำรวจมีหน้าที่ตามไม่ใช่
อยากตาม แต่กฎหมายให้ตาม ฉะ...นั้น กรรมหรือเวร
ตัวนี้คือกฎหมาย ถ้าหากปฏิบัติในขั้นสุกขวิปัสสโก
ก็จะบอกว่าไม่มีตัวตนเพราะไม่เคยเห็น แต่ว่าตั้งแต่
เตวิชโชขึ้นไปเขาเห็น ดังเรื่องที่อาตมาเล่าให้ฟัง
ประกอบเรื่องนี้
เมื่อ พ.ศ.๒๕๑๗ คืนหนึ่งอาตมาเจริญพระกรรมฐาน
เสร็จ ก็อุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร ขณะที่
อุทิศส่วนกุศลก็มายืนกันมากแต่ไม่ใช่เจ้ากรรมนายเวร
เป็นคนมาโมทนาบุญ พอเขาโมทนากันเสร็จ ก็มีชาย
คนหนึ่งคลานเข้ามา ถือขวานเล่มใหญ่
เสร็จ ก็อุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร ขณะที่
อุทิศส่วนกุศลก็มายืนกันมากแต่ไม่ใช่เจ้ากรรมนายเวร
เป็นคนมาโมทนาบุญ พอเขาโมทนากันเสร็จ ก็มีชาย
คนหนึ่งคลานเข้ามา ถือขวานเล่มใหญ่
พอเข้ามาใกล้ก็บอกว่า "ผมกับท่านหมดเรื่องกัน"
อาตมาก็ถามว่า "หมดเรื่องอะไร"
เขาก็บอกว่า "หมดเรื่องที่จะต้องติดตามจองล้าง
จองผลาญกัน"
ก็ถามอีกว่า "จองล้างจองผลาญฉันทำไม"
เขาก็บอกว่า "เปล่าครับ ผมไม่ได้จองล้างจองผลาญ"
ก็ถามว่า "แล้วเข้ามาทำไม"
อาตมาก็ถามว่า "หมดเรื่องอะไร"
เขาก็บอกว่า "หมดเรื่องที่จะต้องติดตามจองล้าง
จองผลาญกัน"
ก็ถามอีกว่า "จองล้างจองผลาญฉันทำไม"
เขาก็บอกว่า "เปล่าครับ ผมไม่ได้จองล้างจองผลาญ"
ก็ถามว่า "แล้วเข้ามาทำไม"
เขาก็เลยเล่าประวัติความเป็นมาให้ฟังว่า "ในอดีต
นับเป็นสิบ ๆ ชาติ ท่านกับผมรบกันมาเรื่อย" เป็นคู่
สงครามกัน ตัวเขาเก่งขวานทุกชาติ ส่วนอาตมา
เก่งดาบสองมือทุกชาติ ถ้าเวลาให้รบตัวต่อตัว
ต้องเอาคู่นี้มารบกัน ถ้าคนอื่นหัวขาด พอถึงเวลา
กินข้าวก็บอกว่า "พักรบก่อน กินข้าวเสร็จมารบกันใหม่"
วันนั้นทั้งวันไม่มีใครเสียท่ากัน
นับเป็นสิบ ๆ ชาติ ท่านกับผมรบกันมาเรื่อย" เป็นคู่
สงครามกัน ตัวเขาเก่งขวานทุกชาติ ส่วนอาตมา
เก่งดาบสองมือทุกชาติ ถ้าเวลาให้รบตัวต่อตัว
ต้องเอาคู่นี้มารบกัน ถ้าคนอื่นหัวขาด พอถึงเวลา
กินข้าวก็บอกว่า "พักรบก่อน กินข้าวเสร็จมารบกันใหม่"
วันนั้นทั้งวันไม่มีใครเสียท่ากัน
อาตมาถามว่า "มันมีเวรกรรมอะไรกันล่ะ"
เขาบอกว่า "กฎของกรรมเขาถือว่ามี แต่เวลานี้
กฎของกรรมสลายตัวแล้ว"
ก็เลยถามว่า "เวลานี้ไปเกิดที่ไหน"
เขาก็บอกว่า "ผมเป็นพรหมครับ"
ถามว่า "พรหมยังจองกรรมหรือ"
เขาตอบว่า "ผมไม่ได้จองแต่กฎของกรรมมันจอง
เรื่องของกรรมหนัก ๆ ระหว่างสงครามหมดกันแค่นี้"
