22 ธันวาคม 2562

เรื่องการปรามาสพระอริยะเจ้า มีโทษหนักมาก โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง

เรื่องการปรามาสพระอริยะเจ้า มีโทษหนักมาก โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
ผู้ถาม : เรื่องพระอริยเจ้าก็มีอยู่นิดคือว่า การปรามาส
พระอริยเจ้าด้วยเจตนาก็ตาม ไม่เจตนาก็ตาม
โมโหด้วยความตั้งใจก็ตาม อยากเรียนถามว่า จะมีกรรมมากไหมครับ ?

หลวงพ่อ : ก็ลงนรกด้วยเจตนาก็ตาม ไม่เจตนาก็ตาม
ลงเหมือนกัน

ผู้ถาม : ไม่ต้องสอบสวนหรือครับ ?
หลวงพ่อ : ไม่ต้องสอบ สบายก็ไม่ยาก ก็ไปขอขมาต่อพระพุทธเจ้าเสียสิ ถ้าไม่พบพระพุทธเจ้าก็ พระพุทธรูป

ผู้ถาม : ต้องไปพบพระพุทธรูปที่วัดท่าซุง หรือว่า..
หลวงพ่อ : ไม่จำเป็น..ที่บ้านก็ได้ ให้นึกว่าท่านคือ
พระพุทธเจ้า เพราะพระอริยเจ้านี่ ขอขมาโดยตรงตัว
ไม่มีผล อย่างสมมุติยกทรงเป็น " โสดาตะบัน "
ใช่ไหม

ผู้ถาม : เดี๋ยวๆ ครับ ตามศัพท์พระไตรปิฏกเขาเรียก
" โสดาบัน " ครับ
หลวงพ่อ : ได้นี่มันหนักแน่ โสดาตะบัน..
นี่ขั้นเอกซีนะ เพราะตะบันจนกระทั่งแน่นปั๋งไม่คลาย
ตัว สมมุติว่ายกทรงเป็นพระโสดาบัน

ขาไปด่าไปว่าเข้า นินทาเข้าก็บาปใช่ไหม.
ไปขอโทษโดยตรงกับยกทรงนี่ไม่มีผล ต้องขอโทษโดยตรงกับพระพุทธเจ้า

เพราะว่าความเป็นพระโสดาบัน ไม่ใช่เกิดจากยกทรง
เกิดจากพระพุทธเข้า ท่านสงเคราะห์

ผู้ถาม : แล้วอย่างพระโสดาบันที่บวชเป็นพระ
กับโสดาเบันที่เป็นฆราวาส ถ้าเราปรามาสโทษจะเป็นอย่างไรครับ ?
หลวงพ่อ : ครือกัน

ผู้ถาม : เพราะฉะนั้นพวกเราจำไว้นะ ฆราวาสที่เป็นพระอริยะมีเยอะแยะ
หลวงพ่อ : เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน พระโสดาบันไปต้นแค่ ศีล ๑ เคารพพระพุทธเจ้า
๒..เคารพระพระธรรม ๔ เคารพพระอริยสงฆ์
๔ มีศีล ๕ บริสุทธิ์ แค่นี้เอง

ผู้ถาม : อุ้ย ตายแล้ว หลวงพ่อนี่เทศน์ ไม่เหมือนกับ
โทรทัศน์ เดี๋ยวนี้ยังออกอากาศปาวๆ อยู่นะครับว่า
พระโสดาบัน ๑. สักกายทิฏฐิ ต้องตัดขันธ์ ๕ โดยเด็ดขาด

หลวงพ่อ : เอาเลื่อยที่ไหนมาตัด เดี๋ยวก่อน..พระโสดาบันถ้าตัดขัยธ์ ๕ เด็ดขาด ลองคิดดู นางวิสาขา
ท่านเป็นพระโสดาบัน ตั้งแต่อายุ ๗ ปี ขันธ์ ๕ นะ คนเดียวนะ
พออายุ ๑๖ ได้อีก ๕ ขันธ์ มีผัว ต่อไปก็ลูกชาย๑๐ คน มีผู้หญิง ๑๐ คน ลูกทั้งหมด ๒๐ คน
ตัดหรือไม่ตัด ดัดหรือต่อ

พระโสดาบันกับพระสกิทาคามี สองอย่างยังแต่งงานได้ ไม่แต่งงานก็อนาคามี ขึ้นไปเท่านั้นเอง
ไอ้เทศน์อย่างนั้น ท่านเทศน์ถูกของท่าน แต่ไม่ถูกตามพระไตรปิฏก

ผู้ถาม : อย่างนี้ฆราวาสที่จะเป็นพระโสดาบัน แค่ศีล ๕ ก็..
หลวงพ่อ : แค่นี้แหละ เขาเรียก.." สัตตักขัตตุง "
ผู้ถาม : อย่างนี้เป็นฆราวาส ก็ดีกว่าเป็นพระสิครับ
หลวงพ่อ : เอ้ย ดีกว่าเยอะ ความจริงแล้วฆราวาส
ถ้าพูดตามส่วน เขาได้เปรียบกว่าพระ มาก

๑. เจี๊ยะไม่เลือกเวลา ประการที่ ๒ เข้าวิกได้
ผู้ถาม : หลวงพ่อรู้ด้วยหรือครับ ?
หลวงพ่อ : อ้าว..เคยเป็นฆราวาสมาก่อนนี่ ประการที่ ๓ มีผัวมีเมียได้ ประการที่ ๔ หลับตื่นสายได้ พระตื่นสายไม่ได้ใช่ไหม..

เช้ามืดต้องทำวัตรสวดมนต์ ต้องเจริญกรรมฐาน
ถ้าพลาดหน่อยเดียวพระลงนรก
สมมุติว่ามีปลาหนึ่งตัวนะ พระมีปลาหนีงตัว ฆราวาสมีปลา ๑๐๐ ตัวตัวขนาดเดียวกัน พระฆ่าปลา ๑ ตัว
ฆราวาสฆ่าปลา ๑๐๐ ตัว

พระโทษมากกว่า ก็เพราะว่า ทรงศีล เป็บุคคลที่ชาวบ้านเขาบูชา นี่ล่ะบาปมาก พระไม่ใช่เรื่องเล็กนะ
ผู้ถาม : โอ้ย..ไม่บวชดีกว่า
หลวงพ่อ : ใช่ ยกทรงก็เคยเสียท่ามา ๑๘ ปี แล้วซิ.

โอวาทธรรม..
หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง

18 ธันวาคม 2562

ผลแห่งการเจริญพุทธานุสสติ

พระศาสดาผู้ยอดเยี่ยมในโลก
เสด็จออกจากสมาธิแล้ว
เมื่อทรงพยากรณ์กรรมของเรา
ได้ตรัสพระดำรัสดังนี้ว่า
.
" ..ท่านจงเจริญพุทธานุสสติ
อันยอดเยี่ยมกว่าภาวนาทั้งหลาย "
.
"ท่านเจริญพุทธานุสสตินี้แล้ว
จักยังใจให้เต็มเปี่ยมได้
จักรื่นรมย์อยู่ในเทวโลก
ตลอด ๓ หมื่นกัลป
จักได้เป็นจอมเทวดา
เสวยเทวราชสมบัติอยู่ ๘๐ ครั้ง
จักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ
อยู่ในแว่นแคว้น ๑๐๐๐ ครั้ง
จักได้เป็นพระเจ้าประเทศราช
อันไพบูลย์โดยคณานับมิได้
จักได้เสวยสมบัตินั้นทั้งหมด
นี้เป็นผลแห่งการเจริญพุทธานุสสติ
เมื่อท่องเที่ยวอยู่ในภพน้อยภพใหญ่
จักได้โภคสมบัติเป็นอันมาก
จะไม่มีความบกพร่องด้วยโภคะ
นี้เป็นผลแห่งการเจริญพุทธานุสสติ
ในแสนกัลปต่อมา
พระศาสดาทรงพระนามว่า
โคดม โดยพระโคตร
ซึ่งมีสมภพในวงศ์พระเจ้าโอกกากราช
จักเสด็จอุบัติในโลก
ท่านจักทิ้งทรัพย์ ๘๐ โกฏิ
ทาสและกรรมกรเป็นอันมาก
จักได้บวชในพระศาสนา
ของพระผู้มีพระภาค
พระนามว่า โคดม
จักยังพระสัมพุทธเจ้าโคดม
ศากยบุตรผู้ประเสริฐให้ทรงยินดี
จักได้เป็นสาวกของพระศาสดา
มีนามชื่อว่า สุภูติ
พระศาสดาพระนามว่า โคดม
ประทับนั่ง ณ ท่ามกลางภิกษุสงฆ์แล้ว
จักทรงตั้งท่านว่าเป็นผู้เลิศใน ๒ ตำแหน่ง
คือ ในคณะพระทักขิไณยบุคคล ๑
ในการอยู่โดยไม่มีข้าศึก ๑
พระสัมพุทธเจ้าผู้รุ่งเรือง
ทรงเป็นนายกสูงสุด
ทรงเป็นนักปราชญ์ "
.
ครั้นตรัสอย่างนี้แล้ว
เสด็จเหาะขึ้นสู่อากาศ
ดังพญาหงส์ในอัมพร
เราอันพระโลกนาถทรงพร่ำสอนแล้ว
นมัสการพระตถาคต
มีจิตเบิกบาน
เจริญพุทธานุสสติอันอุดมทุกเมื่อ
ด้วยกุศลกรรมที่เราทำดีแล้วนั้น
และด้วยการตั้งเจตนาไว้
เราละกายมนุษย์นั้นแล้ว
ได้ไปสู่ภพดาวดึงส์
ได้เป็นจอมเทวดา
เสวยทิพยราชสมบัติ ๘๐ ครั้ง
และได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๑๐๐๐ ครั้ง
ได้เป็นพระเจ้าประเทศราชอันไพบูลย์
โดยคณานับมิได้
ได้เสวยสมบัติเป็นอันดี
นี้เป็นผลแห่งการเจริญพุทธานุสสติ
เมื่อท่องเที่ยวอยู่ในภพน้อยภพใหญ่
เราย่อมได้โภคสมบัติเป็นอันมาก
เราไม่มีความบกพร่องในโภคะเลย
นี้เป็นผลแห่งการเจริญพุทธานุสสติ
ในแสนกัลปนับแต่กัลปนี้
เราได้ทำกรรมอันใดไว้ในกาลนั้น
ด้วยผลแห่งกรรมนั้น
เราไม่รู้จักทุคติเลย
นี้เป็นผลแห่งการเจริญพุทธานุสสติ
คุณวิเศษเหล่านี้ คือ
ปฏิสัมภิทา ๔
วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖
เราทำให้แจ้งชัดแล้ว
พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว
ฉะนี้แล...
.
- ว่าด้วยผลแห่งการเจริญพุทธานุสสติ -

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมนี้ ทุกๆท่าน

25 พฤศจิกายน 2562

มิจฉาทิฏฐิ มี๓ ประการ

.  ความเห็นผิด ..ช่างน่ากลัว 
        การเห็น  ที่ผิดแผกไปจากความเป็นจริง     เรียก  “ นิยตมิจฉาทิฏฐิ”  มี๓ ประการ คือ

๑.  ความเห็นผิด ๑๐ อย่าง  

    - การให้ทาน,การบูชา,ทำดีทำชั่ว ,การต้อนรับ (ไม่ได้รับผลแต่อย่างใด)
  -  ผู้มาเกิดในภพนี้,ภพหน้า,คุณบิดา,คุณมารดา,สัตว์นรก เปรต เทวดา พรหม,ผู้รู้แจ้ง พระอริยะ (ไม่มี)
 
๒.  ความเห็น"ปฏิเสธเหตุ"ไม่เชื่อว่ากรรมดี หรือกรรมชั่ว 

๓.  ความเห็นว่า   การทำดี ทำชั่วของสัตว์ทั้งหลาย   ไม่ได้ชื่อว่า เป็นบุญ บาป

 **...นิยตมิจฉาทิฏฐินี้ เป็นความเห็นผิด สามารถส่งผล ให้เกิดใน"นิรยภูมิ"   

  **.."มิจฉาทิฏฐิ"    ความหลงผิดอย่างแรงกล้า ว่านรกสวรรค์บุญบาปไม่มี ..จึงก่อกรรมชั่ว..โดยไม่ยับยั้งชั่งใจ ..เป็นเหตุให้ไปเกิดในโลกันตนรก ..หรือเผยแพร่ความเห็นผิดออกไปในวงกว้าง และมีผู้ให้ความเชื่อถือ บอกว่า  สวรรค์ไม่มี นรกไม่มี บาปไม่มีผล บุญไม่มีผล 

 
**..แม้ว่าอนันตริยกรรมที่หนักที่สุด เช่น ฆ่าพ่อ หรือ ฆ่าแม่  จะนำไปเกิดในนรกแล้ว กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก มักไม่ได้ทำอนันตริยกรรมซ้ำๆอีก แต่ความเห็นผิดนั้นยากนัก...ที่จะเปลี่ยนความคิดให้เป็นเห็นถูกได้..

.... แม้จะเกิดเป็นมนุษย์หรือเกิดเป็นเทวดา ..ความเห็นผิดก็ยังติดตามตัวไป ..ดังนั้น จึงขึ้นๆลงๆ นรก ครั้งแล้วครั้งเล่า

31 ตุลาคม 2562

#พระศรีอริยเมตไตรย์ หรือหลวงพ่อทวด องค์เดียวกัน.

พระศรีอริยเมตไตรย์ ( พุทธMi Le, เกาหลี: Mi Ruk, ญี่ปุ่น: Miroku, เวียดนาม: Di Lạc) - พระโพธิสัตว์ผู้ที่จะมาอุบัติเป็นพระพุทธเจ้าลำดับที่ 5 ในภัทรกัปป์ต่อจากพระโคตมพุทธเจ้า  มีประวัติของท่านเคยลงมาเกิดเพื่อสั่งสมบ่มบารมีในสมัยพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน พระโคตมพุทธเจ้า หรือ พระสมณะโคดม โดยได้บวชเป็นพระภิกษุบวชใหม่ มีพระนามว่า " พระอัสสชิ"   เป็นที่รู้จักจากความมีมหากรุณาต่อสรรพสัตว์ เป็นที่นับถือทั่วไปทั้งในฝ่ายเถรวาทและมหายาน 

คุณลักษณะของพระโพธิสัตว์

พระโพธิสัตว์ผู้อยู่ในข่ายที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านั้นมีองค์ประกอบสำคัญอันเป็นคุณลักษณะเฉพาะตน๔ ประการ คือ

๑.อุสสาหะคือ ประกอบไปด้วยความเพียรอันมั่นคง

๒.อุมมังคะคือ ประกอบไปด้วยปัญญาอันเชี่ยวชาญหาญกล้า

๓.อวัตถานะคือ ประกอบไปด้วยพระอธิษฐานอันมั่งคงมิได้หวั่นไหว

๔.หิตจริยาคือ ประกอบไปด้วยเมตตาแก่สัตว์เป็นเบื้องหน้า

(พระนันทาจารย์, ม.ป.ป.:๑๑)

คุณลักษณะหรือเรียกว่าคุณธรรมทั้ง๔ ประการนี้เป็นอุปกรณ์หรือวิธีการสำคัญอย่างหนึ่งที่พระโพธิสัตว์จะต้องปฏิบัติตามอย่างมั่นคงจนกว่าจะบรรลุถึงจุดมุ่งหมายขั้นสูงสุดคือพระโพธิญาณ

ข้อที่๑ อุสสาหะพระโพธิสัตว์เป็นผู้ประกอบไปด้วยความเพียรอันมั่นคงไม่ย่อท้อต่อความลำบากที่เกิดขึ้นในวัตรปฎิบัติของตนเป็นผู้ซื่อตรงมั่นคงต่อเป้าหมายสูงสุดด้วยความรักความปรารถนาต่อจุดมุ่งหมายสูงสุดคือพระโพธิญาณจึงทำให้พระโพธิสัตว์เป็นผู้มีความอุสสาหะฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ ด้วยคุณธรรมเฉพาะตน ไม่มีจิตคิดสยบต่อมารคือกิเลสเป็นต้นอันเป็นความชั่วที่คอยยั่วยุหรือขัดขวางไม่ให้บำเพ็ญความดีอย่างเต็มที่เป็นผู้ข้ามพ้นปัญหาต่างๆ ด้วยความอุสสาหะยิ่ง

 และเพราะการจะบรรลุถึงความเป็นพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่ได้โดยยากแต่หากพระโพธิสัตว์สามารถข้ามพ้นความยากลำบากนั้นไปได้ด้วยความมุ่งมั่นไม่ยอมแพ้พระโพธิสัตว์ก็สามารถบรรลุถึงความสำเร็จคือความเป็นพระพุทธเจ้าได้อย่างแน่นอนดังคำอุปมาซึ่งแสดงให้เห็นถึงความยากลำบากในการที่จะได้บรรลุถึงพุทธภาวะที่ปรากฎในอรรถกถาตอนหนึ่งที่ว่า

“ผู้ใดสามารถที่จะใช้กำลังแขนของตนว่ายข้ามห้วงแห่งจักรวาลทั้งสิ้นอันเป็นน้ำผืนเดียวกันหมดแล้วถึงฝั่งได้ผู้นั้นย่อมบรรลุถึงความเป็นพระพุทธเจ้าได้” (ขุ.ชา.อ.๓/๒๕)

