31 มีนาคม 2564

#บทสวดขอขมาพระรัตนตรัย #ถอนคำสาปแช่ง

        *คาถาบทต่อไปนี้ เป็นคาถาที่ใช้สำหรับขอขมาพระรัตนตรัย และใช้เพื่อถอนคำสาปแช่ง ในอดีตชาติ ที่ติดตามมา เพราะเราไม่รู้ว่าเคยได้ ล่วงเกินปรามาสใครไปบ้างก็ไม่รู้ ไม่เว้นแม้กระทั้งพระพุทธองค์ พระอรหันต์ พ่อ แม่ เป็นต้น เพราะบางคนทำการใดๆ มักมีอุปสรรค หรือมักมีคนไม่ชอบหน้า

        เริ่มต้นโดยการขอขมาและอธิษฐานจิต อธิษฐานหน้าพระพุทธรูป หรือสวดก่อนนอนก็ได้

        (ตั้ง นะโม 3 จบ)

        สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะเม ภันเต อุกาสะ ทะวารัตตะเยนะ กะตัง สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะเม ภันเต อุกาสะ ขะมามิ ภันเต

        หากข้าพเจ้า จงใจหรือประมาทพลาดพลั้ง ล่วงเกิน บิดา-มารดา ครูบาอาจารย์ พระพุทธ พระธรรม พระอรหันต์ทุกพระองค์ พระอริยสงฆ์เจ้าตลอด จนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย รวมถึงผู้มีพระคุณ และท่านเจ้ากรรมนายเวร จะด้วย กาย วาจา ใจ ก็ดี ขอได้โปรดอโหสิกรรมแก่ข้าพเจ้าด้วย หากข้าพเจ้ามีเจ้าของในตัวติดตามมา ขออนุญาตมีคู่ มีครอบครัวได้เหมือนคนปกติทั่วไป ขอถอนคำอธิษฐาน คำสาบานที่จะติดตามคู่ในอดีต ขอให้ต่างฝ่ายต่างเป็นอิสระต่อกัน ข้าพเจ้าจะประพฤติตนในทางที่ถูก ที่ชอบ ที่ควร 

        ขอบุญบารมี ในอดีตกาลที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน จงส่งผลให้ข้าพเจ้าและครอบครัว ตลอดจนบริวารที่เกี่ยวข้อง จงเจริญด้วย อายุ วรรณะ สุขะ พละ ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ สติ ปัญญา ปฏิภาณ ธนสารสมบัติ อุปสรรคใดๆ โรคภัยใดๆ ขอให้มลายสิ้นไป ขอให้ข้าพเจ้ามีความสว่างทั้งทางโลก ทางธรรมตั้งแต่บัดนี้ตราบเข้าสู่พระนิพพานเทอญ หากมีผู้ใดเคยสร้างเวรสร้างกรรมกับข้าพเจ้า ไม่ว่าจะชาติใดภพใดก็ตาม ข้าพเจ้ายินดีอโหสิกรรมให้ ขอถอนความพยาบาท ความอาฆาต และคำสาปแช่งในทุกชาติทุกภพ ขอให้ข้าพเจ้าพ้นจากคำสาปแช่งของปวงชนของเจ้ากรรมนายเวร

        ต่อมาให้ระลึกถึง สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี

        (ตั้งนะโม 3 จบ)

        ชินะปัญชะระ ปะริตตังมัง รักขะตุ สัพพะทา หรือ วิญญาณสัมปันโน อิติปิโส ภะคะวา นะโมพุทธายะ ( ท่อง 9 จบ )

        (ขอพระอนันตชินเจ้าในบัญชรแวดวงกงล้อม พระโมรปริตรและพระขันธปริตร อรหันต์เจ้า จงคุ้มครองรักษาข้าพเจ้าให้พ้นจากภยันตรายสรรพสิ่งทั้งปวง ตลอดเวลาทุกเมื่อ)

        บทอธิฐานขออโหสิกรรม

        กายะกัมมัง วะจีกัมมัง มะโนกัมมัง สัญจิจจะกัมมังอะสัญจิจจะกัมมัง ขะมันตุ เม อะโหสิกัมมัง ภะวะตุ เม

        กรรมใดๆ ไม่ว่าจะเป็นกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ที่ข้าพเจ้าได้ทำล่วงเกินแก่ผู้ใด ทั้งโดยตั้งใจก็ดี ไม่ได้ตั้งใจก็ดี ในภพชาติใดก็ตาม ขอให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย จงโปรดยกโทษ ให้เป็นอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้า อย่าได้จองเวรจองกรรมต่อกันอีกเลย แม้แต่กรรมใดที่ใคร ๆ ทำแก่ข้าพเจ้าก็ตาม ข้าพเจ้าขออโหสิกรรมให้ทั้งสิ้น ยกถวายพระพุทธเจ้าเป็นอภัยทาน ขอจงดลใจให้เขาเหล่านั้นกลับมีเมตตาจิต คิดเป็นมิตรกับข้าพเจ้า เพื่อจะได้ไม่มีเวรกรรมต่อกันตลอดไป
 
        ด้วยอานิสงส์แห่งอภัยทานนี้ ขอให้ข้าพเจ้า พร้อมทั้งครอบครัว ตลอดจนวงศาคณาญาติ ผู้่มีอุปการคุณของข้าพเจ้าพ้นจากความทุกข์ยากลำบากเข็ญใจ ความทุกข์อย่าได้ใกล้ ความเจ็บไข้อย่าได้มี ขอให้มีความสุขสวัสดีมีชัย เสนียดจัญไร และอุปัทวันตรายทั้งหลาย จงเสื่อมสิ้นหายไป นึกคิดปรารถนาสิ่งใด ที่เป็นไปโดยชอบ ประกอบด้วยธรรมด้วย ขอให้สิ่งนั้น จงพลันสำเร็จ จงพลันสำเร็จ จงพลันสำเร็จเทอญ

        *เรื่องบุญกรรม ดวงชะตา เป็นความเชื่อส่วนบุคคล ควรใช้วิจารณญาณในการอ่าน ทั้งนี้ การกระทำของเราทุกๆอย่าง มักเป็นตัวกำหนดชีวิตของเรา ควรมีสติและดำเนินชีวิตอย่างไม่ประมาท เราเชื่อว่าทุกๆ คนก็จะมีความสุขกับทุกๆเรื่องได้

#เผยแพร่ให้เพื่อนมนุษย์

26 มีนาคม 2564

วิธีควบคุมกฎ 12 ประการของจักรวาล

เพื่อปรับปรุงชีวิตของคุณ1. กฎแห่งความเป็นหนึ่งเดียวของพระเจ้า
กฎแห่งความเป็นหนึ่งเดียวของพระเจ้าเป็น”ผู้เล่นที่มีค่าสูงสุด”ของกฎสากลซึ่งเป็นกฎที่คนอื่นสร้างขึ้น “ กฎข้อนี้ระบุว่าเราทุกคนเชื่อมโยงกันผ่านการสร้าง” ไวล์เดอร์ กล่าวว่า“ ทุกๆอะตอมภายในตัวคุณเชื่อมต่อไม่ทางใดก็ทางหนึ่งรูปร่างหรือรูปแบบกับส่วนที่เหลือของจักรวาลที่คุณเคลื่อนผ่าน”
นั่นหมายความว่าทุกสิ่งที่เราทำมีผลกระเพื่อมและส่งผลกระทบต่อส่วนรวมไม่ใช่แค่ตัวเราเอง หากต้องการเรียกใช้หลักการนี้เพื่อพัฒนาตนเองโปรดจำไว้ว่าการกระทำของคุณมีความสำคัญและสร้างความแตกต่าง
2. กฎแห่งการสั่นสะเทือน
“ ทุกสิ่งในจักรวาลมีความถี่และการสั่นสะเทือน” ไวล์เดอร์กล่าวว่า “ ไม่มีสิ่งใดหยุดนิ่งเพราะทุกสิ่งมักถูกผลักออกไปหรือถูกดึงเข้าหาบางสิ่งเสมอ” นอกจากนี้สิ่งของที่มีการสั่นสะเทือนที่คล้ายกันจะดึงดูดเข้าหากัน ดังนั้นในการใช้กฎหมายนี้เพื่อแสดงความปรารถนาของคุณคุณต้องจับคู่การสั่นสะเทือนของคุณกับสิ่งที่คุณต้องการ
3. กฏแห่งการติดต่อ
หลักฐานที่อยู่เบื้องหลังกฎแห่งการติดต่อคือชีวิตของเราถูกสร้างขึ้นโดยรูปแบบจิตใต้สำนึกที่เราทำซ้ำทุกวันและรูปแบบเหล่านี้อาจให้บริการเราหรือรั้งเราไว้ ไวล์เดอร์กล่าวว่า การเปิดใช้งานกฎข้อนี้โดยตระหนักถึงรูปแบบของคุณเองซึ่งมักส่งผ่านความสัมพันธ์ในครอบครัวจากนั้นดำเนินการตามขั้นตอนอย่างมีสติเพื่อทำลายกฎเหล่านั้น

4. กฎแห่งการดึงดูด
“ นี่คือกฎของการสั่นสะเทือนในการดำเนินการ” ไวล์เดอร์กล่าวว่า “ หลายคนกลัวความคิดที่ว่าความคิดแย่ ๆ หรือการสั่นสะเทือนเพียงเล็กน้อยสามารถทำลายชีวิตของพวกเขาได้เพราะพวกเขาไม่รู้ตัว กฎข้อนี้ไม่ใช่การลงโทษ แต่เป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนมากเกี่ยวกับคุณค่าในตนเองและความคิดของเรา คุณถูกรายล้อมไปด้วยผลของการตัดสินใจในอดีตและสามารถตัดสินใจอื่น ๆ ได้อย่างเต็มที่และดึงดูดสถานการณ์ที่แตกต่างออกไป”

5. กฎแห่งการกระทำที่ได้รับแรงบันดาลใจ
ในขณะที่กฎแห่งการดึงดูดเป็นเรื่องเกี่ยวกับการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งที่คุณต้องการอย่างสั่นสะเทือนกฎแห่งการกระทำที่ได้รับการดลใจเป็นเรื่องของการดำเนินการ - คุณเดาได้ว่าการกระทำเพื่อให้สิ่งที่คุณต้องการบรรลุผล ดังนั้นคุณสามารถสร้างบอร์ดวิสัยทัศน์ได้อย่างแน่นอน แต่ไวล์เดอร์กล่าวว่า การทำตามขั้นตอนทางกายภาพเพื่อให้คุณเข้าใกล้วิสัยทัศน์ของคุณนั้นสำคัญกว่ามาก
6. กฎของการเปลี่ยนรูปพลังงานตลอดกาล
“ กฎหมายนี้หมายความว่าแม้แต่การกระทำที่เล็กที่สุดก็สามารถส่งผลกระทบที่ลึกซึ้งได้” ไวล์เดอร์กล่าว “ เช่นเดียวกับเมล็ดพันธุ์ของต้นไม้ที่ทรงพลังถือสัญญาทั้งหมดไว้ในเปลือกเล็ก ๆ ของมัน คุณเองก็มีพลังในตัวของคุณในการเคลื่อนย้ายภูเขาได้”

เพื่อนำกฎข้อนี้ไปสู่การปฏิบัติในระดับที่ใช้ได้จริง ไวล์เดอร์ขอแนะนำให้ทำสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ในทุก ๆ วันเพื่อยกระดับคุณไม่ว่าจะเป็นการร้องเพลงในห้องอาบน้ำเต้นรำเหมือนไม่มีใครเฝ้าดูคุณ หรือสิ่งอื่นใด จำไว้ว่าการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ผลลัพธ์ที่สำคัญได้เท่ากัน
7. กฎแห่งเหตุและผล
กฎแห่งเหตุและผล หรือที่เรียกว่า”กฏแห่งกรรม”ระบุว่าการกระทำใด ๆ ก่อให้เกิดปฏิกิริยา ไวล์เดอร์กล่าวว่า และไม่ว่าคุณจะทำอะไรออกมา - ดีหรือไม่ดี - คุณจะได้รับทันที ในการควบคุมอำนาจของกฎข้อนี้ โปรดทราบว่าการกระทำ และการตัดสินใจของคุณ จะส่งผลกระทบอย่างไร?ไม่เพียงแต่ตัวคุณเอง แต่ทุกคนรอบตัวคุณ และมุ่งเน้นไปที่การส่งความรู้สึกที่ดีออกไปเท่านั้น

8. กฎแห่งการชดเชยค่าสินไหมทดแทน
กฎแห่งการชดเชยเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเก็บเกี่ยวสิ่งที่คุณหว่านเอาไว้ “ มันปลูกฝังความไว้วางใจในตัวเราว่า เราจะได้รับการชดเชยสำหรับงานของเรา ตราบเท่าที่เราเปิดกว้างที่จะรับในหลาย ๆ วิธีที่จักรวาลสามารถส่งมอบได้” ไวล์เดอร์กล่าวว่า
เพื่อความชัดเจนการชดเชยในแง่นี้ไม่ได้ จำกัด อยู่ที่การเตรียมการจ้างงาน หรือค่าตอบแทนทางการเงิน แต่เป็นเรื่องของการได้รับค่าตอบแทน สำหรับการมีส่วนร่วมทั้งหมดของคุณ ที่มีต่อโลกรอบ ๆ ตัวคุณ รวมถึงความรักความยินดี และความเมตตาที่คุณได้แพร่กระจายออกไป สิ่งเหล่านั้นล้วนได้รับรางวัลด้วยทั้งหมด

9. กฎแห่งสัมพันธภาพ
“ ไม่มีอะไร และไม่มีใครดีหรือเลวโดยเนื้อแท้” ไวล์เดอร์กล่าวว่า “ ทุกอย่างเป็นรูปแบบของการแสดงออกและมีมากกว่าหนึ่งมุมมอง เกี่ยวกับสถานการณ์หรือความท้าทายใด ๆ ” กล่าวอีกนัยหนึ่งคือเราเป็นผู้กำหนดความหมาย ให้กับสิ่งต่างๆ ดังนั้นเราจึงสามารถเลือกที่จะมองว่าสิ่งต่างๆ "ไม่ดี" หรือเกิดขึ้นตามความโปรดปรานของเรา
10. กฎแห่งความเป็นขั้ว
ทุกอย่างมีขั้วตรงข้าม: ถ้ามีขึ้นก็มีลง ถ้ามีแสงสว่างแสดงว่าต้องมีความมืด สิ่งหนึ่งไม่สามารถดำรงอยู่ได้โดยปราศจากอีกสิ่งหนึ่ง ไวล์เดอร์กล่าวว่า การประสบกับความเป็นขั้วเหล่านี้ เป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ของมนุษย์ และว่าพวกเขายังช่วยให้เราได้เรียนรู้จากความผิดพลาดของเรา และสนับสนุนเราในการระบุสิ่งที่เราไม่ต้องการเพื่อให้เราสามารถได้รับความชัดเจนในสิ่งที่เราได้ทำลงไป
11. กฎแห่งการเคลื่อนไหวตลอดกาล
กฎแห่งการเคลื่อนไหวตลอดกาล บอกเราว่าทุกสิ่งมีการเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล และหน้าที่ของเราคือการยอมรับด้วยการโอยกอดมันไว้ “ ถ้าชีวิตยากและท้าทายจงรู้ไว้ว่ามันจะเปลี่ยนไป” ไวล์เดอร์กล่าวว่า “ ถ้าทุกอย่างเปรียบเสมือนลูกพีชมีสีที่สุกแล้วให้ลิ้มรสชาติในช่วงเวลานั้น แต่อย่าพยายามทำให้มันอยู่ได้นานเกินกว่าธรรมชาติของสิ่งต่างๆ แต่ละช่วงของชีวิตมีของขวัญมากมายที่จะมอบให้กับเรา”
12. กฎแห่งการให้และการรับ
พลังแห่งการให้ และการรับดำเนินการภายในตัวเราทุกคน และเพื่อสร้างกระแสความต้องการที่มีความสมดุล “ ในการทำงานร่วมกับกฎข้อนี้ ก็คือการตระหนักว่าจุดใดในชีวิตของคุณสมดุลระหว่างการให้ และการรับนั้นมันยังคงปิดอยู่” ไวล์เดอร์กล่าวว่า “ คุณต้องยอมให้ทั้งสองฝ่ายในตัวคุณได้พูด และหาหนทางให้ได้”
ต้องการทำความเข้าใจเกี่ยวกับกฎแห่งการดึงดูดให้ชัดเจนขึ้นหรือไม่? นี่คือการศึกษาข้อมูลเขิงลึกอน่างละเอียด และแม้ว่าจะไม่ใช่หนึ่งในกฎ 12 ข้ออย่างเป็นทางการของจักรวาล แต่พลังของการคิดเชิงบวกก็คุ้มค่าที่จะจดบันทึกหรือทบทวนไว้เตือนความทรงจำ 

แปล/เรียบเรียง : กรัณย์กร ชุมปัญญา

อ้างอิงบทความจากผู้เชี่ยวชาญ
โนวาลีไวล์เดอร์
นักเลขศาสตร์

https://www.wellandgood.com/laws-of-the-universe/

25 มีนาคม 2564

บุญอะไร ได้มากสุด...