เขาบอกว่า "กฎของกรรมเขาถือว่ามี แต่เวลานี้
กฎของกรรมสลายตัวแล้ว"
ก็เลยถามว่า "เวลานี้ไปเกิดที่ไหน"
เขาก็บอกว่า "ผมเป็นพรหมครับ"
ถามว่า "พรหมยังจองกรรมหรือ"
เขาตอบว่า "ผมไม่ได้จองแต่กฎของกรรมมันจอง
เรื่องของกรรมหนัก ๆ ระหว่างสงครามหมดกันแค่นี้"
เราอุทิศส่วนกุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวร เขาจะ
ได้รับหรือไม่ได้รับก็ตาม บุญที่เราทำเป็นผล
ให้เกิดความสุข ไอ้กรรมต่าง ๆ ที่เป็นอกุศลที่เรา
ได้ทำไปแล้ว เราไปยับยั้งมันไม่ได้ แต่ทว่าถ้าเรา
ทำกรรมดีให้มีกำลังเหนือบาป บาปต่าง ๆ ก็จะ
ตามเราไม่ทันเหมือนกัน เรียกได้ว่า เป็นการทำบุญ
หนีบาป ไม่ใช่ทำบุญล้างบาป
ได้รับหรือไม่ได้รับก็ตาม บุญที่เราทำเป็นผล
ให้เกิดความสุข ไอ้กรรมต่าง ๆ ที่เป็นอกุศลที่เรา
ได้ทำไปแล้ว เราไปยับยั้งมันไม่ได้ แต่ทว่าถ้าเรา
ทำกรรมดีให้มีกำลังเหนือบาป บาปต่าง ๆ ก็จะ
ตามเราไม่ทันเหมือนกัน เรียกได้ว่า เป็นการทำบุญ
หนีบาป ไม่ใช่ทำบุญล้างบาป
ทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้ที่ไม่ทำความชั่วเลยน่ะไม่มี
ดังนั้นถ้าเราจะชดใช้บาปก็คงจะชดใช้กันไม่ไหว
มีทางเดียวในกิจของพระพุทธศาสนาคือ หนีบาป
ด้วยการปฏิบัติดังนี้
๑) การคิดถึงคุณพระรัตนตรัยคือ พระพุทธคุณ
พระธรรมคุณ และพระอริยสงฆคุณ
๒) ทรงศีล ๕ ให้บริสุทธิ์
๓) มีพรหมวิหาร ๔ ให้ครบถ้วน
๔) มีอิทธิบาท ๔ ทรงตัว
๕) มีการภาวนาให้จิตทรงตัว
๖) พยายามรวบรวมบารมี ๑๐ ประการ
ให้มีในจิตให้ครบถ้วน
๗) พยายามตัดสังโยชน์ ๑๐ ประการให้หมด
๘) จรณะ ๑๕ ปฏิบัติให้ครบถ้วน
ดังนั้นถ้าเราจะชดใช้บาปก็คงจะชดใช้กันไม่ไหว
มีทางเดียวในกิจของพระพุทธศาสนาคือ หนีบาป
ด้วยการปฏิบัติดังนี้
๑) การคิดถึงคุณพระรัตนตรัยคือ พระพุทธคุณ
พระธรรมคุณ และพระอริยสงฆคุณ
๒) ทรงศีล ๕ ให้บริสุทธิ์
๓) มีพรหมวิหาร ๔ ให้ครบถ้วน
๔) มีอิทธิบาท ๔ ทรงตัว
๕) มีการภาวนาให้จิตทรงตัว
๖) พยายามรวบรวมบารมี ๑๐ ประการ
ให้มีในจิตให้ครบถ้วน
๗) พยายามตัดสังโยชน์ ๑๐ ประการให้หมด
๘) จรณะ ๑๕ ปฏิบัติให้ครบถ้วน
เมื่อมีการทรงตัวดังกล่าวมาแล้วนี้ได้ทั้งหมด
ก็เป็นอันว่าไม่ต้องเกิดกันอีกต่อไป นั่นคือตายเมื่อใด
ก็ไปพระนิพพานอันเป็นแดนที่มีความสุขที่สุด.."
ก็เป็นอันว่าไม่ต้องเกิดกันอีกต่อไป นั่นคือตายเมื่อใด
ก็ไปพระนิพพานอันเป็นแดนที่มีความสุขที่สุด.."
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น