คำสอน หลวงปู่บุดดา ถาวโร ....
..........ทานก็ถึงนิพพานได้
ธรรมทาน อภัยทาน เรียกว่าทานภายใน
ทานภายในไม่มีข้าศึกศัตรู ไม่มีกาลสมัยเป็นอกาลิโก
เขาไม่สอนอย่างนี้ กลัวจะได้เร็ว
มัวแต่สอนภายนอก ได้ก็ได้ช้า มีอันตราย
เพราะจะหลงจะลืม
จิตมีทาน ศีล ภาวนา ไปได้เร็ว
แต่จะเอาแค่ทาน ศีล ภาวนา ภายนอกไปไม่ได้เร็ว
ทานภายในก็อภัยทานและธรรมทาน
ทาน ศีล ภาวนา รักษากาย รักษาจิต เป็นปกติแล้ว ไปได้เร็ว
..........คนทำทานมา ๒๐ ปี ฟังเทศน์มา ๒๐ ปี ภาวนามา ๒๐ ปี
ทำไมถึงไม่หายหลง
เพราะมันไม่ถึงจิต
แค่ถึงกายมันเนิ่นช้า
คนเดินทางอ้อมไม่ถึงจิต เพราะติดวัตถุเป็นใหญ่
การกล่าวธรรมทานเพียงแต่กล่าวถึง ทาน ศีล ภาวนา
ก็เป็นธรรมทาน
อภัยทานอยู่ที่จิต
จะมัวให้กายทำโน่นทำนี่อยู่ทำไม
เสียเวลา
ธรรมทาน อภัยทาน เป็นทานภายในที่สูงสุด
เหนือทานภายนอก
ถ้าเราเอากำไรในทาน ศีล ภาวนาภายนอก
ก็ได้แค่โลกีย์
รู้จิตของตนอย่าไปรู้จิตของคนอื่น
ภายในมันเกิดดับของมันเอง
ไม่มีกิเลส ไม่มีทุกข์ ไม่มีโศก
เมื่อกิเลสไม่มี ขันธ์ของกิเลสไม่มี ธาตุของกิเลสไม่มี
เรียกว่าเป็นอมตธาตุ
มากับกุศล อยู่กับกุศล ก็ไปกับกุศล เรียกว่าไปโลกีย์
พ้นทั้งกุศลกรรมและอกุศลกรรม ไปโลกุตตระ
หมดหลงก็หมดเกิดดับ
..........มีบ้านก็มีจิ้งจก ตุ๊กแก
คนมีศีลก็มีคนอาศัย
ศีลก็มีกับใครหอมหวล
ไปตั้งแต่มนุษยโลก เทวโลก พรหมโลก
ทำจิตให้ขาวด้วยกุศล กรรมดำเข้าไม่ได้
สังโยชน์หมด คือดับไปสิ้นไปแห่งอาสวะ นั้นแหละโลกุตตระ
เรือคือร่างกาย เจ้าของคือจิต
บรรทุกอริยทรัพย์ คือ ทาน ศีล ภาวนา ไปด้วย
ปัญญาเป็นทรัพย์ภายใน รู้จักใช้ก็เป็นผู้มีปัญญา
ถ้าจิตมีทาน ศีล ภาวนา
จะนั่งนอนยืนเดินอย่างไรก็ได้
การให้ทาน ได้จิตเป็นกุศล แต่ก็แค่กาลทาน
สู้ธรรมทาน อภัยทาน ทานภายในไม่ได้
พระนครกายมีประตู ๙ ช่อง
ต้องมีสติปัญญารักษากาย
อย่าให้ขโมยเข้ามาได้
ถ้ามาทางตาก็ ๖ ช่องเหมือนกับภายนอก
เหล่านี้เรียกทางเดินของธรรมะ
ทำให้เราก่อได้ทั้งความดี ความชั่ว
เมื่อภายในเต็ม ๖ ช่อง ภายนอกเต็ม ๖ ช่อง
มีแต่กุศลธรรม ก็ไม่มีใครก่อการร้ายได้
กุศลรักษาจิต อกุศลก็จะก่อการร้ายไม่ได้
อายตนะภายนอก อายตนะภายใน
ถ้าปล่อยให้เข้ามา พระยาจิตราชก็แย่เท่านั้น
เราเป็นอิสระเสีย มีพระนครกาย
เมืองไหนมีโลภะ โทสะ โมหะ เราไม่คบค้า
..........บ้านใคร ใครอยู่
อู่ใคร ใครนอน
ทำไมจะต้องมาเรียนภายนอก
เรียนภายในซิจะได้จบเร็วๆ
เหมือนเรียนหนังสือ