•#อ่านจบแล้วจะเข้าใจและพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวง
ในครั้งพุทธกาล มีชายคนหนึ่ง มีนิสัยชอบเข้าวัดเข้าวาเพื่อทำบุญทำทานอยู่เป็นประจำ พอทำบุญทำทานแล้วก็อยากที่จะได้บุญมากขึ้นอีก เลยสอบถามพระเถระผู้ใหญ่ว่าต้องทำอย่างไรจึงจะได้บุญมากกว่านี้ พระท่านก็เมตตาแนะนำว่าเมื่อทำบุญทำทานแล้วก็ควรที่จะรักษาศีลด้วย โดยมีศีล ๕ เป็นพื้นฐานในเบื้องต้นเสียก่อน

พอต่อมาเมื่อชายคนนี้ได้รักษาศีล ๕ แล้ว เขาก็เกิดรู้สึกปีติสุขใจ จึงได้กลับไปถามพระท่านต่อว่าแล้วต้องทำอย่างไรต่อจึงจะได้บุญมากยิ่งขึ้นไปอีก พระท่านจึงได้แนะนำต่อว่าให้ลองขยับขึ้นไปรักษาศีลอุโบสถ ซึ่งก็คือศีล ๘

จากนั้นเมื่อชายคนนี้ได้รักษาศีล ๘ แล้ว ก็เกิดรู้สึกปีติสุขใจยิ่งขึ้นไปอีก เขาก็เลยอยากที่จะได้บุญยิ่งๆขึ้นไปอีกทีนี้ จึงได้กลับไปถามพระท่านต่ออีกว่า แล้วต้องทำอย่างไรต่อจึงจะได้บุญมากยิ่งๆขึ้นไปอีก พระท่านก็เลยแนะนำว่า ถ้าอย่างนั้นก็ควรที่จะบวชเป็นพระเพื่อปฏิบัติให้พ้นทุกข์ในวัฏสงสารไปเลย

เมื่อได้ยินดังนั้น ชายคนนี้ก็เลยสละเพศฆราวาสออกบวช ทีนี้ก่อนบวช พระอุปัชฌาย์ผู้ที่จะบวชให้ท่านก็ไม่ได้แนะนำบอกกล่าวเกี่ยวกับวินัยของพระสงฆ์ให้ฟังก่อนนะ เพราะพระพุทธองค์ท่านทรงบัญญัติห้ามไว้ไม่ให้ภิกษุสอนวินัยสงฆ์ก่อนให้แก่ผู้ที่กำลังจะบวช มิเช่นนั้นปรับอาบัติทุกกฎ

ในขณะที่บวช พระอุปัชฌาย์ท่านก็ให้พิจารณากรรมฐาน ๕ เป็นเบื้องต้น อันได้แก่ เกสา-ผม โลมา-ขน นะขา-เล็บ ทันตา-ฟัน ตะโจ-หนัง พอเมื่อบวชเป็นพระแล้วเข้าไปขอนิสัยกับพระอาจารย์

ท่านก็สอนวินัยบัญญัติให้อันได้แก่ อนุศาสน์ ๘ อย่าง ซึ่งประกอบด้วย นิสสัย ๔ คือกิจที่ควรทำ และ อกรณียกิจ ๔คือกิจที่ไม่ควรทำ รวมเป็น ๘ อย่าง จากนั้นท่านก็อธิบายต่อไปอีกว่าพระนั้นต้องรักษาศีลในพระปาฏิโมกข์คือศีล ๒๒๗ ข้อ โดยไล่ไปเรื่อยตั้งแต่ปาราชิก ๔ สังฆาทิเสส ๑๓ อนิยต ๒ นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐ ปาจิตตีย์ ๙๒ ปาฏิเทสนียะ ๔ เสขิยวัตร๗๕ อธิกรณสมถะ ๗ รวมกันเป็น ศีล ๒๒๗ ข้อ

นอกจากนี้แล้วก็ยังศีลอภิสมาจารซึ่งเป็นศีลนอกพระปาฏิโมกข์อีกด้วยนะ แล้วศีลอภิสมาจารนั้นคืออะไร ศีลอภิสมาจารคือกฎบัญญัติขึ้นเพื่อให้พระสงฆ์ปฏิบัติ ถ้าหากเรื่องใดที่ไม่มีระบุในพระวินัยศีล ๒๒๗

แต่ว่ามีระบุในศีลอภิสมาจารซึ่งท่านบัญญัติรองลงไป อันนี้ก็ถือเป็นกฎระเบียบให้พระสงฆ์ปฏิบัติตาม ตัวอย่างเช่น ศีลอภิสมาจารที่บัญญัติว่าให้ภิกษุปลงหนวด ปลงผม และตัดเล็บให้เรียบร้อย ถ้าไม่ปลงหนวด ไม่ปลงผม และไม่ตัดเล็บ ให้ปรับอาบัติ

ทีนี้พอพระใหม่องค์นี้ท่านได้ทราบ ก็เกิดรู้สึกท้อแท้อ่อนอกอ่อนใจเป็นกังวล เพราะศีล ๒๒๗ ข้อก็ว่ามากแล้ว แถมยังต้องรักษาศีลอภิสมาจารซึ่งมีอีกเป็นพันๆสิกขาบทอีก รู้สึกว่ามันเยอะเหลือเกิน ไม่รู้ว่าจะรักษาศีลทั้งหมดได้อย่างไร ผลที่สุด ก็เกิดท้อแท้ใจมากจนคิดอยากที่จะลาสิกขา ท่านจึงได้ไปกราบลากับพระอาจารย์ของท่านว่า

“กระผมคงไม่สามารถจะรักษาศีลเหล่านี้ทั้งหมดได้หรอก ถ้าอย่างนั้น กระผม จะขอลาสิกขา”

ทีนี้ฝ่ายพระอาจารย์ เมื่อได้ยินดังนั้นแล้ว ก็จนปัญญาไม่รู้จะแนะนำอย่างไรต่อ เพราะได้สอนจนหมดภูมิปัญญาตามที่พระพุทธองค์ท่านได้ทรงบัญญัติเอาไว้แล้ว

เพราะพระวินัยทั้งหลาย ไม่ใช่พระวินัยที่พระสงฆ์บัญญัติขึ้น แต่เป็นพระวินัยของพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นพระศาสดาเป็นผู้ทรงบัญญัติขึ้น จากนั้นพระอาจารย์ก็เลยคิดได้ว่า แล้วถ้าหากต่อไป เมื่อมีคนบวชเข้ามาแล้วมาขอลาสิกขาในลักษณะเดียวกันนี้อีก แล้วทีนี้เราควรจะตอบเขาว่าอย่างไร พระอาจารย์ท่านก็เลยบอกพระใหม่ว่า

“ถ้าอย่างนั้นจะพาไปกราบพระพุทธเจ้าเสียก่อน” เมื่อได้พากันไปกราบพระพุทธเจ้า พระอาจารย์ท่านจึงได้กราบทูลเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้พระพุทธองค์ทรงรับทราบว่า

“ข้าพระพุทธเจ้าได้แนะนำบอกกล่าวเรื่องพระวินัยทั้งหมดแล้ว แต่พระใหม่องค์นี้ท่านไม่สามารถที่จะรักษาศีลทั้งหมดนี้ได้ เพราะมันมากเกินไป มันหยุมหยิมเกินไป กลัวว่าจะเป็นบาป หรือไม่ก็เป็นบ้าไปเสียก่อน ดังนั้น ท่านจึงได้ขอลาสิกขา

ข้าพระพุทธเจ้าจึงได้นำพระใหม่องค์นี้มา เพื่อว่าต่อไปภายหน้าถ้ามีผู้ที่บวชเข้ามาแล้วขอลาสิกขาในลักษณะเดียวกันนี้อีก ขอพระพุทธองค์ทรงเมตตาแนะนำข้าพระพุทธเจ้าว่าควรที่จะแนะนำเขาว่าอย่างไรดี พระเจ้าข้า” พระพุทธเจ้าจึงได้ทรงเรียกพระใหม่องค์นั้นเข้ามาเพื่อตรัสถามว่า

“ทำไมเธอถึงรักษาศีลเหล่านี้ไม่ได้ ทั้งๆที่พระใหม่ท่านอื่นๆเขายังรักษากันได้เลย” พระใหม่รูปนั้นก็กราบทูลตามตรงว่า

“ทีแรกข้าพระพุทธเจ้าอยากจะได้บุญมากจึงได้บวชเข้ามาเป็นพระ แต่พอมาเจอกับศีลและวินัยที่มีมากมายเป็นพันๆข้อขนาดนี้แล้ว รู้สึกว่ามันมีมากมายละเอียดถี่ยิบเหลือเกิน ไม่ว่าจะทำอะไรก็รู้สึกว่ามันจะผิดไปเสียหมดทุกอย่าง ทำอันนี้ก็ผิด ทำอันนั้นก็ผิด อันนี้ก็ห้ามว่าไม่ควรทำ อันนั้นก็ห้ามว่าไม่ควรทำ

ถ้าจะต้องรักษาศีลทั้งหมดนี้แล้ว ก็คงจะทำไม่ได้ ประเดี๋ยวจะกลายเป็นบ้าไปเสียก่อน ทีนี้แล้วเกิดไปฉันข้าวน้ำโภชนา ไปใช้ข้าวของที่ชาวบ้านเขาถวายมาทั้งที่ศีลของตัวเองก็ยังไม่บริสุทธิ์ ก็กลัวจะเป็นบาปเป็นกรรมไปเสียเปล่าๆ แต่ถ้ากลับไปเป็นฆราวาสรักษาศีล ๕ หรือศีล ๘ อีกอย่างเก่า แบบนั้นน่าจะดีกว่า น่าจะได้กุศลมากกว่าที่จะมาเป็นพระแล้วรักษาศีลไม่ได้ เพราะถึงอย่างไรก็ยังกินข้าว ยังใช้ข้าวของของตนเอง อย่างนี้คงจะไม่เป็นบาปกระมัง”
“ข้าพระพุทธเจ้าคิดอย่างนี้ จึงได้อยากจะขอลาสิกขา พระเจ้าข้า”

พระพุทธองค์จึงตรัสตอบว่า

“ถ้าเธอคิดว่ารักษาศีลเหล่านี้ มันมากเกินไป ถ้าอย่างนั้นแล้ว ถ้าเกิดเราตถาคตจะให้เธอรักษาเพียงแค่ข้อเดียว เธอจะทำได้หรือไม่”

“ถ้าให้รักษาเพียงแค่ข้อเดียว คิดว่าทำได้ พระเจ้าข้า”

“ถ้าอย่างนั้น ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เธอไม่ต้องรักษาอย่างอื่นให้มันยุ่งยากมากมายหรอก แต่ให้เธอรักษาใจเอาไว้อย่างเดียวเท่านั้นพอ คือให้มีสติอยู่กับตนเองอยู่ตลอดเวลา ไม่ต้องคิดอย่างอื่น ให้ภาวนาอยู่ตลอด ให้มีพุทโธอยู่ในใจ ให้ดูใจ ให้รักษาใจของตนเองเอาไว้อยู่ตลอดเวลา อย่าให้มันแฉลบออกไปหาสิ่งที่ไม่ดี อย่าไปคิด อย่าไปพูดในทางชั่ว ในทางอกุศล ในทางที่จะเบียดเบียนคนอื่น ในทางโลภ โกรธ หลง ให้เธอรักษาใจแค่นี้เพียงอย่างเดียว ทำได้หรือไม่”

“ถ้าให้รักษาใจแค่เพียงอย่างเดียว แบบนี้คิดว่าทำได้ พระเจ้าข้า”

จากนั้นพระรูปนั้นท่านก็ไม่ต้องรักษาวินัยอีกต่อไป ท่านแค่รักษาใจของท่านแต่เพียงอย่างเดียวอยู่ตลอดเวลา กิเลสก็เข้ามาหาใจของท่านไม่ได้ พอจากนั้นไม่นาน ท่านก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์

นี่แหละ พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ไม่ต้องให้รักษาอย่างอื่น ให้รักษาใจอย่างเดียว เพราะศีลล้วนออกไปจากใจทั้งหมด มันเป็นเงาของใจ ใจไปทำเรื่องนั้น เรื่องนี้ มันก็เลยยุ่งเหยิงวุ่นวาย ก็เลยต้องบัญญัติวินัยขึ้นมา

สรุปแล้วก็คือ ศีลของพระพุทธเจ้านั้นสรุปรวมลงมาสู่ที่ใจที่นี่ที่เดียว เพราะในเมื่อเรื่องทั้งหลายล้วนออกมาจากใจ พอมาดูที่ต้นตอของมันคือใจอย่างเดียว พอรักษาที่ต้นตอคือใจได้แล้วเท่านั้นแหละ มันก็จบเลยทีนี้ เพราะศีลมันก็ออกมาจากใจทั้งหมด

การปฏิบัติธรรมนี้ก็เหมือนกัน อย่าไปดูที่อื่น
ให้ดูที่ใจอย่างเดียวพอ ดูที่ใจ แก้ที่ใจ หลุดพ้นที่ใจ กิเลสอยู่ที่ใจ ธรรมอยู่ที่ใจ ความโง่อยู่ที่ใจ ความฉลาดอยู่ที่ใจ มันอยู่คนละอันกันเท่านั้นเอง พลิกอันใดอันหนึ่งมันขึ้นมา อีกอันมันก็ตกไป

#ถ้าหากญาติธรรมเห็นว่ามีประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์
#และพระพุทธศาสนาอย่าลืมที่จะเผยแพร่ธรรมะร่วมกัน
#โดยการกดแชร์ ขออนุโมทนา

หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก คัดจาก “ธรรมทั้งหมดของพระพุทธเจ้านั้นรวมลงแล้วก็คือ ให้รักษาใจเท่านั้นพอ” จากหนังสือ “แนวทางครูบาอาจารย์พาดำเนิน” เล่ม ๑ หน้า ๕๕ – ๖๐

กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมนี้ ทุกๆท่าน

17 มีนาคม 2564

#วิธีถอนคำสาบานถอนคำบนบานศาลกล่าวถอนคำสัญญา



ไม่ว่าท่านจะไปกล่าวคำสาบาน
คำบนบานศาลกล่าว คำสัญญา
จะจริงจะเล่น กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์
หรือตัวบุคคลใดบุคคลหนึ่ง
สิ่งใดสิ่งหนึ่ง

ซึ่งบางครั้งเราไม่รู้เลยว่า
สัจจะวาจาที่เราได้กล่าวออกไปนั้น
มันจะผูกมัดผูกพัน ทำให้เราต้องเผชิญกับสิ่งที่ติดๆขัดๆ ทั้งในชีวิต
ทั้งในจิตใจเรามาโดยตลอด

 วิธีถอนคำสาบาน คำบนบานศาลกล่าว คำสัญญา ทำง่าย ๆ ได้ดังนี้

ก่อนอื่น พิธีถอดถอนนี้จะต้อง ทำต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือพระพุทธรูป
(สิ่งศักดิ์สิทธ์ที่ไหนก็ได้) 

และสิ่งที่ต้องเตรียมไป คือ ขันธ์8 ประกอบด้วย 
เทียน 8 คู่ (16เล่ม)
เงินเหรียญบาท 8 เหรียญ 
ดอกไม้ 8 คู่ (16ดอก)
ใส่ในพาน หรือในจานภาชนะ 

เมื่ออยู่ต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือ พระพุทธรูปศักดิสิทธิ์แล้ว ให้คุกเข่ากราบพระ แล้วว่านะโม ฯ 3 จบ ยก พาน หรือ ขันธ์ 8 ขึ้นแล้วกล่าวว่า 

" อิมัง มิฉา อธิษฐานัง ปันจุทัดธาราปิ
ทุติยัมปิ อิมัง มิจฉา อธิษฐานัง ปันจุทัดธาราปิ ตะติยัมปิ อิมัง มิจฉา อธิษฐานัง ปัจจุทัดธาราปิ "

ข้าพเจ้า....ชื่อ-นามสกุล....ขอถอดถอนคำอธิษฐาน ขอถอดถอนคำสาบาน ขอถอดถอนคำสาบคำแช่ง ขอถอดถอนคำบนบานศาลกล่าว ขอถอดถอนคำสัญญา ที่ข้าพเจ้าได้ตั้งขึ้น พร้อมแล้วด้วยกิเลส ด้วยตัณหา ด้วยอุปทาน ด้วยโทสะ ด้วยโมหะ ด้วยมานะ ด้วยมิจฉาทิฐิ ที่ข้าพเจ้าได้อธิษฐานไว้ สาปแช่งไว้ บนบานศาลกล่าวไว้ สาบานไว้ สัญญาไว้ ในอดีตชาติก็ดี ปัจจุบันชาติก็ดี

ข้าพเจ้า น้อมขออำนาจพระบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระรัตนตรัยและเทพพรมหมทั้ง 16 ชั้นฟ้า 15 ชั้นดิน แม่พระธรณีได้โปรดเป็นทิพย์พยานในการที่ข้าพเจ้า ขอถอดถอนคำอธิษฐานเหล่านั้น ถอนคำแช่ง คำสาบาน คำบนบานศาลกล่าว คำสัญญา ร้อยหน พันหน ณ กาล บัดนี้เทอญ

นะถอน โมถอน
พุทธถอน ธาถอน ยะถอน 
นะคลอน โมคลอน
พุทคลอน ธาคลอน ยะคลอน 
ถอนด้วย นะโมพุทธายะ นะมามิหัง

แล้วถวายขันธ์ 8 วางไว้ตรงหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์
(วางแล้ววางเลยไม่ต้องเอากลับ)

หากได้ทำเช่นนี้แล้ว รับรองเลยว่า สิ่งที่ติดขัดอยู่ก็จะผ่อนคลาย ทางมืดทางตันก็จะกลับกลายเป็นทางสว่างทันที เงินที่ว่าจะได้ก็ได้สมใจ งานที่ว่าจะสำเร็จก็สำเร็จสมหวัง 

