ข้าพเจ้ามีอาชีพค้าขายอยู่ในตลาดแห่งหนึ่ง ครอบครัวของข้าพเจ้าเป็นครอบครัวเล็กๆ มีสมาชิก คือ พ่อ แม่ และข้าพเจ้าเท่านั้น เราอยู่กันเพียง ๓ คน วันหนึ่งๆ เราจะยุ่งและสนใจอยู่แต่กับการค้าขาย ไม่ได้สนใจกับการทำบุญให้ทานแต่อย่างใด แม้พระภิกษุสงฆ์และสามเณรจะโคจร บิณฑบาตผ่านหน้าบ้านเป็นประจำทุกวัน พวกเราก็มิได้สนใจแต่อย่างใด ทั้งนี้เพราะครอบครัวของข้าพเจ้านับถือลัทธิศาสนาอื่น มิใช่นับถือศาสนาพุทธ เรามีการบริจาคทานบ้างเหมือนกัน คือบริจาคให้แก่คนขอทานที่มานั่งเกะกะอยู่หน้าร้าน แต่พวกเรามิได้บริจาคด้วยศรัทธา เราให้เขาด้วยความรำคาญมากกว่า ทั้งนี้เพื่อเป็นการขับพวกขอทานให้พ้นๆ ไป
อันที่จริง ข้าพเจ้านับถือลัทธิศาสนานั้นเป็นการนับถือตามบิดามารดา ข้าพเจ้ามิได้ศึกษาธรรมคำสั่งสอนของพระศาสดาพระองค์ใดข้าพเจ้าไม่รู้ด้วยว่า พระเจ้าคือใครและใครเป็นพระเจ้า ทำอะไร อยู่ที่ไหน มีความสำคัญเพียงใด แม้บิดามารดาของข้าพเจ้าก็ไม่เคยสั่งสอน เพียงแต่บอกว่า บ้านเรานับถือพระเจ้า ไม่ต้องไหว้พระ ก็เท่านั้นเอง เมื่อไปอยู่โรงเรียน นักเรียนคนอื่นๆ ประนมมือไหว้พระรัตนตรัย ข้าพเจ้าก็ได้แต่ยืนก้มหน้าตามที่คุณครูบอกไว้
ตอนเช้า ข้าพเจ้ายืนดูพระสงฆ์เที่ยวภิกขาจาร ยังเคยนึกในใจว่า นักบวชเหล่านี้เอาเปรียบสังคมจริงๆ เขาคงไม่มีสติปัญญาจะทำกิจการงานใดๆ จึงต้องมาบวชและเบียดเบียนผู้อื่น และมาเบียดเบียนทุกเช้าเสียด้วย คิดแล้วก็น่าแปลก ร่างกายก็ดี ดูกำยำล่ำสัน ผิวพรรณหน้าตาบุคลิกก็ไม่ใช่คนโง่หรือปัญญาอ่อนแต่อย่างใด ทำไมเขาจึงไม่ประกอบอาชีพให้เป็นหลักฐาน บางท่านบางองค์แก่จนหงำเหงอะ ลูกหลานเขาไม่กตัญญู รู้คุณหรืออย่างไร จึงต้องมาขอคนอื่นอยู่อย่างนี้ ความคิดอย่างนี้เกิดขึ้นเมื่อข้าพเจ้ามีอายุ ๑๓-๑๔ ปี นับว่าเป็นความคิดของวัยรุ่นที่มองสังคมอีกมุมหนึ่ง และเป็นความคิดของเด็กหนุ่มที่จบเพียงชั้นประถมปีที่ ๔ เท่านั้น
ยิ่งข้าพเจ้าเห็นคนข้างบ้านถือขันข้าวใส่บาตร ก่อนจะใส่บาตร เขายกขันข้าวขึ้นเหนือหัว ปากก็พึมพำท่องบ่นคาถาคล้ายกับจะอ้อนวอนอะไรสักอย่าง และเมื่อใส่บาตรเสร็จแล้วยังต้องยกมือไหว้อีก นึกไม่ออกว่าเขาทำอะไรอย่างนั้น เพราะธรรมดาของชาวโลก ผู้รับควรจะขอบคุณ ผู้ให้ แต่นี่ผู้ให้กลับต้องไหว้ผู้รับ มันไม่น่าเป็นไปได้ ขำดีเหมือนกัน ครั้นจะสอบถามเพื่อนบ้านใกล้เคียง ก็เกรงไปว่าเขาจะหาว่าเราโง่เขลา สู้เก็บไว้ในใจดีกว่า ไม่มีใครหัวเราะเยาะเราได้