ข้อที่๒ อุมมังคะพระโพธิสัตว์เป็นผู้ประกอบไปด้วยปัญญาอันเชี่ยวชาญหาญกล้ารู้จักไตร่ตรองคิดหาเหตุผล อย่างรวดเร็วมีศักยภาพในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิผลที่ดีตลอดทั้งรู้จักแยกแยะความดี ความชั่ว ว่าเป็นสิ่งที่ควรทำ ไม่ควรทำถ้าไม่ทำจะมีผลดี ชั่ว มากน้อยแค่ไหน ทำแล้วจะเกิดผลดี เลวทั้งแก่ตนเองและผู้อื่นอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นผู้มีความกล้าหาญ ตัดสินปัญหาที่คิดว่าจะเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นมากที่สุด

 ข้อที่๓ อวัตถานะพระโพธิสัตว์เป็นผู้ประกอบไปด้วยพระอธิษฐานอันมั่งคงไม่หวั่นไหวคือเป็นผู้มีจิตอันแน่วแน่มั่นคงในสิ่งที่กำลังกระทำไม่คิดละเลิกในสิ่งที่ทำเสียกลางคัน ตราบใดที่ภารกิจอันนั้นยังไม่ถึงที่สุด คือความสำเร็จก็ไม่ละทิ้งให้เสียการ อธิษฐานธรรมนี้ย่อมมาพร้อมกับธรรมอีก ๓ ประการคือ วิริยะ ขันติ และสัจจะ ทั้ง ๔ ประการนี้ เป็นธรรมะที่มีประกอบกันอยู่เมื่อยกขึ้นข้อหนึ่งก็ย่อมมีอีก ๓ ข้อประกอบอยู่ด้วยเสมอ (วัดบวรนิเวศวิหาร, ๒๕๓๒:๑๙๙) เมื่อมีความตั้งมั่นในกิจอันใดอันหนึ่งอย่างมั่นคงแล้วจำต้องกระทำด้วยความมีวิริยะและอดทนทั้งอดทนต่อการกระทำกิจอันนั้นและอดทนต่อสิ่งยั่วยุต่างๆที่อาจเป็นตัวขัดขวางไม่ให้กิจที่กระทำดำเนินไปได้อย่างสะดวก สุดท้ายคือมีความจริงใจที่จะกระทำกิจให้ลุล่วงจนถึงที่สุด กิจนั้นจึงจะสัมฤทธิ์ผลได้

ข้อที่๔ หิตจริยาพระโพธิสัตว์เป็นผู้ประกอบด้วยเมตตาสัตว์เป็นเบื้องหน้าเป็นผู้ประพฤติประโยชน์ด้วยคำนึงถึงผู้อื่นเสมอโดยไม่เลือกชนิดผู้รับประโยชน์พระโพธิสัตว์ถือว่าการบำเพ็ญการช่วยเหลือแก่ผู้อื่นนั้นคือภารกิจที่ต้องกระทำตามหน้าที่คือเป็นการบำเพ็ญบารมีธรรม

 คุณลักษณะทั้ง๔ประการนี้ เป็นองค์ประกอบสำคัญในกระบวนการ การบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์เป็นการสละตนเองเพื่อประโยชน์สุขแก่ผู้อื่นทุกชีวิตอย่างเสมอหน้าเท่าเทียมกันเรื่อยไปจนกว่าจะบรรลุเป้าหมายคือ ความบริบูรณ์ด้วยปัญญาอันเป็นโลกุตตรสมบัติ คือ พระสัพพัญญุตญาณ

คุณลักษณะที่สำคัญของพระโพธิสัตว์อาจสรุปได้เป็น ๒ ประเภทใหญ่ ๆ คือ

๑.การบำเพ็ญตนช่วยเหลือสรรพสัตว์ อย่างไร้ขอบเขตหรือประโยชน์ผู้อื่น (ปรัตถะ)

๒.การบำเพ็ญบารมีธรรมเพื่อการบรรลุพระโพธิญาณในอนาคตหรือประโยชน์ตนเอง (อัตตัตถะ)

 การดำเนินชีวิตของพระโพธิสัตว์มีความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์อยู่กับภาระที่จะพึงบำเพ็ญเพื่อประโยชน์๒ ประการข้างต้นซึ่งเป็นคุณลักษณะที่พระโพธิสัตว์ทุกองค์ต้องมีและประโยชน์ทั้งสองนั้นก็มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดกล่าวคือการบำเพ็ญประโยชน์เพื่อผู้อื่นอย่างไร้ขอบเขตก็คือการได้ชื่อว่าเป็นการบำเพ็ญบารมีธรรมเพื่อตนเองตรงกันข้ามการบำเพ็ญบารมีธรรมเพื่อตนเองก็คือการได้มีโอกาสอุทิศตนให้เป็นประโยชน์แก่มวลสัตว์ทั้งปวงเช่นเดียวกัน

27 ตุลาคม 2562

ท้าวเวสสุวรรณ

ท้าวกุเวร หรือ ท้าวเวสสุวรรณนั้น ยังมีชื่ออีกหลายชื่อ เช่น ธนบดี หมายถึง ผู้เป็นใหญ่ในทรัพย์ ธเนศวร หมายถึง ผู้เป็นเจ้าแห่งทรัพย์ อิจฉาวสุ หมายถึง มั่งมีได้ตามใจ ยักษ์ราชหมายถึง เจ้าแห่งยักษ์ มยุราช หมายถึง เป็นเจ้าแห่ง กินนร รากษเสนทร์ หมายถึง ผู้เป็นใหญ่ในพวกรากษส ส่วนในเรื่องรามเกียรติ์ เรียกท้าวเวสสุวรรณว่า ท้าวกุเรปัน ในทางพระพุทธศาสนา ได้กล่าวถึงอดีตชาติของท้าวกุเวร เอาไว้ใน พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค ว่า ในสมัยที่โลกยังว่าง จากพระพุทธศาสนา ไม่มี พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จอุบัตินั้น มีพราหมณ์ ผู้หนึ่ง นามว่า กุเวร เป็นคนใจดีมีเมตตากรุณา ประกอบสัมมาชีพ ด้วยการทำไร่อ้อย นำต้นอ้อย ตัดใส่ลงไปในหีบยนต์ แล้วบีบน้ำอ้อยขายเลี้ยงชีวิตตน และบุตรภรรยา ต่อมากิจการ เจริญขึ้น จนเป็นเจ้าของ หีบยนต์สำหรับบีบน้ำอ้อยถึง 7 เครื่อง จึงสร้างที่พักสำหรับ คนเดินทาง และบริจาคน้ำอ้อย จากหีบยนต์เครื่องหนึ่ง ซึ่งมีปริมาณน้ำอ้อยมากกว่าหีบยนต์เครื่องอื่น ๆ ให้เป็นทาน แก่คนเดินผ่านไปมา จนตลอดอายุขัย ด้วยอำนาจ แห่งบุญกุศลที่บริจาคน้ำอ้อยให้เป็นทานนั้น ทำให้กุเวรได้ไปอุบัติเป็นเทพบุตร บนสวรรค์ชั้น จาตุมหาราชิกา มีนามว่า'กุเวรเทพบุตร' ต่อมากุเวรเทพบุตร ได้เทวาภิเษกเป็นผู้ปกครองดูแล พระนครด้านทิศเหนือ จึงได้มีพระนามว่า 'ท้าวเวสสุวรรณ'               

Image from Google

ตามหลักฐานในคัมภีร์ทางพุทธศาสนา ยืนยันว่า 'ท้าวกุเวร' หรือ 'ท้าวเวสสุวรรณ' เทวราชพระองค์นี้ ได้สำเร็จเป็น พระอริยบุคคลชั้นโสดาบันเมื่อครั้ง 'จุลสุภัททะ ปริพาชก' เกิดความสงสัยในความเป็นมาแห่ง องค์สมเด็จ พระพุทธเจ้า ท่าน'ท้าวเวสสุวรรณ' องค์นี้แหละ ที่ได้เสด็จไปร่วมต้อนรับด้วย และ ยังเป็นประจักษ์พยาน เรื่องพระมหาโมคคัลลานะ ใช้เท้าจิกพื้นไพชยนตวิมาน ของพระอินทร์จนเกิดการ สั่นสะเทือนไป ทั้งดาวดึงส์ เทวโลก อันเป็นการเตือนสติสักกะเทวราชอีกด้วย และก็เชื่อกันตาม ฎีกามาลัยเทวสูตร พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค ว่า 'คทาวุธ' ของ 'ท้าวเวสสุวรรณ' นั้น เป็นยอดศัสตราวุธ มีอานุภาพสามารถทำลายโลกใบนี้ให้เป็น จุณวิจุณภายในพริบตา จะเห็นได้ว่า ท้าวกุเวร หรือ ท้าวเวสสุวรรณนั้น ท่านเป็นเทพที่สำคัญยิ่งใหญ่พระองค์หนึ่ง ที่พิทักษ์รักษา พระพุทธศาสนา ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า ท่านท้าวสักกะเทวราช หรือ พระอินทร์เลยทีเดียว ตามวัดวาอารามต่าง ๆ จะมีรูปปั้นยักษ์ 1 ตน บ้าง 2 ตนบ้าง ยืนถือกระบองค้ำพื้น ส่วนมากจะมี 2 ตน เฝ้าอยู่หน้า ประตูโบสถ์ หรือ วิหารที่เก็บของมีค่า มีพระพุทธรูป และโบราณสมบัติล้ำค่าของทางวัดบรรจุอยู่ ด้านละ 1 ตน หรือไม่ก็บริเวณลานวัด หรือที่ที่มีคนผ่านไปมาแล้วเห็นโดยง่าย บ้างก็สร้างเอาไว้ในวิหาร หรือ ศาลาโดยเฉพาะก็มี ซึ่งยักษ์เหล่านั้น ถ้าเป็น ตนเดียว ก็จะหมายถึง รูปเคารพของท้าวเวสสุวรรณ  แต่ถ้าเป็น 2ตนก็จะเป็นบริวารของท่านท้าวเวสสุวรรณ คอยทำหน้าที่ ปกปักรักษา ดูแลบริเวณวัด ( หมายเหตุ : มีกล่าวไว้ในอรรถกถาว่า อาวุธที่ทรงอานุภาพมากที่สุดในโลกมี ๔ อย่าง คือ

                หนึ่ง วชิราวุธของท้าวสักกะ

ถ้าท้าวสักกะทรงพิโรธแล้ว พึงประหารโดยวชิราวุธบนยอดเขาสิเนรุแล้ว วชิราวุธนั้นก็จะพึงชำแรกภูเขาสิเนรุซึ่งสูงหนึ่งแสนหกหมื่นแปดพันโยชน์ ลงไปถึงข้างล่างได้ (เข้าใจว่า ทำไมเหล่าอสูรจึงกลัวที่ท้าวสักกะโกรธกัน ก็สามารถส่งอาวุธลงไปทำลายได้ถึงวิมาณเลย)

                สอง คทาวุธของท้าวเวสวัณ (เวสสุวรรณ)

คทาวุธที่ท้าวเวสวัณปล่อยในกาลที่ตนยังเป็นปุถุชนนั้น สามารถทำลายศีรษะของพวกยักษ์หลายพันแล้วได้ในคราวเดียว กลับมาสู่กำมือตั้งอยู่อีกได้ ยักษ์ทั้งหลายจึงกลัว ผีทั้งหลายจึงกลัว ท้าวเวสสุวรรณเป็นหัวหน้าของยักษ์และบรรดาภูติผีปีศาจทั้งหลาย ที่ไครๆไม่อาจต่อกรได้ ท่านวางกฎเกณฑ์ไว้ ต้องรักษาสุดชีวิต ไครจะล่วงละเมิดเป็นไม่ได้ (เข้าใจเลยว่า ทำไมท้าวเวสสุวรรณจึงปกครองเหล่ายักษ์ที่เกเรได้ ส่วนที่ว่าในสมัยที่เป็นปุถุชนนั้น เพราะท้าวเวสสุวรรณตอนนี้เป็นพระโสดาบันตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันนี้แล้วที่จริงท้าวสักกะก็เป็นพระโสดาบันแล้วด้วยเช่นกัน)

                สาม นัยนาวุธของพระยายม

ถ้าพระยายมพิโรธแล้ว สักว่ามองดูด้วยนัยนาวุธ กุมภัณฑ์หลายพันก็จะลุกเป็นไฟพินาศ ดุจหญ้าและใบไม้บนกระเบื้องร้อนฉะนั้น (เข้าใจเลยว่า ทำไมพระยายมจึงคุมเหล่ากุมภัณฑ์ได้ เพียงแค่มองด้วยนัยตาพิฆาตเมื่อโกรธเท่านั้นเอง ไหม้เป็นจุณได้เลย)

                สี่ ทุสสาวุธของอาฬวกยักษ์

อาฬวกยักษ์โกรธ ถ้าปล่อยทุสสาวุธในอากาศแล้ว ฝนก็ไม่พึงตกตลอด ๑๒ ปี ถ้าปล่อยในแผ่นดินไซร้ วัตถุมีต้นไม้และหญ้าทั้งปวงเป็นต้น ก็จะเหี่ยวแห้งไม่งอกอีก ภายใน ๑๒ ปี ถ้าพึงปล่อยในสมุทรไซร้ น้ำทั้งหมดก็พึงเหือดแห้งดุจหยาดน้ำ ในกระเบื้องร้อน ฉะนั้น ถ้าจะพึงปล่อยในภูเขาเช่นกับเขาสิเนรุไซร้ ภูเขาก็จะเป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่ กระจัดกระจายไป.

               ท้าวกุเวร มีอีกพระนามหนึ่งที่รู้จักกันดี คือ ท้าวเวสสุวรรณ เป็นอธิบดีแห่งอสูรย์หรือยักษ์ หรือเป็นเจ้าแห่งผี เป็นหนึ่งในบรรดาท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ ผู้คุ้มครองและดูแลโลกมนุษย์ สถิตอยู่บนสวรรค์ชั้น   จาตุ ทรงอิทธิฤทธิ์อานุภาพมากประทับ ณ โลกบาลทิศเหนือมียักษ์เป็นบริวาร คนไทยโบราณนิยมนำผ้ายันต์รูปยักษ์ผูกไว้ที่หัวเตียงเด็ก เพื่อป้องกันวิญญาณชั่วร้ายไม่ให้มารังควาญแก่เด็ก ท้าวกุเวรองค์นี้มีกล่าวถึงในอาฏานาฏิยปริตว่านำเทวดาในสวรรค์ชั้นจตุมหา ราชิกา มาเฝ้าพระพุทธเจ้าและได้ถวายสัตย์ที่จะดูแลพระพุทธเจ้าและเหล่าสาวก ไม่ให้ยักษ์หรือบริวารอื่นๆ ของท้าวจตุโลกบาลไปรังควาญ

Image from Google

ท้าว เวสสุวรรณ เป็นหนึ่งในบรรดาท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ ผู้คุ้มครองและดูแลโลกมนุษย์สถิตอยู่บนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ซึ่งมีท้าวมหาราชทั้งสี่ปกครอง คือ ท้าวธตรัฏฐะ ท้าววิรุฬหกะ ท้าววิรูปักชะ และท้าวเวสสุวรรณ (ท้าวกุเวร) ประจำทิศต่างๆ ทั้งสี่ทิศโดยเฉพาะท้าวเวสสุวรรณ (ท้าวกุเวร)เป็นใหญ่ปกครองบริวารทางทิศเหนือ ว่ากันว่าอาณาเขตที่ท้าวเธอดูแลปกครองรับผิดชอบ มีอาณาเขตใหญ่โตมหาศาล กว้างขวาง และเป็นใหญ่ (หัวหน้าท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4 ) กว่าท้าวมหาราชองค์อื่น

พุทธศาสนาของเรานั้น กล่าวถึงท้าวโลกบาลทั้ง ๔ ทิศ ที่เรียกว่า ท้าวจตุโลกบาล หรือ ท้าวจตุมหาราชทั้ง ๔อันได้แก่ ท่านท้าวกุเวร เป็นโลกบาลประจำทิศอุดร (ทิศเหนือ)ท่านท้าวธตรฐ เป็นโลกบาลประจำทิศบูรพา (ตะวันออก) ท่านท้าววิรุฬหก ประจำทิศทักษิณ (ใต้)และท่านท้าววิรูปักษ์ ประจำทิศประจิม (ตะวันตก)

ท้าวทั้ง ๔ คือ ท้าวจตุโลกบาล ผู้รักษาทิศทั้ง ๔ ตามตำนานทางศาสนา ท้าวจตุโลกบาลเป็นเทพในกามาวจรภูมิเป็นสวรรค์ชั้นแรกใน ๖ ชั้น คือ จตุมหาราชิกา ดาวดึงส์ ยามา ดุสิต นิมานรดีปรนิมมิตวสวัตตี

ตามแนวความเชื่อทางพระพุทธศาสนา สวรรค์ชั้นจตุมหาราชิกา  ตั้งอยู่บนเขายุคันธรสูงจากพื้นผิวโลก ๔๖,๐๐๐ โยชน์สวรรค์ชั้นนี้นับเป็นสถานที่พิเศษกว่ามนุษยโลกในด้านความเป็นอยู่ และความสุข กามาวจรเทพชั้นนี้เรียกรวมกันว่า “จตุมหาราชิกเทวดา” ในสวรรค์ชั้นนี้แบ่งออกเป็น ๔ ส่วน ซึ่งมีมหาราชทั้ง ๔องค์ครองอยู่แบ่งเป็นส่วน ๆ ไป คือ ท้าวธตรฐ ท้าววิรุฬหก ท้าววิรูปักข์ ท้าวเวสสุวรรณ ท้าวเวสสุ  วรรณเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าท้าวกุเวร      