หมายเหตุ ไม่แนะนำให้ทำที่บ้าน ควรทำต่อหน้าพระประธานที่วัดและทำได้ทุกเมื่อ หรือทำเมื่อไหร่ก็ได้ถ้าใจพร้อม (ถ้าอยากเลือกเอาวันมงคลในช่วงนี้ก็ควรเป็นวันอาทิตย์หรือวันพฤหัสบดีก็ได้)

แชร์ไปได้บุญ

พระอริยะเจ้ากล่าวถึงหลวงพ่อฤาษี

🔱หลวงปู่ดาบส สุมโณ พูดถึงหลวงพ่อฤๅษีฯ ว่า "#พระคุณเจ้าองค์นั้นเป็นอรหันต์องค์เอกองค์หนึ่งของโลกในปลายศาสนา ๕๐๐๐ ปี #จะหาใครสอนเสมอเหมือนพระคุณท่านหาไม่ได้แล้ว #พระคุณท่านองค์นั้นสอนได้คล้ายพระพุทธเจ้าสอน เพราะท่านปรารถนาพระโพธิญาณ ถ้าท่านไม่ลาพุทธภูมิหักใจเป็นพระอรหันตสาวกเสียก่อน 
ท่านเทศน์คราวไร เรา..พวกเรานี้ที่บำเพ็ญบารมีตามท่านมา ก็จะฟังเทศน์จากท่านเพียงครั้งเดียวก็จะเป็นพระอรหันต์ตามได้ 
⚜️จำไว้นะ ! กลับไปฟังคำสอนของพระคุณท่าน ฟังเทปของท่าน ดูวีดีโอของท่าน ให้ส่งจิตคิดตามเสียงท่านประหนึ่งว่าเป็นเสียงในใจเรา ก็อาจจะบรรลุมรรคผลได้ตามที่ตัดสินใจ ตามเสียงนั้นเฉพาะหน้า เหมือนฟังจากพระพุทธเจ้านั่นแหละ องค์นี้หาใครสอนได้เสมือนท่านยากนักหนาแล้ว" 

🔱ท่านเจ้าคุณหลวงพ่อ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ฟื้น ชุตินธโรมหาเถระ) วัดสามพระยา ปรารภกับหลวงพี่ ท่านพระครูปลัดอนันต์ พัทธญาโณ เจ้าอาวาส วัดท่าซุงว่า " #คำสอนของท่านเจ้าคุณพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง) #ใช้เป็นตำราได้ทั้งหมดนะ"

🔱พระเดชพระคุณหลวงพ่อ ท่านเจ้าคุณพระญาณสิทธาจารย์ (หลวงปู่สิม พุทธาจาโร มหาเถระ) บอกว่า "หลวงพ่อมหาวีระ(หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง) ท่านเป็นโลกวิทู แจ้งทั้งโลก แจ้งทั้งธรรม" 

🔱หลวงปู่บุดดา ถาวโร ยังปรารภถึงหลวงพ่อว่า " หลวงปู่น่ะเหมือนหิ่งห้อย
หลวงพ่อมหาวีระ(หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง) นั้นเหมือนพระอาทิตย์" 

🔱ครูบาคำแสนเล็ก ท่านบอกว่า “หลวงปู่ บวชมา 60 กว่าพรรษาเข้านี่แล้วยังไม่เคยพบพระองค์ไหนเหมือนหลวงพ่อ(หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง) ”

___________________________
🖋️📚หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๒
ในปีพ.ศ. ๒๕๑๕ หลวงปู่ชุ่ม โพธิโก หลวงปู่คำแสน คุณาลังกาโร กำลังสนทนาธรรมกันที่วัดป่าดอนมูล อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ ผู้เขียนกำลังรับฟังธรรม จากพระเดชพระคุณท่านฯ ทั้งสองอยู่ 
🔱หลวงปู่ชุ่มก็หันหน้ามาบอกผู้เขียนว่า 
“ท่านบุญรัตน์ ให้ไปกราบหลวงพ่อใหญ่ วัดท่าซุงหน่อย ท่านเป็นพระทอง หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว ท่านเปี่ยมด้วยเมตตาบารมี ใครได้กราบไหว้ก็เป็นบุญกุศลใหญ่นัก”

🔱หลวงปู่คำแสนซึ่งนั่งอยู่ใกล้ๆ ก็กล่าวเสริมขึ้นว่า “เออ ดีมาก หลวงพ่อวัดท่าซุงเป็นผู้ประกอบไปด้วยเมตตาธรรมอันสูงส่ง เหมือนกับครูบาศรีวิชัย หาที่ไหนไม่ได้แล้ว” 
ผู้เขียนได้รับฟังหลวงปู่ทั้งสององค์บอกกล่าว ดังนั้นก็ก้มกราบเท้าทั้งสองหลวงปู่ด้วยความอิ่มอกอิ่มใจจนน้ำตาไหล

🔱หลวงปู่ชุ่มบอกว่า 
“พระเดชพระคุณหลวงพ่อวีระ วัดท่าซุงนี่ท่านเปี่ยมไปด้วยคุณธรรมอันสูงมาก บารมีสูง ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของท่าน ท่านจะไม่มาอีกแล้ว จะเข้าสู่พระนิพพาน เพราะฉะนั้นท่านจึงสั่งสอนให้ลูกหลานและศิษย์ท่านปฏิบัติให้เข้าถึงพระนิพพานกันหมด”

🔱หลวงปู่ชุ่มบอกกับผู้เขียนว่า
“ขอให้ท่านจงได้ปฏิบัติติดตามคำสอนของพระเดชพระคุณหลวงพ่อเถอะ จะได้ถึงพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้” ผู้เขียนก็น้อมรับว่า “สาธุ” ตั้งแต่นั้นมาผู้เขียนก็ได้มีโอกาสได้ไปกราบเท่าพระเดชพระคุณเจ้าประคุณหลวงพ่อฯ อีกหลายครั้ง 
________________________

🔱 อริยสงฆ์ที่ยังดำรงขันธ์อยู่..
ที่หลวงตามหาบัว...กล่าวว่าเป็นเนื้อนาบุญของโลก..

🖋️📚เรียบเรียงโดย แดนโลกธาตุ

พระอริยสงฆ์ที่องค์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน (พระอรหันต์แห่งประวัติชาติไทยองค์ปัจจุบัน แห่งวัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี ) ได้กล่าวถึงว่าท่านเหล่านี้ได้ปฏิบัติธรรมจนสามารถทำ จิตให้บริสุทธิ์, และหมดแห่งกิจที่ควรทำแล้ว ก็จะมีครูบาอาจารย์ต่างๆในสายพระกรรมฐานสายหลวงปู่มั ่นมากมาย ที่ท่านหลวงตามหาบัวได้กล่าวถึงประจำ แต่ในบางครั้งท่านเหล่านั้นจะไม่พูดว่าได้ขั้นไหน ๆ แล้วเพราะท่านอาจจะมองเห็นปัญหาต่างๆ ตามมา เช่น คนมารุมตอม.ไม่เว้นแต่ละวันทำให้ท่านไม่ได้พักผ่อน

ยกตัวอย่างเหตุกาณ์ ในวันนั้นที่ข้าพเจ้าถามพระเถระพระป่า (ไม่ขอเอ่ยนามท่าน) ข้าพเจ้าถามว่า.....ดังนี้

..หลวงปู่เป็นพระอรหันต์หรอครับ....
ท่านก็จะตอบว่า..........ดูเอานี่ไงหันซ้ายหันขวา..
แล้วท่านก็.....จะทำท่าหันไปข้างซ้าย...หันไปข้างขวา ให้เราดู...
คนถามก็จะอดหัวเราะไปกับท่านไม่ได้ครับ........

แล้วท่านก็เมตตาบอกว่า....ไม่สำคัญที่จะไปถามว่าพระร ูปไหนสำเร็จอะไร เราจะไปกังวลถามทำไม....เราปฏิบัติเองเรารู้เอง..ไม่ ต้องถามคนอื่น...

ทิ้งท้ายท่านเมตตาบอกว่า
แต่บุญที่ทำกับพระอรหันต์ผู้หมดกิเลสนั้นได้กุศลมากเ ลยทีเดียวนะ....

เหตุกาณ์หนึ่งที่ผู้เขียนได้รับฟังมาจากหูโดยตรง.... จากพระธรรมเทศฯองค์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี
ท่านได้รับรองว่าท่านนั้น ท่านนี้เป็นพระอริยบุคคลหมดกิเลส หลายรูปครับ
ผู้เขียนจึงอดที่จะเอาเอาเทศนาของหลวงตามหาบัว นั้น มาให้ผู้อ่านรู้ด้วยไม่ได้ครับ
ดังนี้ครับ........

"พระหมดกิเลสในสายหลวงปู่มั่น นี้ก็ไม่ใช่น้อย แต่ท่านไม่เปล่งบอกใครเพราะเกี่ยวกับอรรถกับธรรมเห็น ธรรมดีเลิศกว่า แต่ที่เราบอกเราก็ไม่ได้อวดอุตริ ใดๆ ทั้งสิ้น จริงคือจริงไม่มีปิดบัง ไม่สงสัยในธรรม ใครจะเอาตำราไหนมาอ้าง ก็ให้มันเอามาได้เลย ที่วัดป่าบ้านตาด ดราไม่สะทกสะเทือน จะชี้แจงแถลงไขให้เข้าใจเอง เอ้าเชิญมา....."

ที่ได้ฟังท่านเปรย ๆ มาก็พอจับใจความมาว่าท่านไหนได้แล้ว...เสียดายที่ไม่ ได้อัดเทบไว้ครับ....

และนี่ก็คือท่านเปรยว่าล้วนแล้วแต่เป็นพระอริยสงฆ์เนื้อนาบุญของโลกเลยทีเดียว

ท่านบอกว่า
⚜️1.ท่านอาจารย์เจี๊ยะ จุนโท (มรณภาพแล้วอัฐิแปรเป็นพระธาตุ)
วัดป่าภูริทัตปฏิปทาราม อ.สามโคก จ.ประทุมธานี

⚜️2.หลวงปู่ลี กุสลธโร
วัดภูผาแดง อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี

⚜️3.หลวงปู่อ่อนสา สุขกาโร
วัดป่าประชาชุมพลพัฒนาราม อ.เมือง จ.อุดรธานี

⚜️4.หลวงปู่ขาล ฐานวโร (มรณภาพแล้วอัฐิแปรเป็นพระธาตุ)
วัดป่าบ้านเหล่า อ.เวียงเชียงรุ้ง จ.เชียงราย

⚜️5.พระอาจารย์แบน ธนากโร
วัดดอยธรรมเจดีย์ อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร

⚜️6.หลวงปู่หลวง กตปุญโญ (มรณภาพแล้วอัฐิแปรเป็นพระธาตุ)
วัดคีรีสุบรรพต จ.ลำปาง

⚜️7.อาจารย์เหรียญ วรลาโภ (มรณภาพแล้วยังไม่ประชุมเพลิง)
วัดอรัญบรรพต อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย

⚜️8.อาจารย์สมชาย ฐิตวิริโย (มรณภาพแล้วยังไม่ประชุมเพลิง)
วัดเขาสุกิม อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี

⚜️9.หลวงปู่หลอด ประโมทิโต
วัดสิริกมลาวาส (วัดใหม่เสนานิคม) เขตลาดพร้าว กรุงเทพมหานคร

⚜️10.หลวงปู่มหาเนียม สุวโจ
วัดเจริญสมณกิจ (หลังศาลภูเก็ต ) อ.เมือง จ.ภูเก็ต

⚜️11.หลวงปู่มหาเจิม ปัญญาพโล
วัดสระมงคล อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม

⚜️12.หลวงปู่ศรี มหาวีโร (มรณภาพแล้ว)
วัดประชาคมวนาราม อ.ศรีสมเด็จ จ.ร้อยเอ็ด

⚜️13.พระอาจารย์สายทอง เตชธัมโม
วัดป่าห้วยกุ่ม (ใกล้เขื่อนจุฬาภรณ์ ) อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ

⚜️14.หลวงปู่ผ่าน ปัญญาปทีโป
วัดป่าประทีปปุญญาราม อ.อากาศอำนวย จ.สกลนคร

⚜️15.พระอาจารย์ประสิทธิ์ ปุญมากโร
วัดป่าหมู่ใหม่ อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่

⚜️16.พระอาจารย์เลี่ยม ฐิตธัมโม
วัดหนองป่าพง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี

⚜️17.หลวงปู่ทา จารุธัมโม
วัดถ้ำซับมืด จ.นครราชสีมา

⚜️18.พระอาจารย์เพียร วิริโย
วัดป่าหนองกอง อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี

⚜️19.อาจารย์สาย เขมธัมโม
วัดป่าพรหมวิหาร อ.โนนสัง จ.หนองบัวลำภู

⚜️20.พระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป
วัดอรัญวิเวก อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่

⚜️21.หลวงปู่วิริยังค์ สิรินธโร
วัดธรรมมงคล เขตพระโขนง จ.กรุงเทพมหานคร

⚜️22.พระอาจารย์พวง สุขินทริโย (มรณภาพแล้ว)
วัดศรีธรรมมาราม อ.เมือง จ.ยโสธร

⚜️23.หลวงปู่บุญเพ็ง เขมาภิรโต
วัดถ้ำกลองเพล อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู

⚜️24.หลวงตาแตงอ่อน กัลยาณธัมโม
วัดป่าโชคไพศาล อ.วานรนิวาส จ.สกลนคร

⚜️25.หลวงปู่บุญหนา ธัมทินโน
วัดป่าโสตถิผล อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร

⚜️26.หลวงปุ่บุญพิน กตปุญโญ
วัดผาเทพนิมิตร อ.นิคมน้ำอูน จ.สกลนคร

⚜️27.หลวงปู่ลี ฐิตธัมโม (มรณภาพแล้วอัฐิแปรเป็นพระธาตุ)
วัดเหสลึก อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร

⚜️28.หลวงปู่แปลง สุนทโร
วัดป่าอุดมสมพร อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร

⚜️29.หลวงปู่บุญจันทร์ กมโล (มรณภาพแล้วอัฐิแปรเป็นพระธาตุ)
วัดป่าสันติกาวาส อ.ไชยวาน จ.อุดรธานี

⚜️30.หลวงปู่จันทร์ศรี จันททีโป
วัดโพธิ์สมภรณ์ อ.เมือง จ.อุดรธานี

⚜️31.พระอาจารย์ท่อน ญาณธโร
วัดศรีอภัยวัน อ.เมือง จ.เลย

⚜️32.พระอาจารย์อุ่นหล้า ฐิตธัมโม
วัดป่าแก้วชุมพล อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร

⚜️33.พระอาจารย์คำบ่อ ฐิตปัญโญ
วัดใหม่บ้านตาล อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร

⚜️34.พระอาจารย์อุทัย สิรินธโร
วัดถ้ำพระ อ.เซกา จ.หนองคาย

⚜️35.หลวงปู่บุญฤทธิ์ ปัณฑิโต
สำนักสงฆ์สวนทิพย์ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี

⚜️36.พระอาจรย์วิไล เขมิโย
วัดถ้ำพณาช้างเผือก อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ

⚜️37.หลวงปู่จันทา ถาวโร
วัดป่าเขาน้อย อ.วังทรายพูล จ.พิจิตร

⚜️38.อาจารย์อ่ำ ธัมกาโม
วัดธุดงคสถานสันติวรญาณ อ.วังโป่ง จ.เพรชบูรณ์

⚜️39.หลวงปู่ถวิล
จ.อุดรธานี (ไม่ทราบที่อยู่และฉายาท่าน)

⚜️40.อาจารย์อินทร์ถวาย สันตุสโก
วัดป่านาคำน้อย อ.นายูง จ.อุดรธานี

⚜️41.อาจารย์วันชัย วิจิตโต
วัดภูสังโฆ อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี

⚜️42.หลวงปู่มี (เกล้า) ประมุตโต
วัดดอยเทพนิมิตร (วัดถ้ำเกีย ) อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี

⚜️43.อาจารย์เสน ปัญญาธโร
วัดป่าหนองแซง อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี

⚜️44.อาจารย์คำแพง อัตสันโต
วัดป่าหนองวัวซอ (วัดบุญญานุสรณ์ ) อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี

⚜️45.พระอาจารย์ปัญญาวัฒโท (มรณภาพแล้วอัฐิแปรเป็นพระธาตุ)
วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี

⚜️42.หลวงปู่มี (เกล้า) ประมุตโต
วัดดอยเทพนิมิตร (วัดถ้ำเกีย ) อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี

⚜️43.อาจารย์เสน ปัญญาธโร
วัดป่าหนองแซง อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี

⚜️44.อาจารย์คำแพง อัตสันโต
วัดป่าหนองวัวซอ (วัดบุญญานุสรณ์ ) อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี

⚜️45.พระอาจารย์ปัญญาวัฒโท (มรณภาพแล้วอัฐิแปรเป็นพระธาตุ)
วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี

⚜️46.#ท่านฤาษีลิงดำ (พระราชพรหมญาณ ) (ท่านมรณภาพแล้วอัฐิแปรเป็นพระธาตุ )วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี
(หลวงปู่สิม เคยปรารภให้อาจารย์มหาบัวฟัง)