ข้าพเจ้าไม่เคยไหว้พระเลยแม้แต่ครั้งเดียว บ้านของข้าพเจ้าก็ไม่เคยนิมนต์พระมาสวดคาถา แม้บ้านใกล้เคียงเขานิมนต์พระมาทำบุญ ถ้าเขามาบอก เราจะเอาเงินจำนวนหนึ่งใส่ซองส่งให้เขาไป โดยไม่คิดว่าเราทำบุญ แต่เราเพียงได้ช่วยเหลือคนที่รู้จักมักคุ้นกัน ข้าพเจ้าเคยไปวัดมาเหมือนกัน เพราะเพื่อนๆ ชวนไปเที่ยวงานวัด ยิ่งไปเห็นพระเทศน์เป็นทำนองแหล่ ฟังดูแล้ว ยิ่งรู้สึกว่าเหมือนนักร้องลูกทุ่ง ไม่ไวพจน์ ก็ชาย เมืองสิงห์ หรือเหมือนหลวงพี่พรภิรมย์ตอนไปบวช และอาจจะตลกคะนอง เฮฮามากกว่านั้นเสียอีก เลยนึกว่าพระพวกนี้น่าจะสึกไปเป็นนักร้องลูกทุ่งคงจะดีกว่า ดังกว่า
วันหนึ่งในฤดูหนาว ข้าพเจ้ารู้สึกปวดศีรษะ เพราะเป็นไข้หวัด ข้าพเจ้าจึงไปซื้อยาแก้หวัดมากิน หมอตี๋เพื่อนกันบอกว่า ให้กิน ๓ ชั่วโมง ต่อ ๑ ชุด (๔ เม็ด) ข้าพเจ้าก็ปฏิบัติตามคำสั่งของหมอตี๋อย่างเคร่งครัด โดยตั้งนาฬิกาไว้เลยทีเดียว
ข้าพเจ้าจำได้ว่า ข้าพเจ้าได้กินยาชุดสุดท้ายเมื่อเวลา ๒๔.๐๐ น. เมื่อกินยาเข้าไปแล้ว รู้สึกร้อนใน แน่นหน้าอก ข้าพเจ้าหายใจขัดๆ และเริ่มทุรนทุราย แล้วก็หลับผลอยไป ในขณะนั้น ข้าพเจ้ารู้สึกตัวว่าทุกสิ่ง ทุกอย่างในร่างกายมันปกติหมด ไม่เจ็บ ไม่ปวด ไม่ร้อน ไม่หนาว และยังรู้สึกแข็งแรง จิตใจก็ปลอดโปร่ง สมองแจ่มใส เรียกได้ว่าสบายที่สุดจริงๆ กายทิพย์ได้เคลื่อนจากร่างกายเดิม ซึ่งเป็นเปลือกนอกแล้ว
ข้าพเจ้าลุกขึ้นจากที่นอนเดินไปเปิดประตูหลังบ้าน เห็นรถไฟแล่นมาพอดี ข้าพเจ้าคิดว่าจะไปเยี่ยมคุณลุงที่จังหวัดลพบุรีสักหน่อย พอคิด ก็ปรากฏว่าข้าพเจ้าขึ้นไปอยู่บนรถไฟเสียแล้ว ข้าพเจ้าเลือกที่นั่งติดกับหน้าต่างด้านหนึ่ง หันหน้าไปทางหัวรถไฟ มองดูภายนอกมืดไปหมดเลย พนักงานตัดตั๋วเดินมามองดูข้าพเจ้าแวบหนึ่ง แล้วก็เดินเลยไป ไม่เห็นเขาถามเอาตั๋ว แปลกดีเหมือนกัน
พอรถไฟจอดสถานีบ้านหมี่ มีคนขึ้นคนลงจำนวนมากพอสมควร มีสตรีกลุ่มหนึ่ง รวม ๔ คน ขึ้นมาที่ข้าพเจ้านั่งอยู่ คนนำหน้าอ้วนตุ๊ต๊ะ น้ำหนักต้องเกิน ๖๐ กิโลแน่ๆ แกมาถึง แกบอกพวกว่า “นั่งตรงนี้แหละ ว่างดีจริงนะ” พอจบคำ แม่อ้วนก็เหวี่ยงก้นลงบนตักข้าพเจ้าอย่างหน้าตาเฉย ครั้งแรกข้าพเจ้าตกใจจะแหกปากร้องอยู่แล้ว