28 สิงหาคม 2561

จงรวมธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าไว้ที่จิต สำรวมอยู่ที่จิต



ถ้าท่านยังไม่อบรมจิตของท่านให้มีความรู้ มีความสะอาดแล้ว ท่านจะมีความสงสัยอยู่เรื่อยไป ดังนั้นท่านจงรวมธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าไว้ที่จิต สำรวมอยู่ที่จิต อะไรที่เกิดขึ้นมา ถ้าสงสัย ถ้ายังไม่รู้แจ้งแล้วอย่าไปทำ อย่าไปพูด อย่าไปละเมิดมัน

หลวงปู่ชา : เกล้ากระผมเป็นผู้ปฏิบัติใหม่ ไม่รู้จะปฏิบ้ัติอย่างไร มีความสงสัยมาก ยังไม่มีหลักในการปฏิบัติเลย
.
หลวงปู่มั่น : มันเป็นยังไง
.
หลวงปู่ชา : ผมหาทางปฏิบัติ ก็เลยเอาหนังสือวิสุทธิมรรคขึ้นมาอ่าน มีความรู้สึกว่า มันไปไม่ไหวเสียแล้ว เนื้อความในสีลานิทเทส สมาธินิทเทส ปัญญานิทเทสนั้น ดูเหมือนไม่ใช่วิสัยของมนุษญ์จะทำได้ ผมมองเห็นว่ามนุษย์ทั่วโลกนี้ มันจะทำตามไม่ได้ครับ มันยาก มันลำบาก มันเหลือวิสัยจริงๆ
.
หลวงปู่มั่น : ท่าน ของนี้มันมากก็จริงอยู่ ถ้าเราจะกำหนดทุกๆ สิกขาบทในสีลานิทเทสนั้นนะมันก็ลำบาก แต่ความจริงแล้ว
สีลานิทเทสก็คือสิ่งที่บรรบายออกมาจาก " ใจ "
ของคนเรานั่นเอง ถ้าหากว่าเราอบรมจิตของเราให้มีความละอาย มีความกลัวต่อความผิดทั้งหมด เราก็จะเป็นคนที่สำรวมสังวรระวัง เพราะมีความละอายและเกรงกลัวต่อความผิดเมื่อเป็นอย่างนั้น
ก็จะเป็นเหตุให้เราเป็นคนมักน้อย และสติก็จะกล้าขึ้น จะยืน จะเดิน นั่ง นอนอยู่ที่ไหน มันจะตั้งอกตั้งใจมีติเต็มเปี่ยมเสมอ ความระวัง มันก็เกิดขึ้นอะไรทั้งหมดที่ท่านศึกษาในหนังสือน่ะ มันขึ้นต่อจิตทั้งนั้น
ถ้าท่านยังไม่อบรมจิตของท่านให้มีความรู้ มีความสะอาดแล้ว ท่านจะมีความสงสัยอยู่เรื่อยไป ดังนั้นท่านจงรวมธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าไว้ที่จิต สำรวมอยู่ที่จิต อะไรที่เกิดขึ้นมา ถ้าสงสัย ถ้ายังไม่รู้แจ้งแล้วอย่าไปทำ อย่าไปพูด อย่าไปละเมิดมัน
.
คืนนั้นหลวงปู่ชานั่งฟังธรรมร่วมกับศิษย์ของหลวงปู่มั่น เช่น หลวงปู่ขาว หลวงปู่ฝั้น หลวงปู่มหาบัว หลวงปู่ผาง หลวงปู่แหวน หลวงปู่ตื้อ หลวงปู่หลอด หลวงปู่ศรี จนกระทั่งถึงเที่ยงคืน จิตใจเกิดความสงบ ระงับเป็นสมาธิ ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าจากการเดินทางได้อันตรธานไปสิ้น.
Cr.ธรรมชาติ ตามรอยพระอริยะ