⚜️47.หลวงปู่สังวาลย์ เขมโก
จ.สุพรรณบุรี

⚜️48.ท่านเจ้าคุณพระสุพรหมญาณเถระ (ครูบาพรมา พรมจกฺโก) วัดพระพุทธบาทตากผ้า (มรณภาพแล้ว)
จ.ลำพูน

⚜️49.พระอาจารย์มหาโส กัสโป
วัดป่าคำแคนเหนือ อ.มัญจาคีรี จ.ขอนแก่น

⚜️50.หลวงปู่คำฟอง เขมจาโร (มรณภาพแล้วอัฐิแปรเป็นพระธาตุ)
วัดกุดเรือคำ อ.วานรนิวาส จ.สกลนคร

⚜️51.หลวงปู่บุญเพ็ง กัปโป
วัดป่าวิเวกธรรม (วัดป่าช้าเหล่างา) อ.เมือง จ.ขอนแก่น

⚜️52.หลวงปู่จันทร์แรม เขมสิริ
วัดเกาะแก้วะดงคสถาน อ.บ้านด่าน จ.บุรีรัมย์

⚜️53.คุณแม่ชีแก้ว เสียงล้ำ (มรณภาพแล้วอัฐิแปรเป็นพระธาตุ)
สำนักชีบ้านห้สยทราย อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร

⚜️54.พระอาจารย์ทุย (ปรีดา) ฉันทกโร
วัดป่าดานวิเวก อ.โซ่พิสัย จ.หนองคาย

⚜️55.พระอาจารย์สรวง สิริปุญโญ
วัด่าศรีฐานใน อ.ป่าติ้ว จ.ยโสธร

⚜️56.พระอาจารย์สาคร ธัมวุธโธ
วัดป่ามณีกาญจ์ อ.บางกรวย จ.นนทบุรี

⚜️57.พระอาจารย์จันทร์โสม กิตติกาโม
วัดป่านาสีดา อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี

⚜️58.พระอาจารย์แยง สุขกาโม
วัดเจติยาคีรีวิหาร (ภูทอก) อ.ศรีวิไล จ.หนองคาย

⚜️59.หลวงปู่แฟ็บ สุภัทโท
วัดป่าดงหวาย อ.บ้านม่วง จ.สกลนคร

⚜️60.พระอาจารย์จันทร์เรียน คุณวโร
วัดถ้ำสหายธรรมจันทร์นิมิตร อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี

⚜️61.หลวงปู่ผาง โกสโล
วัดภูหินแตก อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร

⚜️62.หลวงปู่หล้า เขมปัตโต (มรณภาพแล้วอัฐิแปรเป็นพระธาตุ)
วัดบนนพตคีรี (ภูจ้อก้อ) อ.หนองสูง จ.มุกดาหาร

⚜️63.ท่านพระอาจารย์สิงทอง ธัมวโร (มรณภาพแล้วอัฐิแปรเป็นพระธาตุ)
วัดป่าแก้วชุมพล อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร

⚜️64.หลวงปู่อ่อนศรี ฐานวโร
วัดถ้ำประทุน ต.เขาไม้แก้ว อ.บางละมุง จ.ชลบุรี

⚜️65.หลวงปู่ต้น สุทธิกาโม
วัดบึงพลาราม ต.บ้านว่าน อ.ท่าบ่อ จ.หนองคาย

⚜️66.หลวงปู่สมศักดิ์ ปัณฑิโต
วัดบูรพาราม ( วัดหลวงปู่ดูลย์ อตุโล ) ต.ในเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์

⚜️67.หลวงปู่ทอง จันทสิริ
วัดอโศการาม ต.ท้ายบ้าน อ.เมือง จ.สมุทรปราการ

⚜️68.หลวงปู่ทองใบ ปภสฺสโร
สำนักวิปัสสนาธุระ (ภูย่าอู่) บ.นาหลวง อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี

⚜️69.หลวงปู่คูณ สุเมโธ
วัดป่าภูทอง ต.บ้านผือ อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี

⚜️70.พระอาจารย์ฟัก สันติธัมโม
วัดพิชัยพัฒนาราม ( วัดป่าเขาน้อยสามผาน ) ต.สองพี่น้อง อ.ท่าใหม่
จ.จันทบุรี

⚜️71.หลวงปู่สุทัศน์ โกสโล
วัดกระโจมทอง ต.วัดชลอ อ.บางกรวย จ.นนทบุรี

⚜️72.หลวงปู่อ้ม สุขกาโม
วัดภูผาผึ้ง อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร

⚜️73.ท่านพระอาจารย์สุธรรม สุธัมโม
วัดป่าหนองไผ่ ต.ดงมะไฟ อ.เมือง จ.สกลนคร

⚜️74.ท่านพระอาจารย์หลอ นาถกโร
วัดถ้ำอภัยดำรงธรรม ( วัดถ้ำพวง วัดพระอาจารย์วัน อุตโม ) อ.ส่องดาว
จ.สกลนคร

⚜️75.หลวงพ่อทองคำ กาญวันวัณโณ
วัดถ้ำบูชา อ.เซกา จ.หนองคาย

⚜️76.หลวงปู่ถิร ฐิตธัมโม (มรณภาพแล้วอัฐิแปรเป็นพระธาตุ)
วัดทิพยรัฐนิมิตร (วัดป่าบ้านจิก) อ.เมือง จ.อุดรธานี

⚜️80.พระอาจารย์ทองอินทร์ กตปุญฺโญ
วัดป่ากุง (วัดป่าประชาคมวนาราม ) อ.ศรีสมเด็จ จ.ร้อยเอ็ด

⚜️81.หลวงปู่เผย วิริโย
วัดถ้ำผาปู่ ต.นาอ้อ จ.เลย

⚜️82.หลวงปู่คำพอง ขันติโก
วัดป่าอัมพวัน จ.เลย

⚜️83.หลวงปู่อว้าน เขมโก
วัดป่านาคนิมิตร อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร

⚜️84.ท่านพระอาจารย์วิชัย เขมิโย
วัดถ้ำผาจม จ.เชียงราย

⚜️85.พระอาจารย์บุญทัน ปุญทัตโต (ท่านเพิ่งจะมรณภาพ เดือน ธค.49 )
วัดป่าสามัคคีสันติธรรม อ.ฝาง จ.ขอนแก่น

⚜️86.หลวงปู่พิศดู ธรรมจารีย์
วัดเทพธารทอง ต.พลวง กิ่งอ.เขาคิชฌกูฏ จ.จันทบุรี

⚜️87.หลวงปู่เนย สมจิตฺโต
วัดป่าโนนแสนคำ บ.ทุ่งคำ ต.เจริญศิลป์ อ.เจริญศิลป์ จ.สกลนคร

⚜️88. หลวงปู่สังข์ สังกิจโจ
วัดป่าพระอาจารย์ตื้อ อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่

⚜️89.ท่านพระอาจารย์อุทัย ธมฺมวโร
วัดภูย่าอู่ อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี

⚜️90.หลวงปู่ประสาร สุมโน
วัดป่าหนองไคร้ ต.หนองหิน อ.เมือง จ.ยโสธร
____________________________________

🔱หลวงปู่ดู่ กล่าวถึง หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง

ท่านมหาวีระ ท่านมีบารมีสูง มีข้างบนเป็นกำลังหนุน เป็นอาจารย์ใหญ่สอน คนได้จำนวนมาก ข้าขอโมทนา พวกแกเกิดมาพบพระอรหันต์ ที่มีบารมีสูง อย่าให้เสียทีที่ได้พบ เอาสิ่งที่ตนปฏิบัติได้(ญาณ) มาอบรมตนเอง

หลวงปู่เคยปรารภหลายครั้งว่าสอนกรรมฐานให้เด็ก ๆ นั้น ง่ายกว่าผู้ใหญ่ เพราะผู้ใหญ่ อ่านมามาก ฟังมากมาก สอนคนรู้มากนั้นสอนยาก เพราะมักมีความลังเลสงสัยอันเป็นนิวรณ์หรืออุปสรรคต่อการทำจิตให้เป็นสมาธิ บางครั้งหลวงปู่ก็หลอกให้เด็กอ่านหนังสือธรรมะให้ท่านฟังในยามบ่าย ปลอดจากผู้คนที่มากวนท่าน นัยว่าเด็ก ๆ จะได้ซึมซับธรรมะที่ตนกำลังอ่านอยู่ ที่ข้าพเจ้าสังเกต ก็มักเป็นหนังสือของ หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง ซึ่งมีเรื่องตัวอย่างภพภูมิและกฎแห่งกรรมอยู่อย่างมากมาย หลวงปู่เคยพูดว่า "หนังสือของท่านมหาวีระ อ่านดี"

____________________

🔱การแสดงพระธรรมเทศนา 
โดยหลวงพ่อวิชัย เขมิโย ช่วงตอบปัญหาธรรมะ ณ กลุ่มสมาธิ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕

หากมีข้อผิดพลาดประการใด กราบขอขมาต่อพระรัตนตรัย พระเดชพระคุณหลวงพ่อวิชัย เขมิโย และพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
หากแม้มีส่วนของความดีเกิดขึ้น ขอยกความดีนั้นถวายบูชาแด่ดวงแก้วทั้งสามและพระเดชพระคุณหลวงพ่อทั้งสองครับ

ข้อความในวงเล็บ เป็นการอธิบายเพิ่มเติม ของผู้ถอดเทป เพื่อความเข้าใจง่ายยิ่งขึ้น

" หลวงพ่อฯ(หลวงพ่อวิชัย)ชอบไปนั่งศาลาแก้วร้อยเมตร...(วิหารหารร้อยเมตร วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี )ครั้งสุดท้ายที่หลวงพ่อฤาษีฯจะมรณภาพ โยม คนเรานะโยมถ้าจะตายจริงๆ ภาษาเรานี่ หนึ่งถ้าเขาสลบไป ถ้าเยี่ยวออก แสดงว่าธาตุข้างในมันแตก ตายแน่นอน นี่ถ้าออกทั้งอาเจียนทั้งอุจจาระออกหมดนะ คุณอันนี้ก็เลยมาถามหลวงพ่อฯ(วิชัย)โทรมาถามหลวงพ่อว่า...

'เห้ย คุณเข็ม ชื่อเล่นชื่อเข็ม หลวงพ่อไม่กล้าทำนายหรอกสำหรับหลวงพ่อ(ฤาษี วัดท่าซุง) หลวงพ่อ ท่านเป็นอย่างนี้หลายครั้ง ท่านอยากไปก็ไปของท่าน ท่านจะกลับมาก็กลับมาของท่าน หลวงพ่อฯ(วิชัย)เป็นพระธรรมดาจะไปทำนายท่านได้ไง แต่ถ้าเป็นคนธรรมดาคราวนี้เป็นครั้งสุดท้าย ไปแน่นอน เพราะว่าถ้าธาตุมันแตกคุณโยม มันจะออกข้างบน ออกข้างล่าง แน่นอน ถ้าเป็นคนธรรดาไม่นาน แต่สำหรับหลวงพ่อฤาษีฯ ท่านมีอภินิหารของท่านเนาะ ท่านจะไปก็ไปท่านจะมาก็มาของท่าน อ่า เป็นอย่างนั้นนะ แต่ท่านก็ไปจริงๆโยม ไปตอนนั้น'

พิธีกร : 'ไปนิพพานใช่ไหมครับ'
' ไปนิพพานของท่าน ไปไม่กลับ หลับ ไม่ตื่น ฟื้นไม่มี ไม่มาเลย หลวงพ่อฤาษีฯเป็นเรื่องอัศจรรย์หลายอย่าง ขออภัยนะ อย่าปรามาสท่านเด็ดขาด(ท่านขึ้นเสียงสูง พร้อมยกนิ้วชี้ขึ้น) หลวงพ่อฯ(วิชัย)เคยเห็นมากับตา กับตามาแล้วนะ เล่าเรื่องไม่ดีหลวงพ่อฤาษีฯนี่ หลวงพ่อนั่งรถไปพอดี หลวงพ่อ(วิชัย)ไปเทศน์ 
ก้อนหินก้อนขนาดนี้โยม นั่งรถบัสไปนะ เขวี้ยงใสกระจกแตกตุ้บ พวกนั้นเลือดสาด คนหนึ่งเกือบตาย แอ้ก แอ้ก แอ้ก แอ้ก แอ้ก อยู่นั่น ใส่ตรงนี้ เขียว ห่อเลือด ลอดข้ามหลวงพ่อ(วิชัย)ไป… แต่ไม่เป็นไรนะ สุดท้ายได้ยินเสียง อืก อืก อืก ข้างหลัง เอ้าใคร มองไป ตาค้าง หลวงพ่อ(วิชัย)ใช้ตรงนี้แหละโยม(เส้นประสาท ใต้ข้อมือ) ถ้าลูกชักหรือใครชักก็แล้วแต่ เกิดอุบัติเหตุอะไร จับตรงนี้ (เส้นประสาท ใต้ข้อมือ) จากจิตสู่จิต พยายามให้หัวใจของเขาเต้นในระดับของเรา ฟื้นทันทีเลย อันนี้ก็เหมือนกัน พอหลวงพ่อจับตัวนี้ โห เตรียมอากาศไว้เป็นถัง โห ชื่อโยมรัก เอ้อ ผมไม่ตายแล้วหลวงพ่อ พูดเรื่องหลวงพ่อฤาษีฯ อย่านะ องค์นี้อย่าปรามาสนะโยม หลายเรื่องหลวงพ่อฤาษีฯ ไปปรามาสท่าน ขอเตือนไว้หน่อย เพราะท่านไม่ใช่ธรรมดา องค์อื่นเราไม่บอก เราไม่รู้ องค์นี้หลวงพ่อฯเห็นหลายครั้งที่คนปรามาสท่านนะ เรียบร้อยทั้งนั้นแหละ อ่า …….(ขอสงวนนาม)ใครเป็นพี่น้องขออภัยด้วยนะ เขียนหนังสือด่าท่าน สมัยก่อน หาว่าท่านโกหกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่าพระอย่างนั้นอย่างนี้ เรียบร้อย ทุกรายแล้ว หลายราย หลวงพ่อเจอ เพราะฉะนั้น หลวงพ่อฤาษีฯนี่ เทิดทูน เทิดทูนจริงๆ ท่านสอนมโนมยิทธิ มันก็ไปได้จริงๆ ท่านจะมาโกหกให้เสียเวลาทำไม นี่ มีอีกองค์หนึ่งนะ (โยมคนหนึ่ง) อยู่ข้างหน้า หลวงพ่อ(วิชัย)ก็เปิดเทปหลวงพ่อฤาษีฯออกอากาศ (ที่วัดมีสถานีวิทยุ) ฟังได้ถึงประเทศพม่านะโยม (วัดหลวงพ่อวิชัย คือวัดถ้ำผาจมอ. แม่สาย จ.เชียงราย เป็นวัดที่อยู่เหนือสุดของประเทศไทย ชายแดนไทย - พม่า ) ตกกลางคืนมาแกก็ฟังหลวงพ่อฤาษีฯเทศน์ กลางคืนมาก็เห็นหลวงพ่อ(หลวงพ่อฤาษีฯ)อยู่ฝั่งนี้ หลวงพ่อหนูอยากไปหาหลวงพ่อ(ฤาษีฯ) เห้ย มายังไม่ได้หรอกลูก เชือกผูกเอว ผูกแขน ผูกคอ เจ้าอยู่นั่น มายังไม่ได้ ผู้มาที่นี่มันต้องหมดห่วง ……ศรัทธาหลวงพ่อ(ฤาษีฯ)มาก นี่เรื่องจริงนะ มาเล่าให้โยมฟัง เรื่องจริงเลยทีนี้ … "

บันทึกเทปโดย ไพรัชณ์ ตั้งจารุพงศ์สกุล ปี ๔ คณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาฯ

ถอดเทปโดย ณัฏฐกรณ์ นะวะสด ปี ๔ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ

(เป็นเป็นประจักษ์หลักฐาน ว่ามีตัวตนจริงยืนยันได้ )

_____________________

🔱หลวงตาวัชรชัย วัดเขาวงศ์ถ้ำนารายณ์ จ.สระบุรี 
เรื่องเล่าจากหลวงตาวัชรชัย

ครั้ง หนึ่ง ตอนบวชได้พรรษา ๒ หลวงตาได้เที่ยวไปพบพระดีเข้าอีกองค์หนึ่งที่จังหวัดเชียงราย คือ หลวงปู่ดาบส สุมโน แห่งสำนักไผ่มรกต ที่กล้าเรียกท่านว่าพระดี ก็เพราะว่าท่านดีต่อหลวงตา และได้มอบความดีให้หลวงตาประมาณไม่ได้และความดีศรีสุขอันนั้นมันเกี่ยวกับ หลวงพ่อฤๅษี ฯ โดยตรงเสียด้วย

ครั้งแรกที่ไปกราบหลวงปู่ดาบส ท่านก็ทักถูกใจเราทันทีว่า 
"อยู่กับหลวงพ่อฤๅษี ฯ สอนมโนมยิทธิหรือ?" 
"ครับผม" 
"อภิญญาสมาบัติที่ทรงอยู่ คล่องดีแล้วใช่ไหม?"

