10 ธันวาคม 2561

เรื่องกฏของกรรม


หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม

ผู้ถาม :- “หลวงพ่อ ตัดกรรมได้ไหมคะ…?”

หลวงพ่อ :- “ตัดกรรมนี่มันตัดไม่ได้หรอก กรรมที่เป็นกุศลก็ตัดไม่ได้ กรรมที่เป็นอกุศลก็ตัดไม่ได้ นี่พูดตามพระพุทธเจ้านะ

.....แต่ว่าที่เราทำดีนี่ คือ สร้างกรรมดีที่เป็นกุศลมากขึ้น หนีกรรมที่เป็นอกุศล คือ กรรมที่เป็นอกุศลมันมีอยู่ แต่เราสร้างกรรมดีที่เป็นกุศล กรรมที่เป็นอกุศลก็ตามช้าลง เราฝึกวิ่งหนีให้มันเร็วเข้า ใช่ไหม…”

ผู้ถาม :- “อย่างนี้ก็ไม่มีทางหมดบาปน่ะซิคะ…?”

หลวงพ่อ :- “การจะทำให้หมดบาปน่ะไม่มีทางหรอก ในทางพระพุทธศาสนามีอยู่ทางเดียวคือ ทำบุญหนีบาป ใช้กำลังบุญให้สูงขึ้น ความชั่วที่มันเป็นบาปกรรมอยู่มันก็ตามทันยากหน่อย ใช่ไหม…”

.....แต่ถ้าเป็นพระโสดาบันก็สบาย ตัดกรรมจริงๆ แต่ว่าเศษของกรรมยังมีอยู่บ้าง แต่กรรมก็ไม่สามารถจะดึงให้เราลงนรก เป็นเปรตเป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉานได้

.....แต่ถ้ามาเป็นมนุษย์ ถ้าเรามีโทษปาณาติบาต มันก็ทำให้เราป่วยบ้าง

.....ถ้ามีโทษอทินนาทานอยู่ ก็ทำให้ของหาย ไฟไหม้ ขโมยลัก น้ำท่วม ลมพัด

.....ถ้าเราเคยมีโทษกาเมสุมิจฉาจาร คนใต้บังคับบัญชาเราก็หัวดื้อ ไม่เชื่อฟัง

.....ถ้าเราเคยมีโทษมุสาวาท พูดโกหกเขา เราพูดอะไรก็ไม่มีใครเชื่อ

.....ถ้ากินเหล้าเมายามาก่อน ก็เป็นโรคประสาทบ้าง เป็นคนบ้าบ้าง มันก็แค่นี้

.....แต่ว่าถ้าเป็นพระโสดาบันแล้ว มันไม่ถึงบ้าแค่มึนๆ ไปหน่อย นี่เป็นโทษจากเศษของกรรม”

ผู้ถาม :- “ถ้าสร้างพระพุทธรูปปางนิพพาน จะหนีกรรมได้ไหมคะ”

หลวงพ่อ :- “หนีกรรมได้ เป็นการสร้างกำลังความดีให้สูงเข้าไว้”

ผู้ถาม :- “ยังงั้นเราก็สร้างพระมาก ๆ ซิคะ…?”

หลวงพ่อ :- “ประเดี๋ยววัดไม่มีที่เก็บอีก มีกรรมอีก ต้องไปสร้างตึกให้พระอยู่อีก เอาไหม…?”

ผู้ถาม :- (หัวเราะ)

หลวงพ่อ :- “สร้างพระมาก ๆ เป็นพุทธบูชา เป็นพุทธานุสติไม่ดีเรอะ…ในกรรมฐาน ๔๐ กอง ท่านบอกว่า กำลังพุทธานุสตินี่เป็นเหตุให้เข้าถึงนิพพานได้ง่ายที่สุดง่ายกว่ากองอื่นที่สุด และรวดเร็วกว่าอย่างอื่น”

*** บุคคล ๔ ประเภทในโลก ***

ผู้ถาม :- “เคยได้ยินหลวงพ่อบอกว่า คนที่เกิดมาในโลกนี้แบ่งเป็น ๔ ประเภท แล้วพวกที่มีปฏิภาณดี จัดอยู่ในประเภทไหนคะ…?”

หลวงพ่อ :- “พวกที่มีปฏิภาณดีอยู่ในพวก

๑. อุคฆฏิตัญญู พูดแต่เพียงหัวข้อก็เข้าใจเลย

ส่วนอีก ๓ พวกคือ

๒. วิปจิตัญญู พวกนี้พูดย่อ ๆ ยังไม่เข้าใจ ต้องขยายต้องอธิบายหน่อยจึงจะเข้าใจ

๓. เนยยะ พวกนี้หน้าหนานิด ๆ ต้องตีแรง ๆ หน่อยจึงเจ็บ สอนได้แค่กามาวจรสวรรค์

๔. ปทปรมะ พวกนี้พูดยังไง ๆ ก็ไม่รู้เรื่อง

.....แต่ประเภทพูดครั้งแรกแล้วไม่รู้เรื่อง จะถือว่าเป็นพวกปทปรมะไม่ได้นะ คือว่าต้องขึ้นอยู่กับวาระจิตที่เป็นกุศลหรืออกุศล ถ้าตกอยู่ในวาระของอกุศลพระพุทธเจ้าท่านไม่สอน   เมื่อเวลาที่กุศลให้ผลพระพุทธเจ้าจึงจะสอน ถ้าเชื้อเป็นปทปรมะจริง ๆ ไม่มีทางไปนิพพาน พอพูดมาก็กลัว เพราะไม่เข้าใจ”

ผู้ถาม :- “พวกที่มีปฏิภาณดีนี่ต้องเป็นคนฉลาดใช่ไหมคะ…?”