แต่เมื่อยายอ้วนนั่งตักข้าพเจ้าไม่เห็นจะหนักหนาอะไร กลับเบาสบาย และยังได้กลิ่นหอมๆ จากเครื่องประทินผิวของแกเสียอีก บ๊ะ! ช่างโชคดีเสียเหลือเกินะ อยู่ดีๆ ก็มี ผู้หญิงมานั่งตัก พอรถไฟจอดสถานีลพบุรี ข้าพเจ้าดันยายอ้วนให้ลุกขึ้น แต่ก็รู้สึกว่ามันว่างเปล่า แล้วข้าพเจ้าก็ลอยลงจากรถไฟ ข้าพเจ้าหยุดเรียกรถสามล้อตั้งหลายคัน แต่สามล้อเหมือนไม่อยากได้เงิน มันก้มหน้าก้มตาปั่น ไม่ยักเหลียวมามอง ข้าพเจ้าจึงคิดว่า ท่าขุนนางแค่นี้ เดินไป ก็ได้ เหตุต้องไปท่าขุนนาง เพราะข้าพเจ้าต้องไปลงเรือไปเยี่ยมคุณลงที่งิ้วรายโน่น
เพียงไม่กี่อึดใจ ข้าพเจ้าก็ไปยืนอยู่ที่ท่าขุนนาง มองหาเรือก็ไม่มี เห็นแต่เรือหัวตัดท้ายตัดเหมือนโลงผี นึกในใจว่า เรืออย่างนี้ เราไม่ไป ดีกว่า พอดีเหลียวไปเห็นตาแป๊ะแก่คนหนึ่งยืนแบกอะไรอยู่เหมือนแผ่นกระจก จึงเดินไปดูใกล้ๆ เป็นตาแป๊ะบ้านใกล้ๆ กับข้าพเจ้า แต่แกตาย ไปตั้งปีกว่าแล้ว และสิ่งที่แกแบกอยู่นั้นคือดินเหนียวที่อัดเป็นแท่ง ขนาดกว้าง ๒ ศอก ยาวไม่เกิน ๒ วา สังเกตดูท่าทางของแกเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าเอาการอยู่ ข้าพเจ้าตรงเข้าไปถามทันที
“อาแป๊ะ ลื้อตายไปตั้งนานแล้ว ทำไมจึงมาแบกแผ่นดินอยู่ที่นี่เล่า”
“อาหลู ลื้อไม่รู้อาราย” ตาแป๊ะพูดภาษาไทยแต่สำเนียงจีน
“ตั้งแต่อั๊วตายมา อั๊วก็ต้องมาแบกแผ่นดินอยู่ที่นี่ จะปายไหนก็ปายไม่ได้”
“อ้าว ทำไมถึงทำอย่างนั้นเล่า ใครเขาบังคับตาแป๊ะให้มาทำอย่าง นี้นะ” ข้าพเจ้าอุทานด้วยความสงสัย
“ม่ายมีใครบังคับน่อ” อาแป๊ะเสียงกระเส่า “มันเป็นของมันเอง เวรกรรมว่ะ”
“อั๊วจะช่วยลื้อ” ข้าพเจ้ากล่าวด้วยความสงสาร
แต่เมื่อข้าพเจ้าออกแรงยกแผ่นดินแท่งนั้น มันไม่ยอมขยับเขยื้อนแต่อย่างใด มันหนักดุจดังเสาหินนั่นแหละ ข้าพเจ้าถอยหลังออกมา ตั้งใจจะโดดผลักให้เต็มกำลัง แต่พอข้าพเจ้าตั้งท่าจะโดดเข้าผลักแผ่นดินนั้นเสียงตวาดก็ดังขึ้น “เฮ้ย ไอ้หนู มันกงการอะไรของแกวะ” ข้าพเจ้าหันมาดูตามเสียง เห็นชายร่างใหญ่ตัวดำเป็นหมึก มือถือขวานโบราณมหึมาทีเดียว แต่ก่อนที่ข้าพเจ้าจะทำอะไร ชายคนนั้นก็สำทับมาอีกว่า
“ไอ้หนูเอ๋ย คนอย่างเอ็งช่วยตาแป๊ะไม่ได้หรอก บุญเจ้าไม่ได้ทำ ไว้ จะมีปัญญาช่วยได้อย่างไร เอ็งมาเสียชาติเกิดว่ะ”
“ตาแป๊ะแกไปทำอะไรใครเขาล่ะ จึงต้องมาทนทุกข์ทรมานอย่างนี้” ข้าพเจ้าถามอย่างสงสัย