ประวัติ​หลวงพ่อกวย​ วัดโฆสิตาราม​


ประวัติ​หลวงพ่อกวย​ วัดโฆสิตาราม​ ตอนที่๑
หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร เดิมชื่อเด็กชายกวย ปั้นสน เกิดวันที่ ๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๔๘ ปีมะเส็ง ณ หมู่บ้าน บ้านแค หมู่ ๙ ต.บางขุด อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท เป็นบุตรของคุณพ่อ ตุ้ย ปั้นสน บ้านเดิมอยู่วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง มารดาชื่อคุณแม่ต่วน เดชมา เป็นคนบ้าน แค ท่านทั้งสองมีบุตรและธิดาด้วยกัน ๕ คน
คนที่ ๑ ชื่อนายตุ๊ ปั้นสน คนที่ ๒ ชื่อนายคาด ปั้นสน คนที่ ๓ ชื่อนายชื้น ปั้นสน คนที่ ๔ ชื่อนางนาค ปั้นสน คนที่ ๕ พระกวย ชุตินฺธโร
ปัจจุบันพี่น้องของท่านและท่านได้มรณภาพหมดแล้ว
       เด็กชายกวย ปั้นสน เป็นบุตรคนสุดท้องของบิดามารดา ถือว่าเป็นบุตรคนเล็กที่ ก็เป็นที่รักรักใคร่ของบิดามารดา เมื่อโตขึ้นบิดา มารดาจึงได้นำมาฝากไว้กับ หลวงปู่ขวด ณ วัดบ้านแค เพื่อเรียนหนังสือ ในสมัยนั้นบ้านเมืองยังเป็นป่าเป็นดง จะหาโรงเรียน เรียนก็ยาก เพราะห่างไกลความเจริญ หลวงปู่ขวด ได้ไต่ถามถึงวัน เดือน ปีเกิดของเด็กชายกวย ตลอดจนลักษณะผิวพรรณ การ เดินและการพูดจา เด็กชายกวยมีวันเดือนปีเกิดของมหาบุรุษ แสดงว่าวันข้างหน้าจะได้ดีเป็นเจ้าคนนายคน ลักษณะสีผิว สีผิวขาว เหลืองแบบคนมีปัญญา สีผิวต่างจากบิดามารดา ริมฝีปากเล็กแสดงว่าเป็นคนพูดน้อย ประกายตากล้าแข็งเด็ดเดี่ยว แสดงว่าเป็น คนเด็ดเดี่ยวเด็ดขาด แต่เจ้าอารมณ์ การเดินก็แคล่วคล่องปราดเปรียว หลวงปู่ขวดได้พอใจและรับไว้เป็นศิษย์ ได้สอนหนังสือ ก.กา สระ ตัวสะกด การันต์ แล้วเรียนบวก, ลบ, คูณ, หาร จนคล่อง
         เด็กชายกวยยังได้อ่านหนังสือธรรมบท บทสวดมนต์ต่าง ๆ ของพระ เด็กชายกวยก็ท่องได้ทั้ง ๆ ที่อายุเพียง ๖-๗ ขวบเท่านั้น หลวงปู่ขวดจึงได้ให้เด็กชายกวยเรียนหนังสือขอม เรียนสูตร, สน นาม อีกมากมาย เด็กชายกวยก็เรียนได้ จำได้ หลวงปู่ขวดได้ทุ่มสติปัญญาในการสอนเด็กชายกวยจนเต็มกำลัง เพราะรู้ในชะตา ของเด็กชายกวยว่า วันข้างหน้าอาจจะได้บวชในพระศาสนา จะได้เป็นใหญ่เป็นโต ทั้ง ๆ ที่หลวงปู่ขวดชราภาพมากแล้ว ต่อมา หลวงปู่ขวดก็มรณภาพ บิดามารดาจึงได้นำเด็กชายกวยมาเรียนหนังสือขอมต่อกับอาจารย์ดำ วัดหัวเด่น
         ซึ่งใกล้ ๆ กับวัดบ้านแค เมื่อเรียนหนังสือขอมจนแตกฉานแล้ว บิดามารดาจึงได้พาเด็กชายกวยมาเรียนที่โรงเรียนวัดพร้าว ต.ดอนกำ อ.สรรคบุรี โดยเดิน ทางไปเรียนเพราะไม่ไกลนัก ได้สอบไล่ ชั้น ป.๑ และ ป.๒ เด็กชายกวยแทบจะไม่ได้ความรู้อะไรเพิ่มเติมเลย เพราะเด็กชายกวย ได้เรียนมากับหลวงปู่ขวดและอาจารย์ดำมาแล้ว แถมยังมีความรู้มากกว่ารุ่นเดียวกันมากนัก ภาษาขอมก็เขียนได้ อ่านได้แตกฉาน เด็กชายกวยจึงเบื่อที่จะเรียนในโรงเรียนอีก จึงได้ช่วยบิดามารดาประกอบอาชีพทำไร่ไถนา ระหว่างที่นายกวยทำไร่ไถนานี้ นาย กวยคิดถึงแต่หลวงปู่ขวด คิดถึงแต่วัด การทำไร่ทำนาหาไปใช้ไปไม่มีแก่นสาร หาประโยชน์อะไรไม่ได้ ช่วงนี้ตามคำบอกเล่าของ ผู้เฒ่าผู้แก่ บอกว่านายกวยไม่ได้ประพฤติเป็นคนเกเรเหมือนกับคนเมืองสรรคบุรีสมัยนั้น จากคำบอกเล่าชองหลวงพ่อกวยเอง
         เมื่อถามถึงชีวิตในวัยหนุ่ม หลวงพ่อกวย ท่านเล่าว่า ท่านเป็นคนซน คือซุกซน ชอบยิงกระสุน  (รูปร่างคล้ายธูน แต่ใช้ลูกดินยิง)  คือบ้านไหนตอนกลาง คืนไม่ยอมปิดประตูหน้าต่างให้ดี ท่านจะแกล้งเอาคันกระสุนยิง เพื่อเตือนให้เจ้าของบ้านปิดประตูหน้าต่างให้ดี ในวัยหนุ่มนั้น ท่านได้พูดกับบิดามารดาว่า ถ้าตัวเองได้บวชเมื่อไรจะบวชไม่สึก ซึ่งท่านเคยเล่าให้คุณย่าฉวย เทียนจัน คนหัวเด่นเป็นพี่คุณยาย ฉายคนที่ดูแลท่านก่อนมรณภาพ อายุย่าฉวนมากกว่าหลวงพ่อ ๓-๔ ปี ท่านได้เล่าถึงมูลเหตุของการบวชไม่สึกว่า ตอนสมัยท่านหนุ่ม ๆ ท่านมีคนรักอยู่เหมือนกัน ท่านเคยขึ้นกาคนรักของท่านในตอนกลางคืน โดยปีนหน้าต่างเข้าไปหา ท่านไม่ได้ พูดไว้ว่าขึ้นหาบ่อยหรือไม่ และไม่ได้บอกว่าคนรักของท่านชื่ออะไร คืนวันหนึ่งเดือนหงาย พระจันทร์เต็มดวง ท่านนัดกับคนรัก ของท่านว่าจะไปหา แต่เมื่อท่านไปแล้ว ปรากฏไม่กล้าเข้าไปหา เพราะแสงจันทร์สว่างมากกลัวว่าที่พ่อตาจะเห็น ท่านได้คอยจน กระทั้งเดือนตก คือดึกมากแล้ว ท่านได้ปีนขึ้นไปหาคนรักของท่านปรากฏว่าคนรักของท่าน คอยท่านจนหลับไป ท่านได้เข้าไปดู คนรักของท่านนอนหลับอยู่ ผมผ้ายุ่งเหยิงนอนอ้าปากน้ำลายไหล ผ้าผ่อนเปิดคล้ายคนตาย คล้ายซากศพ หาความงามไม่ได้เลย ท่านได้ถอยหลังออกมาแล้วปีนหน้าต่างกลับ และท่านไม่ได้ไปหาคนรักของท่านอีกเลย และไม่มีคนรักอีก ความตอนนี้คล้ายคลึงกับ
         เรื่องของพระยศะในพุทธกาล แสดงว่าหลวงพ่อกวยไม่ยินดีในกามคุณตั่งแต่ก่อนบวช เมื่อท่านอายุครบบวช บิดามารดาท่านจึงได้ จัดการอุปสมบทให้ แต่นายกวยได้พูดกับบิดามารดาว่า ถ้าจะบวชให้ตนก็ขอให้บวชกันที่วัดไม่ให้จัดพิธีใหญ่โต ไม่ต้องมีการแห่แหน ให้เปลืองเงินเปลืองทอง โดยท่านให้เหตุผลของครูบาอาจารย์คือหลวงปู่ขวดและอาจารย์ดำว่า "พระเทศน์ก็ต้องรู้จักเวลา ผู้ศรัทธาก็ต้องรู้จักกำลัง " บิดามารดาจึงได้พานายกวยไปหาอุปัชฌาย์ คือ พระชัยนาทมุนี จัดการโกนหัวบวชให้ มีหลวงพ่อปา เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์หริ่งเป็นอนุสาวนาจารย์ บวชเมื่อวันที่ ๕ เดือนกรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๖๗ เวลา ๑๕ นาฬิกา ๑๗ นาที อายุ ๒๐ ปี ณ วัดโบสถ์ ต.โพธิ์งาม อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท มีฉายาว่า ชุตินฺธโร แปลว่า "โลกนี้มีแต่ความวุ่นวายของโลก หนักไปด้วยกิเลส ตัณหาคือ โลภ โกรธ หลง ทั่งสิ้น ถ้าท่านผู้ใดตัดกิเลส ตัณหาได้ก็จะถึงซึ่งฝั่งพระนิพพาน"
         เมื่อบรรพชาอุปสม บทแล้วก็กลับมาจำพรรษาอยู่วัดบ้านแค ตอนนั่นหลวงปู่มาเป็นเจ้าอาวาสอยู่ พระกวย ชุตินฺธโร จึงหัดเทศน์เวสสันดรชาดก กันกุมาร, ทานกัณฑ์ ในแถบนั้นสมัยนั้นไม่มีใครสู้ท่านได้เลย ท่านเทศน์แหล่หญิงหม้ายกล่าวถึงพระนางมัทรี และเทศน์แหล่ชาย หม้ายกล่าวถึงพระเวชสันดรต้องไปอยู่ป่าหิมพานต์ ถ้าไม่มีพระนางมัทรีตามเสด็จไปด้วย ก็จะเป็นชายหม้าย ส่านพระนางมัทรี ก็จะเป็นหญิงหม้าย ท่านเทศน์แหล่ถึงการเป็นหญิงหม้ายชายหม้าย มีแต่คนนินทาว่าร้าย คงจะไม่ดีสามีถึงได้ทิ้ง คนแต่งตัวคน เขา ก็ว่าคงอยากจะมีผัวจนตัวสั่น ครั้นไม่แต่งตัว คนเขาก็ว่ารูปร่างขี้ริ้วขี้เหร่ สามีถึงได้ทิ้ง ส่วนชายหม้ายนั้นก็น่าสงสาร มีแต่คน เขาว่าคงจะไม่ดีเมียถึงได้ทิ้ง คงจะเป็นคนเกเรเป็นนักเลงสุราหรือนักเลงการพนัน จะอยู่จะกิน ก็อด ๆ อยาก ๆ ลูกเต้าหรือก็ ขะมุกขะมอม บ้านก็ผุก็พัง เพราะขาดกำลังใจ ท่านแหล่ขนาดหญิงหม้าย ชายหม้าย ไม่อาจนั่งฟังบนศาลา ต้องหลบไปแอบฟัง ที่ ใต้ต้นไม้ บางคนนั่งน้ำตาไหลเป็นบาง บางคนร้องไห้โฮ ชื่อเสียงของท่านในการเทศน์ทานกัณฑ์นั้นโด่งดังมาก แต่กัณฑ์อื่น ๆ หลวงพ่อก็เทศน์ไม่ดีนัก
(อ่านต่อตอนที่๒)​