หลวงพ่อ :- “ไอ้ตัวปฏิภาณนี่คือความฉลาด พวกปฏิภาณนี่มีปัญญาพิเศษเกินกว่าปัญญาธรรมดา มันมีความว่องไวมากกว่า ปัญญาธรรมดาต้องใช้อารมณ์ใคร่ครวญ   ส่วนปฏิภาณนี่ไม่ต้องใช้ปั๊บเดียวได้เลย เขาพูดมาสามารถแก้ปัญหาได้ทันที จึงเรียกว่าปฏิภาณ”

*** กรรมดีหรือกรรมชั่วให้ผล ***

ผู้ถาม :- “หลวงพ่อครับ คนเราเกิดมานี่นะครับ ต้องสร้างทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว อันนี้เป็นเพราะว่าเนื่องจากผลของกรรมเก่า หรือว่าเราสร้างขึ้นใหม่ครับ…?”

หลวงพ่อ :- “ทั้งใหม่ทั้งเก่า คือกรรมเก่าบางอย่างมันให้ผลในชาติปัจจุบัน บางอย่างให้ผลในชาติต่อไป บางอย่างอีกหลายชาติจึงจะให้ผล เราเกิดมานี่เราทำแต่กรรมดีอย่างเดียวหรือเปล่าล่ะ เคยทำความชั่วบ้างไหม…?”

ผู้ถาม :- “เคยครับ”

หลวงพ่อ :- “ทีนี้ผลที่รับนี่ไม่แน่ ฉันตอบไม่ได้ว่าผลที่ได้รับเป็นกรรมใหม่หรือกรรมเก่า”

ผู้ถาม :- “สิ่งที่เรากระทำลงไปเป็นสิ่งไม่ดี เป็นกรรมเก่าที่เราทำไม่ดี หรือว่าเราสร้างของเราใหม่ครับ…?”

หลวงพ่อ :- บางทีเราก็สร้างใหม่ เพราะเราขยันสร้าง อย่าไปโทษเก่าเสมอไปเลย   โทษปัจจุบันดีกว่า   คือทุกสิ่งทุกอย่างโทษปัจจุบันไว้ดีกว่า ป้องกันตัวไว้ บางอย่างก็อาศัยกรรมเก่าที่เราทำมา มันให้ผลจึงมีความเห็นผิด   บางอย่างสิ่งแวดล้อมมันเกิดขึ้นในปัจจุบันทำให้เราเห็นผิด     ก็คิดว่าไอ้กรรมเก่ามันแค่ไหนก็ช่างมัน  ไม่สนใจ  ทำกรรมใหม่ให้ดีไว้เสมอ ๆ  ดีกว่าอย่าไปคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงมาแล้ว กรรมเก่ามันจะเลวมันจะชั่วก็ช่างมัน

*** อย่าลืมว่าเราเกิดมาเป็นมนุษย์ได้เพราะอาศัยความดีหลายอย่าง ***

๑.เราเคยมีศีล ๕ บริสุทธิ์ หรือมีกรรมบถ ๑๐ บริสุทธิ์ เราจึงเป็นมนุษย์ที่มีความสมบูรณ์ได้

๒.เรามีทรัพย์สินเพราะเราเคยให้ทาน

๓.เรามีปัญญาคิดอะไรได้บ้าง เพราะเราเคยอบรมในด้านความดี ในด้านธรรมมาก่อน

เราต้องคำนึงของ ๓ อย่างนี้ เพราะมันเป็นความดีเดิม

ในเมื่อเราเป็นมนุษย์ได้แล้ว เราจะกลับไปเป็นสัตว์นรกอีกไหม…?

ถ้าเราทำลายศีลข้อใดข้อหนึ่ง นั่นแสดงว่ามันจะกลับไปนรกอีก

ประการที่ ๒ เราเกิดมาเป็นคนตระหนี่ เป็นคนดีพอกลับไปเราก็ต้องกลับไปแก้ผ้าใหม่

และประการที่ ๓ เราทำลายสติสัมปชัญญะของเราให้มันเสื่อมทรามลง เป็นการทำลายของเดิมที่เราก่อมาแล้วให้สลายตัวไป ถ้าเราคิดอย่างนี้แล้วจะดีขึ้น

.....ฉะนั้น พระพุทธเจ้าท่านจึงทรงสั่งสอน อย่าตามนึกถึงสิ่งที่ล่วงมาแล้ว และจงอย่าคำนึงถึงสิ่งที่ยังไม่มาถึง   พยายามรักษาความดีปัจจุบัน

.....ถ้าปัจจุบันของเราดี เพราะอารมณ์ของเราจริง ๆ ไม่มีอดีต
ไม่มีอนาคตหรอก มันมีแต่ปัจจุบัน คือให้มีความรู้สึกว่าเดี่ยวนี้อยู่เสมอ คืออารมณ์ทำเป็นอาจิณกรรม   ถึงแม้ว่าครั้งละเล็กละน้อยมันก็ชิน อาจิณกรรมถ้าเป็นฝ่ายอกุศล มันมีโทษถึงอนันตริยกรรมได้ แต่ถ้าอาจิณกรรมฝ่ายกุศลมันก็มีผลมหันต์เหมือนกัน