“ให้ตาแป๊ะเล่าให้ฟังดีกว่า” ชายนั้นหันมากำชับตาแป๊ะว่า “เล่าไป เล่าให้เขาฟัง ความจริงมีเท่าไหร่ เล่าให้เขาฟังให้หมด ถ้าโกหกละก็ จะต้องถูกลงโทษเพิ่มอีก ๒ เท่านะ”
ต่อจากนี้เป็นคำบอกเล่าของตาแป๊ะ แกเล่าว่า แกมีที่ดินอยู่แปลงหนึ่ง ประมาณ ๑๐ ไร่ อาณาเขตด้านหนึ่งติดกับที่ธรณีสงฆ์ของวัด แกพยายามบุกรุกที่ดินของวัดด้วยวิธีการขุดเขตขยายเข้าไปทีละจอบสองจอบ ได้ที่ดินลึกเข้าไปประมาณ ๒ ศอกเท่านั้น เมื่อแกตาย จึงต้องมา ทนทุกข์ยืนแบกแผ่นดินอยู่อย่างนี้ หนักก็หนัก เหนื่อยก็เหนื่อย แต่วางไม่ได้ ตอนท้ายแกสั่งว่า เมื่อข้าพเจ้ากลับไปยังบ้านแล้ว ให้บอกอาม่วย ลูกสาวแกให้จัดการยกที่ดินแปลงนั้นถวายวัดทั้งหมดเพื่อเป็นการไถ่บาป แกถึงจะพ้นเวร ข้าพเจ้ารับคำว่าจะจัดการให้ตามความประสงค์
“ไอ้หนู กลับบ้านได้แล้ว” ชายร่างใหญ่ร้องบอกข้าพเจ้า “ป่านนี้พ่อแม่เอ็งร้องไห้น้ำตาตกเป็นถังๆ แล้ว”
อันที่จริงข้าพเจ้ายังไม่อยากกลับ แต่ชายร่างใหญ่ไม่ยอม บอกว่า “ถ้าช้า ไม่ทันการ มา ข้าจะไปส่ง แต่ต่อไปนี้เอ็งจะต้องทำบุญให้ทานนะ”
พูดจบ ชายร่างใหญ่คว้าแขนของข้าพเจ้า พาหมุนวน ๓ รอบ แล้วเหวี่ยงขึ้นสู่อากาศ ข้าพเจ้าลอยละลิ่วมาตกลงกลางบ้านพอดี
พอได้สติ ได้ยินเสียงร้องไห้คร่ำครวญ ข้าพเจ้าจำได้ว่าเป็นเสียงมาจากมารดาของข้าพเจ้าอย่างแน่นอน ข้าพเจ้าค่อยๆ ลืมตาขึ้นดู เห็นบุคคลห้อมล้อมดูข้าพเจ้าเป็นจำนวนมาก ข้าพเจ้าผุดลุกขึ้นนั่ง คนเหล่านั้นแตกฮือทันที มีแต่มารดาของข้าพเจ้าเท่านั้นที่ผวาเข้ามากอด แล้วพร่ำรำพันว่า “ลูกแม่ฟื้นแล้ว ลูกแม่ฟื้นแล้ว ฟื้นแล้วจริงๆ ด้วย” ข้าพเจ้าทราบจากบิดามารดาว่าข้าพเจ้าสลบไปตั้ง ๑๘ ชั่วโมง ใครๆ ก็ว่าข้าพเจ้าต้องตายแน่นอน และเตรียมต่อโลงศพไว้แล้ว กำลังจะทำพิธีอาบน้ำศพอยู่ทีเดียว ข้าพเจ้าก็แปลกใจตัวเองเหมือนกัน เพราะร่างกายของข้าพเจ้า ไม่ได้อ่อนเพลียแต่อย่างใด เพียงแต่หิวนิดหน่อยเท่านั้น ข้าพเจ้าเริ่มกินข้าวทันที และมิได้เล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังเพราะเกรงว่าเขาจะหัวเราะเยาะเอา