เริ่มแต่อนุบาล ชั้นประถม มัธยม และชั้นปริญญา
เรียนภายในนี่ จบปริญญาเอกเลย
จบในเดี๋ยวนี้แหละ
คนตายคือซากผี ผีกิเลสนะไปเกิดใหม่แล้ว
กายภายในมันไม่เคยทำกุศลและอกุศลเลย
กายภายในก็มีขันธ์ ๕
กายภายนอกคือธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ
ทั้งกายภายนอกกายภายใน อาศัยซึ่งกันและกัน
และยังกุศลและอกุศลมาอาศัยอยู่ด้วย
ให้รู้ว่า ธรรมภายนอก ธรรมภายใน
ทุกข์ เวทนา สัญญา สังขาร ทั้งภายในภายนอก
เกิดดับทั้งสิ้น
ทำปกติของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ คืออธิปัญญา
ตรัสรู้ทุกข์ สมุทัย นิโรธ พ้นจากอวิชชา ตัณหา ทั้งปวง
ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ พ้นจากกิเลสทั้งปวง
ให้อยู่เหนือนามรูป
หมดกรรมดำกรรมขาว จะพ้นกิเลสพ้นตาย
กายนอกกายในทำงานร่วมกัน
กายในไม่มีกุศลและอกุศล
จิตไม่เกิดไม่ดับเรียกว่าจิตปรมัตถ์
รักษา ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ให้หมดทุกข์ทั้งอดีต ปัจจุบันและอนาคต
ก็จะได้ธรรมะโลกุตตระ พ้นจากธรรมะโลกีย์
..........ถ้าจิตวิมุตติจากอกุศลกรรมแล้ว
จะเห็น พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ
นั่นแหละภาวะพ้นเกิดพ้นตาย
สร้างเมืองตัวเอง บำรุงด้วยกุศล ด้วยธรรม
จิตถ้าได้ดื่มอารมณ์คือกามารมณ์ รูปารมณ์ ก็เป็นอกุศล
ถ้าจิตมีทาน มีศีล ให้อภัยไม่ก่อเวรแก่สัตว์ทั้งภายนอกภายใน
เท่ากับให้ชีวิตเป็นทาน เป็นธรรมทาน (ภายใน)
ทุกข์เพราะเกิดดับ
มันมีอยู่แล้ว
มาเจอทุกขสัจจะ
คือ ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ มาเพิ่ม ยิ่งทุกข์ใหญ่
คนเราหมดความหลง
ก็หมดเกิด-ดับ พ้นภาวะเกิด-ดับ ก็ถึงนิพพาน
คนเรายึดถือแม้กระทั่งของเสียที่ถ่ายออกแล้ว ว่าเป็นของตัว
นั่นแหละความหลง
ต้องรู้ว่าทุกข์ แต่ไม่ยึดถือ รู้ว่าสุข แต่ไม่ยึดถือ
เรียนต้องเรียนข้างใน
คือทำความรู้กับปัจจุบัน
จิตขณะนี้เป็นอย่างไร เป็นสมาธิ เป็นศีล เป็นปัญญา
นี้แหละโลกุตตระ
คือ มีศีลเป็นโลกุตตระ สมาธิโลกุตตระ ปัญญาโลกุตตระ
มาอยู่วัด
วัดไม่ใช่ของเรา
ของเรามีเพียงหนังห่อร่างอยู่เท่านั้น
นั่นแหละของเรา
คนนอนหลับไม่ยึด ไม่ถือ ต้องจ้างยามมาเฝ้าสมบัติเสียอีก
พอตื่นขึ้นเท่านั้นแหละ
นั่นก็ของเรานี่ก็ของเรา
ลมหายใจเข้าลมหายใจออก เป็นธรรมดา
นั่นแหละความเกิด-ดับ
แต่ถ้าเกิดเป็นหวัด หวัดคือกิเลส
เราต้องรักษาอาการหวัดให้หาย
เหลือแต่ภาวะหายใจธรรมดา (คือ เกิด-ดับ)