.....ถ้าเราไม่ตามนึกถึงมัน เรามุ่งหน้าทำแต่ความดี อันดับเลวที่สุดถ้าเราเป็นพระโสดาบัน  กรรมที่ไม่ดีนั้นจะให้ผลลงอบายภูมิไม่ได้   มันจะให้ผลแต่เพียงว่าเราเกิดมาเป็นมนุษย์ไหม่เท่านั้น มันตัดอบายภูมิ ใช่ไหม…ได้กำไรตั้งเยอะ    ดีไม่ดีเป็นอรหันต์เสียชาตินี้หมดเรื่องหมดราวไปเลย เพราะมันเหลือแค่เศษกรรม ใช่ไหม…ดอกเบี้ยมันนิดหน่อย เอาอย่างนั้นนะ

.....จำไว้แค่นี้ก็แล้วกันนะ เอาเวลานี้ให้มันดีอยู่เสมอ อย่าไปเอาเวลาอื่นนะ เวลาปัจจุบันนี้เมื่อความรู้สึกยังมีอยู่ ให้จิตมันว่างจากอารมณ์ที่เป็นอกุศล ที่พระพุทธเจ้าทรงสอน ให้ทรงอนุสสติ

**อนุสสติ แปลว่า การตามนึกถึง คือให้นึกถึงความดีอยู่เสมอ**

อนุสสติ ก็มี
๑.พุทธานุสสติ  ๒.ธัมมานุสสติ  ๓.สังฆานุสสติ  ๔.สีลานุสสติ
๕.จาคานุสสติ  ๖.เทวตานุสสติ  ๗.มรณานุสสติ ๘.กายคตานุสสติ  ๙.อุปสมานุสสติ และ ๑๐.อานาปานุสสติ

.....ถ้าเราตามนึกถึงอนุสสติอย่างใดอย่างหนึ่ง มันเป็นเรื่องของความดี    ทีนี้ความดีที่เราจะไปชำระหนี้ความชั่วเดิมให้หมดไป ถ้าจะไปนิพพานรับรองไม่ได้ไปแน่  เพราะอะไร   เกิดทุกชาติก็สร้างเรื่อย เสริมความชั่วอยู่เสมอ ทีนี้ทางพระพุทธศาสนาเราไม่มีการล้างบาป แต่ว่าในทางพุทธศาสนาให้สร้างกำลังจิตในด้านความดีให้มีกำลังสูงเพื่อหนีบาปให้พ้นไป  ถ้าจิตติดด้านความดีฝ่ายสูงมันก็มี ๔ ขั้น คือ

๑.พระโสดาบัน

๒.พระสกิทาคามี

๓.พระอนาคามี

๔.พระอรหันต์

*** กรรมของพระอรหันต์ ***

ผู้ถาม :- “พระอรหันต์ที่ไปนิพพานท่านหมดกรรมที่เป็นอกุศลไหมครับ…?”

หลวงพ่อ :- “ไม่มีพระองค์ไหนหมดกรรมที่เป็นอกุศลกรรม
ที่เป็นอกุศลกรรมของท่าน ถ้าจะเขียนชื่อใส่ปี๊บก็ไม่หมด ที่ท่านไปนิพพานได้   ไม่ใช่หมดกรรมที่เป็นอกุศลนะ   แต่ทว่าสร้างอารมณ์ที่เป็นกุศลละเอียด   จนกระทั่งอกุศลมันตามไม่ทัน

ถ้ารอใช้กรรมที่เป็นอกุศลน่ะไม่มีทาง   เราลงนรกเกือบทุกชาติ ตายแล้วลงนรกขึ้นมาเป็นมนุษย์ บี้มดบ้างบี้อะไรต่ออะไรบ้างลงไปใหม่ ใช้หนี้หมดก็ขึ้นมาบี้อีกก็ลงใหม่ ไม่ต้องไปใหนล่ะ ใช่ไหม…สร้างใหม่ตลอดไอ้เก่าก็ใช้หนี้ไม่หมด ไปไหม…จะไปฝากพระยายมให้ เวลานี้ท่านเปิดบัญชีรับสมัครไม่จำกัดนะ”

ผู้ถาม :- (หัวเราะ) “ไม่ละครับ”

*** กฎของกรรมของนายแดง ***

ผู้ถาม :- “หลวงพ่อคะ หนูเคยอ่านเรื่องกฏของกรรมเรื่องหนึ่ง คือนายแดงเป็นคนเนรคุณพ่อแม่ และเคยทุบตีพ่อแม่ พอแกมีลูกออกมาลูกก็มีอาการเหมือนกับพ่อค่ะ คงจะเป็นกฏของกรรมของนายแดง แต่หนูคิดว่าลูกของนายแดงจะต้องมีบาปเหมือนกันใช่ไหมคะ?”

หลวงพ่อ :- “ก็ไม่ใช่บาป”

ผู้ถาม :- “แล้วกฏของกรรมจะบันดาลให้เป็นอย่างไรคะ?”