Image from Google

(หนึ่ง) ท้าววิรูฬปักษ์เป็นเจ้าแห่งพญานาคทั้งปวง (บางตำราก็ว่าเจ้าแห่งครุฑ)  ปกครองทิศตะวันตก ท้าววิรูปักษ์ หรือวิรูปักข์นี้ เป็นเทวราช  มีนาคเป็นบริวาร มีหน้าที่ดูแลทิศปัจฉิม (ตะวันตก) ของภูเขาสินเนรุราช ในสุธรรมาเทวสภา ท้าวมหาราชองค์นี้จะผินพักตร์ไปทางทิศตะวันออก มีพระโอรสทั้งหมด ๙๐ องค์ ล้วนแต่ทรงพลัง กล้าหาญ งามสง่า และทรงปรีชาในกรณียกิจทั้งหลาย พระโอรสทั้งหมดล้วนแต่มีพระนามว่า “อินทร์” ในเทพนครด้านปัจฉิมนี้มีทิพย์สมบัติต่างๆ อันงดงามและดีเยี่ยม เท่าเทียมกับเทพนครอื่น ๆ ในกลุ่มเดียวกันนี้ ท้าววิรูปักษ์ทรงครอบครองราชสมบัตินานเท่าเทียมกับเทวราชองค์อื่น ๆ

           (สอง) ท้าวกุเวร หรือเวสสุวัณ เป็นเจ้าแห่งยักษ์และภูติผี  ปกครองทิศเหนือ ท้าวไพศรพณ์องค์นี้ เป็นพระราชาธิบดีของยักษ์ทั้งหลาย ในการพิทักษ์อาณาเขตด้านทิศอุดร (เหนือ)ของสุเมรุบรรพต มหาราชองค์นี้มีอาณาจักรครอบคลุมภาคเหนือทั้งหมด มีนครหลวงชื่ออิสนคร พระองค์มีโอรสจำนวน ๙๐ องค์ ล้วนแต่สง่างาม มีศักดานุภาพเป็นอันมาก ราชโอรสเหล่านี้มีพระนามว่า“อินทร์” ในเทพนครนี้เป็นทิพยวิมาน ทิพยสมบัติที่ท้าวเวสสุวรรณครองอยู่ท่ามกลางราชโอรส เป็นเวลาถึง ๕๐๐ปีทิพย์จึงสิ้นวาระแห่งเทพจตุโลกบาล               

Image from Google

                (สาม) ท้าวธตรัฐ เป็นเจ้าแห่งวิทยาธร และคนธรรพ์ (บางตำราก็ว่าเจ้าแห่งกุมภัณฑ์) ปกครองทิศตะวันออก  เป็นองค์หนี่งในมหาราชทั้ง ๔ พระองค์ที่ครองชั้นจตุมหาราชิกาเป็นหัวหน้า คือราชาแห่งคนธรรพ์ มีหน้าที่บูชาทิศบูรพา (ตะวันออก) ของเขาพระสุเมรุ กล่าวว่าท้าวธตรฐมีโอรสหลายองค์ โดยมีนามเรียกกันว่า “ศิริ"ในวิมานที่อยู่ของมหาราชองค์นี้ล้วนแล้วไปด้วยสิ่งต่าง ๆ กันเป็นที่น่ารื่นรมย์เป็นเสียงดนตรีและร่ายรำ เป็นต้น ซึ่งเป็นที่ชื่นชมแก่พระองค์และพระโอรสทั้งหลาย

             (สี่) ท้าววิรุฬหก เป็นเจ้าแห่งอสูร และกุมภัณฑ์ (ตามความเชื่อบางคติจะพบได้ว่าท้าววิรุฬหกคือผู้ปกครองครุฑ และนก) ปกครองทิศใต้ มหาราชองค์นี้เป็นใหญ่ในกุมภัณฑ์ ซึ่งให้การอารักขาด้านทิศทักษิณ (ใต้) แห่งเขาพระสุเมรุเทวดาโอรสของพระองค์มี ๙๐ องค์ด้วยกัน แต่ละองค์ล้วนมีแต่ฤทธิ์อานุภาพแกล้วกล้า ปรีชาชาญงามสง่า และเป็นที่ยกย่องเกรงขามทั่วไป ท้าวจตุโลกบาลองค์นี้มีสิ่งประดับบารมีมากมาย เสวยสุขอยู่ในหมู่ราชโอรส ตลอดพระชนมายุ ๕๐ ปีทิพย์หรือปีมนุษย์นับได้ ๑๖,๐๐๐ ปีเป็นประมาณ               

Image from Google

               โดยเหตุที่ท้าวเวสสุวัณเป็น“เทพเจ้าแห่งทรัพย์ “เป็นผู้รักษาทรัพย์ในแผ่นดินเป็นท้าวโลกบาลประจำทิศเหนือของสวรรค์ชั้นจตุ มหาราชิกาเป็นเทพเจ้าแห่งยักษ์และภูตผีปีศาจและความมั่งคั่ง ไพบูลย์ทั้งหลาย มีชื่อเรียกหลายชื่อ เช่น ไวศรวัณ เวสสุวัณ ธนบดี (เป็นใหญ่ในทรัพย์) ธเนศวร (เจ้าแห่งทรัพย์)    อุจฉาวสุ (มั่งมีได้ดั่งใจ) ยักษราช (ขุนแห่งยักษ์) รัตนครณ(พุงแก้ว) อีศะสขี(เพื่อนพระศิวะ)ฯลฯ

                ในคัมภีร์ไตรภูมิพระร่วง เรียกท้าวเวสสุวัณว่า “ท้าวไพศรพมหาราช”และได้พรรณนาถึงการแต่งองค์ไว้ว่า”ท้าว ไพศรพมหาราชเป็นพระยาแก่ฝูงยักษ์แลเทพยดาทั้งหลายฝ่ายทิศอุดรเถิงกำแพง จักรวาลเบื้องอุดรทิศพระสุเมรุราชแลเครื่องประดับตัว แลบริวารทั้งหลายเทียรย่อมทองเนื้อสุกฝูงยักษ์ทั้งหลายนั้น บ้างถือค้อน ถือสากแลจามจุรีเทียรย่อมทองคำบ่มิรู้ขิร้อยล้านแลฝูงยักษ์นั้นมีหน้าอันพึง กลัวแลท้าวไพศรพจึงขึ้นม้าเหลืองตัว๑ดูงามดั่งทอง”จากคำพรรณนาดัง กล่าวแสดงให้เห็นว่าท้าวเวสสุวัณหรือท้าไพศรพนั้นร่ำรวยมหาศาลมีทองคำมากมาย ไม่รู้กี่ร้อยล้าน ทั้งยังมีเครื่องประดับเป็นทองคำ บริวารก็ถือ ค้อนทอง สากทอง และทรงม้าสีทอง

             ฝ่ายพุทธศาสนามีปรากฏในคัมภีร์พระไตรปิฎกมหานิทานสูตร มหาวรรค ทีฆนิกาย กล่าว ไว้ว่าดินแดนที่ประทับของท้าวเวสสุวัณชื่ออาลกมันทาราชธานีเป็นนครเทพเจ้า ที่งดงามรุ่งเรืองมากโดยท้าวเวสสุวัณเทวราชโลกบาลองค์นี้เป็นพระอริยบุคคล ชั้นโสดาบันและเมื่อพระมหาโมคคัลลานะเดินทางขึ้นมาเยี่ยมเยียนพระอินทร์ท้าว สักกะเทวราช ณ มหาปราสาทไพชยนต์วิมาน ท้าวเวสสุวัณพระองค์นี้ก็ได้เสด็จเข้าร่วมให้การต้อนรับด้วยพระเจ้าพิมพิสาร กษัตริย์แห่งแคว้นมคธ หลังจากที่เสด็จสวรรคตเนื่องจากการทารุณกรรมของพระเจ้าอชาตศัตรูผู้เป็นราช โอรสที่เข้ายึดอำนาจก็ได้มาอุบัติในโลกสวรรค์เป็นพญายักษ์เสนาบดีตนหนึ่งของ ท้าวเวสสุวัณนั่นเอง

             ในอรรถาโลภปาลสูตรกล่าวว่าเมื่อ ถึงวันอุโบสถคือขึ้นหรือแรม ๘ ค่ำ และ ๑๕ ค่ำ ท้าวจตุโลกบาลทั้ง ๔ องค์ จะลงมาตรวจโลกมนุษย์อยู่เสมอโดยจะถือแผ่นทองและดินสอมาด้วยและจะเที่ยวเดิน ดูไปทุกแห่งทั่วถิ่นฐานบ้านเมืองใหญ่น้อยทั้งหลายในโลกมนุษย์ถ้าใครทำบุญ ประพฤติธรรมทำความดีก็จะเขียนชื่อและการกระทำลงบนแผ่นทองคำแล้วนำแผ่นทองคำ ไปให้ปัญจสิขรเทวบุตรซึ่งจะนำไปให้พระมาตุลีอีกต่อหนึ่ง พระมาตุลีจึงเอาไปทูลถวายแด่พระอินทร์ถ้าบัญชีในแผ่นทองมีมากเทวดาทั้งหลาย ก็จะแซ่ซ้องสาธุการ ด้วยความยินดีที่มนุษย์จะได้ขึ้นสวรรค์มาก แต่หากมนุษย์ใดทำความชั่วก็จะจดชื่อส่งบัญชีให้พญายมราช เพื่อให้นายนิรยบาลทั้งหลายจะได้ทำกรรมกรณ์ให้ต้องตามโทษานุโทษเท่าสัตว์นรก เหล่านั้น

             ศิลาจารึกสมัยกรุงศรีอยุธยากล่าวว่า ท้าว เวสสุวัณมีปราสาทช้างเรืองอร่ามด้วยแสงแก้วอยู่เหนือยอดเขายุคนทร มียักษ์เฝ้าประตูวังและยักษ์เสนาบดีอยู่หลายตนมีร่างทิพย์ ม้าทิพย์ ราชรถทิพย์และบุษบกทิพย์ มีศักดิ์เป็นใหญ่แก่ฝูงยักษ์ทั้งหลาย ๙ตนมีบริวารที่เรียกว่า”ยักขรัฏฐิภะ”ซึ่งมีหน้าที่สืบข่าวและตรวจตรา เหตุการณ์ต่างๆรวม ๑๒ ตนและยังมียักษ์ที่สำคัญเป็นเสนาบดียักษ์อีก ๒๘ นายที่คอยรับใช้ท้าวเวสสุวัณอยู่ดังจะเห็นว่า ท้าวเวสสุวัณ มีกำเนิดจากหลายตำนาน แม้กระทั่งใน ลัทธิของจีนฝ่ายมหายานว่า ท้าวโลกบาลทิศอุดรมีชื่อว่า”โตบุ๋น”เป็นขุนแห่งยักษ์มีพวกยักษ์บริวารมีกายสีดำ ถือดวงแก้วและงู ทางทิเบต มีกายสีทองคำถือธงและพังพอน ทางญี่ปุ่น ถือ ว่าเป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภนามว่า "พิสะมอน "ถือแก้วมณีทวนและธงตามที่ได้พรรณนามานั้นเป็นเพียงประวัติย่อๆของท้าว เวสสุวัณเพื่อชี้ให้เห็นว่าท่านมีความสำคัญมากเพียงใดโบราณาจารย์จึงได้จัด สร้างรูปไว้เคารพบูชามาตั้งกว่าพันปีมาแล้ว

              โดยสรุปแล้วท้าวเวสสุวัณ ถือเป็นเทพเจ้าที่สำคัญยิ่ง เป็นที่เคารพนับถือในหลายต่อหลายประเทศ ในไทยเราเองนั้นนับถือเทพเจ้าองค์นี้มาก ในฐานะผู้คุ้มครองในห้ปลอดภัยจากวิญญาณร้าย ดังเราจะเห็นได้ว่าครุบาอาจารย์มักทำผ้ายันต์ท้าวเวสสุวัณ เป็นผืนสีแดงไว้ติดตามประตู เพื่อป้องกันภูตีผีปีศาจ คติความเชื่อนี้ถือว่าเก่าแก่ และเป็นที่คุ้นตาที่สุด หรืออย่างพิธีสวดภาณยักษ์ ก็เช่น พระคาถาภาณยักษ์ หรือบท “วิปัสสิ”นี้เป็นพระคาถาทีท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ท่าน โดยมีท้าวเวสสุวัณเป็นหัวหน้า นำมามอบให้พระพุทธเจ้า เพราะเห็นว่าบริวารของตนนั้นมีมาก บางพวกก็มีนิสัยดี แต่บางพวกมีนิสัยพาลเกเร อาจทำร้ายแก่พระธุดงค์ที่อยู่ตามป่าช้า ตามเขา ตามป่าได้ ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันจึงได้มอบพระคาถาภาณยักษ์ถวายแด่พระพุทธองค์

             ปัจจุบันเราก็ยังสามารถพบเห็นการสวดภาณยักษ์ได้อยู่ และ จะเห็นรูปท้าวเวสสุวัณเด่นเป็นสง่าเสมอ ในพิธีสวดภาณยักษ์นี้ เพราะท้าวเวสสุวัณเป็นผู้ที่มีสิทธิเฉียบขาดในการลงโทษภูตีผีปีศาจทั้งหลาย จึงเป็นที่ศรัทธาเชื่อมั่นว่า ท้าวเวสสุวรรณนี้เป็นเทพเจ้าที่มีคุณในการทำลายล้างสิ่งอัปมงคล ทั้งกันทั้งแก้เรื่องผีปีศาจ คุณไสยมนต์ดำทั้งหลายได้ ทั้งยังให้คุณเรื่องโภคทรัพย์อีกประการหนึ่ง ดังคำกล่าวว่า ท้าวเวสสุวรรณ เป็น เทพแห่งขุมทรัพย์ เป็น มหาเทพแห่งความร่ำรวย มั่งคั่ง รักษาสมบัติของเทวโลก ทั้งเป็นเจ้านายปกครองดูแลพวกยักษ์ ภูตผีปีศาจทั้งปวง (ในคัมภีร์เทวภูมิ กล่าวไว้ว่า ท้าวเวสสุวรรณได้บำเพ็ญบารมี มาหลายพันปี รับพรจาก พระอิศวร พระพรหม ให้เป็นเทพแห่งความร่ำรวย ) นอกจากนี้หน้าที่ของท้าวเวสสุวรรณมีมากมาย เช่น การดูแลปกป้องคุ้มครองพระพุทธศาสนาปกป้องคุ้มครองแก่ผู้นั่งสมาธิปฏิบัติพระ กรรมฐาน เป็นต้น

              ในคัมภีร์โบราณ ได้กล่าวไว้ว่าผู้ใดหวัง ความเจริญในลาภยศ ทรัพย์สินเงินทอง อำนาจวาสนา ให้บูชารูป ท้าวเวสสุวรรณ หรือท้าวกุเวร 

คาถาบูชาท้าวเวสสุวรรณโณ หรือท้าวกุเวร

(ตั้งนะโม ๓ จบ) ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม  พระสงฆ์  แล้วว่าดังนี้ 

อิติปิโส ภะคะวา ยมมะราชาโน ท้าวเวสสุวรรณโณ มรณังสุขัง อะหังสุคะโต นะโมพุทธายะ ท้าวเวสสุวรรณโณ จตุมหาราชิกา ยักขะพันตา ภัทภูริโต เวสสะ พุสะ พุทธัง อรหัง พุทโธ ท้าวเวสสุวรรณโณ นะโม พุทธายะ ฯ               

Image from Google

หนังสือโบราณ Santiya Dakov ว่าด้วยการกำเนิดมนุษย์.

วันนี้พ่อจะมาเล่าเรื่อง ประวัตศาสตร์การก่อกำเนิดมนุษย์ "โฮโมซาเปียน" เรื่องราวมัน
เริ่มต้นเมื่อ 600,000 ปี ที่แล้ว และ นักโบราณคดีเมื่อกว่า 100 ปี ได้มีการค้นพบแผ่น
ทองคำเก่าแก่ ที่มีอักขระจารึกโบราณ (อักษรรูนส์) สลัก และ แผ่นจารึกอยู่ใต้ซาก
โบราณสถาน 400 ชิ้น หรือที่นักวิทยาศาสตร์เรียกว่า (แผ่นจารึกหนังสือ) โดยผู้จารจารึก

คือนักบวช ชาวแอตแลนติส เมื่อราวๆ 40,000 ปีที่แล้ว ในการค้นพบในสมัยนั้นเป็นยุคที่
กษัตริย์ Karl ที่ 1 ได้มีการสั่งให้หลอมแผ่นทองคำเดิมเพราะโลหะทองคำเป็นสิ่งที่มีค่า
แต่ก่อนหลอมทองคำได้ทำการ (copy) ตัวอักษรรูนส์ลงบนแผ่นตะกั่ว แต่ก็มีบางส่วนได้
ถูกทำลายไป และ บางส่วนถูกเก็บไว้ในที่ลึกลับ รอเวลาที่โลกจะเข้าสู่มิติในยุคพลังงาน
ใหม่ และ เริ่มมีการพิมพ์ออกมาเป็นตัวหนังสือเมื่อราว 30 - 40 ปี มานี้เอง

และนี่คือส่วนหนึ่งของแผ่นจารึกที่ได้มีการเผยแพร่มา...