แล้วทำให้พ้นภาวะเกิด-ดับ
นั้นแหละพ้นทุกข์
เรียนธรรมะต้องเรียนเอง สอนตัวเอง
อยากรู้ก็ถามตัวเองเรียนเอาเองซิ
สอนตัวเองมันมีมาแต่อดีตชาติแล้ว
สติปัญญาญานวิชา มันมีมานานแล้ว
..........คนมันจะเป็นครูเขาได้ต้องได้ก่อน
ต้องจบบริบูรณ์ก่อน
ได้ไปก็เป็นปริญญาของพระพุทธเจ้า
หัดภาวนายังง่ายกว่าหัดแสดงธรรม
หัดภาวนา ๓๒ ปี ก็รู้เรื่อง หัดแสดงธรรมนี้ ๕๓ ปีแล้ว
ไม่ให้ผิดธรรมภายนอกธรรมภายในยากมาก
ศาสนาพุทธสอนเหตุผลไปถึงนิพพาน
คนใดมีบารมีมาแต่ ๗ ขวบก็เลิกได้ ถ้าช้าก็ ๘๐ ปี
เกินนั้นพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ โปรดไม่ได้แล้ว
จะออกจากความหลงความลืมก็ออกเสีย
ให้รู้ธรรมเห็นธรรมก่อนตาย
ให้รู้เดี๋ยวนี้ ปัจจุบันนี้เป็นอกาลิโก
ข้างหน้าจะหวังมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ นิพพานสมบัติน่ะ
มันไม่แน่
ตายเสียก่อน ทุกอย่างก็จบ ดิน น้ำ ลม ไฟ คืนสภาพเดิม
..........ที่พูดนี่นะ ไม่ได้พูดทั่วไปนะ จะพูดต้องรู้กาลเทศะ
ถ้าเขาไม่ต้องการธรรม เราไปพูดก็ผิดกาลเทศะ
ชีวิตอยู่ได้เพราะสันตติสืบเนื่อง ดิน น้ำ ลม ไฟ พอดี...ก็มีชีวิตอยู่
ทาน ศีล ภาวนา ตัวตรัสรู้
ดูพระนครกายกับพระยาจิตราชของตน
อย่าไปดูอื่น (คือกายกับจิตของคนอื่น)
วันพระมีอยู่ในตัวของเราทุกวัน
ตัวของเราอยู่กับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
อย่าให้เลยไปจะดีแตก
คนยังไม่ถึงโลกุตตรภูมิมันยาก
จะเห็นกามภพ รูปภพ อรูปภพดี
ถ้าอาศัยมีปัญญาดีก็ดี
สำคัญจะไปโลภเข้า
ชีวิตของคนเหมือนขึ้นสะพาน
ต้องข้ามโค้งไปอีกทาง
จะถึงโลกุตตรภูมิ
ถ้าไม่สละโลกีย์ สละอดีต
จะไม่มีวันถึงนิพพาน
นิพพานไม่มีการไปการมา
นิพพานตามหลักปฏิเวธไม่ต้องหาแผนที่ไป ถึงเวลาไปเอง
อย่าติดหน้า หลัง ซ้าย ขวา เดินธรรมะต้องสายกลางเดินให้พอดี
พอดีของกาย ของจิต ต้องเดินสายกลาง
อย่าให้ตึง อย่าให้หย่อน
ไม่ให้ข้างหน้าข้างหลัง
ต้องรู้มัชฌิมาของตัวก่อน
ต้องสอนตัวเองก่อน
วัตถุภายนอกมีแต่มากน้อย
ทาน ศีล ภาวนา ภายในมีแต่ความพอดี
รู้อดีต ปัจจุบัน อนาคต ของตัวเราเอง
ไม่ใช่ไปเรียนว่าพระพุทธเจ้าเป็นใคร
ไปนิพพานอย่างไร
นั่นเขาเรียกว่านิพพานในอนาคต
รู้ตัวเองดีกว่า ให้รู้ว่ากายกับจิตมันเนื่องกันอย่างไร
คนขับรถต้องนำรถไป
ไม่ใช่ให้รถมันพาไป
ถ้าไม่รู้ทางก็เข้าป่าเข้ารก
..........ทาน ศีล ภาวนา เป็นอกาลิโก
ทำได้ทุกเมื่อ ทุกลมหายใจเข้าออก
ทุกข์เป็นสัจจะของพระอริยเจ้า