หลวงพ่อ :- “นายแดงเป็นคนอกตัญญูไม่รู้คุณพ่อแม่ ตีพ่อตีแม่นายแดงก็เป็นคนมีจิตเลว ฉะนั้นเด็กที่จะต้องมาเกิดด้วยก็ต้องเป็นเด็กเลว ๆ มาเกิด คือว่าเด็กที่จะมาเกิดร่วมกันส่วนใหญ่จะต้องมีศรัทธาเสมอกัน มีจาคะเสมอกัน มีปัญญาเสมอกัน มีศีลเสมอกัน เสมอกับพ่อแม่ จึงจะสู่ครรภ์เข้าในตระกูลนั้นได้

.....แต่ว่าไอ้กรรมที่เป็นอกุศลย่อมให้ผลต่างวาระ บางทีตอนเป็นเด็ก ๆ แกดี ตอนโตอาจเลวไปชั่วขณะหนึ่งก็ได้ หมายความว่ากรรมที่เป็นอกุศลเดิมเข้ามาสิงจิตในช่วงกลางนะ และในช่วงหนึ่งของชีวิต เขาอาจจะมีดีในตอนปลายมือก็ได้  เพราะว่าตอนต้น ๆ  พ่อเลวแม่เลว   แต่เขาอาจมีดีอยู่เป็นเพราะช่วงของกรรมเขา เกิดมาในช่วงนั้น กรรมที่เป็นอกุศล มันให้ผลไปก่อน  แต่ว่ากรรมที่เป็นกุศลคือความดีมันอาจจะมาทีหลัง”

*** กฎของกรรมของพระองคุลีมาร ***

ผู้ถาม :- “อย่างนั้นพระองคุลีมารที่ต้องเป็นโจรฆ่าคนเอานิ้วมือ ก็คงเป็นกฏของกรรมใช่ไหมคะ…?”

หลวงพ่อ :- “อันนี้เป็นกฏของกรรม คือถอยหลังจากชาตินี้ไป ๑ ชาติ ก่อนที่จะเกิดมาเป็นคน ท่านเกิดเป็นควายป่า ภายหลังถูกฆ่า คนทั้งหมดมีพันคนเศษที่ร่วมกันตีให้ตาย พอดีลงไปแล้วก่อนจะสิ้นใจตายแกก็ลืมตาดู “ไอ้พวกนี้มันมาก กูคนเดียวมึงรุมฆ่ากู ถ้าชาติหน้ามีจริงกูขอฆ่ามึงบ้าง” นี่เป็นเวรที่จองกันไว้

.....พอเกิดมาอีกชาติหนึ่ง พ่อตั้งชื่อให้ว่า “อหิงสกกุมาร” แปลว่ากุมารผู้ไม่เบียดเบียน พอเกิดมาแล้วสติปัญญาดี ท่านเป็นคนดีมาก ต่อมาพ่อส่งไปเรียนศิลปวิทยา    ภายหลังเพราะความดีของท่าน   ถูกลูกศิษย์ด้วยกันกลั่นแกล้ง   ยุยงให้อาจารย์ออกอุบายให้ไปเรียน  “วิษณุมนต์”   แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องยกครูก่อน โดยจะต้องฆ่าคนให้ได้ถึงพันคนจึงจะเรียนได้

.....ท่านก็เลยตกลงยกครูโดยการไล่ฆ่าคน ฆ่าได้ ๑ คน ก็เอานิ้ว ๑ นิ้ว แต่ว่าคู่ปรับยังมีอีกคนเดียว ถ้าได้อีกนิ้วเดียวก็ครบคู่ปรับพอดีและคู่ปรับที่จะต้องฆ่าก็คือแม่

.....สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทราบว่า ถ้าอหิงสกกุมารฆ่าแม่จัดเป็นอนันตริยกรรม  มรรคผลจะไม่ได้เลย  ท่านทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ ต้องการว่าคนที่จะดีก็ขอให้ดีต่อไป ไม่ให้ความชั่วเข้ามาทับถม   จึงเสด็จไปโปรดเพราะกรรมที่เป็นกุศลเดิมให้ผล ท่านจึงรู้สึกตัววิ่งเข้าไปกราบพระพุทธเจ้า ภายหลังท่านก็ขอบวชแล้วก็ได้เป็นอรหันต์”

*** กฎของกรรมของภรรยานายเรือ ***

ผู้ถาม :- “หลวงพ่อคะ   ยังมีอีกเรื่องหนึ่งค่ะ   บัณฑิตผู้นี้เป็นผู้พิพากษาค่ะ ก็ตัดสินคดีเกี่ยวกับศีลข้อ ๓ นี่ค่ะ ก็ปล่อยคนที่เป็นชู้ไป ภรรยาก็เลยโกรธ บอกว่าตัดสินไม่ยุติธรรม ด่าว่าใหญ่เลย ตัวสามีก็เลยโมโห   พูดถึงความหลังขึ้นมาว่า   แล้วแกล่ะคนดี
เรอะ... เขาพูดถึงคืนวันนั้น  ภรรยาเสียใจก็เลยผูกคอตายอยากจะถามหลวงพ่อว่า บัณฑิตผู้นี้จะต้องไปใช้เวรภรรยาในสภาพอย่างไรคะ…?”