27 สิงหาคม 2561

พระธาตุพระมหากัสสป เสด็จมาช่วยดูแลเกี่ยวกับศพท่าน


# เรื่องสรีระสังขารหลวงพ่อฤาษีลิงดำ#
เรื่องศพของหลวงพ่อนี่ เมื่อสมัยที่ท่านมีชีวิตอยู่ ท่านเคยบอกกับเราว่า เมื่อข้าตายแล้วให้ดูศพข้า ใน 7 วัน 15 วัน ท่านบอกว่าท่านขอพรข้างบนไว้แล้ว แต่ไม่บอกว่าใคร
ทีนี้เมื่อท่านมรณะภาพแล้ว เราไม่ให้ฉีดฟอร์มาลีน ปล่อยให้ศพเป็นธรรมชาติอยู่อย่างนั้น แต่ศพของหลวงพ่อ 7 วันแล้วก็ยังไม่มีกลิ่นเลย ยังไม่มีน้ำเหลืองออกจากร่างกายเหมือนคนนอนหลับธรรมดา เราก็นึกว่า เออ... หลวงพ่อคงจะกลับ เพราะว่าปรกติพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณสามารถเข้านิโรธสมาบัติได้ 7 วัน หรือ 15 วัน โดยไม่ต้องฉันอาหารเลย เมื่อ 7 วันแล้วร่างกายของหลวงพ่อก็ยังงอแขนได้ ยกได้เป็นปรกติ เราก็นึกว่าหลวงพ่อคงจะกลับ พอ 7 วันแล้วไม่กลับแต่ร่างกายก็ยังปรกติอยู่ ก็คิดว่า เอ..พระอรหันต์ในสมยพุทธกาล ยังเข้านิโรธสมาบัติได้ถึง 15 วัน ก็ยังมั่นใจว่าหลวงพ่อจะกลับใน 15 วันอีก เมื่อเรามั่นใจอย่างนี้แล้ว เราก็ไปดูศพท่าน ศพท่านก็ยังปรกติอยู่ ไม่มีน้ำเหลืองออกใน 15 วันนี้ ผิดปรกติทุกอย่าง
หลัง 15 วันแล้วศพของท่านยุบลงหน่อย มีสีขาวขึ้น บางคนก็ว่าเชื้อรา หมอที่อยู่ที่วัดบอกไม่ใช่เชื้อรา เพราะบางครั้งก็หายไป แล้วก็ปรากฏขึ้นอีก แต่เดี๊ยวนี้ถึงแม้ศพหลวงพ่อยุบลง แต่ก็ยังมีกล้ามเนื้ออยู่ แต่มีท่อนแขนเท่านั้นที่แข็งขึ้น แต่คนก็ยังลุ้นว่าหลวงพ่อจะกลับ แต่ท่านคงไม่กลับแล้วละ
แต่มีส่วนที่ว่า จะเป็นมงคลกับเรา คือมีคนไปทำความสะอาดใบหน้า คือโกน แล้วเอาเซลผิวหนังเอาไปแจกกัน เดี๊ยวนี้ขาวเป็นแก้วแล้ว เขาเอาไปให้กันทางสุพรรณฯ
** เมื่อท่านมีชีวิตอยู่ ท่านบอกว่า พระมหากัสสปที่อยู่เชียงตุง จะมาช่วยดูแลเกี่ยวกับศพท่าน ท่านบอกว่าถ้าใครไปกราบศพท่านจะเป็นมงคล เหมือนกับที่ท่านมีชีวิตอยู่เพราะพระมหากัสสปจะมาช่วยเกี่ยวกับศพท่าน ยังหาเทปอันนี้ไม่เจอ แต่ท่านเคยพูดไว้ **
(จากคอลัมภ์ " จากคำบอกเล่า " ธัมมวิโมกข์ มีนาคม 2536)
ขอบคุณเจ้าของภาพและบทความ