ตอนนี้หลวงตาตกใจ เพราะเข้าใจว่าเรื่องอภิญญาสมาบัติเป็นเรื่องใหญ่เกินกว่าตัวเองจะยอมรับว่า "ทำได้คล่อง" จึงตอบไปว่า

"ไม่ใช่ขอรับ ผมยังไม่ได้อภิญญา ผมพยายามทำตามที่หลวงพ่อท่านสอน และแนะนำคนอื่นเท่าที่จะนึกได้"

"นั่นแหละ เขาเรียกว่าอภิญญา พระอรหันต์ทั้งหลายท่านก็ใช้อย่างนี้ พระพุทธเจ้าก็ทรงใช้อย่างนี้ ใช้แบบวิธีเหมือนกันแต่ความบริสุทธิ์ไม่เหมือนกัน ความมั่นใจไม่เท่ากัน ใจที่บริสุทธิ์มาก มั่นคงมั่นใจมาก ก็ใช้ได้คล่องแคล่วชัดเจนมาก บริสุทธิ์ถึงที่สุด มั่นคง มั่นใจไม่สงสัย ก็ใช้ได้ถึงที่สุด เป็นเรื่องธรรมดา"

หลวงตาเข้าใจ แต่ยังไม่มั่นใจ

แล้วหลวงปู่ดาบสก็มองหน้าหลวงตา พูดเสียงชัดเจนว่า

"ออกจากวัดท่าซุง มาอยู่ด้วยกันไหม มาหาที่สงบซุ่มปฏิบัติธรรมให้สมใจ สมวาสนาบารมี"

"พอสบายจบกิจแล้วจะได้ตั้งสำนักใหม่ สอนพระกรรมฐานให้มีชื่อลือลั่น ไว้ชื่อครูบาอาจารย์ ว่าเรานี่แหละลูกศิษย์หลวงพ่อฤๅษีฯ"

"...................................."

หลวงตาตกใจ เจ้าประคุณเอ๋ย ความในใจที่อุตริคิดฝังไว้ก้นบึ้งดวงใจไม่เคยเล่าสู่ใคร ไม่เคยถามไถ่แม้แต่หลวงพ่อฤๅษี ฯ คิดซ่อนเร้นไว้กว่า ๑๐ ปี ถึง ๔ ข้อ บัดนี้ได้ถูกหลวงปู่ดาบสไขออกมาไม่มีเหลือ กำลังใจขณะนั้นได้ตอบท่านไปใน ๒ ข้อแรก (และรับรู้ใน ๒ ประการหลัง ซึ่งจะไม่บอกใครจนวันตาย)

"ไม่เอาครับ หลวงปู่ ผมจะไม่ไปไหน ผมจะอยู่กับหลวงพ่อในวัดท่าซุงตลอดไป"

"ดีแล้ว" ท่านยิ้มยืนยันว่า

"ถูกต้องแล้ว อยู่ที่นั่นไม่ต้องไปที่ไหน"

"เรื่องธุดงค์บางองค์ก็ไม่ต้องธุดงค์หรอก การที่พระสงฆ์ท่านออกธุดงค์กันในที่ต่างๆ ก็เอาคำสอนครูบาอาจารย์ที่น้อมรับเอาไปใส่ใจ แล้วก็ประคองใจอันนั้น ไปหาต้นไม้ หาถ้ำ หาที่วิเวกเหมาะกับจิตใจ เอาเป็นที่บำเพ็ญความเพียรพิจารณาธรรมอันนั้นจนได้มรรคได้ผล แล้วก็ต้องกลับไปอยู่กับผู้คนแทนคุณพระศาสนา แต่ที่วัดท่าซุงนะ มีต้นไม้ใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง คือ ต้นหลวงพ่อฤๅษี ฯ ร่มรื่น ร่มเงาเย็นสบาย ผลไม้อริยผลก็ออกดอกเต็มต้น ไปนั่งนอนเดินยืนอยู่ใต้ต้นไม้นั้น อย่าจากไปไหน แล้วก็ประคองมือเอื้อมเด็ดผลไม้ มากินให้หวานชื่นใจด้วยความเคารพ ก็จะบรรลุมรรผลได้ในชีวิตนี้"

ลูกหลานเอย..หลวงตาต้องกล้าเขียนต่อ บอกแล้วว่ามันยากที่จะเล่าให้ฟังตามตรง ๆ ที่หลวงปู่พูดถึงหลวงพ่อฤๅษีฯ ว่า

"พระคุณเจ้าองค์นั้นเป็นอรหันต์องค์เอกองค์หนึ่งของโลกในปลายศาสนา ๕๐๐๐ ปี 
จะหาใครสอนเสมอเหมือนพระคุณท่านหาไม่ได้แล้ว พระคุณท่านองค์นั้นสอนได้คล้ายพระพุทธเจ้าสอน เพราะท่านปรารถนาพระโพธิญาณ ถ้าท่านไม่ลาพุทธภูมิหักใจเป็นพระอรหันตสาวกเสียก่อน 
ท่านเทศน์คราวไร เรา..พวกเรานี้ที่บำเพ็ญบารมีตามท่านมา ก็จะฟังเทศน์จากท่านเพียงครั้งเดียว
ก็จะเป็นพระอรหันต์ตามได้

จำไว้นะ ! กลับไปฟังคำสอนของพระคุณท่าน ฟังเทปของท่าน ดูวีดีโอของท่าน ให้ส่งจิตคิดตามเสียงท่านประหนึ่งว่าเป็นเสียงในใจเรา ก็อาจจะบรรลุมรรคผลได้ตามที่ตัดสินใจ ตามเสียงนั้นเฉพาะหน้า เหมือนฟังจากพระพุทธเจ้านั่นแหละ องค์นี้หาใครสอนได้เสมือนท่านยากนักหนาแล้ว" นี่หลวงตาเล่าให้ฟังตามที่ได้พบเห็นได้ยินมาเฉพาะตัวหลวงตาเอง ท่านใดจะชื่นชมสมใจหรือแหนงหน่าย อึดอัดก็โปรดเป็นไปตามกฎธรรมดา ตามปรารถนาเถิด..

แล้วหลวงตาก็กลับวัด ก่อนลาหลวงปู่กลับ ก็ถ่ายรูปร่วมกับท่านมาภาพหนึ่ง กลับมาถึงก็เล่าให้พี่น้องบรรพชิตและฆราวาสฟังว่า มีหลวงปู่ดาบส แห่งสำนักไผ่มรกต จังหวัดเชียงราย ท่านพูดถึงพ่อเราอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วท่านก็งามนักหนา ทั้งหน้าตามารยาท ถ้าพ่อเราเป็นพระอาทิตย์เต็มองค์ทรงกลด หลวงปู่ดาบสก็งามเหมือนพระจันทร์วันเพ็ญที่ไม่มีเมฆหมอกมาบดบัง แล้วก็เอารูปของท่านออกมาอวดไปทั่ววัด

ก็อวดมาถึงหลวงพี่วิรัช ท่านก็เอาไปเล่าอวดหลวงพ่อพร้อมรูปใบนั้น พ่อเราฟังไป ดูรูปไป ก็ส่งรูปคืนให้หลวงพี่วิรัช พร้อมกับพูดลอย ๆ ออกมาว่า

"เออ.. ๒๐ ปีแล้วซีนะ"

หลวงพี่วิรัชก็กลับมาบอกคืนหลวงตาว่า คงเป็นเพื่อนหลวงพ่อ ไม่ได้พบกัน ๒๐ ปีกระมัง

พอตอนเย็น ไปทำวัตรเย็นและปฏิบัติกรรมฐาน หลวงพี่อนันต์ เรียกหลวงตาเข้าไปหาแล้วบอกว่า

"หลวงพ่อให้บอกท่านว่า พระเจ้าของรูปนั้นได้อรหันต์มา ๒๐ ปีแล้ว"

++++++++++++
ที่มา...
http://palungjit.org/

🖋️📚คัดลอกแบ่งปันเป็นธรรมทานโดย⚜️
🧘จิตหนึ่งประภัสสรสุดยอดคือพระนิพพาน

การปรับแต่ง DNA และ CHAKRAS การปรับแต่งเริ่มต้นผ่าน DNA

เสาอากาศหลักของคลื่นเหล่านี้คือดีเอ็นเอของเราตามความเป็นจริงเกลียวคู่ที่มีอยู่ในตัวเราทุกคนคือตัวรับที่จับทุกสิ่งรอบตัวเราตามธรรมชาติ
คลื่นแห่งจิตสำนึกและพลังงานเหล่านี้ถูกจับในระดับแรกและลดความถี่ลงจากคลื่นทั่วไปและ "อีเทอร์ริก" ไปเป็นคลื่นที่ต่ำกว่าซึ่งเริ่มใกล้เคียงกับความถี่การสั่นสะเทือนของระดับกายภาพที่เรามีอยู่มากขึ้น วิธีการทำงานที่เราจะเห็นในไม่ช้าร่วมกับส่วนที่เหลือของระบบพลังงานที่เรากำลังจะเห็นในตอนนี้
บทบาทของจักระ:
จะเกิดอะไรขึ้นกับพลังงานทั่วไปที่สั่นสะเทือนต่อแนวคิดของความอุดมสมบูรณ์ระดับโลกและเราได้จับกับ DNA ของเราและลดความถี่ลงเล็กน้อย
พลังงานนั้นเมื่ออยู่ในระบบพลังงานของเราจะผ่านไปตามระดับและลักษณะของมันเพื่อเปลี่ยนและทำงานโดยจักระที่สอดคล้องกัน
จักระคืออะไร? จักระคือจุดพลังงานกระแสน้ำวนสถานที่ในระบบพลังงานของร่างกายของเราซึ่งชุดช่องสัญญาณที่สำคัญมาบรรจบกันซึ่งพลังที่สำคัญของสิ่งมีชีวิตของเราถูกกระจายออกไป ศูนย์เหล่านี้มองเห็นได้ในรูปแบบของกระแสไฟฟ้าและรับผิดชอบต่อสนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่ล้อมรอบร่างกายและประกอบด้วยชั้นพลังงานที่ต่อเนื่องกันซึ่งสั่นสะเทือนด้วยความถี่ที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ จักระแต่ละอันมีความสัมพันธ์กับหนึ่งในชั้นของออร่าดังที่เราจะเห็นในภายหลังซึ่งแต่ละจักระมีการแสดงถึงจักระทั้ง 7 ในตัวของมันเอง
จักระแต่ละอันยกเว้นที่หนึ่งและที่เจ็ดมีด้านหน้าและด้านหลังและทั้งหมดเชื่อมโยงกันด้วยช่องพลังงานที่วิ่งไปตามกระดูกสันหลังทั้งหมดที่พวกมันสื่อสารกันและพลังงานจะถูกถ่ายโอนที่สำคัญจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง . จักระแต่ละอันมีความเกี่ยวข้องกับประเภทของฟังก์ชันและมีคุณสมบัติเฉพาะที่เกี่ยวข้อง
ทำไมเราถึงบอกว่าจักระถูกกำหนดให้เป็นความรักการสื่อสารความมุ่งมั่นหรือพลังงานประเภทอื่น?
เนื่องจากพวกมันแต่ละตัวสั่นด้วยความถี่ที่แน่นอนซึ่งเกี่ยวข้องกับพลังงานของโลกที่มีอยู่ในโลกของเราทุกหนทุกแห่งและความถี่นั้นจะถูกหลอมรวมเข้ากับสิ่งต่างๆด้วยเหตุนี้การโต้ตอบที่เราเห็นในหนังสือและเว็บไซต์ทั้งหมดที่พูดถึงเราเกี่ยวกับเรื่องนี้ . ดังนั้นจักระหัวใจจึงทำหน้าที่ในการถ่ายทอดพลังแห่งความรักจักระแรกทำหน้าที่ในการถ่ายทอดพลังแห่งความอุดมสมบูรณ์ส่วนที่สองทำงานกับพลังงานของเรื่องเพศหรือความคิดสร้างสรรค์ ฯลฯ
เมื่อจักระทำงานได้ดีพวกมันจะทำงานเหมือน "eddies" นั่นคือพวกมันกำลังหมุนและเคลื่อนย้ายประเภทของพลังงานที่พวกมันมีความสัมพันธ์กันอย่างลงตัวโดย
ทั้งร่างกายของเรา เมื่อจักระบางส่วนถูกปิดบางส่วนพวกมันจะ "หมุน" ด้วยความเร็วที่ช้าลงหรือถูกปิดกั้นบางส่วนซึ่งเหมือนกับการบอกว่าพลังงานที่เกี่ยวข้องกับพวกมันไม่ไหลผ่านทางกายภาพพลังงานและร่างกายที่บอบบางของเรา
การอุดตันของจักระแต่ละส่วนเกี่ยวข้องกับการทำงานของตัวเองโดยเห็นได้ชัดว่าการกดความรู้สึกเป็นการอุดตันส่วนใหญ่ในจักระหัวใจปัญหาการสื่อสารคือการอุดตันในจักระในลำคอปัญหาทางเพศเป็นการอุดตันในจักระที่สอง ฯลฯ
ในคนเมื่อการทำงานของจักระเป็นปกติแต่ละอันจะเปิดหมุนตามเข็มนาฬิกาเพื่อเผาผลาญพลังงาน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ต้องการจากสนามพลังงานสากล (พลังงานที่เรียกว่า Chi หรือ prana และจากพลังงานโลกที่ DNA ของเราปรับแต่ง)
เมื่อจักระหมุนทวนเข็มนาฬิกากระแสจะไหลจากศูนย์กลางออกไปด้านนอกจึงรบกวนการเผาผลาญและพลังงานเหล่านี้จะไม่ถูกประมวลผลนี่คือ
เมื่อจักระถูกปิดหรือปิดกั้นพลังที่มาถึง
* ฟังก์ชั่นของแต่ละจักระและพื้นที่ของการสำแดง:
ในกระบวนการของการสำแดงจักระเป็นขั้นตอนที่สองที่เราถ่ายทอดพลังงานทั่วไปที่ร่างกายของเราได้รับการปรับแต่งผ่าน
DNA เพื่อลดความถี่ให้มากขึ้นโดยแต่ละจักระมีหน้าที่เป็น "พลังงานทั่วไป" ประเภทหนึ่ง:
จักระแรกทำหน้าที่ถ่ายทอดทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับความอุดมสมบูรณ์ความปรารถนาทางวัตถุและอาชีพที่เป็นมืออาชีพ นอกจากนี้ความรู้สึกปลอดภัยของ
เป็นของสังคมที่เราอาศัยอยู่สิ่งแวดล้อมของเรา ฯลฯ
- จักระที่สองเป็นศูนย์กลางของพลังส่วนบุคคลความคิดสร้างสรรค์เรื่องเพศและพลังงานที่เกี่ยวข้องกับการเงินและความอุดมสมบูรณ์ทางวัตถุแม้ว่าจะอยู่ในระดับที่น้อยกว่า
จักระแรก
- จักระที่สามช่วยให้เราพัฒนาความนับถือส่วนตัวและบุคลิกภาพของเรา มันถ่ายทอดแนวคิดของความสุขและความรอบรู้ภูมิปัญญาทางจิตวิญญาณและความตระหนักถึง
ความเป็นสากลของชีวิตเช่นเดียวกับพลังและเจตจำนง
- จักระที่สี่เป็นศูนย์รวมพลังของระบบพลังงานของร่างกาย นี่คือจักระแห่งความสมดุลระหว่างสิ่งที่เรียกว่าจักระบนและล่างดังนั้นพลังงานของมันจึงเป็นสะพานเชื่อมระหว่างทั้งสองและในนั้นวัสดุที่ตรงกับจิตวิญญาณ เป็นการถ่ายทอดพลังที่เกี่ยวข้องกับความรักความสัมพันธ์คู่รักการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นในระดับ
ความรู้สึก.
- จักระที่ห้ามีหน้าที่ในการเปลี่ยนพลังงานของการสื่อสารการแสดงออกการพูดความเข้าใจและความเข้าใจ นอกจากนี้ยังเป็นจักระที่รับผิดชอบต่อพลังสร้างสรรค์ร่วมกับครั้งที่สองแม้ว่าช่วงหลังจะได้รับอิทธิพลจากความรู้สึกและอารมณ์มากขึ้นและอีกประการที่ห้าเกี่ยวกับแนวคิดและความคิด
- จักระที่หกควบคุมความชัดเจนของจิตและวิญญาณ เป็นจักระแห่งสัญชาตญาณที่พัฒนาตาทิพย์ ถ่ายทอดพลังการบีบอัดที่ละเอียดกว่าของเครื่องบินและแนวความคิดที่สูงขึ้นตลอดจนความสามารถในการนำสิ่งต่าง ๆ ไปสู่การปฏิบัติ
จักระที่เจ็ดคือการเชื่อมโยงของเรากับสิ่งศักดิ์สิทธิ์จิตวิญญาณของเราทำให้เราสามารถเชื่อมต่อกับพลังงานที่ละเอียดอ่อนและเป็นสากลมากขึ้น ทักษะยังควบคุม
เพื่อแสดงสิ่งที่เราต้องการในระดับทั่วไปพลังในการเคลื่อนไหวและทำงานด้วยพลัง คุณถ่ายทอดพลังแห่งความสามัคคีกับส่วนที่เหลือของการสร้างสรรค์และรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของ
ที่ "ทุกอย่าง".
ดังนั้นสิ่งที่เราเห็นก็คือพลังงานระดับโลกและสากลที่เราจับผ่าน DNA จะถูกถ่ายทอดโดยจักระที่เกี่ยวข้องซึ่งหากอยู่ในลำดับการทำงานที่ดีจะมีหน้าที่ในการลดความถี่และการสั่นสะเทือนต่อไปทุกครั้งที่หมุน เป็นพลังงาน "ทางกายภาพ" มากขึ้นและเตรียมให้ "ออก" เมื่อเริ่มต้นกระบวนการดึงดูด
ขอบคุณทุกคนที่ให้ความสนใจ

ในแสงสว่างและความรักสากล
Maria Lustig

https://isialada.blogspot.com/2021/03/sintonizacion-del-adn-y-los-chakras.html

หลวงพ่อพระราชพรหมยาน ว่าจะมีลูกหญิงชายของท่าน..เข้านิพพานกี่คน?