หลวงพ่อ :- “ก็ภรรยาเขาผูกคอตายเอง นั่นก็เป็นกฏของกรรมของเขา”

ผู้ถาม :- “แต่มันเป็นคำพูดที่รุนแรงนี่คะ ที่ทำให้ภรรยาเขาฆ่าตัวตาย”

หลวงพ่อ :- “ความจริงไม่แรงหรอกถ้าคนธรรมดา   นี่กฏของกรรมมันบังคับ   ก็มีเรื่องอยู่เรื่องหนึ่ง   มีหญิงคนหนึ่งไปในเรือสำเภา เกิดอับปาง เขาก็หาคนที่เป็นกาลกิณี ก็ได้หญิงคนที่เป็นเมียของเจ้าของเรือเขาก็จับโยนลงน้ำไป

.....เรื่องนี้มีพระไปพบเข้าก็มาถามพระพุทธเจ้าว่า   เป็นเพราะกรรมอะไร พระพุทธเจ้าก็ทรงเล่าประวัติเดิมว่า...

......หญิงคนนี้เดิมมีสามี ต่อมาสามีก็ตาย ตัวก็ตายก็มาเกิดใหม่ ตัวผู้หญิงคนนี้เขาสร้างความดีไว้มากกว่าสามี   ก็มาเกิดเป็นลูกคหบดี แล้วสามีก็ไปเกิดเป็นสุนัข ไอ้อารมณ์เดิมที่มีความผูกพันก็เกิดมีความรักหวงแหน จะไปไหนก็ไปด้วย จนกระทั่งชาวบ้านเห็นผู้หญิงขึ้นมา มีหมาตามมาด้วย เขาก็ล้อ “เฮ้ย…พวกเราพรานสุนัขมาแล้ว” เธอก็อาย

.....วันหนึ่งเธอไม่รู้จะทำไง เลยคิดจะฆ่าหมาตัวนี้โดยเอาห่วงคล้องคอ เอาไปถ่วงจับโยนน้ำ ไอ้กรรมตัวนี้นี่เอง มาเกิดชาติหลังหมาตัวนั้นมาเป็นนายสำเภา แกก็มาเป็นภรรยา พอเรือมันอับปางก็จับสลากกันว่าใครเป็นกาลกิณี จับกี่ครั้ง ๆ ก็ได้แก่เมีย จึงจำเป็นต้องจับโยนน้ำไป นี่กรรมมันสนองแบบนี้ เขาถือว่ากรรมสนองกรรม

.....ฉะนั้นกฏของกรรมเดิมต้องทวน ก็ใช้อตีตังสญาณซิ นี่อ่านหนังสือแล้วก็ใช้อตีตังสญาณถอยหลังไป แต่ว่าอย่าไปถอยเองเหนื่อย  ถามพระพุทธเจ้า   พระอรหันต์ทุกองค์ท่านไม่ใช้กำลังของตัวเอง    แต่พวกที่ใช้กำลังของตัวเองก็คือพวกฌานโลกีย์ ถ้าหากเป็นพระอริยะชั้นสูงเขาไม่ใช้เขารู้ว่าพระพุทธเจ้าเป็นสัพพัญญู แปลว่า รู้ทุกอย่างถามท่านตรง ๆ แล้วขอดูภาพ อันนี้แม่นยำตรงตามเป็นจริง และการถามพระพุทธเจ้าก็ดี เทวดาก็ดี พรหมก็ดี พระอรหันต์ก็ดี ทั้งหมดนี้ถามซ้ำไม่ได้   ถ้าหาก...ท่านบอกมายังไงก็ต้องเชื่อตามนั้น ไอ้โลกที่จะพูดกันไม่ค่อยรู้ประสา มีโลกเดียวเท่านั้น โลกมนุษย์ ใช่ไหม…”

*** กฎของกรรมของพระโมคคัลลาน์ ***

ผู้ถาม :- “ค่ะ เรื่องกฏของกรรมดิฉันเชื่อ และก็ได้นิทานเรื่องนี้แหละ เอาไปเล่าให้กับคนที่มีปัญหาอย่างนี้ฟัง รู้สึกว่าพอเขาฟังแล้ว ทำให้ใจดีขึ้นมากมาย แต่ตัวเองกลับมากลัวเรื่องกรรมพัวพัน”

หลวงพ่อ :- “ไม่เป็นไรหรอก มันขึ้นอยู่ที่กฏของกรรม อย่างพระโมคคัลลาน์ ท่านเป็นคนดีจะตาย เกิดจากความเป็นเด็กก็เป็นคนดี จนกระทั่งเป็นผู้ใหญ่ แต่พอมาเป็นพระอรหันต์บั้นปลายของชีวิตต้องถูกทุบ นี่ท่านก็ไม่พ้นกฏของกรรม กรรมอะไร…

.....เมื่อเกิดชาติที่แล้วนั้นท่านทุบพ่อแม่ แต่ไม่ถึงตาย ตายแล้วท่านไปเสวยผลในอเวจี เมื่อท่านใกล้จะนิพพานเศษกรรมตัวนี้ก็มาสนอง โจรมาล้อม ๒ ครั้ง ท่านหนีไป   พอมาล้อมครั้งที่สาม ท่านก็ทราบกฏของกรรมเดิมว่า  เมื่อเกิดชาติที่แล้ว  เราทุบพ่อแม่แต่ไม่ถึงตาย ฉะนั้นไอ้กรรมตัวนี้มันจะมาสนองก็ยอมรับมัน ดูซิว่าท่านเป็นอรหันต์ที่มีฤทธิ์มากพระพุทธเจ้าท่านยกย่อง ก็ยังไม่พ้น”