พระผู้สร้างจักรวาล โดยคำบัญชาของพระองค์ได้ให้รูปธรรมชาวดาว "ซีรีอุส" ให้สร้างชาติพันธ์มนุษย์ด้วยวิธี "พันธุวิศวกรรม" โดยผสมผสานยีนส์ของชาติพันธ์ต่างดาวที่มี
ความเชี่ยวชาญในศิลปศาสตร์แขนงต่างๆ กว่า 20 สายพันธ์ เพื่อให้เข้ากับยีนส์ของเผ่าพันธ์มนุษย์ "โคมันยอง" หรือ มนุษย์โฮโมซาเปียน

และ สร้างเป็นแบบเฉพาะกิจ โดยสร้างเพียงคนเดียว และ สรรพสิ่งย่อมมีเป็นคู่ เมื่อมี
มนุษย์ผู้ชาย ก็ต้องมีมนุษย์ผู้หญิง ด้วย ดังนั้น ผู้หญิงจึงถูกสร้างขึ้นมาโดยอาศัยยีนส์ และ 
DNA ของมนุษย์ผู้ชายเป็นต้นแบบ เพื่อขจัดปัญหาสงครามที่ทำให้เกิดอารยธรรมที่มี
มาก่อนหน้านั้นต้องล่มสลายมาหลายครั้ง คือ อารยธรรมเลมูเรีย อารยธรรมแอตแลนติส
และ อารยธรรมมู ต้องสูญสลายไปจากการทำสงคราม

มนุษย์เราจึงได้เริ่มมีอารยธรรมใหม่โดยเริ่มวิวัฒนาการจาก "ศูนย์" จากอารยธรรมยุคหิน
เป็นต้นมา โดยมีรูปธรรมแสงสว่างชาวซีรีอุส และ ชาวพลีอะเดี้ยน เข้ามาสั่งสอนศิลปวิทยาการ เช่น การเพาะปลูก การปลูกพืชเพื่อเป็นอาหาร การแปรรูปอาหาร การทำ
เหมืองแร่ ดาราศาสตร์ คณิตศาสตร์ การแพทย์ และ แรงงานในการก่อสร้างปิรามิค และ 
โบราณสถานต่างๆ ที่ถูกกำหนดจุดในจุด grid ต่างๆ ของโลก กว่า 144 จุดทั่วโลก

ส่วนมนุษย์ที่เป็นลูก หลาน ไม่ได้ถูกสร้างมาจากพันธุวิศวกรรม แต่ใช้วิธีสืบเชื้อสายมาจากมนุษย์ต้นแบบ และ แพร่ขยายเผ่าพันธ์สืบเนื่องต่อกันมาเป็นพันปี ก่อนที่จะมีอารย
ธรรมสุเมเรียนเป็นอารยธรรมแห่งแรก และ ชาวอารยธรรมสุเมเรียนนับถือรูปธรรมชาว
ดาวต่างมิติเหล่านี้ว่าเป็นพระเจ้าของพวกเขา

และ นั่นคือจุดเริ่มต้นของการเกิดมาของศาสนาที่มีขึ้นในโลก อันที่จริงศาสนาศาสนาต่างๆ นั้นคือ ความเข้าใจในความเป็นไปของโลก มนุษย์ สรรพสิ่ง จักรวาล และ สุดท้าย
ก็คือพระเจ้าในร่างกายเนื้อของเรานั่นแหละ และ สิ่งสำคัญที่สุดคือพลังงานแห่งความรัก
ไร้เงื่อนไข ที่จะทำให้มนุษย์ก้าวสู่ความศิวิไลยในที่สุด

แต่ความรู้ทั้งหลายแหล่ที่ถูกสั่งสอนกันมา กลับถูกบิดเบือน เพื่อผลประโยชน์ของรูปธรรมฝ่ายมืดที่ลงมาร่วมงานกับรูปธรรมแสงสว่างนั่นแหละ เพราะเกิดความขัดแย้งใน
ความคิดเห็นที่ไม่ลงรอยกัน และ ฝ่ายมืดเป็นฝ่ายชนะในที่สุด และ ได้ยึดครองโลกโดย
รูปธรรมฝ่ายมืด เรปทิเรียน และ ได้ก่อกำเนิดกลุ่ม "อิลลูมินาติ" ขึ้นมาโดยการผสานยีนส์
ของพวกมันสร้างสายเลือดหรือทายาทขึ้นมาเป็นตัวแทนดูแลผลประโยชน์ของพวกมัน
และ ได้ยึดครองโลกโดยเบ็ดเสร็จนับแต่นั้นมาเป็นพันๆ ปีแล้ว

ส่วนนักวิทยาศาสตร์โลก ก็มีทั้งยึดมั่น ในความจริง และ มีศักดิ์ศรี ส่วนพวกนักวิทยาศาสตร์ที่เห็นแก่ตัว เห็นแก่เงิน และ ยินยอมทำตามคำบัญชาของกลุ่มคนชั่วฝ่ายมืด
และ โอนอ่อนไปตามผู้มีอำนาจในยุคต่างๆ ก็เยอะ และ บางคนก็มีชื่อเสียงติดอยู่กับปาก
พวกเราทุกคนถ้าหากเอ่ยชื่อขึ้นมานะ

พวกฝ่ายมืด "อิลลูมินาติ" พวกมันทำตนเป็นพระเจ้า โดย DNA แล้ว พวกนี้ไม่ได้เกี่ยวข้อง
อะไรกับมนุษย์เลย มนุษย์นั้นเป็นเผ่าพันธ์ที่พระผู้สร้างบรรจงสร้างขึ้นมาด้วยความรักหรือ
เรียกง่ายๆ นะ ว่าเราคือลูก หลาน เหลน โหลน ของพระองค์ และ เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของรูปธรรมแสงสว่างต่างหาก

แต่พลังงานความรักต้นแบบนั้นมีจริงๆ แต่ พระองค์ท่านจะไม่มายุ่งเกี่ยวอะไรกับระบบ
ของมนุษย์ ล่ะนะ เพราะในโลกของเราจะมีผู้นำที่เรียกว่าประมุขโลก ที่อยู่ในมิติที่สูงกว่า
มนุษย์คอยดูแล ภยันอันตราย ที่มนุษย์เราเองไม่สามารถจัดการด้วยตัวเองได้ เช่น 
อุกกาบาตพุ่งชนโลก หรือเบี่ยงเบนไปในที่ผู้คนอาศัยอยู่น้อย อย่างเช่น การตกของอุก
กาบาตที่ "ตังตุสก้า" ในรัสเซียเมื่อเกือบร้อยปีที่แล้ว หากพุ่งชนเมืองแล้วจะมีความเสีย
หายอย่างยิ่งใหญ่ที่สุดเลย 

และ ในช่วงเวลาที่พิเศษเช่น ช่วงเวลานี้ พวกเขาก็จะมาเกิดในรูปแบบมนุษย์ และ คอย
ช่วยเหลือมนุษย์สู่การเลื่อนระดับชั้นของโลกในครั้งนี้อย่างใกล้ชิด และ ผลักดันมนุษย์
สู่การเข้าสู่มิติที่ 5 ด้วยความรักอย่างแท้จริง...

ที่มา
Teucer Rom...
แสงสว่าง มองการไกล...

พระหลวงปู่ทวด พิมพ์ใหญ่ เนื้อสัมฤทธิ์ ปี 2506 วัดประสาทบุญญาวาส

พระหลวงพ่อทวด ชุดนี้จัดสร้างโดยมีพระอาจารย์ทิม วัดช้างให้ ดำเนินการร่วมกับพระครูสมุห์อำพล วัดประสาทบุญญาวาสใ
พิธีปลุกเสกเมื่อวันที่ 6-7-8-9 มีนาคม พ.ศ.2506 มีคณาจารย์ดังแห่งยุคนั้นและเป็นที่นิยมเช่าหาบูชาในปัจจุบันยิ่ง ได้มาร่วมปลุกเสกถึง 234 รูป มากพิเศษที่สุดกว่าทุกๆรุ่น ที่ทางวัดจัดขึ้น

พระหลวงพ่อทวด ที่กำลังเป็นที่นิยมและศรัทธาอย่างสูงในทุกๆรุ่น โดยเฉพาะจากวัดช้างไห้ ที่หลวงพ่อทิม ได้อัญเชิญญาณหลวงพ่อทวด เมตตาลงปลุกเสกให้ ตั้งแต่รุ่นเนื้อว่านปี 97 ,เนื้อโลหะปี 05  
รวมทั้งหลวงพ่อทวดปี 06 ของวัดประสาทบุญญาวาส 

💝สุดยอดมวลสารจากพระเกจิดังแห่งยุค  เพื่อหล่อพระประธาน 1 องค์ ขนาดหน้าตักกว้าง 2 ศอกคืบ ถวายวัดทุ่งสว่างศรีเสิงสาง จ.นครราชสีมา  ทางวัดได้ก่อสร้างพระอุโบสถหลังใหม่  และยังหล่อพระหลวงพ่อทวด  ที่หลวงพ่อทิม ได้นำมาถอดพิมพ์จากปี 05 สร้างพระผงไปพร้อมด้วย เพื่อบรรจุกรุให้ครบ 84,000 องค์

💗รายการ
พระเครื่องของวัดประสาทฯ ที่พระเกจินำมาร่วมพิธีและถวายวัดประสาทฯ เพื่อแจกและบรรจุกรุ 84,000 องค์
💖 ประกอบด้วยพระหลายพิมพ์ด้วยกัน ได้แก่ 1. พิมพ์จันทร์ลอย ,  2. พิมพ์สมเด็จ มีหน้าตาพระครูมูล ,  3. พิมพ์สมเด็จเล็ก(คะแนน) เทวดา ,  4. พิมพ์สมเด็จวัดระฆัง ,  5. พิมพ์สมเด็จปรกโพธิ์ ,  6. พิมพ์สมเด็จโต ล  7. พิมพ์หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า  8. พิมพ์หลวงพ่อโอภาสี อาศรมบางมด ,  9. พิมพ์หลวงพ่อจง  10. พิมพ์พระสังกัจจายน์ ฐานมักมีรูงัดออกจากพิมพ์ หลังนูน สร้างในครั้งที่ 2 และ 3 ,  11. พิมพ์หลวงพ่อโต บางกะทิง ,  12. พิมพ์นางกวัก 13. พิมพ์หลวงพ่อพัฒน์ วัดพัฒนาราม ,  14. พิมพ์หลวงพ่อสอน วัดเสิงสาง ,  15. พิมพ์หลวงพ่อแทน วัดธรรมเสน ,  16. พิมพ์หลวงพ่อเทียม วัดกษัตราธิราช ,  17. พิมพ์หลวงปู่ทวด 97 ,  18. พิมพ์หลวงปู่ทวด สี่เหลี่ยม 19. พิมพ์หลวงปู่ทวดเล็ก ,  20. พิมพ์พระราหุล สี่เหลี่ยม ,  21. พิมพ์สมเด็จคะแนนจิ๋ว ,  22. พิมพ์ชินราชสามเหลี่ยม ,  23. พิมพ์อุ้มบาตร ,  24. พิมพ์สีวลี ,  25. สมเด็จเข่ากว้าง ,  26. สมเด็จแขนกว้าง(มีผ้าปูรองนั่ง)  27. ปิดตาจันทร์ลอย ข้างมีลาย ,  28. ปิดตาใหญ่ ,  29. ปิดตาจิ๋ว ,  30. นางกำแพงขาว วัดสุทัศน์ ,  31. ปิดตาลอยองค์ ก้นอุดเทียนชัย ,  32. ลีลาฐานบัว ฝังตะกรุด , 33.พระหล่อหลวงพ่อทวด ที่ถอดพิมพ์จากปี 05  มีทั้งพิมพ์ใหญ่,พิมพ์เล็ก,พิมพ์พระรอดเล็ก และพิมพ์อื่นๆอีกมากมาย ฯลฯ

👤หลวงพ่อทวด
ในช่วงที่องค์ท่านจำพรรษา ณ วัดช้างให้ จ.ปัตตานี ในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีนั้นท่านมักจะเดินธุดงค์มาทางภาคกลางแถบพระนครศรีอยุธยาบ่อยๆ การมาแต่ละครั้งหลวงปู่ทวดมักจะพักปักกลดอยู่บริเวณท่าน้ำสามเสนกรุงเทพฯ ซึ่งในอดีตนั้นเป็นป่ารกสงบเหมาะแก่การเจริญวิปัสสนา แล้วค่อยเดินทางกลับวัดช้างให้ บริเวณที่กล่าวมานี้ก็คือวัดประสาทบุญญาวาสในปัจจุบันนั่นเอง 

💝ประวัติการจัดสร้างพระเครื่อง  เพื่อแจกฟรีผู้ร่วมบุญและบรรจุกรุ 84,000 องค์ เพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนา

💚ในปีพุทธศักราช 2498 วัดประสาทบุญญาวาสถูกเพลิงเผาผลาญครั้งใหญ่ ในคืนหนึ่ง พระอาจารย์ทิม เจ้าอาวาสวัดช้างให้ได้นิมิตถึงหลวงปู่ทวดโดยบอกให้ท่านไปช่วยบูรณะวัดประสาทบุญญาวาส กรุงเทพฯ ด้วยเนื่องจากถูกไฟไหม้ พระอาจารย์ทิมจึงได้เดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อสืบข่าวว่านิมิตดังกล่าวเป็นจริงหรือไม่ โดยเข้าพักที่วัดเอี่ยมวรนุชและได้รับการยืนยันว่า วัดประสาทบุญญาวาสถูกไฟไหม้จริง ในวันรุ่งขึ้นท่านจึงเดินทางไปที่วัดประสาทบุญญาวาส เพื่อปรึกษาหารือกับพระครูสมุห์อำพล ในการบูรณะวัดประสาทบุญญาวาส ขึ้นมาใหม่อีกครั้ง

💚 ประวัติการสร้างพระและหล่อพระ
ต่อมาในปีพุทธศักราช 2502 พระอาจารย์ทิม เจ้าอาวาสวัดช้างให้ ได้นำแม่พิมพ์และมวลสาร 2497 พร้อมว่านแร่ดินกากยายักษ์มาที่วัดประสาทบุญญาวาส เพื่อใช้เป็นส่วนผสมในการสร้าง พระหลวงปู่ทวดเนื้อว่านดำ แดง ขาว พิมพ์ที่ด้านหลังมีเจดีย์ และพิมพ์ที่ด้านหลัง ไม่มีเจดีย์
💓ในปีพุทธศักราช 2505 พระอาจารย์ทิม ได้นำมวลสารสมเด็จนางพญาซึ่งจัดสร้างด้วยผงสมเด็จบางขุนพรหมล้วนๆนำมาพร้อมกับพระหลวงปู่ทวดพิมพ์เตารีด ซึ่งได้สร้างไว้ที่วัดช้างให้ นำมาเป็นแม่แบบ 3 พิมพ์ได้แก่ พิมพ์ใหญ่ พิมพ์กลางพิมพ์เล็ก เพื่อถอดพิมพ์และให้พระเณรช่วยกันบดผงมวลสารจัดสร้างพระจนเสร็จแล้วพร้อมจัดพิธีพุทธาภิเษก 3 วัน 3 คืนในปีนั้น โดยมีพระคณาจารย์ชื่อดังในยุคนั้นเข้าร่วมพิธีนั่งปรกปลุกเสกมากถึง 108-234 รูป ซึ่งเป็นการจัดสร้างพระเครื่องของวัดประสาทบุญญาวาส ครั้งที่ 2 โดยมีพระอาจารย์ทิม วัดช้างให้ ดำเนินการร่วมกับพระครูสมุห์อำพล วัดประสาทบุญญาวาสในปีพุทธศักราช 2506-2508 วัดประสาทบุญญาวาส ได้จัดสร้างพระเครื่องหลวงปู่ทวดจำนวน 84,000 องค์ เพื่อบรรจุเจดีย์และจัดสร้างพระกริ่งมหาสิทธิโชค โดยได้รับมอบชนวนพระกริ่งสายวัดสุทัศน์ฯ จากอาจารย์เทพ สาริกบุตร และพระอาจารย์ไสว วัดราชนัดดา พร้อมทั้งจัดพิธีพุทธาภิเษกถึง 3 วาระ โดยพระคณาจารย์หลายร้อยรูป

💝 สุดยอดพระเกจิมอบชนวนมวลสารและปลุกเสก
การจัดสร้างวัตถุมงคลของวัดประสาทฯ ทั้ง 4 ครั้ง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2502-2505-2506-2508 นอกจากจะได้รับความเมตตาเป็นพิเศษจาก พระอาจารย์ทิม วัดช้างให้ มอบมวลสารหลวงปู่ทวดปี 2497 พระครูบริหารคุณวัตร วัดใหม่อมตรสมอบผงสมเด็จบางขุนพรหม อาจารย์เทพ สาริกบุตรและพระอาจารย์ไสว วัดราชนัดดา มอบชนวนพระกริ่งจากสำนักต้นตำรับการสร้างพระกริ่งแล้วยังได้รับความเมตตาเป็นพิเศษจากพระเกจิในสมัยนั้น มอบชนวนและมวลสารพร้อมทั้งเข้าร่วมพิธีมหาพุทธาภิเษกอีกจำนวนหลายร้อยรูป เช่น สมเด็จพระสังฆราช (อยู่) ญาโณทัย, พระอาจารย์ทิม วัดช้างไห้, หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก, หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี, หลวงพ่อพรหม วัดช่องแค, หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่, หลวงพ่อคล้าย วัดสวนขัน หลวงพ่อแดง วัดเขาบันไดอิฐ, หลวงปู่นาค วัดระฆัง, หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม, หลวงปู่ดู่ วัดสะแก, หลวงพ่อผล วัดหนัง, หลวงพ่อั้น วัดพระญาติ, หลวงพ่อกวยวัดโฆสิตาราม, หลวงพ่อเพิ่ม วัดกลางบางแก้ว, หลวงพ่อผล วัดเทียนดัด, หลวงพ่อปลื้ม วัดสวนหงษ์, พระอาจารย์ไสว วัดราชนัดดา ฯลฯ  
ชนวนและมวลสารพร้อมทั้งคณาจารย์ชื่อดังแห่งยุคในสมัยนั้นเป็นความสุดยอด ทั้งหมดที่มีอยู่ในประเทศไทยมารวมกันไว้ที่วัดประสาทบุญญาวาสซึ่งชนวนและมวลสารที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ยังเหลืออยู่ที่วัดประสาทบุญญาวาสจำนวนหนึ่ง เพื่อนำไปจัดสร้างพระหลวงพ่อทวดเพื่อสืบต่อพระพุทธศาสนาให้ครบ 5,000 ปีในรุ่นต่อๆไป