21 สิงหาคม 2561

ปาฏิหาริย์.... ของขันธ์5 ร่างกายมนุษย์


ปาฏิหาริย์. ร่างกายมนุษย์
จากมุมมองของมนุษย์ต่างดาว
ข้อความบางส่วนของผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต ถ่ายทอดข้อความเป็นคลื่นเสียงไว้ ณ เขากะลา เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2542
โดย กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)
(ผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต) จิตมนุษย์นะ ...มันดูไม่ยาก พวกมีกิเลสนะ มันดูไม่ยาก ทำไมผู้ที่วาระจิตสูง สามารถมองผู้ที่มีวาระจิตต่ำได้ มองได้ง่าย #เพราะมองที่กิเลสนั่นแหละ กิเลสมันไม่ไปยังไงหรอก ในเมื่อเราเคยผ่านการมีกิเลส และผ่านการละ ๆ ๆ มาแล้ว เราจะรู้ #เราจะรู้ความอยากของมนุษย์ เราจะรู้มันต้องไปยังงี้ ยังงี้
ในส่วนที่เป็นหยาบๆ เจ้าก็พอจะมองออก เออ มันอยากยังงี้ มันคิดยังงี้ ง่ายๆ เจ้ามองออก
เมื่อแยบคายขึ้น เจ้าก็ต้องมีจิตที่สูงขึ้น ขยับขึ้น เจ้าจึงจะมองออก
เพราะฉะนั้น จึงเป็นกฎธรรมดา มิใช่ปาฏิหาริย์อะไรมากมาย
ถ้าเจ้าจะเอาปาฏิหาริย์กันมากๆ นะ เห็นได้เลย ปาฏิหาริย์สุดขีด
นั่นคือ #ร่างกายของเจ้านี่แหละ ปาฏิหาริย์สุดขีดแล้ว
อะไรกันเนี่ย มันทำงานกันยังไงเนี่ย มันยังไงเนี่ยะ
อย่างนี้มันบังคับกันได้ไหม ? วิ่งกันเป็นระบบนะ ไอ้นี่วิ่งไป ไอ้นั่นวิ่งมานะ ย่อยกันเป็นระบบนะ
โอโห้ สุดยอด ไม่ต้องดูไกล ถ้าจะคิดว่าปาฏิหาริย์นะ ร่างกายของพวกเจ้านี่ปาฏิหาริย์มากกว่า มันทำงานของมันเองนะ ไอ้ตัวเจ้าของมันยังไม่ค่อยรู้เรื่องเลย ไม่งั้นจะต้องไปเรียนรึว่า ... . ไอ้นี่แขน ไอ้นี่ขา .. ข้างในมีกระเพาะ... ทำงานยังไง
ถ้ามันรู้แล้วว่าโรคอะไร ทำไมต้องไปให้คนอื่นเขาดู ฉันเป็นอะไรเนี่ย ฉันเป็นอะไรเนี่ย ทำไมมันงอกออกมาในนี้
บังคับไม่ได้ ตรงนี้มหัศจรรย์สุดๆ แล้ว #ต้นไม้หรือสัตว์อื่นยังไม่ซับซ้อนเท่าพวกเจ้า
กายยังซับซ้อนแล้ว #จิตยังซับซ้อนหนักเข้าไปอีก
เพราะฉะนั้นเมื่อเราปฏิบัติ เราดูแค่ตัวเราสุดยอดนะ #เมื่อกระจ่างในตัวเราทุกอย่างสว่างไปหมด หมดความยาก แค่นี้
เพราะฉะนั้น อรหันต์ก็อาจมิได้รู้หนังสือก็ได้ ถ้าเขารู้ด้วยตัวของเขาเอง แต่ต้องฟังธรรมเข้าใจนะ พูดไม่ได้ ฟังไม่ได้ นี่มันก็ยาก
บุคคลที่หูหนวกก็บรรลุอรหันต์ยาก เพราะพิจารณาธรรมไม่ได้
ตาบอดบรรลุอรหันต์ยาก เพราะเปรียบเทียบธรรมไม่ได้
ยกเว้นบุคคลที่เคยตาดี หูดี ปฏิบัติธรรมะนะ ต่อไปในภายหลังมีวิบากต่างๆ ถ้ายังมีปัญญานะทำได้ถ้ามีโอกาส มิใช่เรื่องที่มันเกินไป หรือปาฏิหาริย์เกินไป #ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของธรรมดา
เออ.... ถ้าเจ้าเห็นว่าจานบินปาฏิหาริย์น่ะ มันไม่ใช่.....ร่างของเจ้าปาฎิหาริย์ยิ่งกว่าจานบินที่มันบินอีก....ตรงนั้นเป็นกลไกธรรมดา โลหะวัตถุผสานกับพลังจิต มันยังไม่เหนือร่างกายของเจ้าเลย #แต่มันเป็นสิ่งที่แปลกสำหรับภพมนุษย์มันไม่เคยเห็น
จึงไม่ใช่ปาฏิหาริย์ #มนุษย์ต่างดาวไม่ใช่ปาฏิหาริย์
แต่มนุษย์ ... อัตตาของมนุษย์ แค่ระลึกชาติเก่าได้ ก็ปาฏิหาริย์สุดขีดแล้ว
..... มันอะไรกัน ? แค่รู้ว่าเราเคยเป็นอะไรกันในอดีต ก็ปาฏิหาริย์สุดขีด
เพราะฉะนั้นตรงนี้นะ ขอให้เรารู้หลักธรรม เราจะเจอสิ่งที่ประเสริฐสูงสุด #จะไม่ทบทวนของเก่า #ทบทวนทำไม #มันเคยผ่านไปแล้ว
และเราจักเป็นผู้ฟื้นฟูสภาพของพวกท่านนะ ฟื้นฟูธรรมของพวกท่าน ฟื้นฟูพลังจิต พลังสมาธิ พลังฌานของท่าน
ตรงนี้ต้องเอาของเก่ามาใช้ในการสร้างบารมีใหม่นะ และรับเพิ่มในส่วนเทคโนโลยี่ ตรงนี้ไม่ใช่สิ่งที่เราจะมีอะไรมาให้ท่าน #แต่เป็นส่วนที่ท่านเคยมีมาก่อนแล้ว ตรงนี้มันผสานกันนะ
จากมุมมองของมนุษย์ต่างดาว
ข้อความบางส่วนของผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต ถ่ายทอดข้อความเป็นคลื่นเสียงไว้ ณ เขากะลา เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2542
โดย กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)
(ผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต) จิตมนุษย์นะ ...มันดูไม่ยาก พวกมีกิเลสนะ มันดูไม่ยาก ทำไมผู้ที่วาระจิตสูง สามารถมองผู้ที่มีวาระจิตต่ำได้ มองได้ง่าย #เพราะมองที่กิเลสนั่นแหละ กิเลสมันไม่ไปยังไงหรอก ในเมื่อเราเคยผ่านการมีกิเลส และผ่านการละ ๆ ๆ มาแล้ว เราจะรู้ #เราจะรู้ความอยากของมนุษย์ เราจะรู้มันต้องไปยังงี้ ยังงี้
ในส่วนที่เป็นหยาบๆ เจ้าก็พอจะมองออก เออ มันอยากยังงี้ มันคิดยังงี้ ง่ายๆ เจ้ามองออก
เมื่อแยบคายขึ้น เจ้าก็ต้องมีจิตที่สูงขึ้น ขยับขึ้น เจ้าจึงจะมองออก
เพราะฉะนั้น จึงเป็นกฎธรรมดา มิใช่ปาฏิหาริย์อะไรมากมาย
ถ้าเจ้าจะเอาปาฏิหาริย์กันมากๆ นะ เห็นได้เลย ปาฏิหาริย์สุดขีด
นั่นคือ #ร่างกายของเจ้านี่แหละ ปาฏิหาริย์สุดขีดแล้ว
อะไรกันเนี่ย มันทำงานกันยังไงเนี่ย มันยังไงเนี่ยะ
อย่างนี้มันบังคับกันได้ไหม ? วิ่งกันเป็นระบบนะ ไอ้นี่วิ่งไป ไอ้นั่นวิ่งมานะ ย่อยกันเป็นระบบนะ
โอโห้ สุดยอด ไม่ต้องดูไกล ถ้าจะคิดว่าปาฏิหาริย์นะ ร่างกายของพวกเจ้านี่ปาฏิหาริย์มากกว่า มันทำงานของมันเองนะ ไอ้ตัวเจ้าของมันยังไม่ค่อยรู้เรื่องเลย ไม่งั้นจะต้องไปเรียนรึว่า ... . ไอ้นี่แขน ไอ้นี่ขา .. ข้างในมีกระเพาะ... ทำงานยังไง
ถ้ามันรู้แล้วว่าโรคอะไร ทำไมต้องไปให้คนอื่นเขาดู ฉันเป็นอะไรเนี่ย ฉันเป็นอะไรเนี่ย ทำไมมันงอกออกมาในนี้
บังคับไม่ได้ ตรงนี้มหัศจรรย์สุดๆ แล้ว #ต้นไม้หรือสัตว์อื่นยังไม่ซับซ้อนเท่าพวกเจ้า
กายยังซับซ้อนแล้ว #จิตยังซับซ้อนหนักเข้าไปอีก
เพราะฉะนั้นเมื่อเราปฏิบัติ เราดูแค่ตัวเราสุดยอดนะ #เมื่อกระจ่างในตัวเราทุกอย่างสว่างไปหมด หมดความยาก แค่นี้
เพราะฉะนั้น อรหันต์ก็อาจมิได้รู้หนังสือก็ได้ ถ้าเขารู้ด้วยตัวของเขาเอง แต่ต้องฟังธรรมเข้าใจนะ พูดไม่ได้ ฟังไม่ได้ นี่มันก็ยาก
บุคคลที่หูหนวกก็บรรลุอรหันต์ยาก เพราะพิจารณาธรรมไม่ได้
ตาบอดบรรลุอรหันต์ยาก เพราะเปรียบเทียบธรรมไม่ได้
ยกเว้นบุคคลที่เคยตาดี หูดี ปฏิบัติธรรมะนะ ต่อไปในภายหลังมีวิบากต่างๆ ถ้ายังมีปัญญานะทำได้ถ้ามีโอกาส มิใช่เรื่องที่มันเกินไป หรือปาฏิหาริย์เกินไป #ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของธรรมดา
เออ.... ถ้าเจ้าเห็นว่าจานบินปาฏิหาริย์น่ะ มันไม่ใช่.....ร่างของเจ้าปาฎิหาริย์ยิ่งกว่าจานบินที่มันบินอีก....ตรงนั้นเป็นกลไกธรรมดา โลหะวัตถุผสานกับพลังจิต มันยังไม่เหนือร่างกายของเจ้าเลย #แต่มันเป็นสิ่งที่แปลกสำหรับภพมนุษย์มันไม่เคยเห็น
จึงไม่ใช่ปาฏิหาริย์ #มนุษย์ต่างดาวไม่ใช่ปาฏิหาริย์
แต่มนุษย์ ... อัตตาของมนุษย์ แค่ระลึกชาติเก่าได้ ก็ปาฏิหาริย์สุดขีดแล้ว
..... มันอะไรกัน ? แค่รู้ว่าเราเคยเป็นอะไรกันในอดีต ก็ปาฏิหาริย์สุดขีด
เพราะฉะนั้นตรงนี้นะ ขอให้เรารู้หลักธรรม เราจะเจอสิ่งที่ประเสริฐสูงสุด #จะไม่ทบทวนของเก่า #ทบทวนทำไม #มันเคยผ่านไปแล้ว
และเราจักเป็นผู้ฟื้นฟูสภาพของพวกท่านนะ ฟื้นฟูธรรมของพวกท่าน ฟื้นฟูพลังจิต พลังสมาธิ พลังฌานของท่าน
ตรงนี้ต้องเอาของเก่ามาใช้ในการสร้างบารมีใหม่นะ และรับเพิ่มในส่วนเทคโนโลยี่ ตรงนี้ไม่ใช่สิ่งที่เราจะมีอะไรมาให้ท่าน #แต่เป็นส่วนที่ท่านเคยมีมาก่อนแล้ว ตรงนี้มันผสานกันนะ

20 สิงหาคม 2561

ฝรั่งเขียนเรื่อง ความจริง และ จุดเด่น ของ พุทธศาสนา 19 ประการที่ต่างจากศาสนาอื่นๆ ที่น่าสนใจ