เป็นสัจจะของโลกุตตรธรรม
ที่สอนว่าทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
ดูแล้ว เห็นแล้ว ไปไม่ถึง เป็นเสกขธรรม
รู้แล้ว ถึงแล้ว (เป็น) อเสกขธรรม
เรียนแล้วไม่เห็น นานเท่าไรก็ไม่ได้
เพราะไม่เห็นหน้าตาของ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
สวดมนต์ ถ้าไม่รู้แก่นของทาน ศีล ภาวนา ก็ไม่รู้ธรรมะ
จิตที่ยังไปโน่นมานี่
ที่จริงมันไม่ได้ไปหรอก
มันอัดฟิล์มมาเท่านั้น นึกภาพอะไรก็อัดมา
คืออัดไว้กับธรรมารมณ์
..........เรียนธรรมะไม่ต้องเสียค่าเทอม ไม่เสียอะไรเลยมีแต่ได้
คนฉลาดหรือโง่เล่า
ได้พบพระพุทธเจ้าเมื่อไร ก็ได้ธรรมสมบัติเป็นอกาลิโก
ช้าหรือเร็วให้ดูขณะจิตของเรา
คนใส่บาตรอยู่ ๒๐ ปี
สมาทานศีล ๕ ภาวนาพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ
ก็เป็นเพียงกาลทาน กาลศีล กาลภาวนา เนิ่นช้ามาก
ได้แต่กันบาป แต่ไม่มีดวงตา ไม่เห็นตัวเอง
ทำเหตุแล้วไม่เห็นผล
ไม่เห็นหน้าตาของพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ
มันต้องอาสวักขยญาน
ใครเรียนมาอย่างนี้ก็ล้าหลังเป็นกรรมของตัวเอง
คนมัวเมาแต่ภายนอก ไม่ค่อยเอาใจใส่ธรรมทาน อภัยทาน
ไม่เห็นหน้าตาของจิตก็ลำบาก
เลือกเอาซิ
จะอยู่มนุษยสมบัติ สวรรคสมบัติ หรือนิพพานสมบัติ
ชอบไปเสียค่าเทอมมากๆ ก็เอาซิ
..........ฟังแล้วง่วงไหม ?
ไม่ง่วง ... อยู่กับอะไรล่ะ
อยู่กับฟังเทศน์ ไม่ใช่ฟังแล้วเทนะ
ตัวรู้คือวิญญาณ ถ้าวิญญาณทำงานก็ถึงจิต
คนไหนติดรูปก็ไม่เห็นมโนวิญญาณ
สัมมาทิฏฐิ อยู่ที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
พูดขนาดนี้
ไม่รู้ก็เป็นบัวอยู่ใต้น้ำ
ถ้ารู้บ้างก็เป็นบัวพ้นน้ำแล้ว
..........โรคกายนั้นมันรักษาไม่หายหรอก
โรคจิตรักษาหายได้ หมดอาสวะก็หมดโรค
โรคจิตนี้รักษาได้ตั้งแต่อายุ ๗ ขวบ จนถึง ๘๐ ขวบ
ออกจากโลกีย์ก็ถึงโลกุตตระ
ยังไม่ออกมันช้า ออกได้แล้วก็เร็ว
ถึงพระโสดาแล้วจึงจะเข้าทาง
ถึงสุข ก็ถึงศีล อธิศีล ก็อธิจิต
ศีลเกิดกับจิต วิชชาเกิดกับจิต
อ่านธรรมะมา ๒,๐๐๐ ปี
ไม่ถึงจิต ก็ไม่เห็นจิต
ไม่กินอาหารก็ไม่มีขี้ ไม่มีเยี่ยว
เสริมสวยกายเท่าไรก็ไม่หาย
มันชุ่มแฉะอยู่กับ ฟัน ขน ผม เล็บ หนัง
อวิชชาเกิดกับจิต มันพูดยาก
ต้องวางหาบเสียก่อนถึงจะเร็ว
(หาบคือ อวิชชา ซึ่งได้แก่ ตัณหา อุปาทาน กิเลส กรรม วิบาก)
วางทุกขสัจจ์ สมุทัยสัจจ์ ไปนิพพาน
อย่าเสียดายอวิชชาเลย มันเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์