💗พิธีปลุกเสก
เมื่อวันที่ 6-7-8-9 มีนาคม พ.ศ.2506 มีคณาจารย์ร่วมปลุกเสกถึง 234 รูป
ในด้านพิธีกรรมและการปลุกเสกพระของวัดประสาทบุญญาวาสนั้นมีการจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่มากๆโดยพระคณาจารย์ที่มาร่วมปลุกเสกตามใบฝอยที่แจ้งไว้ในซองบรรจุวัตถุมงคลเพื่อเป็นของสมนาคุณของวัดประสาทบุญญาวาส
 กล่าวว่าพิธีพุทธาภิเษก 6-7-8-9 มีนาคม พ.ศ.2506 มีคณาจารย์ร่วมปลุกเสกถึง 234 รูปจนนั่งภายในพระอุโบสถไม่หมด ต้องให้นั่งข้างนอกพระอุโบสถแล้วโยงสายสิญจน์ออกมาซึ่งพระอาจารย์ท่านใดเก่งๆในสมัยนั้นก็จะนิมนต์มาหมด พิธีในครั้งนั้นจึงจัดว่าเป็นพิธีปลุกเสกวัตถุมงคลที่ยิ่งใหญ่และศักดิ์สิทธิ์ที่สุดนับตั้งแต่พิธีปลุกเสกพระเครื่องฉลอง 25 พุทธศตวรรษ์
💝ใบฝอยของวัดประสาทฯ

ขอเชิญท่านนำทองแดง ทองเหลือง ไปร่วมหล่อพระประธาน และรับแจกรูปนิมิตหลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์ที่มหาชนสนใจ ปลุกเสกด้วย คณาจารย์ 234 องค์ ในวันที่ 6-7-8-9 มีนาคม 2506

ที่วัดประสาทบุญญาวาส ในตลาดสามเสนจะหล่อพระประธานหน้าตัก 2 ศอกคืบ ถวายวัดทุ่งสว่างศรีเสิงสาง จ.นครราชสีมา ซึ่งกำลังก่อสร้างอุโบสถขึ้นใหม่

อนึ่ง ทางวัดได้จัดสร้างพระเพื่อบรรจุเจดีย์ 84000 องค์ และคราวนี้ได้สร้างเพิ่มขึ้นอีกเพื่อบรรจุเจดีย์ เพื่อสืบอายุพระศาสนา ในพิธีพุทธาภิเษกครั้งนี้ ทางวัดได้จัดสร้างพระเครื่องขึ้นเล็กน้อย เพื่อแจกเป็นทานให้แก่ผู้ที่ไปปิดทองพระที่หล่อขึ้นใหม่และฝ่าพระพุทธบาทจำลอง

การสร้างพระเครื่องและพระบรรจุเจดีย์ครั้งนี้ได้มีผู้มีจิตศรัทธามอบผงเข้าร่วมการกุศลสร้างพระเครื่องอีกมากมาย เช่น

 ท่านเจ้าคุณเทพสิทธินายก (เจ้าคุณใหญ่) วัดระฆัง ได้มอบผงสร้างพระเครื่องของวัดระฆัง
 ท่านพระครูศรีปทุมรักษ์ วัดสรีบัวบาน สุพรรณบุรี ได้มอบผงสำหรับทำลูกอมของหลวงพ่อเนียม วัดน้อย สุพรรณบุรี ผงในกรุวัดราชสิทธาราม (วัดพลับ) และผงอิทธิเจ
 พระปทุม วัดขุนจันทร์ มอบว่านพร้อมดินดำกากยา ผงสร้างรูปหลวงพ่อพัฒน์ วัดพัฒนาราม
 พลโทพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าเฉลิมพลฑิฆัมพร ได้มอบผงของหลวงพ่อกัง วัดบางพระ จ.ชลบุรี ดินที่ประสูติ ตรัสรู้ นิพพาน และชนวนหล่อรูปนิมิตหลวงพ่อทวด วัดช้างไห้ จ.ปัตตานี
 นายช่างหล่อสวัสดิ์ เดชพ่วง (ช่างหล่อรูปพระพุทธนฤมิตช่างหล่อวัดคอกหมู) ได้ถวายดินทรายพอกหุ่นในการหล่อรูปนิมิตหลวงพ่อทวดในพิธีกรรมของวัดช้างไห้ พร้อมกับน้ำพระพุทธมนต์ 1 ขวด เป็นน้ำมนต์ในพิธีกรรมเดียวกันและผงซึ่งอยู่ในพระวรกายของหลวงพ่อสุโขทัยไตรมิตร
 นายเชื้อ พุทธภินโย บ้านเลขที่ 927 บางบำหรุ จ.ธนบุรี ได้มอบว่านหลายชนิด
 นายแสวง เรือนขำ บ้านเลขที่ 15 หมู่ที่ 2 ตลาดขวัญ นนทบุรี มอบว่าน 16 ชนิด
 นายพรม รุ่งกลั่น บ้านในซอยศาสนา มอบว่าน 10 ชนิด
 สารเณรนี้ แซ่ตั้ง มอบว่าน 10 ชนิด
 นายพยอม วิไลรัตน์ บ้านเลขที่ 13/7 ซอยสุจริต 1 มอบว่านให้ 109 ชนิด พร้อมทั้งแร่ 1 ก้อน
 นายทองพูน กลิ่นพงษา บ้านเลขที่ 96 ตลาดภูเขียว จ.ชัยภูมิ ได้มอบคตปลวกให้ประมาณสองกิโลกรัม
 ท่านพระครูภูมิวุฒาจารย์ (หลวงปู่สอน) วัดทุ่งสว่างศรีเสิงสาง จ.นครราชสีมา มอบขี้เหล็กไหลให้สร้างพระเครื่อง
 ผงมหาราชของหลวงพ่อโม วัดยมตามธรรม อ.วังน้อย จ.อยุธยา
 ผงในกรุวัดอัมพวา จ.ธนบุรี เจ้าอาวาสมอบถวาย
 ผงพระหักกรุวัดสามปลื้ม พระประสิทธิ์เมธังกรถวายวัดประสาทบุญญาวาส
 ผงสร้างรูปหลวงพ่อพัฒน์ พระอธิการบุญช่วย วัดสามัคคีนุกูลมอบถวาย
 ผงพระหักในการสร้างที่พลเอกเผ่า ศรียานนท์ เป็นประธานสร้างที่วัดอินทร์วิหาร ท่านเจ้าคุณอินทรสมาจารย์มอบถวาย
 ผงสมเด็จหัก ๆ ในกรุของวัดใหม่อมตรส พระครูบริหารคุณาวัตร รองเจ้าอาวาสมอบถวาย
 ชนวนหล่อพระกริ่งของอาจารย์ไสว วัดราชนัดดา ผงดินเกตุมวดี ศิษย์วัดบัณฑูรสิงห์มอบถวาย
 ผงการสร้างพระเครื่อง 25 ศตวรรษ นายทองหล่อ เหมือนดวง มอบถวาย
 ผงการสร้างพระเครื่องของหลวงพ่อแทน วัดธรรมเสน แร่เขาแดง เขาเขียว เขาถ้ำสิงห์โต จ.ราชบุรี มอบถวาย
 ผงวัดไก่เตี้ย ผงวัดตาล อ.ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี นายพุฒ บ้านข้างวัดศรีจันทร์มอบถวาย
 ผงสร้างพระเครื่องของหลวงพ่อวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ มอบถวายไว้ตั้งแต่ พ.ศ.2497
 ผงของพระครูรักขิตวันต์ (หลวงพ่อถิร) วัดป่าเลไลย์
 ผงหลวงพ่อแต้ม วัดพระลอย พร้อมทั้งแร่ลิ้นโป ผงอิทธิเจมหาราช ผงปถมัง ท่านเจ้าคุณเทพวิสุทธิ์สมโพธิ วัดพระเชตุพน มอบถวาย
 ผงสร้างพระเครื่องของอาจารย์บก อดีตเจ้าอาวาสวัดสมรโกฏิ นนทบุรี มอบถวาย
 ผงสร้างพระเครื่องของท่านพระครูนนทวุฒาจารย์ (หลวงปู่ช่วง) วัดบางแพรก มอบถวาย
 ผงสร้างพระเครื่องวัดไร่ขิง พระอาจารย์เจียม วัดไร่ขิง มอบถวาย
 ผงมหาราชของพระอาจารย์ฉัตร วัดสุขเกษม จ.สุพรรณบุรี มอบถวาย
 ผงพระหักกรุลำพูน ร.ต.อ.มงคล อินทรฑูต มอบถวาย
 ผงวัดคูหาภิมุข (หน้าถ้ำ) จ.ยะลา นายปรีชา แต้มอางกูร นำถวาย
 ผงสร้างพระเครื่องของวัดกษัตราธิราช พระอาจารย์บุญเทียม มอบถวาย
 ผงสร้างพระรอดในพิธีครั้งใหญ่ จ.เชียงใหม่ หลวงพ่อสำเนียง อยู่สถาพร มอบถวาย
 ผงพระว่านจำปาศักดิ์ซึ่งหักชำรุด หลวงพ่อกี๊ วัดหูช้าง มอบถวาย
 ว่านต่าง ๆ หลายชนิด หลวงพ่อแจ่ม วัดจันทาราม (วัดบางพลัดใน) มอบถวาย
 ท่านพระครูสมุห์เนี้ยว เจ้าอาวาสวัดชนานิกร จ.ปัตตานี ได้มอบถวายผง และแร่ว่านต่าง ๆ ซึ่งได้ใช้สร้างรูปนิมิตของหลวงพ่อทวด วัดชนานิกร ได้มอบให้สร้างพระเครื่องของวัดประสาทบุญญาวาส
 คุณเกื้อกูล หิตะพงษ์ กระท่อมสุขใจ ต.นาประดู่ จ.ปัตตานี ได้นำดินดำกากยาจากเขากระทะ ซึ่งผู้นี้ได้แจ้งว่าสิ่งนี้เคยได้ใช้สร้างหลวงพ่อทวด วัดช้างไห้มาแล้ว พร้อมทั้งได้จัดหาดินดิบซึ่งหักชำรุดสมัยศรีวิชัยจากถ้ำคณโท ถ้ำเสือหมอบ ว่านงู ว่านกบ ว่านเขียด และไม้ซึ่งกลายเป็นหินจากเขาตกน้ำ อ.รัตภูมิ จ.สงขลา พร้อมทั้งอัญมณีของเมืองเถิน จ.ลำปาง มอบถวายให้สร้างพระเครื่อง
 นอกจากนี้ยังมีผู้มีจิตศรัทธามอบผงว่านต่าง ๆ นำมามอบถวายสร้างพระเครื่องให้แจกเป็นทานแก่ผู้เลื่อมใสในพระรัตนตรัยอีกมาก

ในคราวนี้ และสรรพสิ่งอันเป็นมงคลอันควรแก่การสักการบูชาสุดที่จะพรรณนา ได้รวบรวมมาสร้างพระเครื่องเข้าบรรจุเจดีย์ของวัดประสาทบุญญาวาสเพื่อสอบอายุพุทธศาสนา ขอดชะอำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยจงดลบันดาลให้ท่านจงมีความสุขกาย สุขใจ รู้ซึ้งในธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่ขอให้ท่านจงมีความเชื่อ ความเลื่อมใสในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และท่านที่มอบแร่ว่านผงให้สร้างพระเครื่องนี้ ถึงท่านจะมรณภาพไปแล้ว ถ้าข้าพเจ้าลืมหลงมิได้กล่าวนามชื่อของท่าน จงรับอนุโมทนาในส่วนกุศลที่พวกข้าพเจ้าได้บำเพ็ญให้เป็นไป ท่านจะเกิดชาติใดภพใด ขอให้ท่านจงมีปกติสุขทุกสถาน

อนึ่ง กุศลที่พวกข้าพเจ้าได้สร้างพระเข้าบรรจุเจดีย์ 84000 องค์ และสร้างพระเครื่องขึ้นเล็กน้อยเพื่อแจกเป็ฯทานโดยมิได้คิดมูลค่าให้แก่ผู้ที่ไปปิดทองพระที่หล่อขึ้นใหม่ ขอกุศลอันนี้จงได้แก่บิดา มารดา ครู อุปัชฌาย์ อาจารย์ และท่านผู้มีพระคุณทั้งหลาย ตลอดจนกระทั่งสัตว์เล็ก สัตว์ใหญ่ จะใช่ญาติก็ดี มิใช่ญาติก็ดี ขอจงได้รับส่วนกุศลทั่วถึงกัน

ท่านผู้ใดมีจิตคิดประพฤติอยู่ในสิ่งชั่ว ขอบารมีพระเครื่องที่ข้าพเจ้าได้สร้างขึ้นนี้ ถ้าเขาผู้นั้นได้รับไปขออำนาจพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ ในพระเครื่องนี้ ดลบันดาลให้ผู้นั้นประพฤติตนกลับเป็นคนดี ถ้าเขายังไม่รู้ซึ้งในคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงห์ และศีลห้า ซึ่งเป็นข้อห้ามของพระพุทธเจ้า ขอจงดลบันดาลให้เขาผู้นั้นรู้ซึ้งในธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทุกประการ ด้วยอำนาจสัจจะอธิษฐานนี้ขอจงเป็นไปตามความอธิษฐานทุกประการ

ทำพิธีพุทธาภิเษกในวันที่ 6-7-8-9 มีนาคม 2506 (วันที่ 9 มีนาคม เวลา 5 โมงเย็น เป็นเวลาเททองหล่อพระประธาน ขอเชิญท่านนำทองแดง ทองเหลือง ไปร่วมหล่อองค์พระโดยทั่วถึงกัน เงินค่าจ้างหล่อพระไม่รับทำบุญ)

คาถาบุชาพระเครื่องของวัดประสาทบุญญาวาส ใช้ดังนี้ ตั้งนะโม 3 จบ ตั้งใจให้สงบแล้วตั้งจิตอธิษฐานต่อไปว่า ขอเดชะการที่ข้าพเจ้าได้เข้าถึงพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสงฆ์เจ้า เป็นที่พึ่งที่ระลึกแล้วนี้ จงดลบันดาลให้ข้าพเจ้า และสรรพสัตว์ทั้งหลายทั่วสากลพิภพได้ประสบความร่มเย็นเป็นสุขพ้นภัยพิบัติ และประสบมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ นิพพานสมบัติ ทั้งชาตินี้ ชาติหน้าเทอญ และต่อไปจะปราถนาสิ่งใดก็อธิษฐานสุดแต่ความปราถนา (อย่าให้ผิดศีลห้า และข้อห้ามพระพุทธเจ้า) เพราะได้กล่าวคำถึงพระรัตนตรัยแล้วจะผิดความตั้งใจ เพราะพระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนมิให้สัตว์โลกเบียดเบียนซึ่งกันและกัน

หมายเหตุ ท่านผู้ใดหรือวัดใดมีความประสงค์จะขอผง หรือสิ่งของจะนำไปสร้างพระ ทางวัดยินดีให้ทุกท่าน พระเครื่องจะแจกทุกวันแก่ผู้ที่ไปปิดทองพระ ถึงจะหมดงานก็ยังแจก ถ้ามีเหลืออยู่

วัดประสาทบุญญาวาส อยู่ในตลาดสามเสน สุดทางรถเมล์ตลาดพลู สามเสน

พิมพ์ที่โรงพิมพ์ศึกษานุกูล 332 ถนนบำรุงเมือง เมรุปูนวัดสระเกศ พระนคร เพียวฟอง อสกุล ผู้พิมพ์โฆษณา 2506

21 ตุลาคม 2562

#คณะอภิญญาโลกอุดรทั้งห้า

#คณะอภิญญาโลกอุดรทั้งห้า

คณะหลวงปู่ใหญ่ หรือ หลวงปู่โลกอุดรมิได้มีเพียงองค์เดียวนะลูกหลานเอ๊ย๚  มีหลายองค์ด้วยกัน  เรียกว่าเป็นคณะทำงานเพื่อสืบสานพระพุทธศาสนา ๕,๐๐๐ ปี ตามพุทธพยากรณ์

ในคณะทำงานนั้นแบ่งหน้าที่กันเป็น ๕ ด้าน มีรายนามตามตำนาน ๕ พระองค์ด้วยกัน ดังนี้ คือ....