ฝรั่งเขียนเรื่อง ความจริง และ จุดเด่น ของ พุทธศาสนา 19 ประการที่ต่างจากศาสนาอื่นๆ ที่น่าสนใจ ดังนี้
๑.พระพุทธศาสนา ปฏิเสธว่า มีผู้สร้างโลก ถือว่า ความเชื่อนี้ไร้สาระ ตรงข้าม โลกนี้ประกอบขึ้นจากเหตุธาตุทั้ง4 คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ประกอบกันขึ้นมา
๒.พระพุทธศาสนา ไม่ใช่ระบบความเชื่อที่จะใช้คำว่า Religion เพราะศัพท์นี้ หมายถึง ต้องมีความเชื่อในพระเจ้าผู้สร้างโลก
๓.จุดหมายปลายทางของพระพุทธศาสนา คือ ละกิเลสได้หมดแล้ว หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด หรือวัฏฏสงสาร ไม่ใช่ไปแค่ไปเกิดบนสวรรค์เท่านั้น
๔.พระพุทธเจ้า ไม่ใช่ผู้ปลดปล่อยสรรพสัตว์ให้รอด สรรพสัตว์ต้องช่วยตนเอง เพื่อหลุดพ้นจากกิเลสและวัฏฏสงสาร
๕.ความสัมพันธ์ระหว่างพระพุทธเจ้า และสาวก คือ ครูผู้สอนและลูกศิษย์ ไม่ใช่ตัวแทนพระเจ้า และทาสผู้รับใช้
๖.พระพุทธเจ้า ไม่เคยให้สาวกใช้ความเชื่อโดยปราศจากปัญญามานับถือ ตรงข้าม ทรงสอนให้ใช้ปัญญา พิจารณาคำสอนก่อนจะเชื่อ และเห็นจริงด้วยตนเอง และ ผู้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ต้องนำคำสอนไปประพฤติและปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นด้วยตนเอง ไม่มีใครช่วยทำให้หลุดพ้น จากการเวียนเกิดเวียนตายได้ นอกจากให้แค่แนะนำ ชี้ทางที่ถูกต้องให้เท่านั้น
๗.คำสอนพระพุทธเจ้า เป็นสัจธรรมประจำโลก ที่เป็น และมีอยู่แล้ว พระพุทธเจ้าทรงเป็นแต่เพียงผู้ค้นพบเท่านั้น พระองค์ไม่ใช่เป็นคนสร้างคำสอนขึ้นมา
๘.นรกในพระพุทธศาสนา ไม่ใช่สถานที่กักขังสัตว์อย่างนิรันดร์ บุคคลทำบาปแล้ว ไปเกิดในนรก เมื่อพ้นกรรมแล้ว ก็สามารถกลับไปเกิดในภพที่ดีกว่าได้ และ สัตว์ที่ได้ไปเกิดในภพอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นภพเทวดา ภพมนุษย์ ภพเปรตวิสัย ภพเดรัจฉาน ก็สามารถเวียนกลับไปเกิดในนรกอีกได้ เช่นกัน
๙.พระพุทธศาสนา ไม่ได้สอนแนวคิดเรื่องบาปติดตัว เหมือนที่ศาสนาเทวนิยมสอน แต่สอนเรื่องกฎแห่งกรรม ซึ่งมีทั้งกรรมขาว กรรมดำ และกรรมไม่ขาวไม่ดำ
๑๐.พระพุทธศาสนาสอนว่า มนุษย์และเทวดาทุกชีวิต มีศักยภาพที่จะบรรลุธรรมได้ ข้อสำคัญก็คือ ต้องใช้ความพยายามในการปฏิบัติ เพื่อชำระกิเลสให้พ้นไปจากจิตใจ พระพุทธเจ้าก็ทรงเป็นมนุษยสามัญธรรมดา ที่หลุดพ้นจากทุกข์ได้ เพราะการประพฤติปฏิบัติมาหลายภพหลายชาติ
๑๑.กฎแห่งกรรมของทุกสรรพสัตว์ เป็นตัวอธิบายว่า เหตุใดคนถึงเกิดมาแตกต่างกัน กฎแห่งกรรมเป็นตัวอธิบายถึงภพภูมิที่สัตว์พากันไปเกิด
๑๒.พระพุทธศาสนา เน้นให้แผ่เมตตากรุณาไปยังสรรพสัตว์ ทุกภพภูมิ ทรงสอนให้ละจากการประพฤติชั่วทั้งปวง คือ อกุศลกรรมบท ๑๐ และให้ประพฤติปฏิบัติแต่ กุศลกรรมบถ ๑๐
๑๓.ธรรมะของพระพุทธเจ้า เสมือนแพ หลังจากบำเพ็ญเพียรจนดับทุกข์ได้แล้ว จะอยู่เหนือบุญและบาป ธรรมะทั้งปวงจะต้องไม่ยึดมั่นถือมั่น
๑๔.ไม่มีสงครามศักดิ์สิทธิ์ ในทรรศนะพระพุทธศาสนา การฆ่าสัตว์ตัดชีวิต การเบียดเบียนผู้อื่นด้วยเจตนา ผู้กระทำจะต้องรับกรรมทั้งสิ้น จนกว่าจะหลุดพ้นจากวัฏสงสาร การฆ่าในนามศาสนา ยิ่งกระทำมิได้ในพระพุทธศาสนา
๑๕.พระพุทธเจ้าสอนว่า กำเนิดสังสารวัฏ ไม่มีเบื้องต้นและที่สุด ถ้าหากสัตว์ยังดำเนินชีวิตไปตามอำนาจกิเลส
ที่มี อวิชชาเป็นเครื่องกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องผูก ย่อมต้องเวียนเกิดเวียนตายต่อไป
๑๖.พระพุทธเจ้า ทรงเป็นพระสัพพัญญู ( ผู้รู้ความจริงทุกเรื่องที่ทรงอยากรู้ ) และพระพุทธเจ้า มิใช่เทพเจ้าผู้ทรงมีอำนาจล้นฟ้า ดลบันดาลสร้างธรรมชาติต่างๆ ขึ้นมา
๑๗.การฝึกสมาธิ สำคัญมากในพระพุทธศาสนา แม้ว่าศาสนาอื่นๆ ก็มีสอนให้คนมีสมาธิ แต่มีพระพุทธศาสนาเท่านั้นที่สอน วิปัสสนา ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้รู้แจ้งว่า ทุกสรรพสิ่ง เมื่อมีการเกิด ย่อมมีการดับ
๑๘.หลักคำสอนเรื่อง สุญญตา) หรือ นิพพาน เป็นเอกลักษณ์เฉพาะในพระพุทธศาสนา ถือเป็นคำสอนระดับสูงของพระพุทธศาสนาด้วย เพราะสรรพสิ่งทั้งหลายทั่วโลกธาตุ ไม่มีสิ่งใด เที่ยงแท้ถาวร มีแต่ปัจจัย ดิน น้ำ ไฟ ลม ประกอบกัน สรรพสิ่งในโลก จึงตกอยู่ในภาวะอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา เหมือนกันหมด พระพุทธศาสนาจึงไม่สุดโต่งไปตามแนวศาสนาประเภทเทวนิยม หรือ ตามแนววัตถุนิยม ที่มีอวิชชาเป็นเครื่องกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องผูก ที่ต้องเวียนเกิดเวียนตาย จนกว่าจะบรรลุธรรม จึงจะดับเย็น เข้าสู่นิพพาน
๑๙.วัฏจักร หรือสังสารวัฏ เป็นคำสอนในพระพุทธศาสนา ตราบใดที่สรรพสัตว์ ยังไม่หลุดพ้นจากกิเลส ก็จะเวียนว่ายตายเกิด ไปตามภพภูมิต่างๆ ตามแรงเหวี่ยงของกรรม ไม่สิ้นสุด จนกว่าจะบรรลุธรรม ดังนั้น ทุกสรรพสัตว์ จึงต้องช่วยตนเอง เพื่อพัฒนาไตรสิกขา ให้หลุดพ้นจากโลภะ โทสะ และโมหะ หรืออวิชชา เพื่อการหลุดพ้นจากสังสารวัฏให้ได้ ฯ
~ เสียดายไม่ทราบชื่อฝรั่งผู้เขียน แต่ ก็แสดงว่า มีความเข้าใจในพระพุทธศาสนา มากกว่าคนไทยที่อ้างว่า นับถือพระพุทธศาสนาเสียอีก ขอกราบคารวะ และ ขอชื่นชมด้วยใจจริง

17 สิงหาคม 2561

การจัดชุดพลังคอสมิคต้านพลังคอสมิคนอกโลก


การจัดชุดพลังคอสมิคต้านพลังคอสมิคนอกโลก  ได้ทั้งคลื่นความร้อน/เย็น ,พายุ, ฟ้าผ่า, หยุดไฟไหม้
ใครอยู่ในเขตความเสี่ยงในต่างประเทศ แจ้งมาครับ  



เครื่องมือหลักสมถะและวิปัสสนากรรมฐาน


เครื่องมือหลักสมถะและวิปัสสนากรรมฐาน....สาธุ
ธรรมะแห่งลมหายใจ เป็นแค่คำพูดให้ฟังง่าย
แท้จริงแล้วก็คือคำสอนของพระพุทธองค์นั่นเอง ที่พระองค์สอนและสาวกทั้งหลายนำไปปฏิบัติและเกิดผลจนตรัสรู้ตามมากมาย แม้แต่พระองค์เอง สุดท้ายพระองค์ก็ใช้กรรมฐานกองนี้หมวดนี้เหมือนกัน ก็คืออาณาปานสติ เป็นธรรมที่ยอดเยี่ยมที่สุด
พระองค์ตรัสไว้ชัดเจนมาก พระองค์ตรัสว่า อันบุคคลใดเจริญทำให้มากซึ่ง อาณาปานสติ ย่อมทำให้ สติปฐานสี่บริบูรณ์ ก็คือจิตจะไประลึกรู้ อยู่ที่ กาย เวทนา จิต ธรรม ถ้าบุคลใดเจริญทำให้มากซึ่ง สติปฐานสี่ (กาย เวทนา จิต ธรรม) ย่อมทำให้ โภชฌงค์ ๗ บริบูรณ์
สติสัมโพชฌงค์ , ธรรมวิจยสัมโพชฌงค์ , วิริยะสัมโพชฌงค์ ปิติสัมโพชฌงค์ , ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ , สมาธิสัมโพชฌงค์ , อุเบกขาสัมโพชฌงค์
โพชฌงค์ทั้ง ๗ อันบุคคลใดเจริญ ทำให้มากย่อมเกิดปัญญาวิมุติหลุดพ้น
วิชาธรรมะเปิดโลกกรรมบันดาล ปฏิบัติแบบสบายๆ
ขอให้พิจารณาให้ดี ไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่ไม่เข้าใจ
ถ้าดูให้ดีจะเห็นว่าเราปฏิบัติสุดๆไปแค่ อาณาปาณสติทำให้มาก สติปัฏฐาน ๔ เป็นผลให้เราดู เพียงเราอย่าทิ้งลม จนเกิดโพชฌงค์ ๗ เราต้องเพิ่มลมมากขึ้น จนเข้าสติสัมโพชฌงค์ ธรรมวิจยะสัมโพชฌงค์ วิริยะสัมโพชฌงค์ ต่อจากนั้นกลายเป็นผลให้เราเสวยสุขเท่านั้นตั่งแต่ ปิติ ปัสสัทธิ สมาธิ อุเบกขา เป็นอยู่อย่างนี้จนเกิดปัญญาวิมุติ หรือเข้ากระแสแห่งนิพพานนั่นเอง
ขอให้ทุกท่านพิจารณาในธรรม