⚜️ #เปิดเผยบันทึกส่วนองค์⚜️
ของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ว่าจะมีลูกหญิงชายของท่าน..เข้านิพพานกี่คน

🙏 โดยท่านเจ้าคุณพระราชภาวนาโกศล (อนันต์ พทฺธญาโณ) ได้นำมาเปิดเผยเป็นครั้งแรก เมื่อวันบวงสรวงที่มณฑปหลวงปู่ปาน (๘ ก.ค.๖๐) และท่านได้นำมาเล่าซ้ำให้พระภิกษุสายอีสาน (๑๑ ก.ค.๖๐) ฟังอีกครั้งหนึ่งว่า ลูกหญิงลูกชายของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน...จำนวนกี่คน...อยู่ที่ไหนบ้าง...ไปนิพพานได้แล้วกี่คน ดังนี้ 

🔱- #คนธรรมดาที่นิพพานแล้ว...๑,๓๗๐,๐๓๒ คน
- ลูกหญิงที่นิพพานแล้ว...๗๐๐,๐๓๕ คน
- ลูกชายที่นิพพานแล้ว...๓,๗๔๔,๔๗๕ คน

🔱- #ที่อยู่ชั้นพรหม
ลูกหญิงมี...๗๔๐,๓๔๓ คน, ลูกชายมี...๔๐,๐๕๒ คน

🔱- #สวรรค์ทุกชั้น
ลูกหญิงมี...๑,๕๓๐,๐๐๒ คน, ลูกชายมี...๓๒,๐๐๐ คน

🔱- #ในโลกมนุษย์
ลูกหญิงมี..๓๐๐,๐๐๐ คน, ลูกชายมีไม่กี่พันคน (ท่านเจ้าคุณฯ ไม่บอกตัวเลข) ที่ไปนิพพานได้หมด 

(สำหรับพระสงฆ์ พระอาจารย์ชัยวัฒน์ยืนยันว่า เคยได้ยินท่านพูดในพระอุโบสถวัดท่าซุง ท่านบอกว่า พระสงฆ์สายท่านจะไปนิพพานได้ประมาณ ๔๐๐ รูป)

เป็นอันว่า เรื่องนี้จึงมีความสำคัญมากต่อองค์ท่านเป็นอย่างมาก สำหรับการเกิดมาในชาตินี้ เพราะภารกิจในการมีชีวิตอยู่ในชาติสุดท้ายนั้น เพื่ออยู่รอสงเคราะห์ลูกๆ เท่านั้น ทั้งนี้ผลก็ได้สำเร็จเป็นไปตามความประสงค์ทุกประการ ตามคำพูดของท่านที่บอกไว้ก่อนล่วงหน้ากับ พล.อ.ต.มนูญ ชมพูทีป เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๒ ว่า..

“....⚜️ #ฉันนั้นได้เคยปรารถนาพุทธภูมิไว้ #แต่หากดำรงเจตนาเดิมก็จะต้องมาเกิดอีกถึง ๗ ชาติ จึงจะได้พบและอุปการะลูกหลาน, ญาติมิตร ที่เคยเกี่ยวข้องผูกพันกับฉันมาในอดีตชาติได้ทั้งหมด ซึ่งนับเป็นภาระที่หนักมาก และฉันก็เบื่อหน่ายโลกมนุษย์นี้เต็มทน จึงได้ขอลาพุทธภูมิ และขอเอาชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของฉัน

⚜️ดังนั้น #ภาระในชาตินี้ของฉันจึงมีมากเพราะจะต้องอยู่ช่วยลูกหลานญาติมิตร #ที่เคยเกิดร่วมภพร่วมชาติกับฉันมาในอดีตชาติ #และมาเกิดทันฉันในชาตินี้ทั้งหมด #ให้พ้นจากอบายภูมิด้วย #หากผู้ใดมีบุญบารมีก็จะได้ไปถึงพระนิพพาน.....

🔱นั่นเป็นคำปรารภของท่านเมื่อปี ๒๕๑๒ หลังจากท่านสร้างวัดและจัดงานฝังลูกนิมิตแล้ว

🖋️📚คัดลอกแบ่งปันเป็นธรรมทานโดย⚜️
🧘จิตหนึ่งประภัสสรสุดยอดคือพระนิพพาน

ดีเอ็นเอของเราคือคอมพิวเตอร์ชีวภาพ

การสั่นพ้องและการโต้ตอบนักวิทยาศาสตร์เปิดเผยว่า: ดีเอ็นเอ "ดีเอ็นเอของเราเป็นคอมพิวเตอร์ชีวภาพ" มีหน้าที่เป็นสื่อกลาง ได้แก่ กระแสจิตการแผ่รังสีและการติดต่อระหว่างมิติ

เสียงสะท้อนและการตอบสนอง

นักวิทยาศาสตร์เปิดเผยว่า DNA มีหน้าที่ปานกลาง: กระแสจิตการแผ่รังสีและการติดต่อระหว่างมิติ
“ ดีเอ็นเอของเราคือคอมพิวเตอร์ชีวภาพ” นักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซียกล่าว
การตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์กำลังอธิบายปรากฏการณ์ต่างๆเช่นการมีตาทิพย์สัญชาตญาณการกระทำที่เกิดขึ้นเองในการรักษาและการรักษาตัวเองและอื่น ๆ
เมื่อนักวิทยาศาสตร์เริ่มค้นพบโลกแห่งพันธุศาสตร์พวกเขาเข้าใจถึงประโยชน์ของ DNA เพียง 10% ของเรา ส่วนที่เหลือ (90%) ถือเป็น "DNA LIXO" นั่นคือ: ไม่มีหน้าที่ใด ๆ สำหรับร่างกายมนุษย์
อย่างไรก็ตามข้อเท็จจริงนี้เป็นสาเหตุของการตั้งคำถามเนื่องจากนักวิทยาศาสตร์บางคนไม่เชื่อว่าร่างกายจะนำองค์ประกอบบางอย่างที่ไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้ ดังนั้น Pjotr Garjajev นักชีวฟิสิกส์และนักชีววิทยาโมเลกุลชาวรัสเซียและเพื่อนร่วมงานของเขาจึงเริ่มการสืบสวนด้วยอุปกรณ์ล้ำสมัยเพื่อตรวจสอบ DNA ที่เข้าใจผิดถึง 90%
และผลลัพธ์ที่นำเสนอนั้นยอดเยี่ยมมากเข้าถึงแง่มุมที่เคยถือเป็น "ความลับ" ของดีเอ็นเอของเรา
1. DNA มีความสามารถในการส่งกระแสจิต
จากการวิจัยล่าสุดนักวิทยาศาสตร์สรุปได้ว่า DNA ของเราเป็นตัวรับและส่งข้อมูลนอกเหนือจากระยะเวลา
จากการตรวจสอบเหล่านี้ DNA ของเราได้สร้างรูปแบบที่ทำหน้าที่ในสุญญากาศทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า "หนอนเจาะ" ที่เป็นแม่เหล็ก! พวกมันเป็น "รูหนอน" ด้วยกล้องจุลทรรศน์คล้ายกับ "รูหนอน" ที่รับรู้ในจักรวาล
เป็นที่ทราบกันดีว่า "รูหนอน" เปรียบเสมือนสะพานหรืออุโมงค์เชื่อมต่อระหว่างพื้นที่ต่างๆในจักรวาลซึ่งข้อมูลจะถูกส่งไปนอกอวกาศและเวลา
ซึ่งหมายความว่า DNA ดึงดูดข้อมูลและส่งต่อไปยังเซลล์และจิตสำนึกซึ่งเป็นหน้าที่ที่นักวิทยาศาสตร์พิจารณาว่าเป็นอินเทอร์เน็ตของร่างกาย แต่ก้าวหน้ากว่าอินเทอร์เน็ตที่เข้าสู่คอมพิวเตอร์ของเรามาก
การค้นพบนี้นำไปสู่ความเชื่อที่ว่า DNA มีสิ่งที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นกระแสจิตระหว่างมิติและระหว่างมิติ กล่าวอีกนัยหนึ่ง DNA เปิดกว้างและอ่อนไหวต่อการสื่อสาร
การวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการรับและการส่งข้อมูลผ่าน DNA กำลังอธิบายปรากฏการณ์ต่างๆเช่นการมีตาทิพย์สัญชาตญาณการกระทำที่เกิดขึ้นเองในการรักษาตนเองและอื่น ๆ
2. การเขียนโปรแกรมใหม่ของ DNA ผ่านความคิดและคำพูด
กลุ่มของ Garjajev ยังค้นพบว่า DNA มีภาษาของตัวเองซึ่งประกอบด้วยไวยากรณ์ทางไวยากรณ์ชนิดหนึ่งคล้ายกับไวยากรณ์ของภาษามนุษย์ทำให้พวกเขาสรุปได้ว่า DNA ได้รับอิทธิพลจากคำที่เปล่งออกมาจากจิตใจและเสียงซึ่งยืนยันถึงประสิทธิภาพของมันเทคนิคการยืนยัน การสะกดจิต (หรือการสะกดจิตตัวเอง) และการแสดงภาพเชิงบวก
นี่เป็นการค้นพบที่น่าประทับใจเพราะมันบอกว่าถ้าเราปรับความถี่ของภาษาวาจาและภาพที่เกิดจากความคิดของเรา DNA จะเขียนโปรแกรมตัวเองใหม่ยอมรับคำสั่งใหม่และกฎใหม่ตามแนวคิดที่เป็นอยู่ ถ่ายทอด.
ในกรณีนี้ DNA รับข้อมูลจากคำพูดและภาพของความคิดและส่งผ่านไปยังเซลล์และโมเลกุลทั้งหมดของร่างกายซึ่งจะได้รับคำสั่งตามรูปแบบใหม่ที่ปล่อยออกมาจาก DNA
นักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซียสามารถสร้างโปรแกรมดีเอ็นเอในสิ่งมีชีวิตใหม่โดยใช้ความถี่เรโซแนนซ์ของดีเอ็นเอที่ถูกต้องและได้รับผลลัพธ์ที่ค่อนข้างดีโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการสร้างดีเอ็นเอที่เสียหายขึ้นมาใหม่!
พวกเขาใช้แสงเลเซอร์ที่เข้ารหัสเป็นภาษามนุษย์เพื่อส่งข้อมูลที่ดีต่อสุขภาพไปยัง DNA และเทคนิคนี้ได้ถูกนำไปใช้แล้วในโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยในยุโรปบางแห่งซึ่งประสบความสำเร็จในโรคมะเร็งผิวหนังประเภทต่างๆ มะเร็งหายขาดโดยไม่มีรอยแผลเป็นเหลืออยู่
3. DNA ตอบสนองต่อสัญญาณรบกวนจากแสงเลเซอร์
จากการวิจัยในแนวนี้ดร. วลาดิเมียร์โปโปนินนักวิจัยชาวรัสเซียได้วางดีเอ็นเอไว้ในหลอดและส่งลำแสงเลเซอร์ผ่านเข้าไป เมื่อดีเอ็นเอถูกลบออกจากหลอดแสงเลเซอร์จะยังคงหมุนวนในดีเอ็นเอโดยก่อตัวเป็นจักระขนาดเล็กและสนามแม่เหล็กใหม่รอบ ๆ มันมีขนาดใหญ่และสว่างขึ้นกว่าก่อนหน้านี้
DNA แสดงให้เห็นว่าทำหน้าที่เหมือนคริสตัลเมื่อมันหักเหแสงสรุปว่า DNA แผ่แสงที่ได้รับ การค้นพบนี้ทำให้นักวิทยาศาสตร์มีความเข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับสนามแม่เหล็กไฟฟ้ารอบตัวคนและพวกเขายังเข้าใจด้วยว่าการแผ่รังสีที่ปล่อยออกมาจากหมอและความอ่อนไหวนั้นเกิดขึ้นตามรูปแบบเดียวกันนั่นคือการรับและการแผ่รังสีการเพิ่มและเติมแม่เหล็กไฟฟ้ารอบ ๆ ด้วยแสง
ควบคุมความเป็นอยู่ของคุณ!
การวิจัยยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นและนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่ายังไม่มีการค้นพบสิ่งที่น่าสนใจอื่น ๆ อีกมากมาย!
ในขณะนี้ข้อสรุปสนับสนุนให้เราดำเนินการต่อด้วยเทคนิคการยืนยันเชิงบวกดูแลความคิดและภาพที่สร้างขึ้นเพื่อให้การถ่ายทอดมีความสอดคล้องกับสุขภาพความเป็นอยู่และความสามัคคีไม่เพียงส่งไปยังดีเอ็นเอเท่านั้น เพื่อสุขภาพความเป็นอยู่และความสามัคคีไม่เพียงส่งไปที่ DNA แต่ยังส่งไปยังร่างกายทั้งหมดด้วย!
ฉันแน่ใจว่า DNA ของเราขอบคุณสำหรับข้อมูลเชิงบวกของคุณที่ส่งมาให้
แล้วการปรับปรุงการถ่ายทอดทางวาจาและจิตใจของคุณเป็นอย่างไร?

https://isialada.blogspot.com/2021/03/resonancia-y-correspondenciacientificos.html

พุท-โธ ทุกขณะจิต แล้วสมาธิจะบังเกิดขึ้นมาเองไม่ต้องสงสัย

ก่อนอื่น ขอให้พยายามให้ได้สมาธิในขั้นต้น คือ #อุปจารสมาธิ #อัปปนาสมาธิเมื่อเราทำได้แล้ว

ภูมิจิตภูมิใจของเราจะขยายวงกว้างออกไปเอง

#เรามีศีลบริสุทธิ์สะอาดเป็นเครื่องอบรมสมาธิ
เรามีสมาธิแล้วจะไม่เกิดความรู้ ไม่เกิดปัญญา

#ขอให้ทำให้ได้ ถ้าเราทำจริงก็ได้จริง อย่าทำแต่เวลามาเข้าปฏิบัติในศูนย์หรือเฉพาะเวลานั่งสมาธิท่าเดียว ถ้าใครจะภาวนาพุทโธ ก็ยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด

#ภาวนาพุทโธได้ตลอดกาล ผู้ที่มีสติคล่องแคล่วว่องไวดีแล้วไม่ต้องภาวนาพุทโธ ให้กำหนดลมตามรู้การยืนเดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด

#ทุกขณะจิตทุกลมหายใจ #แล้วสมาธิจะบังเกิดขึ้นมาเองไม่ต้องสงสัย

หลวงพ่อพุธ​ ฐานิโย

........

อานาปานสติ

"#ว่าด้วยอุปจารและอัปปนาสมาธิ"
ฌานและวิปัสสนา

        อุปจารสมาธิแล่นไปในกุศลวิถีแล้ว ก็หยั่งลงสู่ภวังค์. อัปปนาสมาธิ เมื่อพระโยคีนั่งแนบสนิทตลอดทั้งวัน แล่นไปในกุศลวิถีแม้ตลอดทั้งวัน ก็ไม่หยั่งลงสู่ภวังค์

    .....................................................

      
    [จิตย่อมตั้งมั่นเป็นสมาธิด้วยองค์]
             
               จริงอยู่ จิตนี้ย่อมชื่อว่าเป็นธรรมชาติตั้งมั่นด้วยองค์ ๒ คือ ด้วยการละนิวรณ์ในอุปจารภูมิ หรือด้วยความปรากฏแห่งองค์ในปฏิลาภภูมิ. บรรดาภูมิ ๒ อย่างนั้น ที่ชื่อว่าอุปจารภูมิ ได้แก่อุปจารสมาธิ. ที่ชื่อว่าปฏิลาภภูมิ ได้แก่อัปปนาสมาธิ. 
               ถามว่า สมาธิทั้งสองนั้นมีการทำต่างกันอย่างไร? 
               แก้ว่า อุปจารสมาธิแล่นไปในกุศลวิถีแล้ว ก็หยั่งลงสู่ภวังค์. อัปปนาสมาธิ เมื่อพระโยคีนั่งแนบสนิทตลอดทั้งวัน แล่นไปในกุศลวิถีแม้ตลอดทั้งวัน ก็ไม่หยั่งลงสู่ภวังค์. 
               บรรดาสมาธิ ๒ อย่างเหล่านี้ จิตย่อมเป็นธรรมชาติตั้งมั่นด้วยอุปจารสมาธิ เพราะนิมิตปรากฏ. ภายหลัง ภิกษุนี้ไม่พึงมนสิการนิมิตนั้นโดยสี ทั้งไม่พึงพิจารณาโดยลักษณะ. ก็อีกอย่างหนึ่งแล เธออย่าประมาท ควรรักษานิมิตไว้ดุจพระมเหสีของกษัตริย์ ทรงรักษาครรภ์แห่งพระเจ้าจักรพรรดิ และดุจชาวนารักษารวงแห่งข้าวสาลีและข้าวเหนียวฉะนั้น. 
               จริงอยู่ นิมิตที่รักษาไว้ได้ ย่อมจะอำนวยผลแก่เธอ. 
                                   เมื่อพระโยคีรักษานิมิตไว้ได้ จะไม่ 
                         มีความเสื่อม จากอุปจารฌานที่ตนได้แล้ว, 
                         เมื่อไม่มีการอารักขา (นิมิต) ฌานที่ตนได้ 
                         แล้วๆ ก็จะพินาศไป ฉะนี้แล.