๑. หลวงตาดำ หรือ หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า
 บรมครูสูงสุดแห่งคณะเทพโลกอุดร  การเรียก "หลวงปู่ใหญ่" ก็เกิดจากท่าน เพราะท่านอยู่ในฐานะใหญ่ที่สุดในคณะโลกอุดร

๒. ขรัวเศียรบาตร หรือ หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า เป็นศิษย์น้องและน้องชายของหลวงตาดำ

๓. หลวงปู่โพรงโพธิ์ หรือ หลวงปู่มูนียะเถระเจ้า (หลวงปู่อิเกสาโร) เป็นศิษย์เอกขององค์หลวงตาดำ  พระมูนียะเถระเจ้า หรือ พระอิเกสาโร หรือ หลวงปู่โพรงโพธิ์ หรือ หลวงปู่เดินหน เป็นองค์เดียวกัน เป็นผู้ชำนาญทางเตโชกสิณ

๔. ขรัวแก้มแดง หรือ หลวงปู่พระฌานียะเถระเจ้า  เป็นผู้ชำนาญเรื่องการเล่นแร่แปรธาตุ  เป็นผู้สำเร็จปรอท

๕. ขรัวขี้เถ้า หรือ หลวงปู่พระภูริยะเจ้า

เมื่อเกิดวิกฤติการณ์ต่างๆขึ้นในราชอาณาจักรที่มีพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ คณะหลวงปู่ใหญ่ทั้งห้านี้ท่านจะประชุมกัน แบ่งหน้าที่กันเพื่อสำแดงบุญฤทธิ์-อิทธิฤทธิ์ปกป้องและสืบสานพระพุทธศาสนา รวมทั้งการคุ้มครองส่งเสริมพุทธศาสนิกชนที่ประพฤติดีปฏิบัติชอบให้ประสบความสุขความเจริญ เพื่อให้คนดีทำหน้าที่ปกป้องและสืบทอดพระพุทธศาสนาต่อไป
             
คณะโลกอุดรทั้ง ๕ นี้ ท่านเป็นผู้ทรงอภิญญาชั้นสูง  มีวสีชำนาญในการเข้าออกฌานได้ตามปรารถนา ทั้งยังสามารถแสดงฤทธิ์อวตารหรือจำแลงแปลงตนให้เป็นคนหรือสัตว์ต่างๆได้ตามปรารถนา แต่ท่านจะไม่ทำพร่ำเพรื่อ จะแสดงฤทธิ์เท่าที่จำเป็นสูงสุด เพื่อกิจจำเป็นและสำคัญที่สุดเท่านั้น  เพราะพระพุทธเจ้าไม่ส่งเสริมให้ภิกษุแสดงฤทธิ์ 

ในบรรดา ๕ ท่านนี้ ;  - “หลวงตาดำ” คือ “#พระอุตตระเถระ” เป็นองค์สำคัญที่สุด  ท่านมีอายุยาวนานมากว่าพันปีมนุษย์  ถือเป็นองค์ประธานของคณะโลกอุดร

- รองลงมาคือ “ขรัวเศียรบาตร” องค์นี้มีฤทธิ์และบุญญาธิการสูงส่ง มีฐานะเป็นน้องและศิษย์น้องของหลวงตาดำ

- รองลงมาอีกก็คือ “หลวงปู่โพรงโพธิ์”  องค์นี้ท่านสำเร็จธรรมชั้นสูงมักเป็นตัวแทนของหลวงตาดำหรือหลวงปูใหญ่ไปโปรดสัตว์หรือไปทำภาระหน้าที่ต่างๆ แทนองค์หลวงปู่ใหญ่เสมอๆ  ได้รับอนุญาตเป็นพิเศษจากหลวงปู่ใหญ่ให้แสดงฤทธิ์ได้โดยไม่ต้องขออนุญาต  ท่านจึงปรากฏกายแสดงฤทธิ์โปรดสัตว์บ่อยๆเป็นที่เล่าขานมากที่สุดในบรรดาศิษยานุศิษย์

ดังนั้นศิษย์ส่วนใหญ่ที่ได้พบเห็นหลวงปู่ใหญ่ก็คือได้เห็น “หลวงปู่โพรงโพธิ์” นั่นเอง

หลวงปู่โพรงโพธิ์ คือ องค์ที่มีหน้าตาหนุ่มแต่เกศาขาวโพลน ภาพลักษณ์ของท่านเป็นหน้าตาเดียวกันกับพระครูใบฎีกาพรหม จ.สิงห์บุรี โดยที่ท่านพระครูพรหมองค์นี้ก็คืออวตารของพระโลกอุดรเช่นกัน

เมื่อศิษย์หลวงปู่ใหญ่ทุกคนในยุคหลังๆมานี้ได้รับนิมิต คือ หลวงปู่ใหญ่มาบอกกล่าวสั่งสอน ก็มักจะเห็นเป็นภาพพระครูใบฎีกาพรหม  แต่ไม่แน่อาจจะเป็นภาพโครงกระดูก ภาพเทวดา ภาพสัตว์ต่างๆ ตามแต่หลวงปู่ใหญ่ตั้งใจจะสอนธรรมแก่ลูกศิษย์ในเรื่องอะไร

- องค์ต่อมาคือ “ขรัวแก้มแดง” องค์นี้ชำนาญในสมาบัติ ๘ และยังสามารถทางเล่นแร่แปรธาตุ เหล็กไหล ไพรดำ ปรอทกายสิทธิ์  ท่านชำนาญด้านนี้มาก สำเร็จธาตุ สำเร็จปรอท สามารถใช้ฤทธิ์อธิษฐานให้ตัวท่านเองมีอายุยืนยาวได้เป็นกัปนับล้านปี ด้วยอำนาจฌานสมาบัติ ๘ และอานุภาพปรอทกายสิทธิ์

การที่เรียกท่านว่า “ขรัวแก้มแดง” ก็เพราะเมื่อท่านอมปรอทวิเศษไว้ในปากข้างใดก็ตาม แก้มข้างนั้นจะแดงระเรื่อๆ ขึ้นมา  แล้วเปลี่ยนไปอมอีกด้าน แก้มอีกด้านก็จะแดงขึ้นมาแทน   ท่านจึงมีนามเรียกตามลักษณะดังกล่าวว่า “ขรัวแก้มแดง”

การหุงปรอทของท่านนั้นนอกจากหุงไว้ใช้เองแล้ว  ท่านยังหุงไว้มอบให้ผู้มีบุญ เช่น พระโพธิสัตว์ พระอริยเจ้า หรือ ผู้ทรงฌาน  โดยปรอทสำเร็จของท่านบางส่วน ได้ฝากฝังไว้ตามแผ่นผา โขดหิน ผนังถ้ำ รอคอยผู้มีบุญมาค้นพบและนำไปเป็นประโยชน์ต่อตนเอง ต่อสังคมพระพุทธศาสนาสืบไป  เพื่อเป็นมิ่งขวัญกำลังใจในการปฏิบัติธรรมยิ่งๆ ขึ้นไป 

อิทธิฤทธิ์-บุญฤทธิ์ของคณะโลกอุดรทั้ง ๕ นี้ โดยหลักใหญ่แล้วก็เพื่อเป็นขวัญพลังใจให้ผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลาย ทุกฝ่าย ทุกแขนง ได้ช่วยกันสืบทอดพระพุทธศาสนาให้สืบทอดต่อไปตามพุทธพยากรณ์ถึง พ.ศ. ๕๐๐๐ นั่นเอง.

- องค์ต่อมา คือ "ขรัวขี้เถ้า" ท่านเป็นผู้ชำนาญทางเตโชกสิณ  หรือ กสิณไฟ คือการใช้ไฟในการเผากิเลสตัณหา และใช้ไฟเป็นสัญลักษณ์ให้ผู้คนไม่หลงใหลติดยึดในวัตถุ หลังจากเผาไฟแล้วทุกสิ่งก็จะเหลือแต่ขี้เถ้า จึงขนานนามท่านว่า "ขรัวขี้เถ้า"   พระสงฆ์ผู้เป็นสาวกในสายนี้เมื่อท่านได้รับของถวายมาจากญาติโยมท่านจึงมักเผาไฟให้เป็นที่ประจักษ์ เช่น ท่านหลวงพ่อกบแห่งเขาสาลิกา ท่านหลวงปู่สรวงเทวดาเดินดิน เป็นต้น

เรื่องราวหลวงปู่ใหญ่ เล่าไปเท่าใดไม่มีวันหมด เพราะมีมากมาย ผ่านกาลเวลามายาวนาน และเป็นอจินไตย 

การเล่าเรื่องราวของหลวงปู่ใหญ่ ไม่ว่าครั้งนี้หรือครั้งใดๆ ทั้งที่ผ่านมาและกาลเบื้องหน้า  ไม่หวังให้ลูกหลานติดยึดในอิทธิฤทธิ์ใดๆทั้งสิ้น เพราะแม้เป็นเรื่องจริงของผู้มีอภิญญาขั้นสูง แต่นั่นไม่ใช่แก่นแท้  ไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ นะลูกหลาน   ที่เล่าก็เพื่อเจริญศรัทธาหวังให้ลูกหลานทั้งหลายตระหนักรู้ว่า ความเป็นหลวงปู่ใหญ่นี้ เกิดมีขึ้นและดำรงอยู่ เพื่อรักษาสืบทอดพระพุทธศาสนา เพื่อเป็นมิ่งขวัญพลังใจแก่ลูกหลานทุกคนตลอดไป..   นะลูกหลานเอ๊ย๚
--------------------------
#หลวงปู่เทพโลกอุดร.

พระพุทธเจ้าทรงเป็นคนไทย

#อริยวาส_อริยวงศ์

# เรื่องมีอยู่ว่า สมัยที่ผู้เล่าอยู่กับท่าน
พระอาจารย์ที่บ้านหนองผือ มีชาวกรุงเทพมหานครไปกราบนมัสการ
ถวายทานฟังเทศน์ และได้นำกระดาษ
ห่อธูปมีเครื่องหมายการค้ารูปตราพระ
พุทธเจ้า (บัดนี้รูปตรานี้ไม่ปรากฏ) ตกหล่น
ที่บันไดกุฏิท่าน พอได้เวลาผู้เล่าขึ้นไปทำ
ข้อวัตร ปฏิบัติท่านตามปกติ พบเข้าเลยเก็บขึ้นไป พอท่านฯ เหลือบมาเห็นถามว่า “นั่นอะไร” “รูปพระพุทธเจ้าขอรับกระผม” ท่านกล่าว “ดูสิคนเรานับถือพระพุทธเจ้า แต่เอาพระพุทธเจ้าไปขายกิน ไม่กลัวนรกนะ” แล้วท่านก็ยื่นให้ผู้เล่า บอกว่า “ให้บรรจุเสีย”

#ผู้เล่าเอามาพิจารณาอยู่..

เพราะไม่เข้าใจคำว่าบรรจุ จับพิจารณา
ดูพระพักตร์เหมือนแขกอินเดีย ผู้เล่าอยู่
กับท่านองค์เดียว ท่านวันยังไม่ขึ้นมา ท่าน
พูดซ้ำอีกว่า “บรรจุเสีย” “ทำอย่างไรขอรับกระผม” “ไหนเอามาซิ” ยื่นถวายท่าน ท่าน
จับไม่ขีดไฟมาทำการเผาเสีย และพูดต่อว่า “หนังสือธรรมะสวดมนต์ที่ตกหล่นขาดวิ่นไม่ได้ใช้แล้วก็ให้รีบบรรจุเสีย กลัวคนไปเหยียบย่ำจะเป็นบาป”

#ผู้เล่าเลยพูดไปว่า..

“พระพุทธเจ้าเป็นแขกอินเดียนะกระผม”
ท่านฯ ตอบ “หือคนไม่มีตาเขียน เอาพระพุทธเจ้าไปเป็นแขกหัวโตได้” ท่านฯ
กล่าวต่อไปว่า “อันนี้ได้พิจารณาแล้วว่า พระพุทธเจ้าเป็นคนไทย พระอนุพุทธสาวก
ในยุคพุทธกาล ตลอดจนถึงยุคปัจจุบัน ล้วนแต่ไทยทั้งนั้น ชนชาติอื่น แม้แต่สรณคมน์
และศีล ๕ เขาก็ไม่รู้จะเป็นพระพุทธเจ้าได้อย่างไร ดูไกลความจริงเอามากๆ เราได้เล่า
ให้เธอฟังแล้วว่า ชนชาติไทย คือ ชาวมคธ รวมรัฐต่างๆ มีรัฐสักกะเป็นต้น หนีการล้าง
เผ่าพันธุ์มาในยุคนั้นและชนชาวพม่า คือ
ชาวรัฐโกศลเป็นรัฐใหญ่ รวมทั้งรัฐเล็กๆ จะเป็นวัชชี มัลละ เจติ เป็นต้น ก็ทะลักหนีตาย จากผู้ยิ่งใหญ่ด้วยโมหะ อวิชชา มาผสม
ผสานเป็นมอญ (มัลละ) เป็นชนชาติต่างๆ
ในพม่า ในปัจจุบัน”

“ส่วนรัฐสักกะนั้นใกล้กับรัฐมคธ ก็รวมกันอพยพมาสุวรรณภูมิ ตามสายญาติ ที่เดิน
ทางมาแสวงโชคล่วงหน้าก่อนแล้ว” ผู้เล่า
เลยพูดขึ้นว่า “ปัจจุบัน พอจะแยกชนชาติ
ในไทยได้ไหม ขอรับกระผม” “ไม่รู้สิ อาจ
เป็นชาวเชียงใหม่ ชาวเชียงตุงในพม่าก็ได้” #ขณะนั้นท่านวันขึ้นไปพอดี
ตอนท้ายก่อนจบท่านเลยสรุปว่า “อันนี้
(หมายถึงตัวท่าน) ได้พิจารณาแล้ว ทั้งรู้
ทั้งเห็นโดยไม่มีข้อสงสัยใดๆ ทั้งสิ้น” ผู้เล่า
พูดอีกว่า “แขกอินเดียทุกวันนี้คือพวกไหน ขอรับกระผม” ท่านบอก “พวกอิสลามที่มา
ไล่ฆ่าเราน่ะสิ” “ถ้าเช่นนั้นศาสนาพราหมณ์ ฮินดู เจ้าแม่กาลี การลอยบาปแม่น้ำคงคา ทำไมจึงยังมีอยู่ รวมทั้งภาษาสันสฤตด้วย” “อันนั้นเป็นของเก่า เขาเห็นว่าดี บางพวกก็ยอมรับเอาไปสืบต่อๆ กันมาจนปัจจุบัน ส่วนพวกเราพระพุทธเจ้าสอนให้ละทิ้งหมดแล้ว
เราหนีมาอยู่ทางนี้ พระพุทธเจ้าสอนอย่างไร
ก็ทำตาม”

#ท่ายังพูดแรงๆ ว่า..
“คุณตาบอด ตาจาวหรือ เมืองเราวัดวา
ศาสนา พระสงฆ์ สามเณร เต็มบ้านเต็มเมือง
ไม่เห็นหรือ” (ตาบอดตาจาวเป็นคำที่ท่านจะกล่าวเฉพาะกับผู้เล่า) “แขกอินเดียเขามีเหมือนเมืองไทยไหม ไม่มี มีแต่จะทำลาย
โชคดีที่อังกฤษมาปกครอง เขาออกกฎหมายห้ามทำลายโบราณวัตถุ โบราณสถาน แต่ก็เหลือน้อยเต็มที ไม่มีร่องรอยให้เราเห็น อย่า
ว่าแต่พระพุทธเจ้าเลย ตัวเธอนั่นแหละถ้าได้ไปเห็นสภาพความเป็นอยู่ของชาวอินเดีย
จ้างเธอก็ไม่ไปเกิด”

“ของเหล่านี้นั้น ต้องไปตามวาสนาตามวงศ์ตระกูล อย่างเช่น วงศ์พระพุทธศาสนาของ
เรานั้น เป็นอริวาส อริยวงศ์ อริยตระกูล เป็นวงศ์ที่พระพุทธเจ้าจะมาอุบัติ คุณแปลธรรม
บทมาแล้ว คำว่า ปุคฺคลฺโล ปุริสาสธฺโญ ลองแปลดูซิว่า พระพุทธเจ้า จะเกิดในมัชฌิมประเทศ หรืออะไรที่ไหนก็แล้วแต่ จะเป็นที่อินเดียหรือที่ไหนก็ตาม ทุกแห่งตกอยู่ใน
ห้วงแห่งสังสาวัฏฏ์ ถึงวันนั้นพวกเราอาจจะ
ไปอยู่อินเดียก็ได้”

#พระพุทธเจ้าทรงวางพระพุทธศาสนาไว้

"จะเป็นระหว่างพุทธันดรก็ดี สูญญกัปก็ดี
ที่ไม่มีพระพุทธศาสนา แต่ชนชาติที่เป็น
อริยวาส อริยวงศ์ อริยประเพณี อริยนิสัย
ก็ยังสืบต่อไปอยู่ ถึงจะขาดแต่ผู้ได้สำเร็จมรรคผลเท่านั้น เพราะว่างจาก บรมครู
ต้องรอบรมครูมาตรัสรู้ จึงว่ากันใหม่”

[ผู้เล่าได้ฟังมาด้วยประการละฉะนี้แลฯ]​

#ที่มา_รำลึกวันวาน_เกร็ดประวัติ
#ปกิณกธรรมและพระธรรมเทศนา
#ท่านพระอาจารย์มั่น_ภูริทตฺตเถร
*****************************************