เพราะเห็นแก่เหยื่อ จึงติดเบ็ด


เพราะเห็นแก่เหยื่อ จึงติดเบ็ด
เบ็ด ๖ ตัว รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์
" ภิกษุทั้งหลาย ! เปรียบเหมือนพรานเบ็ด ซัดเบ็ดที่เกี่ยวเหยื่อลงไปในห้วงน้ำลึก. ปลาที่เห็นแก่เหยื่อตัวใดตัวหนึ่งจะพึงกลืนเบ็ดนั้นเข้าไป.
ภิกษุทั้งหลาย ! ด้วยอาการนี้แหละ ปลาที่กลืนเบ็ดตัวนั้น ถึงแล้วซึ่งความพินาศ ถึงแล้วซึ่งความฉิบหายเพราะพรานเบ็ด แล้วแต่พรานเบ็ดนั้นใคร่จะทำตามอำเภอใจอย่างใด.
ภิกษุทั้งหลาย ! ฉันใดก็ฉันนั้น, เบ็ด ๖ ตัวเหล่านี้มีอยู่ในโลก เพื่อความฉิบหายของสัตว์ทั้งหลาย เพื่อฆ่าสัตว์ทั้งหลาย.
เบ็ด ๖ ตัวนั้นเป็นอย่างไรเล่า?
เบ็ด ๖ ตัวนั้น คือ รูป ที่เห็นด้วยตาก็ดี, เสียง ที่ฟังด้วยหูก็ดี, กลิ่น ที่ดมด้วยจมูกก็ดี, รส ที่ลิ้มด้วยลิ้นก็ดี, โผฏฐัพพะ ที่สัมผัสด้วยกายก็ดี, และธรรมารมณ์ ที่รู้แจ้งด้วยใจก็ดี, มีอยู่ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ ที่ยวนตายวนใจให้รัก เป็นที่เข้าไปตั้งอาศัยอยู่แห่งความใคร่ และเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัดย้อมใจ, ถ้าภิกษุเพลิดเพลิน พร่ำสรรเสริญ เมาหมกอยู่ ซึ่งอารมณ์ ( ๖ อย่างนี้ ) มี รูป เป็นต้นนั้นไซร้ ;
ภิกษุ ทั้งหลาย ! ภิกษุนี้เราเรียกว่า "ผู้กลืนเบ็ดของมาร" ถึงแล้วซึ่งความพินาศ ถึงแล้วซึ่งความฉิบหาย แล้วแต่มารผู้มีบาปใคร่จะทำประการใด แล.
บาลีพระไตรปิฎก
สฬา. สํ. ๑๘/๑๙๗/๒๘๙
"โผฏฐัพพะ" คือ สิ่งที่ถูกต้องกาย , อารมณ์ที่จะพึงถูกต้องด้วยกาย เช่น เย็น ร้อน อ่อน นุ่ม แข็ง เป็นต้น
"ธรรมารมณ์" คือ สิ่งที่ถูกรับรู้ได้ทางใจ, สิ่งที่รู้ด้วยใจ, สิ่งที่ใจรู้สึกนึกคิด

14 สิงหาคม 2561

แก่นแท้ของสมาธิ ของผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต

โอวาทของผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต
โดย กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)
โอวาทในเรื่องเกี่ยวกับ #แก่นแท้ของสมาธิ ของผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต
วันที่ 10 ตุลาคม 2541 ที่เขากะลา จังหวัดนครสวรรค์ ตอนที่ 5.จบ

(ผู้สูงสุด) เพราะฉะนั้น การนั่งสมาธิครั้งใด พวกเจ้าทั้งหลายเอ๋ย.... นึกอยู่ในใจ #ข้าพเจ้าขอแค่ความสงบแค่นั้นแหละ ไม่ขอเห็นมนุษย์ต่างดาวในสมาธิ ไม่ขอเห็นตาทิพย์... ไม่เอา ไม่ขอเห็นวิญญาณต่าง ๆ ถ้าการเห็นนั้น นั่นคือส่วนประกอบที่เขามาอนุโมทนาก็แล้วไป #แต่จิตจำนงค์ของพวกเจ้าต้องหวังแค่ความสงบของจิตใจ
สมาธิที่เป็นแก่นเป้าหมายใจดำ .... เจ้าดูเป้าในการยิงธนูของเจ้า มีจุดนิดเดียวจึงจะได้รางวัลแจ๊คพ็อต ... แนะนำไปแล้ว บอกไปแล้ว ลด ละ เลิก
การลด การวาง การละ การเลิกนั้น ความจริงแล้วมันง่าย แต่สิ่งที่พวกเจ้าทำนั้น .... พวกเจ้าทำของยาก เจ้าต้องไปหามาเพิ่ม เรียกว่า ต้องไปหาแว่นขยายมาใส่ สมาธิที่พวกเจ้าคิดกันอยู่นี้นะ เหมือนหาแว่นมาใส่อีกอันหนึ่ง เอาเพิ่มน้ำหนักไปอีก ดีไม่ดีหากล้องส่องทางไกลเอามาเพิ่มน้ำหนักเข้าไปอีก #เฮ้อ... #ยังงั้นนะค่านิยมของสมาธิ
แต่ผู้ที่ปฏิบัติ ลด ละ เลิก มีปัญญา เขาจะมีอานิสงส์ของสมาธิที่จิตนิ่ง เป็นการเห็นภพวิญญาณต่าง ๆ อย่างเช่น มีทิพยจักขุ #นั่นเป็นผลพลอยได้ของสมาธิ
เพราะฉะนั้น เจตน์จำนงค์กับผลพลอยได้ไม่เหมือนกัน เจตน์จำนงค์จะฝึกเพื่อเห็นนั้น เจ้าเสียเวลาเปล่า ๆ แต่เจตน์จำนงค์ฝึกเพื่อลด ละ เลิก และได้เห็นในสมาธิ หรือการมีหูทิพย์ ตาทิพย์ #อันนั้นเป็นส่วนประกอบในสิ่งที่เจ้าจะได้ในสิ่งที่เป็นธรรมดา
เพราะฉะนั้น การฝึกสมาธิ ฝึกได้ทุกวิธี ไม่มีวิธีไหนได้เปรียบเสียเปรียบกว่าใคร แต่อยู่ที่จริตและวิธี ในการที่เราคิดว่า การที่วิธีเราหายใจเข้า หายใจออกนั้น มันเหมาะสมกับจริตของเราไหม ? ต้องลองทดสอบด้วยจิตใจของเจ้า วิธีนี้ทำแล้วง่วงนอนมาก วิธีนี้ ทำแล้วตาแจ้ง เดินจงกลมก็ได้
จริง ๆ แล้วนะ การลด ละ เลิก #ทำไมพระพุทธองค์ท่านไม่บัญญัติวิธีเดียวที่มันเด็ดๆ ให้พวกเจ้าเลย #ก็พวกเจ้ากรรมแต่ละคนไม่เหมือนกัน ร้อยคนก็ร้อยกรรม แสนคนก็แสนกรรม มันไม่เท่ากัน เพราะฉะนั้น 40 วิธีในสมาธินั้น เป็นวิธีที่ถูกต้อง ท่านบัญญัติไว้เป็นกลาง ๆ ไปศึกษาเอา
ใครที่รักสวยรักงามมาก ก็ไปเพ่งพิจารณาเอาอสุภะ หรือนึกถึงความดีงาม ความไม่สวยไม่งามในร่างกาย ทำไมท่านจึงทำอย่างนี้ การนึกถึงความไม่สวยไม่งามของร่างกาย มันไม่ใช่การเข้าฌาณได้ แต่วิธีนี้เป็นการ ลด ละ เลิกได้ เจ้าเข้าใจไหม?
เพราะฉะนั้น ทำไม ทำไมถึงมีวิธีนึกถึงคุณของพระรัตนตรัย นึกถึงคุณ ของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในวิธีนึกถึงเทวดา ในวิธีนึกถึงพระพุทธเจ้า มันไม่ใช่วิธีที่จะเข้าฌาณได้ลึกหรอกนะ แต่มันเป็นวิธี เป็นอุบายวิธีที่จะลด ละ เลิกได้
เพราะฉะนั้น #เจตน์จำนงค์ของพระพุทธองค์ที่ท่านสอนวิธีละกิเลสอันนี้คือ..#สุดยอดของใบไม้ทั้งป่า.... เหลือวิธีเดียว “#ละกิเลส” แต่พวกเจ้า....พวกเจ้า....พวกเจ้า ปากบอกว่าละกิเลส แต่มันยังมีแอบแฝง อยากจะหาเครื่องมือมาละกิเลส ปากบอกว่า ถือของที่มันถืออยู่นี่นะมันหนัก สัมภาระนี่มันบอกว่าหนัก ......... แทนที่จะวางมันลงไป.... กลับจะหาเครื่องมือมายก มันยุ่ง มันยากนะ มนุษย์นะ ข้าดูแล้วนะ
แต่ว่าจะไปว่าเขาก็ไม่ได้ #เพราะเขาเรียนรู้ในยุคเสื่อม เจ้าเข้าใจไหม ? พวกเจ้าเรียนรู้วิชายุคเสื่อม เพราะฉะนั้น ใครที่ไปเรียนรู้วิชาที่ผิด ๆ ก็ไปว่าเขาไม่ได้ เพราะเขาเรียนรู้มาแบบนั้น
เพราะฉะนั้น ค่านิยมของสมาธิในยุคปัจจุบันนี้ ข้าพเจ้ามาเล็งเห็นแล้วในส่วนนี้ #ก็จะเป็นส่วนที่เป็นค่านิยมเสียเป็นส่วนใหญ่ เพราะฉะนั้นสิ่งที่พวกเจ้าควรทำก็คือ #นั่งสมาธิฟังธรรมไปด้วย นั่งสมาธิไปด้วย ธรรมะของภิกษุสาวกที่เจ้าศรัทธา ตามวัดต่าง ๆ ก็ดี พิจารณาธรรมไปด้วย เจ้าจะได้ทั้งสมาธิ ทั้งขันติ ทั้งปัญญาครบถ้วนเลยนะ
เพราะฉะนั้น สิ่งนี้คือ .... สิ่งที่ผู้ที่ยังไม่ได้สมาธิในขั้นลึกนั้น ควรจะทำในขั้นแรก เพราะเวลานิดเดียว เจ้าฝึกสมาธิอย่างเดียวไม่มีปัญญานั้น เจ้าก็ไม่ได้สมาธิมากมายอะไร #เพราะเวลาเกิดภัยพิบัตินั้นมาถึง เจ้ามีสมาธิได้ในขั้นหนึ่ง แต่ถ้าลูกเจ้า เมียเจ้า หรือว่าลูกหลานเจ้าต้องพลัดพรากจากไป สมาธิเจ้าอยู่ได้ไหม? .. ไม่ได้ ... สมาธิแตก
แต่ถ้าเจ้ามีปัญญาประกอบกับสมาธิด้วย #ปัญญารู้หลักกฏแห่งกรรม อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา #รู้หลักการมาการไปของบุญบารมีลูกหลานเจ้า #ของพ่อแม่เจ้า #ของสามีภรรยาเจ้า #แล้วไตร่ตรอง #แล้วทำใจไปตามกฏแห่งกรรมอย่าไปฝืนกระแสกรรม เพราะฉะนั้น เจ้าจะมีสมาธิประกอบกับปัญญา การเสียใจของเจ้ามันจะไม่มากมาย ก็จะไม่บ้าบอไป
สอนแล้วนะ...เดี๋ยวจะหาว่าข้าพเจ้าไม่สอน.