อย่าไปถือว่า เป็นตัวเป็นตน เป็นสัตว์ มันทุกข์
เรียนอะไรเรียนได้
เรียนวางโลภมูล ๘ โมหมูล ๒ โทสมูล ๒ มันยาก
(โลภะ ตายแล้วไปเป็นเปรตโทสะ ตกนรกทุกขุม โมหะ สัตว์เดียรฉานทั้งบนดิน ใต้น้ำ)
เรียกว่าอวิชชาพามืด
ขับรถถ้าจับพวงมาลัยไม่ดีก็ไม่ดี
จับจิตไม่ดีก็ไม่ดี
ไม่รู้จิตทุกทางก็อวิชชาพาไป
อย่าเอาจิตมาไว้ที่มือ
ต้องเอาความรู้มาไว้ที่จิต
หมดอวิชชาก็หมดโทษ มีแต่ธรรมะนำไป
สัตว์ที่เกิด ตาย ก็เพราะหาบทุกข์ สมุทัยไปด้วย
..........สอนธรรมะสอนง่าย สอนสัตว์สอนยาก
มันเรียนได้แต่ตามหลักสูตร
เรียนธรรมะไม่มีหลักสูตร
พ้นเกิด-ดับก็ถึงธรรมะ
จิตพ้นอวิชชาไม่มีใครติดไม่มีใครข้องเลย
อวิชชาเหมือนวงกลมตั้งซ้อนๆๆๆกัน ไม่รู้จบ
อยู่กับสัตว์ไม่ไหวหรอก
ต้องอยู่กับธรรมะ สังขตะ อสังขตะ
เหนือนามเหนือรูปเสียก็พ้นเกิด-ดับ
เรียนมาแต่อดีตชาติ
ร้อยล้าน พันล้านชาติ ก็ไม่พ้นอวิชชา
ตรัสรู้ทันทีก็จะพ้นอวิชชา
พ้นแล้วก็ง่าย ยังไม่พ้นก็ยาก
เพราะเกิดบ่อย ตายบ่อย (ทุกลมหายใจ)
ค้นพระไตรปิฎกพ้นยาก
จิตกับอวิชชามันอยู่ด้วยกัน
ค้นที่ตัวนี้ดีกว่าเห็นอวิชชา เห็นจิตแล้วก็ง่าย
ไม่ถึงชั่วโมงก็พ้นง่าย
เรียนเท่าไรไม่พ้น
ก็เกิด-ดับอยู่นั่นไม่รู้จักหมดสักที
เรียนจิตใจของเรา วิชชามันมาทางจิต
อย่าเรียนภายนอกคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
มันยุ่ง นั่นแหละคนบ้า
เรียนโสดาท่านเรียนจิตใจ
ร่างกายเราหมดไปเพราะหมดอายุ
มันหมดไปทุกๆ ขณะจิต เกิดเดี๋ยวนั้น แก่เดี๋ยวนั้น
จิตมันพ้นในปัจจุบัน พ้นเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วย
แก้ทางจิตแก้ได้
แก้ไม่ให้เกิด แก้เจ็บ ตาย
แก้ข้างนอก (คือ ฟัน ขน ผม เล็บ หนัง)
แก้ไม่ไหวหรอก
พ้นของสัตว์ พ้นจากสัตว์ ก็อยู่กับธรรมะ
..........อดีตผ่านมาแล้วเราไม่ได้
เพราะไม่มีวิชชาไปรู้ไปเห็น
พระพุทธเจ้ามีเพียงไร อาณาจักรก็มีเพียงนั้น
ต้องคู่กันไป ไม่ถึงก็ไม่ได้
ไม่มีคู่เทียบจะรู้ว่าอาณาจักรเวียนไปยังไง
พุทธจักรเวียนไปยังไง
รู้ที่จิต เรียน รูป รส กลิ่น เสียง
เรียนทุกวันก็ไม่หายหลง มันเลยธรรมะไปหมด
ภูเขามันจมน้ำอยู่ เมื่อน้ำแห้งภูเขาก็ผุดขึ้น
เรียนไปเรียนมาอยู่งั้นเอง
นอกจากไปพบพระพุทธเจ้า
พระปัจเจกพุทธเจ้า
พระสาวก
นั่นแหละจึงจะตรัสรู้
พ้นเกิด พ้นตาย
คำสอน หลวงปู่บุดดา ถาวโร ....
วัดกลางชูศรี อ.บางระจัน จ.สิงห์บุรี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น