ผู้ถาม :- “ต่อไปนี้ไม่กล้วแล้วค่ะ เพราะถ้ากลัวแล้วเราคงไม่ยอมช่วยเหลือใครเลย ดิฉันขอกราบเรียนถามหลวงพ่อเท่านี้แหละค่ะ”

หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม
ฉบับพิเศษ เล่ม ๓ หน้า ๔๘-๕๘
พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
(หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง)

03 ธันวาคม 2561

       หลังจากที่เขียนเรื่องการเปลี่ยนผ่านจากยุคพลังงานเก่าไปสู่ยุคพลังงานใหม่กันไปแล้ว ทีนี้ก็มาว่าด้วยการยกระดับพลังงานจากพลังงานเก่าไปสู่พลังงานใหม่กันดีกว่า ว่ามันจะเป็นยังไงกันแน่

         คนที่ไม่เคยเห็นผมเขียนอะไรแบบนี้ก็ไม่ต้องเอ๊ะอ๊ะนะครับ จริงๆมันก็คือสัจธรรมเหมือนกัน เพียงแต่ใช้สมมติบัญญัติคนละชุดสำหรับคนอ่านอีกกลุ่มหนึ่งเท่านั้นเอง

       เรื่องการยกระดับสู่มิติที่สูงกว่าของมนุษย์เพื่อก้าวสู่ยุคพลังงานใหม่นั้น ถูกกล่าวถึงกันมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซึ่งเมื่อก่อนผมอ่านแล้วก็งงครับ แต่ถึงจุดหนึ่งก็กลับกลายเป็นว่า มันเข้าใจเองว่าคืออะไร ก็ขอสรุปเนื้อหาตามนี้เลยก็แล้วกัน

      ยุคพลังงานเก่าที่ผ่านมานั้นสรรพชีวิตทั้งหลายในโลกล้วน "ติด" อยู่ในมิติที่ "หยาบ" ซึ่งต้องอาศัยกายจิต และสภาวธรรมทั้งหลายเป็นเครื่องอยู่ อยู่มากๆ นานๆเข้าก็กลายเป็นอุปาทานยึดติด จนต้องขับเคลื่อนทุกอย่างด้วยพลังกรรม เป็นไปโดยกรรม เพื่อเสวยผลแห่งกรรม อันก่อให้เกิดความอึดอัดขัดเคือง เบียดเบียนฆ่าฟัน กระทบกระทั่งกัน ไม่ว่าจะเป็นภาคหยาบอย่างมนุษย์ สัตว์เดรัจฉาน หรือจะเป็นภาคทิพย์ตั้งแต่กลุ่มอบายภูมิที่ต่ำกว่าเดรัจฉานลงไปจนถึงสัตว์นรก และภพภูมิเบื้องสูงกว่าอย่างเหล่าเทวดาไล่ไปจนถึงพรหมชั้นสูงสุด สรุปรวมแล้วคือทั้ง 31 ภพภูมิล้วนแล้วแต่ติดอยู่ในมิติที 3(ภาคหยาบ) และ 4(ภาคทิพย์) ซึ่งยังถือว่าหยาบอยู่ ยังไม่พ้นไปจากกฏไตรลักษณ์ เพราะหลงลืมความเป็นจริงไปว่าธาตุทั้งหลาย ทั้งกายและใจนี้ก็เป็นเพียงวัสดุที่หยิบยืมมาทำกิจชั่วคราวเท่านั้น (เปรียบเหมือน Avatar)

ส่วนในยุคพลังงานใหม่นั้น มนุษย์ เทวดาและพรหมทั้งหลายก็จะมีโอกาสยกระดับขึ้นสู่มิติที่ 5 ซึ่งพ้นไปจากทั้ง 4 มิติแรก แต่ไม่ได้หมายความว่า มิติที่ต่ำกว่ามิติที่ 5 จะหายไปนะครับ เพราะมิติที่ 5 นี้จะนอกเหนือธาตุขันธ์หยาบๆ เป็นมิติทื่เชื่อมทุกมิติเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียวไม่แบ่งแยก

ที่บอกว่าโลกกำลังยกระดับสู่มิติที่ 5 นั้น ไม่ได้ให้ไปทำหรือปฏิบัติอะไรเพื่อตะกายขึ้นไปยกระดับอะไรนะครับ แต่ให้ปลงความยึดติดในกายในใจที่ทำให้เราติดวนอยู่ในมิติที่ 3 และ 4 ลง ปลง ปล่อย ยอม หรืออะไรก็แล้วแต่ ให้มันคลายจากอุปาทานในธาตุขันธ์ที่ยึดโยงเราอยู่กับมิตินั้นๆ เมื่อมันปลงธาตุขันธ์หมดแล้ว แม้กระทั่งกายใจก็ปล่อยให้มันเป็นธรรมของมันเองไป มันก็จะคลี่คลายหลุดพ้นจากพลังงานเก่าแล้วยกระดับขึ้นสู่มิติที่ 5 ซึ่งใช้พลังงานที่เบากว่าไปเอง