09 สิงหาคม 2561

การปรามาสพระอริยเจ้าระวังตกนรก


ปรามาสพระอริยเจ้าด้วยเจตนาและ ไม่เจตนา
ผู้ถาม : เรื่องพระอริยเจ้าก็มีอยู่นิด คือว่าการปรามาสพระอริยเจ้าด้วยเจตนาก็ตาม ไม่เจตนาก็ตาม โมโหด้วยความตั้งใจก็ตาม อยากเรียนถามว่า จะมีกรรมมากไหมครับ?
หลวงพ่อ : ก็ลงนรก! ด้วยเจตนาก็ตาม ไม่เจตนาก็ตาม ลงเหมือนกัน!
ผู้ถาม : ไม่ต้องสอบสวนหรือครับ?
หลวงพ่อ : ไม่ต้องสอบ สบาย…ก็ไม่ยากก็ไปขอขมาต่อพระพุทธเจ้าเสียซิ ถ้าไม่พบพระพุทธเจ้าก็พระพุทธรูป
ผู้ถาม : ต้องไปพบพระพุทธรูปที่วัดท่าซุง หรือว่า…
หลวงพ่อ : ไม่จำเป็น…ที่บ้านก็ได้ ให้นึกว่าท่านคือพระพุทธเจ้า เพราะพระอริยเจ้านี่ ขอขมาโดยตรงตัวไม่มีผล อย่างสมมุติยกทรงเป็น “โสดาตะบัน” ใช่ไหม
ผู้ถาม : เดี๋ยวๆ ครับ ตามศัพท์พระไตรปิฏกเขาเรียก “โสดาบัน” ครับ
หลวงพ่อ : ไอ้นี่มันหนักแน่น “โสดาตะบัน” นี่ขั้นเอกพิชีนะ เพราะตะบันจนกระทั่งแน่นปั๋งไม่คลายตัว สมมุติว่ายกทรงเป็นพระโสดาบัน เขาไปด่าไปว่าเข้านินทาเข้าก็บาป ใช่ไหม…ไปขอโทษโดยตรงกับยกทรงนี่ไม่มีผล ต้องขอโทษโดยตรงกับพระพุทธเจ้า เพราะว่าความเป็นพระโสดาบัน ไม่ใช่เกิดจากยกทรง เกิดจากพระพุทธเจ้าท่านสงเคราะห์


จากหนังสือ อริยะบุคคล
หลวงพ่อตอบป้ญหาธรรม

พิธีพุทธาภิเษกที่ถูกต้อง


โดยหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง
วิธีการปลุกพระ ปลุกผ้ายันต์ และวัตถุมงคลต่างๆ
ถ้าพระที่เข้าขั้นที่เรียกว่าได้ทิพยจักขุญาน โดยมาก
เขาไม่ทำเองนะ เขาเที่ยววานพระมาทำ
พระพุทธเจ้าบ้าง พระปัจเจกพุทธเจ้าบ้าง
พระอริยสงฆ์บ้าง เทวดาบ้าง พรหมบ้าง
อันนี้ก็สบายดี แต่หากว่าถ้าทำเองไม่นาน
มันก็เจ๊ง ตัวเองยังคุ้มครองตัวเองไม่ค่อยได้
คนมันก็ตายนี่ แล้วมันจะไปคุ้มครองความตาย
ของใครเค้าได้
วิธีทำฉันก็บวงสรวงชุมนุมเทวดา อาราธนาบารมี
พระทั้งหมด ตั้งแต่พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์
พระอริยสาวกทั้งหมด พรหมทั้งหมด เทวดาทั้งหมด
ครูอาจารย์ทั้งหมด ฉันยกยอดเลย ยกยอดในเมื่อ
อาราธนาก็เห็นท่านมากันครบถ้วน แล้วมาทำกัน
เมื่อท่านบอกว่าไม่มีอะไรจะบรรจุแล้ว เต็มแล้ว
ฉันก็เลิก จงจำไว้นะ การที่เราจะเสกพระเสกยันต์
อะไรต่ออะไรนี่นะ ถ้าเสกด้วยอำนาจกำลังของเราล่ะก็
ไม่ช้ามันก็เสื่อม เราน่ะมันดีแค่ไหน
การเสกว่าคาถาต่างๆ นี่ก็เป็นการอาราธนาบารมี
ของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือเทวดา หรือ
พรหมมาช่วย แต่ว่าคาถาบางอย่างก็จะว่าแต่เฉพาะ
บางจุด การเสกพระเสกเจ้า หรือผ้ายันต์เสกอะไร
ต่ออะไรพวกนี้ ถ้าเราเอาตัวของเราออกเสีย
เราไม่เข้าไปยุ่ง แต่อาราธนาบารมีพระพุทธเจ้า
ทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์
พระอริยสาวกทั้งหมด พรหมหรือเทวดาทั้งหมด
ท่านมาช่วย ท่านทำประเดี๋ยวเดียวสองสามนาที
มันก็เสร็จ ดีกว่าเราทำ ๑,๐๐๐ ปี
แล้วจะเอาอะไรบ้างก็อาราธนาบอกท่าน บอกว่า
ขอให้ได้อย่างนั้นอย่างนี้ แต่อย่าลืมนะ ถ้าใช้
ในทางทุจริตหรือกฏของกรรมบังคับ ไม่มีอะไร
ที่จะคุ้มครองใครได้ ถ้าหากว่าใครเลวอยู่แล้ว
ก็คอยพยุงๆ ให้เลวน้อยลงไปนึดหนึ่งได้
ถ้าใครดีขึ้นมาหน่อยก็พยุงให้ดีมากได้ นี่เป็น
กฏของอำนาจ พุทธบารมี ธรรมบารมี สังฆบารมี
และพรหมและเทวดาทั้งหลาย
การทำตัวเป็นคนเก่งเองน่ะ มันใช้ไม่ได้ มันต้อง
ให้พระท่านเก่งซี พระพุทธท่านเก่ง พระธรรม
ท่านเก่ง พระสงฆ์ท่านเก่ง พรหมท่านเก่ง เทวดา
ท่านเก่ง ของที่เราทำจะตามไปคุ้มครองชาวบ้าน
ชาวเมืองได้ยังไงทุกคน ถ้าหากพระก็ดี พรหมก็ดี
เทวดาก็ดี ท่านช่วยคุ้มครอง ท่านก็มองเห็นได้ถนัด
สงเคราะห์เขาได้โดยสะดวก