               [อุบายสำหรับรักษาอานาปานัสสติกรรมฐานไม่ให้เสื่อม]               
               ในอธิการแห่งอานาปานัสสติกรรมฐานนั้น มีอุบายสำหรับรักษาดังต่อไปนี้ :- 
               ภิกษุนั้นควรเว้นอสัปปายะ ๗ อย่างเหล่านี้ คือ อาวาส ๑ โคจร ๑ การสนทนา ๑ บุคคล ๑ โภชนะ ๑ ฤดู ๑ อิริยาบถ ๑ แล้วเสพสัปปายะ ๗ อย่างเหล่านั้นนั่นแล มนสิการนิมิตนั้นบ่อยๆ .
               พระโยคีนั้น ครั้นทำนิมิตให้มั่นคงด้วยการเสพสัปปายะอย่างนั้นแล้ว ควรรอคอยความเจริญงอกงามไพบูลย์ บำเพ็ญความเพียรไม่ละทิ้งอัปปนาโกศล ๑๐ อย่างเหล่านี้ คือ ทำวัตถุให้สละสลวย ๑ ประคองอินทรีย์ให้เป็นไปเสมอ ๑ ฉลาดในนิมิต ๑ ข่มจิตในสมัยที่ควรข่ม ๑ ประคองจิตในสมัยที่ควรประคอง ๑ ปลอบจิตให้ร่าเริงในสมัยที่ควรปลอบจิตให้ร่าเริง ๑ เพ่งดูจิตในสมัยที่ควรเพ่งดู ๑ เว้นบุคคลผู้มีจิตไม่ตั้งมั่น ๑ เสพบุคคลผู้มีจิตตั้งมั่น ๑ น้อมไปในสมาธินั้น ๑. 
               เมื่อพระโยคีนั้นหมั่นประกอบโดยนัยดังกล่าวมาอย่างนี้อยู่ มโนทวาราวัชชนะ ซึ่งมีนิมิตเป็นอารมณ์ ตัดภวังค์แล้วก็เกิดขึ้นในขณะที่ควรกล่าวว่าอัปปนา จักเกิดขึ้นในบัดนี้. ก็เมื่อมโนทวาราวัชชนะนั้นดับไป. บรรดาชวนะทั้งหลาย ๔ หรือ ๕ ดวงยึดเอาอารมณ์นั้นนั่นแลแล่นไป ซึ่งชวนะดวงแรกชื่อบริกรรม, ที่ ๒ ชื่ออุปจาระ, ที่ ๓ ชื่ออนุโลม, ที่ ๔ ชื่อโคตรภู, ที่ ๕ ชื่ออัปปนาจิต.
               อีกอย่างหนึ่ง ดวงแรกเรียกว่าบริกรรมและอุปจาระ, ที่ ๒ เรียกว่าอนุโลม, ที่ ๓ เรียกว่า โคตรภู, ที่ ๔ เรียกว่าอัปปนาจิต. 
               จริงอยู่ ชวนะดวงที่ ๔ เท่านั้น บางทีที่ ๕ ย่อมเป็นไป๑- ไม่ถึงดวงที่ ๖ หรือที่ ๗ เพราะอาสันนภวังค์ (ภวังค์ใกล้อัปปนา) ตกไป. 
____________________________ 
๑- โยชนา ๑/๓๓๘ แก้ อปฺเปติ เป็น ปวตฺตติ 

               ส่วนพระโคทัตตเถระผู้ชำนาญอภิธรรมกล่าวไว้ว่า กุศลธรรมทั้งหลายย่อมเป็นธรรมมีกำลัง โดยอาเสวนปัจจัย เพราะฉะนั้น ชวนะย่อมถึงที่ ๖ หรือที่ ๗. คำนั้นถูกคัดค้านในอรรถกถาทั้งหลาย. 
               ในชวนจิตเหล่านั้น จิตที่เป็นบุรพภาคเป็นกามาวจร ส่วนอัปปนาจิตเป็นรูปาวจร. ปฐมฌานซึ่งละองค์ ๕ ประกอบด้วยองค์ ๕ สมบูรณ์ด้วยลักษณะ ๑๐ มีความงาม ๓ ย่อมเป็นอันพระโยคีนี้บรรลุแล้ว โดยนัยดังกล่าวมาฉะนี้. เธอยังองค์ฌานทั้งหลายมิวิตกเป็นต้นให้สงบราบคาบในอารมณ์นั้นนั่นเอง ย่อมบรรลุฌานที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔. และด้วยเหตุมีประมาณเพียงนี้ เธอย่อมเป็นผู้ถึงที่สุดแห่งภาวนา ด้วยอำนาจแห่งการหยุดไว้. 
               ในอธิการนี้ มีสังเขปกถาเท่านี้ ส่วนนักศึกษาผู้ต้องการความพิสดาร พึงถือเอาจากปกรณ์วิเสส ชื่อวิสุทธิมรรคเถิด. 
               ส่วนในกายานุปัสสนานี้ ภิกษุผู้บรรลุจตุตถฌานแล้วอย่างนั้นมีความประสงค์ที่จะเจริญกรรมฐาน ด้วยอำนาจการกำหนดและการเปลี่ยนแปลง แล้วบรรลุความหมดจด กระทำฌานนั้นนั่นแลให้ถึงความชำนิชำนาญ (วสี) ด้วยอาการ ๕ อย่างกล่าวคือ อาวัชชนะ การรำพึง, สมาปัชชนะ การเข้า, อธิฏฐานะ การตั้งใจ, วุฏฐานะ การออกและปัจจเวกขณะ การพิจารณา แล้วกำหนดรูปและอรูปว่า รูป มีอรูปเป็นหัวหน้า หรืออรูป มีรูปเป็นหัวหน้าแล้วเริ่มตั้งวิปัสสนา.

               ถามว่า #เริ่มตั้งวิปัสสนาอย่างไร?

               แก้ว่า จริงอยู่ พระโยคีนั้น ครั้นออกจากฌานแล้วกำหนดองค์ฌาน ย่อมเห็นหทัยวัตถุซึ่งเป็นที่อาศัยแห่งองค์ฌานเหล่านั้น ย่อมเห็นภูตรูปซึ่งเป็นที่อาศัยแห่งหทัยวัตถุนั้น และย่อมเห็นกรัชกายแม้ทั้งสิ้นซึ่งเป็นที่อาศัยแห่งภูตรูปเหล่านั้น. ในลำดับแห่งการเห็นนั้น เธอย่อมกำหนดรูปและอรูปว่า องค์ฌานจัดเป็นอรูป, (หทัย) วัตถุเป็นต้นจัดเป็นรูป. 
               อีกอย่างหนึ่ง เธอนั้นครั้นออกจากสมาบัติแล้ว กำหนดภูตรูปทั้ง ๔ ด้วยอำนาจปฐวีธาตุเป็นต้น ในบรรดาส่วนทั้งหลายมีผมเป็นอาทิ และรูปซึ่งอาศัยภูตรูปนั้น ย่อมเห็นวิญญาณพร้อมทั้งสัมปยุตธรรมซึ่งมีรูปตามที่ตนกำหนดแล้วเป็นอารมณ์ หรือมีรูปวัตถุและทวารตามที่ตนกำหนดแล้วเป็นอารมณ์. 
               ลำดับนั้น เธอย่อมกำหนดว่า ภูตรูปเป็นต้นจัดเป็นรูป, วิญญาณที่มีสัมปยุตธรรมจัดเป็นอรูป. อีกอย่างหนึ่ง เธอครั้นออกจากสมาบัติแล้ว ย่อมเห็นว่า กรัชกายและจิตเป็นที่เกิดขึ้นแห่งลมอัสสาสะและปัสสาสะ. เหมือนอย่างว่า เมื่อสูบของช่างทองยังสูบอยู่ ลมย่อมสัญจรไปมา เพราะอาศัยการสูบ และความพยายามอันเกิดจากการสูบนั้นของบุรุษ ฉันใด, ลมหายใจเข้าและหายใจออกย่อมเข้าออก เพราะอาศัยกายและจิตฉันนั้นเหมือนกันแล. 
               ลำดับนั้น เธอกำหนดลมหายใจเข้าหายใจออกและกายว่า เป็นรูป, กำหนดจิตนั้นและธรรมที่สัมปยุตด้วยจิตว่า เป็นอรูป. ครั้นเธอกำหนดนามรูปด้วยอาการอย่างนั้นแล้ว ย่อมแสวงหาปัจจัยแห่งนามรูปนั้น. และเธอเมื่อแสวงหาอยู่ ก็ได้เห็นปัจจัยมีอวิชชาและตัณหาเป็นต้นนั้นแล้ว ย่อมข้ามความสงสัยปรารภความเป็นไปแห่งนามรูปในกาลทั้ง ๓ เสียได้. 
               เธอนั้นข้ามความสงสัยได้แล้ว ยกไตรลักษณ์ขึ้นด้วยอำนาจพิจารณากลาป ละวิปัสสนูปกิเลส ๑๐ อย่าง มีโอภาสเป็นต้นซึ่งเกิดขึ้นแล้วในส่วนเบื้องต้น ด้วยอุทยัพพยานุปัสสนา (การพิจารณาเห็นความเกิดและความดับ) กำหนดปฏิปทาญาณที่พ้นจากอุปกิเลสว่าเป็นมรรค ละความเกิดเสีย ถึงภังคานุปัสสนา (การพิจารณาเห็นความดับ) เบื่อหน่ายคลายกำหนัดพ้นไปในสรรพสังขาร ซึ่งปรากฏโดยความเป็นของน่ากลัว ด้วยพิจารณาเห็นความดับติดต่อกันไป ได้บรรลุอริยมรรคทั้ง ๔ ตามลำดับ แล้วตั้งอยู่ในพระอรหัตผลถึงที่สุดแห่งปัจจเวกขณญาณ ๑๙ อย่าง เป็นอัครทักขิไณยแห่งโลกพร้อมทั้งเทวดา. 
               ก็การเจริญอานาปานัสสติสมาธิของภิกษุผู้ประกอบในอานาปานกรรมฐานนั้น ตั้งต้นแต่การนับจนถึงมรรคผลเป็นที่สุด จบบริบูรณ์เพียงเท่านี้แล.

http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=01.0&i=176&p=2

16 มีนาคม 2564

แสงสว่างและพลังดึงดูดของการสื่อสาร

ขึ้นของเธอ  วันนี้ในเดือนมีนาคม 2021 การเชื่อมต่อกับคุณเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยม  ช่างเป็นวันที่มีความสุขทุกวันเพราะเราแสวงหาสิ่งที่ดีความงามความอัศจรรย์ใจในทุกสิ่งที่เราเห็น พวกเรานักวาดภาพไฟดาวกระจายอยู่ในสถานที่ที่ยอดเยี่ยมในการเฝ้าดูเหตุการณ์ความปั่นป่วนความโกลาหลของการตื่นขึ้นครั้งใหญ่  เรามาถึงจุดเปลี่ยนแล้ว

  เรามาถึงสถานที่ที่หยดแห่งความจริงการเปิดเผยกำลังจะระเบิดความจริงออกมาอย่างท่วมท้น เดือนกุมภาพันธ์นี้เป็นวันที่มืดมิดที่สุดก่อนรุ่งสาง  ดูเหมือนชั่วขณะหนึ่งที่ความมืดได้รับชัยชนะ  และแม้ว่าเราจะมั่นใจว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีแม้ว่าเราจะมีศรัทธาในแผนของพระเจ้าสำหรับการขึ้นสู่สวรรค์ แต่ก็น่าผิดหวังที่ต้องรอวันแล้ววันเล่าเพื่อให้พี่น้องของเราตื่นจากความฝันการปลูกฝังและการฝึกฝนของพวกเขา  

การเดินทางบนโลกเป็นความพยายามที่ยอดเยี่ยมสำหรับวิญญาณทำให้พวกเขาเติบโตและเข้าใจได้ดีขึ้นว่าใครคืออะไร  มายังโลกในฐานะผู้บริสุทธิ์ที่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับชีวิตมนุษย์และจะดำรงอยู่ได้อย่างไร จะถูกดึงเข้าไปในความเชื่อและความคิดของคนที่เราเกิด  และพยายามนำทางชีวิตด้วยสถานที่ที่ไม่ถูกต้องและความคิดที่ไม่สุภาพที่เรานำมาใช้ 

กระบวนการตื่นขึ้นมาเกี่ยวข้องกับการระบุความกลัวและความชอกช้ำที่เราถูกดึงเข้ามาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้และโดยการทำความเข้าใจผลักดันพวกเขาออกไป การตื่นขึ้นคือการเดินทางส่วนตัวที่ลึกซึ้งซึ่งไม่เหมือนใครสำหรับผู้ที่ได้รับประสบการณ์นั้น  การฝึกฝนตั้งแต่เด็กปฐมวัยทำให้เราแต่ละคนมีความกลัวที่แตกต่างกันในการเอาชนะและปลดปล่อย นี่คือวิธีที่เราถูกเลี้ยงดูมาเป็นคำพูดที่ใช้สอนเรา  เราถูกสอนให้เพิกเฉยต่อพระวิญญาณของเราเสียงภายในเล็ก ๆ น้อย ๆ  ในฐานะเด็กเราถูกพรากจากตัวตนที่แท้จริงจากระบบการแนะนำภายในของเรา แต่เราได้รับการสอนให้นำระบบคำแนะนำของผู้ปกครองมาใช้  เพราะพ่อแม่ผู้ปกครองของเราคือทั้งหมดที่เรามี

  ในฐานะเด็กเราไม่มีพลังและรู้สึกว่าเราต้องปฏิบัติตามความปรารถนาความเชื่อและความคิดของคนรอบข้างเพื่อที่จะอยู่รอด สำหรับเด็กการอยู่รอดหมายถึงการละทิ้งตัวเองและผสานเข้ากับจิตใจของพ่อแม่  สำหรับเยาวชนที่ไร้เดียงสาภัยคุกคามจากการถูกทอดทิ้งหมายถึงความตายทางร่างกาย  ลูกมนุษย์ไร้เรี่ยวแรงและไม่สามารถดูแลตัวเองได้ 

ดังนั้นเราจึงขึ้นอยู่กับความกรุณาและความห่วงใยของผู้ปกครองโดยสิ้นเชิง  ดังที่ชื่อ "มนุษยชาติ" ชี้ให้เห็นว่ามนุษยชาติส่วนใหญ่ต้องการเป็นมนุษย์และมีเมตตากรุณา  ผู้อาวุโสของเราใจดีหรือไม่? ชีวิตทางโลกนี้ได้รับการออกแบบมาในลักษณะที่เงาและความมืดซึ่งเป็นพันธนาการเชิงลบที่เราได้รับสร้างพื้นผิวที่เรากำหนดความสว่างภายในตัวเรา ในการต่อสู้เพื่อดำเนินชีวิตตามคำสอนที่ผิดปกติของพ่อแม่และผู้ปกครองของเราที่เราตระหนักและปลดปล่อยความผิดปกติและการฝึกอบรมเชิงลบ และการฝึกอบรมนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? 

 การปลูกฝังเชิงลบนี้เกิดขึ้นในรูปแบบใด?  มันเป็นคำที่เราใช้โปรแกรมที่เรา  เราถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้เราใช้คำซ้ำ ๆ เป็นของเราเอง นั่นคือเหตุผลที่การโฆษณาได้ผล  ธุรกิจต่างๆใช้จ่ายเงินหลายล้านดอลลาร์ไปกับการตลาดและการโฆษณาเนื่องจากพวกเขาทราบดีว่าผลิตภัณฑ์ที่เป็นที่รู้จักและคุ้นเคยซึ่งมีคุณลักษณะที่เป็นที่รู้จักและคุ้นเคยเป็น

ผลิตภัณฑ์ที่ผู้บริโภคที่มีความรู้ด้านการโฆษณาจะซื้อ พระคัมภีร์มักพูดถึงความสำคัญของคำพูด “ เพราะคำพูดของคุณนั่นแหละที่คุณจะได้รับความชอบธรรมและคุณจะถูกประณามด้วยคำพูดของคุณ” "ฉันบอกคุณแล้วว่าในวันแห่งการพิพากษาผู้คนจะพูดถึงคำพูดที่ไม่ใส่ใจทุกคำที่พวกเขาพูด  " “ ความตายและชีวิตอยู่ในอำนาจของลิ้นและคนที่รักมันจะกินผลของมัน  " “ อย่าให้คำพูดเสียหายใด ๆ ออกมาจากปากของคุณ แต่เฉพาะคำพูดที่ดีสำหรับการจรรโลงใจตามโอกาสเท่านั้นที่จะได้รับพรจากผู้ที่ได้ยิน  " แล้วเราจะพูดอย่างไร?