เช้าของวันรุ่งขึ้น ข้าพเจ้ารีบไปพบเจ๊ม่วยลูกสาวตาแป๊ะทันที เริ่มเล่าเรื่องให้ฟัง เจ๊ม่วยฟังไปร้องไห้สงสารเตี่ยไปด้วย พอผมเล่าจบ เจ๊ม่วย ขอร้องให้ผมเป็นผู้ติดต่อประสานงานโอนที่ดินถวายวัด ในวันมอบที่ดินถวายวัด เจ๊ม่วยจัดพิธีใหญ่พอสมควร มีนายอำเภอเป็นประธาน มีทายกทายิกามากหน้าหลายตา แต่ที่ข้าพเจ้าซาบซึ้งที่สุดคือคำอนุโมทนาของท่านพระครูเจ้าอาวาส ท่านพระครูได้อนุโมทนาเป็นภาษาไทยอย่างชัดเจนว่า
“ห้วงน้ำที่เต็มย่อมยังสมุทรสาครให้บริบูรณ์ได้ฉันใด ทานที่ท่านอุทิศให้แล้วแต่โลกนี้ ย่อมสำเร็จประโยชน์แก่ผู้ที่ละโลกนี้ไปแล้วได้ฉันนั้น ขออิฏฐผลที่ท่านปรารถนาแล้ว ตั้งใจแล้ว จงสำเร็จโดยฉับพลัน ขอความดำริทั้งปวงจงเต็มที่ เหมือนพระจันทร์วันเพ็ญ เหมือนแก้วมณีอันสว่างไสวควรยินดี
ความจัญไรทั้งปวงจงบำราศไป โรคทั้งปวงของท่านจงหายอันตราย อย่ามีแก่ท่าน ท่านจงเป็นผู้มีความสุข มีอายุยืน ธรรม ๔ ประการ คือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ ย่อมเจริญแก่บุคคลผู้มีปกติกราบไหว้ มีปกติอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่เป็นนิตย์”
เมื่อท่านพระครูอนุโมทนาเป็นภาษาไทยแล้ว พระสงฆ์ก็อนุโมทนาเป็นภาษาบาลีอีกครั้ง นัยว่าให้เกิดความขลังยิ่งๆ ขึ้น หลังจากเจ๊ม่วยทำพิธีถวายที่ดินได้เพียงวันเดียว เจ๊ม่วยก็มาเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า เมื่อคืนนี้เตี่ยแกคือตาแป๊ะได้มาหา ตาแป๊ะแต่งตัวโก้หร่านแบบข้าราชการในสำนักแห่งกรุงจีน แกบอกว่าแกสบายแล้ว ขอให้ลูกๆ ทำบุญ อย่าทำบาปตายไปแล้วจะได้สบายในปรโลก
ข้าพเจ้าเริ่มมีความเชื่อว่าพระพุทธศาสนาช่วยคนได้แน่นอน ข้าพเจ้าเริ่มศึกษาพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ โดยอ่านจากหนังสือและไปสนทนากับท่านพระครูเจ้าอาวาสเป็นประจำ ข้าพเจ้าเริ่มทำบุญ ใส่บาตร ซองผ้าป่า-กฐิน ไม่เคยขัดข้อง แม้บิดามารดาจะห้ามปรามข้าพเจ้าก็ไม่เชื่อ พยายามยกเหตุผลให้ท่านฟังเพื่อชักนำให้นับถือศาสนา ที่ถูกต้อง
ปัจจุบันข้าพเจ้าบวชเป็นสามเณรและศึกษาปริยัติธรรมคือนักธรรม และบาลี พร้อมทั้งปฏิบัติธรรมด้วย แม้บิดามารดาของข้าพเจ้าก็เข้าวัดทำบุญและฟังธรรม บริจาคสิ่งของเป็นพุทธบูชาอยู่เสมอทั้งนี้เพราะ เราเชื่อพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่ว ได้ชั่ว”
ที่มา www.palungdham.com
ขอบคุณเทปวีดีโอเพื่อเผยแพร่ธรรมะ
ขอบคุณเทปวีดีโอเพื่อเผยแพร่ธรรมะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น