08 สิงหาคม 2561

เจ้ากรรมนายเวร ตัวจริง


เจ้ากรรมนายเวร
ธรรมโอวาทหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง
..เจ้ากรรมนายเวร หมายถึงบาปที่เป็นอกุศล
ที่เราได้ทำไว้กับคนและสัตว์ในอดีตชาติก็ดี
ในชาติปัจจุบันก็ดี อย่างบางคนที่เราฆ่าเขาบ้าง
เราทำร้ายเขาบ้าง เขาอาจจะไปเกิดเป็นเทวดา
หรือพรหมแล้ว ถ้าเป็นเทวดาเขาไม่สนใจแล้ว
แต่ไอ้ตัวบาปที่เราทำไว้ อย่างคนที่ไปขโมยของเขา
เจ้าของเขาไม่ติดใจ แต่ตำรวจมีหน้าที่ตามไม่ใช่
อยากตาม แต่กฎหมายให้ตาม ฉะ...นั้น กรรมหรือเวร
ตัวนี้คือกฎหมาย ถ้าหากปฏิบัติในขั้นสุกขวิปัสสโก
ก็จะบอกว่าไม่มีตัวตนเพราะไม่เคยเห็น แต่ว่าตั้งแต่
เตวิชโชขึ้นไปเขาเห็น ดังเรื่องที่อาตมาเล่าให้ฟัง
ประกอบเรื่องนี้
เมื่อ พ.ศ.๒๕๑๗ คืนหนึ่งอาตมาเจริญพระกรรมฐาน
เสร็จ ก็อุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร ขณะที่
อุทิศส่วนกุศลก็มายืนกันมากแต่ไม่ใช่เจ้ากรรมนายเวร
เป็นคนมาโมทนาบุญ พอเขาโมทนากันเสร็จ ก็มีชาย
คนหนึ่งคลานเข้ามา ถือขวานเล่มใหญ่
พอเข้ามาใกล้ก็บอกว่า "ผมกับท่านหมดเรื่องกัน"
อาตมาก็ถามว่า "หมดเรื่องอะไร"
เขาก็บอกว่า "หมดเรื่องที่จะต้องติดตามจองล้าง
จองผลาญกัน"
ก็ถามอีกว่า "จองล้างจองผลาญฉันทำไม"
เขาก็บอกว่า "เปล่าครับ ผมไม่ได้จองล้างจองผลาญ"
ก็ถามว่า "แล้วเข้ามาทำไม"
เขาก็เลยเล่าประวัติความเป็นมาให้ฟังว่า "ในอดีต
นับเป็นสิบ ๆ ชาติ ท่านกับผมรบกันมาเรื่อย" เป็นคู่
สงครามกัน ตัวเขาเก่งขวานทุกชาติ ส่วนอาตมา
เก่งดาบสองมือทุกชาติ ถ้าเวลาให้รบตัวต่อตัว
ต้องเอาคู่นี้มารบกัน ถ้าคนอื่นหัวขาด พอถึงเวลา
กินข้าวก็บอกว่า "พักรบก่อน กินข้าวเสร็จมารบกันใหม่"
วันนั้นทั้งวันไม่มีใครเสียท่ากัน
อาตมาถามว่า "มันมีเวรกรรมอะไรกันล่ะ"
เขาบอกว่า "กฎของกรรมเขาถือว่ามี แต่เวลานี้
กฎของกรรมสลายตัวแล้ว"
ก็เลยถามว่า "เวลานี้ไปเกิดที่ไหน"
เขาก็บอกว่า "ผมเป็นพรหมครับ"
ถามว่า "พรหมยังจองกรรมหรือ"
เขาตอบว่า "ผมไม่ได้จองแต่กฎของกรรมมันจอง
เรื่องของกรรมหนัก ๆ ระหว่างสงครามหมดกันแค่นี้"
เราอุทิศส่วนกุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวร เขาจะ
ได้รับหรือไม่ได้รับก็ตาม บุญที่เราทำเป็นผล
ให้เกิดความสุข ไอ้กรรมต่าง ๆ ที่เป็นอกุศลที่เรา
ได้ทำไปแล้ว เราไปยับยั้งมันไม่ได้ แต่ทว่าถ้าเรา
ทำกรรมดีให้มีกำลังเหนือบาป บาปต่าง ๆ ก็จะ
ตามเราไม่ทันเหมือนกัน เรียกได้ว่า เป็นการทำบุญ
หนีบาป ไม่ใช่ทำบุญล้างบาป
ทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้ที่ไม่ทำความชั่วเลยน่ะไม่มี
ดังนั้นถ้าเราจะชดใช้บาปก็คงจะชดใช้กันไม่ไหว
มีทางเดียวในกิจของพระพุทธศาสนาคือ หนีบาป
ด้วยการปฏิบัติดังนี้
๑) การคิดถึงคุณพระรัตนตรัยคือ พระพุทธคุณ
พระธรรมคุณ และพระอริยสงฆคุณ
๒) ทรงศีล ๕ ให้บริสุทธิ์
๓) มีพรหมวิหาร ๔ ให้ครบถ้วน
๔) มีอิทธิบาท ๔ ทรงตัว
๕) มีการภาวนาให้จิตทรงตัว
๖) พยายามรวบรวมบารมี ๑๐ ประการ
ให้มีในจิตให้ครบถ้วน
๗) พยายามตัดสังโยชน์ ๑๐ ประการให้หมด
๘) จรณะ ๑๕ ปฏิบัติให้ครบถ้วน
เมื่อมีการทรงตัวดังกล่าวมาแล้วนี้ได้ทั้งหมด
ก็เป็นอันว่าไม่ต้องเกิดกันอีกต่อไป นั่นคือตายเมื่อใด
ก็ไปพระนิพพานอันเป็นแดนที่มีความสุขที่สุด.."

02 สิงหาคม 2561

พลังงาน ดาวnibiru ที่ส่งผลต่อโลก


โลกเรา มีพลังงานที่ระดับ 5,ล้าน,ล้าน,ล้าน,ล้าน,ล้าน,ล้าน หน่วยพลังงาน ที่ส่งผลต่อแรงดึงดูดในจักรวาลให้อยู่ ณ จุดปัจจุบัน
พลังงานของดวงจันทร์ ที่ระดับ 5,ล้าน,ล้าน,ล้าน,ล้าน,ล้าน หน่วยพลังงาน ที่พลังงานส่งผลต่อโลก ทำให้น้ำทะเลขึ้น-ลง
ดวงอาทิตย์ ที่ระดับ 4,ล้าน,ล้าน,ล้าน,ล้าน,ล้าน,ล้าน,ล้าน
พลังงานของดาวnibiru ส่งพลังงานธาตุไฟออกมาถึง 9,ล้าน,ล้าน,ล้าน,ล้าน,ล้าน,ล้าน,ล้าน หน่วยพลังงาน มากกว่าดวงอาทิตย์หลายเท่า นี่คือเหตุที่ส่งผลต่อโลกโดยตรงครับ

อริยสัจ 4 และมรรคแปด

ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ห่างไกลจากกิเลสตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาค ทรงตรัส...