19 ตุลาคม 2562

หนีการเวียนว่ายตายเกิด


หนีการเวียนว่ายตายเกิด

️วันนี้ก็ขอพูดกันแบบสรุป การที่พระพุทธเจ้าสอนบรรดาท่านพุทธบริษัทบำเพ็ญกุศล​ ความจริงการบำเพ็ญกุศลในพระพุทธศาสนานี่มีสาม
๑..ทานมัย​  บุญสำเร็จด้วยการบริจาคทาน
๒..สีลมัย     บุญสำเร็จด้วยการรักษาศีล
๓.. ภาวนามัย​  บุญสำเร็จด้วยการเจริญภาวนา
️การที่พระพุทธเจ้าทรงกำหนดการบำเพ็ญกุศล ๓ ประการในพระพุทธศาสนาก็มีเท่านี้​ เราพูดเกะกะๆ ไปก็มีเท่านี้ ไอ้ที่พูดมากไปเป็นเรื่องของคนพูดมาก แต่ว่าทั้งหมดอยู่แค่ ๓​ ประการเหมือนกัน ทั้งสามอย่างนี้ท่านเรียกรากเหง้าของกุศล และรากเหง้าของอกุศล เราจะต้องเกิดมีความสุขและความทุกข์อย่างไรก็ตาม เพราะอาศัยรากเหง้าของอกุศลเป็นสำคัญ ถ้าเราไม่สามารถชนะรากเหง้าของอกุศลได้ เราก็ไม่สามารถจะหลีกไปจากวัฏฏะสงสารได้ ก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะเป็นปกติ ถ้าเราสามารถทำลายรากเหง้าของอกุศลทั้ง ๓ ประการได้ เราก็ไปนิพพานได้ ลีลาที่ไปนิพพานก็มีหลายแบบที่พระพุทธเจ้าสอนหลายแบบ ก็เพราะว่าอัธยาศัยของคนไม่เสมอกัน มีปัญญาไม่เสมอกัน อาศัยการบำเพ็ญบารมีเข้มข้นคนละจุด พระพุทธเจ้าจึงต้องพูดมากหลายแบบ เพื่อให้ถูกกับอัธยาศัยหรือบุญบารมีเดิมของแต่ละบุคคล
️สำหรับรากเหง้าอกุศลทั้ง ๓ ประการ คือ
๑..โลภะ  ความโลภ
๒..โทสะ  ความโกรธ
๓..โมหะ  ความหลง
️ทั้งสามอย่างถือเป็นรากเหง้าใหญ่ของอกุศล กิเลสจะมีกี่ประเภทก็ตาม ผลที่สุดก็รวมอยู่ที่สามอย่างด้วยกัน ถ้าเราสามารถทำลายรากเหร้าของอกุศลทั้ง ๓ ประการนี้ได้ เราก็ไปนิพพานได้ วิธีที่จะทำลายรากเหง้าของอกุศลได้ เราก็ต้องสร้างรากเหร้าของกุศลขึ้นมาแทน​ นั่น
คือ "ทาน" การให้ หรือที่ที่เรียกว่า
ทานมั้ย บุญสำเร็จด้วยการบริจาคทาน
สีลมัย   บุญสำเร็จด้วยการรักษาศีล ภาวนามัย  บุญสำเร็จด้วยการเจริญภาวนา
️สำหรับ ทานมัย บุญสำเร็จด้วย การบริจาคทาน เป็นเครื่อง ตัดโลภะ ความโลภ​ ซึ่งเป็นรากเหง้าไหญ่ส่วนหนึ่งของอกุศล ถ้าการบริจาคทานมีอารมณ์ครบถ้วนในจิต เวลาั้นความโลภก็หมดไปจากจิต
️สำหรับ ศีล เป็นเครื่อง ตัดโทสะ ความโกรธ เพราะว่าคนที่จะปฏิบัติศีล ต้องมี
พรหมวิหาร ๔ คือมีเมตตาและกรุณา
️ภาวนามัย บุญสำเร็จด้วยการ เจริญภาวนา อันนี้ ตัดโมหะ​  ความหลง
ถ้าตัดตรงๆ จริงๆ ก็แค่ ๓ อย่าง ที่นีวิธีตัด ถ้าเราจะตัดโลภ​ะ ความโลภ ออกจากจิต พระพุทธเจ้าให้ใช้จาคานุสสติกรรมฐานเป็นกำลังหนุน คำว่า จาคานุสสติ นีก็หมายความว่าจิตคิดไว้เสมอว่าเราจะสงเคราะห์สัตว์อื่นหรือบุคคลอื่นนอกจากตัวเรา ให้มีความสุข ตามกำลังที่เรา
จะพึงทำได้ ถ้ายังคิดอยู่ถือว่าเป็นจาคานุสลติกรรมฐาน ถ้าลงมือทำถือว่าเป็นทานมัย บุญสำเร็จ​ด้วยการบริจาคทาน ถ้าให้ถือว่าเป็นทาน คิดว่าจะให้เป็นจาคานุสสติ​ ทั้ง​ ๒​ อย่างนี้ต้องมีอารมณ์ควบกัน
ที่มา..
พระธรรม​คำสอน​ หลวงพ่อ​พระราช​พรหมยาน​ วัดจันทรา​ราม​(ท่า​ซุง)
️จากหนังสือ​คำสอนหลวงพ่อ​วัดท่าซุง​ ๕๖​ หน้าที่๑๑๙~๑๒๐
️พิมพ์​พระธรรม​โดย​ นภา​ อิน​ 

คาถาบูชาหลวงปู่หมุน


พระคาถาบูชาขอลาภประจำวันเกิดทั้ง 7 วัน ดังนี้

วันอาทิตย์ (ให้ภาวนา ๖ จบ)
ฉิมพะลี จะ มหานามัง สัพพะลาภัง ภะวิสสะติ เถรัสสานุภาเวนะ สะทา โหนติ ปิยัง มะมะ ฯ
วันจันทร์ (ให้ภาวนา ๑๕ จบ)
ยัง ยัง ปุริโสวา อิตถีวา ทูเรหิวา สะมีเปหิวา เถรัสสานุภาเวนะ สะทา โหนติ ปิยัง มะมะ ฯ
วันอังคาร (ให้ภาวนา ๘ จบ)
ฉิมพะลี จะมหาเถโร โสะโห ปัจจะยาทิมหิ เชยยะลาโภ มหาลาโภ สัพพะลาภา ภะวันตุ สัพพะทา ฯ
วันพุธ (ให้ภาวนา ๑๗ จบ)
ทิตติตถะภะเวราชา ปิยาจะ คะระตุเม เย สารัตติ นิรันตะรัง สัพพะสุขาวะหา ฯ
วันพฤหัสบดี (ให้ภาวนา ๑๙ จบ)
ฉิมพะลี จะ มหาเถโร ยักขาเทวาภิปูชิโต โสระโห ปัจจะยาทิมหิ อะหัง วันทามิ สัพพะทา ฯ
วันศุกร์ (ให้ภาวนา ๒๑ จบ)
ฉิมพะลี จะ มหาเถโร เทวะตานะรปูชิโต โสระโห ปัจจะยาทิมหิ มหาลาภัง กะโรนตุ เม ลาเภนะ อุตตะโม โหติ สัพพะลาภะ ภะวันตุ สัพพะทาฯ
วันเสาร์ (ให้ภาวนา ๑๐ จบ)
ฉิมพะลี จะ มหานามัง อินทาพรหมา จะ ปูชิตัง สัพพะลาภัง ปะสิทธิ เม เถรัสสานุภาเวนะ สะทา สุขี ปิยัง มะมะ ฯ

คาถาบูชาหลวงปู่ทวด 
           คาถาหลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด วัดช้างให้ ตำบลป่าไร่ อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี คาถาหลวงพ่อทวด ท่องในใจเสมอไม่ต้องมีพระเครื่องท่านก็ได้
การบูชาหลวงปู่ทวด 
      ธูปแขก 9 ดอก มะลิขาว 9 ดอก ท่อง คาถาหลวงปู่ทวด เป็นประจำจะแคล้วคลาดอันตราย
ตั้งนะโม 3 จบ 
นะโม โพธิสัตโต อาคันติมายะ อิติภะคะวา (3 จบ)  แล้วระลึกถึงท่าน 
คาถาหลวงปู่สรวง คำนมัสการบูชาตั้งจิตอธิษฐานขอพร
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (กล่าว 3 จบ)
นะโม โพธิสัตว์โต มหาคุโณ มหิทธิโก
มหาลาโภ อะหังปูเชมิ สิทธิลาโภ นิรันตะรัง
ตั้งจิตอธิษฐานขอพร (หลวงปู่สรวง)
พุทธังประสิทธิ ธัมมังประสิทธิ สังฆังประสิทธิ
อริยะองค์สรวง สัมปันโน อิติปิโส นะโมพุทธายะ
อิสะวาสุติ มหาบันดาล สัจจัง ประสิทธิเม สาธุ สาธุ สาธุ
คาถาหลวงปู่สรวง
หลวงปู่สรวง ออยเตียสรูล ออยเพิ่มพูน บายตึ๊กเจีย (กล่าว 3 จบ)
(จุดธูป 9 ดอก เวลาจะบนบาล บนเรื่องเล็กด้วยข้าวหลาม 3 กระบอก บนเรื่องใหญ่ด้วยว่าวจุฬา)
คาถาบูชาหลวงปู่หมุน
"ตัวกูลูกพระพุทธองค์ ครูสิทธิ์ครูธงค์ องอาจไม่ประมาทครู พบรอยก้มดู เจอครูกราบไหว้ 
อิมะมะมามา อิมะมะมามา อิมะมะมามา อิมะมะมามา อิมะมะมามา อิมะมะมามา อิมะมะมามา"
พระคาถาหลวงพ่อมุม
คาถานี้ป้องกันภัยกันได้สารพัดกัน
ตั้งนะโม 3 จบ 
กันนะ กันนา กันนิ กันนี กันนอก กันใน ศัตรูปองร้าย วินาศสันติ


คาถานี้ได้จากท่านพ่อผู้ใหญ่ลี ที่ในอดีตท่านเคยใกล้ชิดกับหลวงพ่อมุมครับ ปัจจุบันท่านชรามากแล้ว แต่ยังดูแข็งแรง อยู่ที่จังหวัดจันทบุรี
เวลาสวดภาวนาคาถา ก็ให้น้อมระลึกถึงหลวงพ่อมุม จะสมความปรารถนาทุกประการ.


พระคาถาบูชาท้าวเวสสุวรรณ

“อิติปิ โส ภะคะวา ยมมะราชาโน ท้าวเวสสุวรรณโณ มะระณัง สุขัง อะหัง สุคะโต นะโม พุทธายะ ท้าวเวสสุวรรณโณ จาตุมะหาราชิกา ยักขะพันตาภัทภูริโต เวสสะ พุสะ พุทธัง อะระหัง พุทโธ ท้าวเวสสุวรรณโณ นะโม พุทธายะ”

ผู้ที่ได้ทั้งบูชาด้วยการกราบไหว้และนำคุณธรรมของตััวท่านไปปฏิบัติด้วย จะช่วยส่งผลให้เจริญก้าวหน้า และร่ำรวย มีความสุขอย่างแน่นอน


ความเจริญพุทธศาสนาในปากีสถาน

ขึ้นชื่อว่าเป็นคนไทยนับถือศาสนาพุทธ 99.99% ต้องรู้จัก “มิลินทปัญหา” การสนทนาธรรมระหว่างพระเจ้ามิลินท์ หรือพระเจ้าเมนันเดอร์ (Menander) กษัตริย์เชื้อสายกรีกกับพระนาคเสน แต่จะมีสักกี่คนที่ทราบว่า ฉากการสนทนาอยู่ที่ “ปากีสถาน”
สุดแดน วิสุทธิลักษณ์ จากคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้อยู่เบื้องหลังสารคดี “ชายจากคันธาระ” (The man of Ghandara) ส่วนหนึ่งของสารคดีเกี่ยวกับพระไตรปิฎก ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสเมื่อเดือน ก.ค. เล่าถึงประสบการณ์ที่ได้เดินทางไปยังปากีสถาน 4 ครั้ง ในงาน Discover Pakistan From the Buddhist Trails to the Scenic Mountains เมื่อวันก่อน ให้คนไทยได้รู้จักกับประเทศนี้ในอีกมุมที่ไม่เคยสัมผัสกันมาก่อน
“หลายคนไม่เข้าใจว่าทำไมเราต้องไปถ่ายทำสารคดีที่ปากีสถาน ประเทศนี้มีสถานที่มรดกทางวัฒนธรรมพุทธศาสนาเป็นจำนวนมาก และยังรักษาไว้ได้อย่างดี”
ระหว่างถ่ายทำสารคดีสุดแดนได้เดินทางไปที่ตักศิลา เปชวาร์ และหุบเขาสวัต ทั้ง 3 แห่งเป็นพื้นที่สำคัญของอาณาจักรคันธาระ แต่ชื่อที่คนไทยคุ้นมากที่สุดคือตักศิลา เมืองหลวงของอาณาจักร ในนิทานหรือตำนานไทยกษัตริย์หรือเจ้าชายต้องไปเล่าเรียนที่ตักศิลา ที่นี่เป็นแหล่งความรู้สำคัญช่วงต้นพุทธกาล ผู้จบจากตักศิลาที่คนไทยคุ้นเคยมีทั้งพระเจ้าปเสนทิโกศล ชีวกโกมารภัจจ์ แพทย์คนสำคัญในสมัยพระพุทธเจ้า และองคุลีมาล
เปชวาร์ หรือ ชื่อในภาษาสันสกฤต “บุรุษปุระ” เป็นอีกหนึ่งเมืองสำคัญของอาณาจักรคันธาระ ตั้งอยู่ชายแดนอัฟกานิสถาน บนเส้นทางช่องเขาไคเบอร์ที่พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช ยกทัพเข้ามาพิชิตดินแดนแถบนี้ เปชวาร์เป็นเมืองเก่าแก่ที่ยังมีชีวิตอยู่ ดำรงต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
ส่วนหุบเขาสวัตแม้ยังไม่เป็นที่รู้จักมากนักในหมู่คนไทย แต่ที่นี่มีความสำคัญอย่างน้อย 2 ประการ 1) เป็นดินแดนของชาวปาทาน กลุ่มชาติพันธุ์สำคัญของปากีสถาน ในประเทศไทยมีชาวปาทานอาศัยอยู่มากพอสมควร 2) เป็นพื้นที่ที่มีมรดกวัฒนธรรมพุทธศาสนาเป็นจำนวนมาก
ภิกษุจีนที่เคยแสวงบุญมาที่หุบเขาสวัตไม่ว่าจะเป็นพระถังซำจั๋งหรือพระฟาเหียน เคยบรรยายไว้ว่า ที่นี่มีพระสงฆ์หลายพันรูป ลุ่มน้ำสวัตมีอารามทางพุทธศาสนาหลายพันแห่ง ปัจจุบันยังมีหลักฐานเหล่านี้หลงเหลือให้เห็น
ความสำคัญของคันธาระอีกประการหนึ่งคือ ในสมัยของพระเจ้าเมนันเดอร์ได้สนทนาธรรมกับพระนาคเสน เป็นที่มาของ “มิลินทปัญหา” คัมภีร์ทางศาสนาฉบับสำคัญ การสนทนาธรรมครั้งนี้ทำให้พระเจ้าเมนันเดอร์ยอมรับนับถือพระพุทธศาสนา
“และที่สำคัญไปกว่านั้นคือ นี่คือการเผชิญหน้ากันระหว่างโลกตะวันตกกับโลกตะวันออก ความคิดตะวันตกของกรีกและโรมันนั้นเชื่อมั่นในความเป็นมนุษย์ หรือความเป็นตัวตนของคน ขณะที่ความคิดตะวันออกของพระนาคเสนเชื่อเรื่องการละตัวตน” สุดแดนกล่าวพร้อมเสริมว่า การเผชิญหน้ากันครั้งนี้ยังเป็นจุดกำเนิดของพระพุทธรูปคันธาระ พระพุทธเจ้าปรากฏเป็นรูปเคารพครั้งแรกในโลก จากนั้นเผยแพร่ไปในจีน ญี่ปุ่น
เหล่านี้คือความสำคัญของคันธาระที่คนไทยควรไปเรียนรู้จากปากีสถาน ที่สามารถรักษามรดกวัฒนธรรมพุทธไว้ได้เป็นอย่างดี
แม้วันนี้ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับปากีสถานดูไม่คุ้นเคยกันนัก แต่ถ้าย้อนไปเมื่อปี 2505 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จเยือนปากีสถาน เป็นการเยือนครั้งแรกของพระมหากษัตริย์ไทย ซึ่งในปี 2565 จะครบรอบ 60 ปีการเสด็จเยือน ช่วง 3 ปีที่จะถึงนี้จึงเป็นช่วงเวลาสำคัญที่คนไทยกับชาวปากีสถานจะได้เดินทางแลกเปลี่ยนและรู้จักกันมากขึ้น
สำหรับสุดแดนนั้น การได้ไปปากีสถานทำให้ความคิดของเขาเปลี่ยนไป เห็นความสำคัญของปากีสถานมากขึ้นว่า คนที่สนใจมรดกทางวัฒนธรรมพุทธศาสนาจะพลาดไม่ได้เลย พุทธศาสนาลงหลักปักฐานมั่นคงในปากีสถาน ส่งต่อไปยังเอเชียกลาง เอเชียตะวันออก นี่คือเส้นทางสำคัญของพุทธศาสนา
นักวิชาการรายนี้ย้ำว่า การจะสนใจปากีสถานไม่ใช่เรื่องยากสำหรับคนไทยที่มีพื้นฐานสนใจศาสนาพุทธอยู่แล้ว
“ปากีสถานเป็นพื้นที่ก่อกำเนิดเรื่องราวในชาดกด้วย เช่น แม่เสือตัวหนึ่งกำลังหิวจัดและกำลังจะฆ่าลูกกินเป็นอาหาร พระโพธิสัตว์ (ชาติก่อนของพระพุทธเจ้า) ทราบเรื่องเข้าจึงกระโดดจากภูเขาฆ่าตัวตายเพื่อให้แม่เสือได้กินเนื้อพระโพธิสัตว์เป็นอาหารแทน หรือพระพุทธเจ้าเฉือนเนื้อให้เป็นอาหารเหยี่ยว เพื่อเหยี่ยวจะได้ไม่ต้องกินเนื้อนกพิราบ เชื่อกันว่าเรื่องราวเหล่านี้เกิดขึ้นในปากีสถาน”
แม้ว่าปัจจุบันมีชาวพุทธเหลืออยู่ในปากีสถานน้อย แต่สิ่งที่น่าสนใจสำหรับสุดแดนคือ แม้โบราณสถานพุทธศาสนาอยู่ในพื้นที่ของชาวมุสลิม แต่ไม่ได้ถูกทำลาย ชาวมุสลิมอยู่กับโบราณสถานทางพุทธได้โดยรัฐบาลก็ดูแลเป็นอย่างดี แง่มุมเหล่านี้ล้วนเป็นการเปิดภาพใหม่ของปากีสถานในด้านการท่องเที่ยวเชิงพุทธศาสนา
ข่าวที่เกียวข้อง