ความเป็นไปในยุคพลังงานเก่านั้นถูกขับเคลื่อนด้วยพลังงานกรรมเป็นหลัก สรรพสัตว์ทั้งหลายจึงดำเนินไปด้วยกรรม หมกมุ่นในกรรม ตอกย้ำในกรรม อัตตาจึงจัดจ้าน เพราะเชื่อว่าทุกอย่างสำเร็จได้ด้วยการกระทำ จึงทำให้โลกและสังสารวัฏดำเนินไปด้วยความอึดอัดขัดเคืองการเบียดเบียนกัน การกดขี่ข่มเหงฆ่าแกงกัน มิจฉาทิฏฐิจากทุกหมู่เหล่าทำให้เกิดความขัดแย้งและเกิดการรบราฆ่าฟันกันไปทั่วโลก ซึ่งระบบที่รองรับยุคพลังงานเก่าได้อย่างเหมาะสมก็คือระบบทุนนิยม ที่เอื้ออำนวยให้กับการชดใช้และทำกรรมอย่างเต็มที่

แต่เมื่อโลกได้เปลี่ยนผ่านสู่ยุคพลังงานใหม่ซึ่งเป็นพลังธรรมที่มีลักษณะคลี่คลายกว่า ผ่อนคลาย กว้างขวางกว่า สายบารมีจากเบื้องบนจึงเชื่อมต่อลงมายังโลกเพื่อชำระล้างพลังงานเก่า(กรรม)ตามจุดต่างๆของโลกและสังสารวัฏโดยรวม มีทั้งที่ทำสำเร็จและไม่สำเร็จ ซึ่งก็มีเหตุจากหลายปัจจัย แต่เหตุหลักๆก็มาจากกรรมของมนุษย์เองที่ปิดบังสัจธรรมเอาไว้อย่างหนาแน่นนั่นเอง

การชำระล้างพลังงานเก่าที่กักขังหน่วงเหนี่ยวสรรพชีวิตทั้งหลายนั้นไม่ใช่แค่การล้างพลังงานกรรมเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการล้างระบบที่รองรับยุคพลังงานเก่าอย่างระบบเศรษฐกิจที่มีลักษณะกระตุ้นตัณหาอย่างมากด้วย โดยในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้จะเกิดภัยพิบัติในโลกมากขึ้น เพื่อบีบบังคับให้สรรพสัตว์ทั้งหลายได้รับวิบากกรรมเร็วขึ้น ยิ่งภัยพิบัติมากก็ยิ่งทำให้ระบบเศรษฐกิจอ่อนแอ แล้วก็มีการจ่ายวิบากกรรมผ่านตัวกระทำทางเศรษฐกิจที่มีอิทธิพลระดับโลก เหมือนที่เราจะเห็นว่าระบบเศรษฐกิจทุนนิยมกำลังอ่อนแอใกล้ล่มสลายเข้าไปทุกทีในช่วงเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา

เศรษฐกิจอันฝืดเคืองนี้ก็จะบีบผู้คนที่อยู่ในระบบให้ใช้กรรมกันเร็วขึ้น ทำงานหนักขึ้น ปัญหามากขึ้น กดดันเคร่งเครียดมากขึ้น เพื่อให้ผู้คนได้รับวิบากกรรมตามสมควรจะได้เคลียร์กรรมเก่าให้หมด และถูกบีบให้ทุกข์หนักมากขึ้น ก็จะไปเข้าเงื่อนไขข้อแรกที่จะเข้าสู่เนื้อหาแห่งอริยสัจ 4 ได้  ไม่อย่างนั้นก็จะไม่สามารถก้าวเข้าสู่ยุคพลังงานใหม่ได้ ก็ต้องตายลงเปลี่ยนภูมิเพื่อชดใช้กรรมให้หมดก่อนแล้วค่อยมาเกิดใหม่ในแบบที่กรรมไม่หนามากจนเกินไป

ส่วนระบบเศรษฐกิจทุนนิยมกระแสหลักที่ไม่สามารถไปต่อได้เพราะความโลภที่กัดกินตัวมันเอง ก็จะถูกปรับเปลี่ยนไปโดยคำนึงถึงพื้นฐานความเป็นมนุษย์มากขึ้น อย่างเช่นระบบเศรษฐกิจแบบพอเพียง ซึ่งก็เป็นจิ๊กซอว์ตัวหนึ่งของยุคพลังงานใหม่ เพียงแต่ยังติดขัดกับอุปสรรคบางอย่างอยู่

การเชื่อมต่อสายบารมีลงมาเพื่อชำระล้างกรรมก็มาจากการน้อมองค์คุณเบื้องสูงเป็นประธานในการสละ ชดใช้หนี้กรรม และขอขมากรรม บางคนนึกว่าเรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ เพราะไม่รู้เรื่องอจิณไตยที่อยู่คนละมิติ ก็เลยอาศัยวิพากษ์วิจารณ์ด้วยความรู้ความเข้าใจเดิมๆอันคับแคบของตนจากการอ้างอิงเอาในตำรา จนกลายเป็นกรรมปิดบังอีก ซึ่งการต่อสารบารมีลงมาช่วยชำระกรรมนี้มีขึ้นเพื่อช่วยในการเปลี่ยนผ่านยุค ถ้าเคลียร์พลังงานเก่ากันไม่ทันก็เป็นไปได้ที่จะเกิดภัยพิบัติใหญ่ขึ้นมาชำระกรรมให้กับมนุษย์ สัตว์ และจิตญาณที่ยังไม่ได้ยกระดับสู่มิติที่ 5

การเชื่อมสายบารมีจากองค์คุณเบื้องสูงลงมาบนโลกนี้ก็มีอยู่ทั่วไปทุกที่ครับ ไม่ใช่แค่ที่วัดร่มโพธิธรรม แล้วแต่ว่าใครจะมีบารมีสัมพันธ์กับกลุ่มไหนก็จะถูกเชื่อมโยงไปตรงนั้นเองโดยอัตโนมัติ

ส่วนการหยาดน้ำก็เป็นอีกวิธีหนึ่งในการนำพาบารมีธรรมแห่งองค์คุณเบื้องสูงแผ่ไปสู่ปวงสัตว์ทั้งหลายโดยทั่วกัน ทุกจุดที่มีการหยาดน้ำ เหล่าจิตญาณก็จะได้เชื่อมต่อถึงบารมีขององค์คุณเบื้องสูงไปด้วย คลี่คลายไปด้วยกัน เป็นการชำระพลังงานเก่าอีกวิธีหนึ่ง ซึ่งปฏิบัติกันเป็นอริยประเพณีที่วัดร่มโพธิธรรม

ผู้โปรดสัตว์หรือผู้เผยแพร่สัจธรรมก็เป็นอีกทางหนึ่งที่ช่วยเคลียร์พลังงานเก่าให้กับสังสารวัฏได้ โดยการให้สัจธรรมที่ช่วยคลี่คลายโมหะอุปาทานผู้คนและจิตญาณทั้งหลาย ก็จะดึงดูดถ่ายเทพลังงานเก่าของผู้ที่คลี่คลายจากสัจธรรมเข้ามาชำระ ช่วยให้ผู้คนทั้งหลายหลุดพ้นคลี่คลายจากอุปาทานในกายในใจตน ยกระดับขึ้นสู่มิติที่ 5 ตามวาระของแต่ละคน ส่วนผู้โปรดฯก็จะต้องช่วยเคลียร์พลังงานเก่าที่เชื่อมโยงเข้ามาด้วยการพาจิตญาณทั้งหลายขอขมากรรม พาประกาศสละ และหยาดน้ำช่วยอุทิศบารมีให้ด้วย

กิจในการเปลี่ยนยุคนี้ยังไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลามากน้อยแค่ไหน อย่างเร็วก็คง 2-3 ชั่วอายุคน แต่ช่วงเวลานี้ก็จะมีผู้บรรลุธรรมมากขึ้น มีพระโพธิสัตว์ที่บรรลุธรรมมากขึ้น แต่ไม่เก็บตัวเหมือนยุคก่อนๆ ก้าวเข้าสู่เนื้อหาบารมีในการโปรดสัตว์อย่างกว้างขวางตามองค์มหาบารมี และช่วยเหลือในการเปลี่ยนผ่านยุคให้เป็นไปด้วยดี เราจึงได้เห็นผู้โปรดฯบางท่านในรูปแบบที่แตกต่างไปจากในอดีตที่ส่วนใหญ่จะเป็นพระสงฆ์ ซึ่งจะแทรกซึมไปตามส่วนต่างๆของสังสารวัฏได้ดีกว่าชนิดที่ไม่แบ่งโลกแบ่งธรรมเหมือนในอดีต นัยว่าแบ่ง segment กันทำงานโปรดสัตว์ก็ว่าได้ ซึ่งอริยบุคคลกลุ่มนี้ก็จะเป็นต้นแบบในการออกจากความวกวนคับแคบในยุคพลังงานเก่าไปสู่ยุคพลังงานใหม่ให้แก่ผู้คนในวงกว้าง

การดำเนินไปของยุคพลังงานใหม่ก็จะเป็นไปโดยกรรมน้อยลง แม้ว่าอาจจะไม่ได้บรรลุธรรมกันหมดทุกคน แต่ก็เป็นไปด้วยกรรมที่เบาบางกว่า ตรงเนื้อหาธรรมมากขึ้น ผ่อนคลายยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น การแบ่งแยกแตกต่างในโลกจะน้อยลง โลกธาตุก็จะสงบสุขมากขึ้นตามไปด้วย ความขัดแย้งหรือทะเลาะเบาะแว้งเพราะทิฏฐิที่เคยจัดจ้านก็ค่อยๆจางคลายไป ทำให้ผู้คนทั้งหลายทิฏฐิใส่กันน้อยลง เข้าใจโลกและสังคมมากขึ้นไปเอง

แต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็จะไปทำเอาสร้างเอาไม่ได้ ต่อให้ปฏิบัติเอายังไงก็ติดอยู่แค่มิติหยาบๆ จะไปปรับเปลี่ยนเปลือกนอกยังไงมันก็ได้แต่เปลือก แต่เนื้อหาก็ยังไม่ใช่ ต้องปลงทิ้งตัวตนที่ซ้อนธาตุขันธ์ลง ก็จะแจ้งในสัจธรรมไปเอง กว้างขวางผ่อนคลายไปเอง เปลี่ยนผ่านเป็นมนุษย์ในยุคพลังงานใหม่ไปเองจากภายใน แล้วเปลือกภายนอกก็จะปรับเปลี่ยนตามไปด้วยอย่างสัมพันธ์กัน

หลวงพ่อโพธิ์ศรีสุริยะ เขมรโต วัดร่มโพธิธรรม อ.หนองหิน จ.เลย

อริยสัจ 4 และมรรคแปด

ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ห่างไกลจากกิเลสตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาค ทรงตรัส...