ขอขอบคุณที่มา
https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/847428

02 กันยายน 2562

พ่อขุนรามคำแหงไม่ได้ทำศิลาจารึกพ่อขุนรามฯ แต่ทำขึ้นสมัย “ลิไทย” ด้วยเหตุผลทางการเมือง


พ่อขุนรามคำแหงไม่ได้ทำศิลาจารึกพ่อขุนรามฯ แต่ทำขึ้นสมัย “ลิไทย” ด้วยเหตุผลทางการเมือง

ภาพถ่ายทางอากาศเมืองสองแควหรือพิษณุโลก เดิมเป็นเมืองของกลุ่มราชวงศ์ผาเมือง ที่ปกครองแคว้นสุโขทัยมาก่อนราชวงศ์พระร่วง

ผู้เขียนศรีศักร วัลลิโภดมเผยแพร่วันจันทร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ.2562

เมืองสองแควแต่เดิมน่าจะไม่ได้ขึ้นตรงต่อทางสุโขทัยก็ได้ เพราะแม้แต่ศิลาจารึกที่กล่าวถึงรัชกาลของพ่อขุนรามคำแหงเองก็กล่าวไปในทำนองที่ว่าเมืองสองแควเพิ่งเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของสุโขทัยในสมัยพ่อขุนรามคำแหง

แต่ที่แน่นอนที่สุดก็คือ ศิลาจารึกหลักที่ 2 ที่กล่าวว่าสมเด็จพระมหาเถรศรีศรัทธาราชจุฬามุนีทรงเกิดที่เมืองสระหลวงสองแควแสดงให้เห็นว่าเมืองสระหลวงสองแควที่อยู่บริเวณลุ่มน้ำน่านนี้ เป็นเมืองในความครอบครองของเจ้านายในราชวงศ์ผาเมือง ซึ่งเคยปกครองแคว้นสุโขทัยมาก่อนราชวงศ์พระร่วง เพราะฉะนั้น น่าจะเกิดไม่ลงรอยอย่างใดอย่างหนึ่งกับสมเด็จพระมหาธรรมราชาลิไทยก็ได้ อาจมีความขัดแย้งทางการเมืองขึ้น ซึ่งอาจสังเกตได้ชัดเจนเมื่อเปรียบเทียบเรื่องราวในศิลาจารึกหลักที่ 1 กับหลักที่ 2

ศิลาจารึกหลักที่ 1 เป็นการบรรยายเรื่องราวของกษัตริย์ในราชวงศ์พระร่วง โดยเฉพาะในสมัยพ่อขุนรามคำแหง

จารึกหลักนี้ นักปราชญ์ส่วนใหญ่มีความเห็นว่าข้อความในตอนต้นๆ ของศิลาจารึกเป็นสิ่งที่พ่อขุนรามคำแหงโปรดให้จารึกขึ้น แต่ตอนท้ายๆ มาสร้างขึ้นในสมัยหลัง

แต่ในความเห็นของข้าพเจ้าหลังจากได้ศึกษาเปรียบเทียบกับหลักอื่นๆ แล้วเห็นว่า จารึกนี้ทั้งหลักสร้างขึ้นหลังรัชกาลของพ่อขุนรามคำแหงลงมาแล้ว โดยมีเจตนาที่จะสรรเสริญและกล่าวขวัญถึงความรุ่งเรืองร่มเย็นเป็นสุขของแคว้นสุโขทัยในรัชกาลพ่อขุนรามคำแหง เพื่อโอ้อวดหรือแสดงความสำคัญของกษัตริย์ในราชวงศ์พระร่วง เพื่อวัตถุประสงค์ทางการเมือง อย่างใดอย่างหนึ่ง

ศิลาจารึกหลักที่ 1

ศิลาจารึกหลักที่ 2 พบที่วัดศรีชุม เป็นเรื่องการสรรเสริญพระเกียรติคุณของสมเด็จพระมหาเถรศรีศรัทธาราชจุฬามุนี ผู้เป็นพระราชนัดดาของพ่อขุนผาเมือง

ในตอนต้นๆ ได้กล่าวถึงเรื่องราวสมัยก่อนราชวงศ์พระร่วงตั้งแต่สมัยพ่อขุนศรีนาวนำถม ซึ่งเป็นปู่ของสมเด็จพระมหาเถรฯ ครองแคว้นสุโขทัย มีการสร้างพระบรมธาตุในนครสี่แห่งคือ สุโขทัย ศรีสัชนาลัย และสระหลวงสองแคว ต่อจากนั้นก็บรรยายถึงเหตุการณ์สู้รบเพื่อขับไล่ขอมสบาดโขลญลำพงของพ่อขุนผาเมืองกับพ่อขุนบางกลางหาว รวมทั้งการให้เมืองสุโขทัยและพระนามศรีอินทรบดินทราทิตย์ของพ่อขุนผาเมืองแก่พ่อขุนบางกลางหาวด้วย

ส่วนในด้านพระราชประวัติของสมเด็จพระมหาเถรฯ นั้น ก็ระบุว่า ทรงเกิดที่เมืองสระหลวงสองแคว ซึ่งพระบิดาของพระองค์ทรงครองอยู่ ในขณะยังเยาว์วัยก่อนออกผนวชนั้น สมเด็จพระมหาเถรฯ ทรงเป็นผู้มีความสามารถ อีกทั้งมีความเก่งกล้าในการรบพุ่งด้วย พอพระชันษาได้ 29 ปีก็ออกผนวช ได้ท่องเที่ยวไปตามเมืองต่างๆ ของประเทศไทย และได้เดินทางไปลังกาและอินเดียด้วย ทรงสร้างพระธาตุและบูรณะวัดวาอารามตามเมืองต่างๆ รวมทั้งเมืองสุโขทัยด้วย

ศิลาจารึกหลักนี้ดูเหมือนไม่มีเจตนาที่จะแสดงออกในเรื่องวัตถุประสงค์ทางการเมืองแต่อย่างใด เป็นแต่เพียงกล่าวถึงภูมิหลังและพระกรณียกิจของสมเด็จพระมหาเถรฯ เท่านั้น เพราะในขณะเดียวกันก็ยกย่องพระมหากษัตริย์ในราชวงศ์พระร่วงเป็นอย่างดี โดยเฉพาะพ่อขุนรามคำแหงและสมเด็จพระมหาธรรมราชาเลอไทย ผู้เป็นพระโอรสของพ่อขุนรามคำแหง

สิ่งที่น่าสังเกตก็คือว่า เหตุการณ์หรือเรื่องราวในศิลาจารึกหลักนี้เป็นของที่อยู่ในสมัยก่อนรัชกาลของสมเด็จพระมหาธรรมราชาลิไทยทั้งสิ้น

เพราะฉะนั้น ถ้าหากเปรียบเทียบและลำดับเหตุการณ์เกี่ยวกับความเป็นมาของแคว้นสุโขทัยแล้ว ก็ต้องถือว่าจารึกหลักที่ 2 เป็นเรื่องราวก่อนสมัยราชวงศ์พระร่วง ส่วนจารึกหลักที่ 1 เป็นเรื่องราวของราชวงศ์พระร่วงซึ่งอยู่ในสมัยหลังลงมา

แต่เจตนารมณ์ในการสร้างจารึกหลักที่ 1 นั้น อาจชวนให้คิดและตีความได้ว่าเป็นการข่มทับหรือขัดแย้งกับจารึกหลักที่ 2 เป็นปัญหาทางการเมือง ซึ่งน่าจะสร้างขั้นในสมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชาลิไทยลงไป

ที่ว่าอาจมีปัญหาทางการเมือง ก็เพราะว่าจารึกหลักที่ 2 แสดงถึงความราบรื่นของสุโขทัยมาโดยตลอดจนถึงรัชกาลของสมเด็จพระมหาธรรมราชาเลอไทย แต่หลังจากรัชกาลของสมเด็จพระมหาธรรมราชาเลอไทยแล้ว เกิดความยุ่งยากขึ้นในแคว้นสุโขทัย เรื่องนี้เห็นได้ชัดเจนจากบรรดาศิลาจารึกในรัชกาลสมเด็จพระมหาธรรมราชาลิไทย ที่ระบุว่าหลังจากรัชกาลของพ่อขุนราชคำแหงลงมาแล้ว บ้านเมืองแตกแยก “หาเป็นขุนหนึ่งไม่” แต่พอมาถึงรัชกาลของสมเด็จพระมหาธรรมราชาลิไทยก็กลับรวมกันได้อีก ศิลาจารึกหลักที่ 4 จารึกวัดป่ามะม่วงได้กล่าวอย่างชัดเจนว่า ก่อนที่พระองค์จะขึ้นครองราชย์นั้น พระองค์ครองอยู่เมืองศรีสัชนาลัย ได้ยกกองทัพจากเมืองศรีสัชนาลัยมายังสุโขทัย ใช้เวลาถึง 3 วันถึงจะมาถึง เมื่อเข้าเมืองสุโขทัยได้แล้วทรงประหารศัตรูของพระองค์ด้วยขวาน ต่อจากนั้นก็ขึ้นครองราชย์ ประกอบพระราชพิธีปราบดาภิเษก

เรื่องราวดังกล่าวนี้ แสดงให้เห็นว่าก่อนหน้าที่สมเด็จพระมหาธรรมราชาลิไทยจะได้เสวยราชย์นั้นได้มีกษัตริย์ปกครองเมืองสุโขทัยอยู่แล้ว จะเป็นด้วยได้ราชสมบัติโดยชอบธรรมหรือไม่นั้นไม่ทราบชัด แต่ว่าสมเด็จพระมหาธรรมราชาลิไทยทรงได้ราชสมบัติจากการกำจัดผู้ครองเมืองสุโขทัยพระองค์นั้นอย่างแน่นอน โดยเหตุนี้จึงทำพระราชพิธีราชาภิเษกอย่างใหญ่โต ซึ่งในที่นี้ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นพระราชพิธีปราบดาภิเษกมากกว่าราชาภิเษก เพราะฉะนั้นอาจเป็นไปได้ว่ากษัตริย์ผู้ถูกสมเด็จพระมหาธรรมราชาลิไทยประหารเสียนั้น เป็นเจ้านายในราชวงศ์ผาเมืองที่เกี่ยวดองเป็นเครือญาติกับราชวงศ์พระร่วงมาแต่สมัยพ่อขุนผาเมือง

การสร้างศิลาจารึกหลักที่ 1 ที่บรรยายเกี่ยวกับพระเกียรติคุณของพ่อขุนรามคำแหงนั้น คงมีความมุ่งหมายมิใช่น้อยที่จะสร้างภาพพจน์และสิทธิธรรมของสมเด็จพระมหาธรรมราชาลิไทยแห่งราชวงศ์พระร่วง

ความขัดแย้งคงเกิดขึ้นระหว่างสมเด็จพระมหาธรรมราชาลิไทยกับบรรดาเจ้านายในราชวงศ์ผาเมือง ซึ่งคงปกครองบ้านเมืองหลายแห่งอยู่ทางลุ่มน้ำน่านในกลุ่มสระหลวงสองแคว และกินเลยเข้าไปในลุ่มน้ำป่าสักทางเพชรบูรณ์ เป็นเหตุให้สมเด็จพระมหาธรรมราชาลิไทยต้องยกกองทัพไปปราบปรามและมาครองเมืองสองแควอยู่พักหนึ่ง ในขณะเดียวกันก็ทรงพยายามสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทั้งทางวัฒนธรรมและการเมืองด้วยการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา สร้างพระบรมธาตุขึ้นที่เมืองสองแคว สร้างพระพุทธบาท แล้วนำคนจากพระบรมธาตุขึ้นที่เมืองสองแคว และลุ่มน้ำป่าสักไปไหว้พระพุทธบาทที่เขาสุมนกูฏเมืองสุโขทัย เป็นต้น

อย่าไรก็ตาม ความขัดแย้งนี้หาได้สิ้นสุดไม่ กลับบานปลายไปถึงการเกี่ยวข้องกับทางอยุธยา เป็นเหตุให้สมเด็จพระรามาธิบดี (อู่ทอง) ส่งกองทัพมายึดเมืองสองแคว ซึ่งตามเอกสารของล้านนาเรียกว่าเมืองชัยนาท เป็นเหตุให้สมเด็จพระมหาธรรมราชาลิไทยต้องขอเป็นไมตรีและขอเมืองคืน

เหตุการณ์เช่นนี้ น่าจะสะท้อนให้เห็นว่าเจ้านายทางฝ่ายราชวงศ์ผาเมืองนั้นมีความสัมพันธ์กับทางลพบุรีและอยุธยาไม่น้อย อาจแลเห็นได้จากข้อมูลในศิลาจารึกสุโขทัยเองด้วยซ้ำ ดังเช่นศิลาจารึกหลักที่ 11 ที่พบที่เขากบเมืองพระบางหรือเมืองนครสวรรค์ มีข้อความในด้านหนึ่งกล่าวถึงบุคคลผู้หนึ่งว่าได้เดินทางไปยังเมืองต่างๆ ที่สำคัญในเมืองไทยในสมัยนั้น รวมทั้งออกไปต่างประเทศ เช่น อินเดีย และลังกา ได้ทำบุญกุศลสร้างพระธาตุและปลูกต้นพระศรีมหาโพธิในที่ต่างๆ ด้วย ในบรรดาเมืองสำคัญเหล่านี้มีชื่อเมืองอโยธยาอันเป็นที่บุคคลนั้นได้เข้าไปเฝ้า “บุรีบรมราชอโยธยาศรีรามเทพนคร” ซึ่งก็คงหมายถึงพระมหากษัตริย์ผู้ครองเมืองอยุธยานั่นเอง

บุคคลที่กล่าวถึงในศิลาจารึกนี้ ตามความเห็นของนักอ่านจารึกและนักวิชาการปัจจุบันนี้ หลายๆ ท่านเชื่อว่าคือ สมเด็จพระมหาเถรศรีศรัทธาราชจุฬามุนี เพราะข้อความและเรื่องราวดูสอดคล้องกับจารึกวัดศรีชุมมาก และศิลาจารึกหลักที่พบที่เขากบนี้ เป็นหลักเดียวในบรรดาจารึกต่างๆ ของสุโขทัยที่กล่าวถึงชื่อเมืองอยุธยา

ปัญหาก็คือว่า ถ้าบุคคลผู้นี้คือสมเด็จพระมหาเถรศรีศรัทธาราชจุฬามุนีจริง พระองค์ก็ต้องทรงเกี่ยวกันไม่มากก็น้อยกับทางกษัตริย์แห่งอยุธยา ซึ่งในช่วงระยะเวลานั้นอาจจะเป็นสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 หรือรัชกาลก่อนหน้านี้ก็ได้

การที่ฝ่ายราชวงศ์ผาเมือง มีความสัมพันธ์กับทางลพบุรีและอยุธยาตามหลักฐานจากจารึกและตำนานตามที่กล่าวมาแล้วนี้ สามารถนำไปเปรียบเทียบกับจารึกหลักที่ 1 ในตอนท้ายๆ ที่กล่าวถึงขอบเขตความสัมพันธ์ของแคว้นสุโขทัยในสมัยพ่อขุนรามคำแหง กับเมืองต่างๆ ที่ไม่ปรากฏชื่อเมืองในเขตแคว้นอยุธยาเลย แต่พบว่าสัมพันธ์กับบ้านเมืองทางซีกตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา เช่น เมืองแพรกศรีราชา สุพรรณภูมิ เพชรบุรี ราชบุรี ไปจนถึงนครศรีธรรมราช

ที่มา: ศิลปวัฒนธรรมฉบับพิเศษ วรรณกรรมการเมือง เรื่อง “อานุภาพพ่อขุนอุปถัมภ์” ศึกศิลาจากรึก ที่พ่อขุนรามคำแหงไม่ได้แต่งยุคสุโขทัยบทความตอน “พ่อขุนรามคำแหงไม่ได้ทำศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง แต่ทำขึ้นสมัย ‘ลิไทย’ ด้วยเหตุผลทางการเมือง” โดย ศรีศักร วัลลิโภดม (คัดและปรับปรุงย่อหน้าใหม่จากผลการวิจัยเรื่อง เมืองโบราณในอาณาจักรสุโขทัย เสนอต่อสถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ. 2530 พิมพ์เป็นเล่มครั้งแรก พ.ศ. 2532)

เผยแพร่ครั้งแรกในระบบออนไลน์ เมื่อ 17 มกราคม พ.ศ.2561

อริยสัจ 4 และมรรคแปด

ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ห่างไกลจากกิเลสตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาค ทรงตรัส...