  เราพูดอะไรที่ทำให้เราเสื่อมสมรรถภาพด้วยวิธีนี้?  เราพูดคำที่เราเคยได้ยินซ้ำแล้วซ้ำเล่า  พวกมันมาหาเราโดยอัตโนมัติและตามธรรมชาติที่มีปฏิกิริยาของเรา เราต้องเข้าใจว่าร่างกายของเราก็เหมือนกับคอมพิวเตอร์  พวกเขาถูกตั้งโปรแกรมด้วยคำพูด  และเราได้ยินคำศัพท์อะไรบ้างในวัยเด็ก?  เราได้ยินคำพูดเดียวกับที่พ่อแม่ได้ยินจากพ่อแม่ ดังนั้นเราจึงได้รับคำสั่งให้ทำในสิ่งที่ฉันพูด - หรืออื่น ๆ !  คุณไม่ใช่คนเรียนเก่ง

  คุณมีความน่าเกลียด.  คุณเป็นคนขี้รำคาญ  ทำไมคุณไม่สามารถเป็นเหมือนพี่สาวน้องชายของคุณเพื่อนของคุณ?  ฉันขอให้คุณไม่เคยเกิดมา  คุณโง่.  คุณไม่มีประโยชน์  คุณทำอะไรไม่ถูก  แสดงความเคารพและทำในสิ่งที่ฉันบอกคุณ  อย่าเป็นเบบี้  มันเป็นความผิดของคุณ  คุณไม่รู้ ?  คุณอ้วนเกินไป  คุณยังเล็กเกินไป  คุณสูงเกินไป  หยุดร้องไห้เถอะที่รัก  ฉันจะให้เหตุผลที่คุณไม่มีความสุข  หุบปาก. ความรู้สึกของเราอารมณ์ของเราถูกปฏิเสธผลักกลับเรากลายเป็นหุ่นยนต์ทำซ้ำสิ่งที่เราได้รับการบอกเล่า และอื่น ๆ 

ในบทสวดเชิงลบของคำที่เรายอมรับว่าเป็นความจริงเกี่ยวกับตัวเรา  และเมื่อเราโตเป็นผู้ใหญ่คำพูดอันโอ่อ่าของพ่อแม่ก็ปกครองชีวิตเรา  เราพูดซ้ำแล้วซ้ำอีกถึงคำที่เราได้ยินในวัยเยาว์  และคำเหล่านี้คำสอนเหล่านี้สร้างความเป็นจริงของเรา ดังนั้นจึงอยู่ในคำที่เราใช้ในรายละเอียดของคำพูดของเราที่เราต้องแสวงหาความรอดของเรา  การประพฤติตัวของพระเจ้าคืออะไร?  มันเกี่ยวกับการรับรู้เฝ้าดูทุกคำที่ออกจากปากของเรา เพราะคำพูดเป็นตัวกำหนดว่าเราเป็นใครและลูกของเราเป็นใคร  คำพูดเป็นกลไกในการสร้างสรรค์ของเรา 

 ดังนั้นพ่อแม่ของเราจึงใช้คำยืนยันในแง่ลบเกี่ยวกับเรา  และเราเอาคำพูดที่รุนแรงเหล่านั้นมากำหนดว่าเราคือใคร เมื่อเราตายเมื่อเราจากโลกทางกายภาพนี้และกลับสู่อาณาจักรวิญญาณเราจะทบทวนชีวิตในอดีตของเรา  บทวิจารณ์นี้แสดงให้เราเห็นทุกรายละเอียดของเหตุการณ์ในชีวิตคำพูดและการกระทำของเราส่งผลกระทบต่อคนรอบข้างอย่างไร ไม่มีวิจารณญาณในส่วนของคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเรา  และเมื่อเราเห็นว่าคำพูดและการกระทำที่ไร้ความคิดของเราส่งผลกระทบต่อผู้อื่นอย่างไรตัวเราเองในฐานะเศษเสี้ยวอนุภาคของพระเจ้าเรากำลังบอกว่าเราต้องกลับสู่โลกและซ่อมแซมความเสียหายที่เราได้ทำกับพี่น้อง และนี่คือวิธีที่เราเดินไปตามวัฏจักรของกรรม  แต่ละรุ่นจะพูดซ้ำคำพูดที่โหดร้ายและบ้าบิ่นของคนรุ่นก่อน

  คนแต่ละรุ่นจะได้รับอารมณ์ในความผิดปกติและความชั่วร้ายโดยคำพูดของผู้ที่ดูแลมัน และตอนนี้เป็นเวลาแห่งการตื่นขึ้นครั้งใหญ่  แล้วเราควรตื่นขึ้นมาเพื่ออะไร?  เราต้องตระหนักและตื่นตัวในทุกสิ่งที่เราพูดและทำ  เราจำเป็นต้องหยุดโฟกัสที่ตัวเอง  หยุดคิดซ้ำซากโดยอัตโนมัติและสวดมนต์คำที่ครอบครัวของเราพูดมาหลายชั่วอายุคน เราต้องคิดว่าเราจะอยู่กับใคร  ความเข้าใจของพวกเขาคืออะไรพวกเขาจะตีความสิ่งที่ฉันพูดอย่างไร  คำพูดของฉันมีผลอย่างไรกับพวกเขา?  ฉันจะเลี้ยงดูพวกมันได้อย่างไร?

 มาฝากทุกคนด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า  ขอให้เรานำพาพี่น้องของเราด้วยความสว่างความกระตือรือร้นความเข้าใจการฟังอย่างไม่มีเงื่อนไขคำพูดที่ให้กำลังใจและความรักของเรา ด้วยเหตุนี้เราจึงให้ตัวเราเองและคนอื่น ๆ อยู่ในเกลียวแห่งความรัก  ดังนั้นเราจึงอยู่ในการสั่นสะเทือนความถี่ของความเมตตากรุณาและความเมตตาที่ไม่มีเงื่อนไข  นี่คือความสงบสุขมาสู่โลกในที่สุดและมนุษยชาติได้รับการปลดปล่อยจากการโจมตีและการกระตุ้นของการฝึกอบรมเชิงลบ 

เพราะคำพูดของเราที่ว่าเราโจมตีกันในทางลบหรือยกระดับซึ่งกันและกันบ่อยครั้งจากความเข้าใจผิดและความนับถือตนเองที่มืดมน ขอให้ทุกคนยอมรับพฤติกรรมของพระเจ้า  มาใส่ใจกับคำที่เราพูดกันเถอะ  ขอให้เราคำนึงถึงผลกระทบต่อพี่น้องของเรา  และพี่น้องที่รักนี่คือสิ่งที่เราทำพวกเราคือนักยิงปืนผู้เดิน  เรารักกันก่อนอื่นใด  ให้คำว่า "ฉันคือความจริงฉันคือแสงสว่างฉันคือความรักฉันคือ" สะท้อนอยู่บนริมฝีปากของคุณ  พูดซ้ำแล้วซ้ำอีกฉันสวยฉันวิเศษฉันมีพลัง

  ฉันชอบสิ่งที่ฉันทำ  ชีวิตของฉันสวยงาม  ชื่นชมตัวเองอย่างล้นหลาม.  สำหรับคุณคือสิ่งที่คุณเป็นมนุษย์ แต่คุณคือทั้งหมดที่คุณเป็นพระเจ้า แต่ละวันเขียนคำยืนยันด้วยความรักเกี่ยวกับตัวคุณเองโดยรู้ว่าคุณเป็นลูกที่บริสุทธิ์และเปี่ยมด้วยความรักของพระเจ้า  รู้ว่าจิตวิญญาณของคุณคือความสมบูรณ์แบบนั้นเอง  และเมื่อคุณรักตัวเองด้วยภาษาภายในคุณจะใช้ภาษาเดียวกันกับพี่น้องโดยอัตโนมัติและคุณจะรักพี่น้องเหมือนรักตัวเอง ใช่ชีวิตจะดีและดีขึ้นเมื่อเราเปิดเผยและแก้ไขต้นตอของความผิดปกติของเรา  และสิ่งที่ดีที่สุดยังมาไม่ถึงหัวใจที่รักแท้จริงแล้วสิ่งที่ดีที่สุดยังมาไม่ถึง Aita แสดงตัวตนที่สูงขึ้นของเธอ  แท้จริงเราเป็นสิ่งมีชีวิตที่ได้รับพร 

แปลและแบ่งปันโดย Celestial Messages: https://messagescelestes.ca

13 มีนาคม 2564

อย่าปรามาส เพศฆราวาส พลาดพลั้ง อาจจะยังให้ลงสู่มหานรก โดยไม่รู้ตัว

"... จงอย่าตัดสิน หรือหมิ่นบุคคล แค่เพียงดูแต่เครื่องแบบภายนอก ที่อยู่ในเพศฆราวาส พลาดพลั้ง อาจจะยังให้ลงสู่มหานรก โดยไม่รู้ตัว

อย่าลืมนะว่า ...
อันอภิญญาโลกียวิสัยนั้น ยังสามารถมีผัว มีเมียได้นะ ไม่ใช่ว่านักเจริญพระกรรมฐาน จะต้องเลิกจากผัว จะต้องเลิกจากเมีย มันไม่ใช่อย่างนั้น ถ้าเรื่องของศีลเขาไม่ขาดละก็ เขาทำของเขาได้

นับแต่ พระโสดาบัน สกิทาคามี เขายังครองเรือนได้ ยังมีลูกเต้าได้

แต่ ...
สำหรับ พระอนาคามี เท่านั้นแหละ ถึงแม้จะอยู่บ้าน ก็อยู่อย่างไม่มีความหมาย เพราะความรู้สึกทางเพศไม่มี นี่ส่วนที่เป็นฆราวาส อย่าว่าแต่โลกียเลย แม้แต่พวกที่ได้โลกุตตระ คือ เป็นพระอริยเจ้า ยังอยู่ได้ ถึงพระอนาคามี

นี่ บรรดาลูกหลานทั้งหลายที่ฟัง อาจจะสงสัยว่า ..
คนที่ได้ฌานโลกียะ ได้กสิณ ได้อภิญญาแล้ว ทำไมจะมามีลูกมีเมียเป็นฆราวาสอยู่ ทำไมไม่ออกบวช เรื่องของการบวชนั้นเป็นเรื่องของสมณวิสัย มันคนละเรื่องกัน ..

ฉันว่ามีความจำเป็นน้อย คนที่เป็นชาวบ้านจะทำความดีนี่ ไม่จำเป็นจะต้องเป็นพระ เครื่องแบบชาวบ้านก็ทำความดีได้... แต่งกายแบบชาวบ้านก็สามารถเป็นพระอริยเจ้าได้ ..

อย่าว่าแต่แค่ฌานโลกียวิสัยเลย ที่ใส่เครื่องแบบฆราวาสที่เป็นอริยเจ้าก็มีอยู่ถมเถไป

... สมัยเมื่อพระพุทธองค์ยังมีพระชนมชีพอยู่ พระภิกษุไปเจริญพระกรรมฐานอยู่ในป่าทึบ มีความอดอยาก บางวันท่านคิดว่า พรุ่งนี้ถ้าเราได้กินข้าวต้มสักนิดก็จะดี ก็ปรากฏว่ามีโยมผู้หญิงคนหนึ่ง ได้นำข้าวต้มมาถวายแต่เช้า

บางวันท่านคิดว่า พรุ่งนี้มีอะไรสักหน่อยหนึ่ง ที่ท่านชอบได้ขบฉันสักหน่อยก็จะดี ปรากฏว่าโยมสตรีนั้น ก็นำมาถวายให้แต่เช้า พระท่านก็สงสัย ถามโยมแก แกก็ไม่ตอบ

ต่อมาเมื่อกลับมาเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ ก็ได้ถามข้อสงสัยกับพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ ได้ทรงตอบว่า.. นางผู้นั้นได้สำเร็จ"อนาคามีผล"เป็นพระอริยบุคคลแล้วและก็เป็นขั้นปฏิสัมภิทาญาณ เสียด้วย (จึงได้เจโตปริยญาณ รู้ใจภิกษุรูปนั้น)

นี่จะว่า...พระจะดีกว่าฆราวาสเสมอไปไม่แน่นักนะนั่นพระยังเป็นโลกียชน แล้วคนๆนั้นเขาเป็นพระอริยเจ้าขั้น "อนาคามีบุคคล" เชียวละ พระทันเขาที่ไหน ! ..."

หลวงพ่อปาน โสนันฺโท

พระศรีอริยเมตไตรย

"#พระผู้มีพระภาคพระนามว่าเมตไตรย์พระองค์นั้น 

#จักทรงบริหารภิกษุสงฆ์หลายพัน 

#เหมือนตถาคตบริหารภิกษุสงฆ์หลายร้อย 

ในบัดนี้ฉะนั้น ฯ
             

       ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี พระผู้มีพระภาคทรง
พระนามว่าเมตไตรย์ จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก พระองค์เป็นอรหันต์ ตรัสรู้เอง
โดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถี
ฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้
เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม เหมือนตถาคตอุบัติขึ้นแล้วในโลกในบัดนี้
เป็นอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ ไปดีแล้ว รู้แจ้ง
โลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์
ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม พระผู้มีพระภาคพระนามว่า
เมตไตรย์พระองค์นั้น จักทรงทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้
แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งด้วยพระองค์เองแล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณ-
*พราหมณ์เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตาม เหมือนตถาคตในบัดนี้ ทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก
มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตถาคตเองแล้ว สอนหมู่สัตว์
พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตามอยู่ พระผู้มีพระภาคพระนามว่า
เมตไตรย์พระองค์นั้นจักทรงแสดงธรรม งามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งาม
ในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์
บริบูรณ์สิ้นเชิงเหมือนตถาคตในบัดนี้ แสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง
งามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์
บริบูรณ์สิ้นเชิง พระผู้มีพระภาคพระนามว่าเมตไตรย์พระองค์นั้น จักทรงบริหาร
ภิกษุสงฆ์หลายพัน เหมือนตถาคตบริหารภิกษุสงฆ์หลายร้อย ในบัดนี้ฉะนั้น ฯ
             
http://84000.org/tipitaka/read/v.php?B=11&A=1584&Z=1631&pagebreak=0
http://84000.org/tipitaka/read/byitem.php?book=11&item=48&items=1
          

...........

อุบายเครื่องละสังโยชน์
             [๑๕๕] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรอานนท์ ปุถุชนในโลกนี้ ผู้ไม่ได้สดับ ไม่ได้
เห็นพระอริยะ ไม่ฉลาดในธรรมของพระอริยะ ไม่ได้รับแนะนำในธรรมของพระอริยะ ไม่เห็น
สัตบุรุษ ไม่ฉลาดในธรรมของสัตบุรุษ ไม่ได้รับแนะนำในธรรมของสัตบุรุษ มีจิตอันสักกายทิฏฐิ
กลุ้มรุมแล้ว อันสักกายทิฏฐิครอบงำแล้วอยู่ และเมื่อสักกายทิฏฐิเกิดขึ้นแล้ว ย่อมไม่รู้อุบาย
เป็นเครื่องสลัดออกเสียได้ตามความเป็นจริง สักกายทิฏฐินั้นก็เป็นของมีกำลัง อันปุถุชนนั้น
บรรเทาไม่ได้แล้ว ชื่อว่าเป็นโอรัมภาคิยสังโยชน์ ปุถุชนนั้นมีจิตอันวิจิกิจฉากลุ้มรุมแล้ว อัน
วิจิกิจฉาครอบงำแล้วอยู่ และเมื่อวิจิกิจฉาเกิดขึ้นแล้ว ย่อมไม่รู้อุบายเป็นเครื่องสลัดออกเสียได้
ตามความเป็นจริง วิจิกิจฉานั้นก็เป็นของมีกำลัง อันปุถุชนนั้นบรรเทาไม่ได้แล้ว ชื่อว่าเป็น
โอรัมภาคิยสังโยชน์. ปุถุชนนั้นมีจิตอันสีลัพพตปรามาสกลุ้มรุมแล้ว อันสีลัพพตปรามาส
ครอบงำแล้วอยู่ และเมื่อสีลัพพตปรามาสเกิดขึ้นแล้ว ย่อมไม่รู้อุบายเป็นเครื่องสลัดออกเสีย
ได้ตามความเป็นจริง สีลัพพตปรามาสนั้นก็เป็นของมีกำลัง อันปุถุชนนั้นบรรเทาไม่ได้แล้วชื่อว่า
เป็นโอรัมภาคิยสังโยชน์ ปุถุชนนั้นมีจิตอันกามราคะกลุ้มรุมแล้ว อันกามราคะครอบงำแล้วอยู่
และเมื่อกามราคะเกิดขึ้นแล้ว ย่อมไม่รู้อุบายเป็นเครื่องสลัดออกเสียได้ตามความเป็นจริง กาม
ราคะนั้นก็เป็นของมีกำลัง อันปุถุชนนั้นบรรเทาไม่ได้แล้ว ชื่อว่าเป็นโอรัมภาคิยสังโยชน์. ปุถุชน
นั้นมีจิตอันพยาบาทกลุ้มรุมแล้ว อันพยาบาทครอบงำแล้วอยู่ และเมื่อพยาบาทเกิดขึ้นแล้ว
ย่อมไม่รู้อุบายเป็นเครื่องสลัดออกเสียได้ตามความเป็นจริง พยาบาทนั้นก็เป็นของมีกำลัง อัน
ปุถุชนนั้นบรรเทาไม่ได้แล้ว ชื่อว่าโอรัมภาคิยสังโยชน์. ดูกรอานนท์ ส่วนอริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว
ได้เห็นพระอริยะ เป็นผู้ฉลาดในธรรมของพระอริยะ ได้รับแนะนำในธรรมของพระอริยะดีแล้ว ได้
เห็นสัตบุรุษ ฉลาดในธรรมของสัตบุรุษ ได้รับแนะนำในธรรมของสัตบุรุษดีแล้ว มีจิตอัน
สักกายทิฏฐิกลุ้มรุมไม่ได้ อันสักกายทิฏฐิครอบงำไม่ได้อยู่ และเมื่อสักกายทิฏฐิเกิดขึ้นแล้ว
ย่อมรู้อุบายเป็นเครื่องสลัดออกเสียได้ตามความเป็นจริง สักกายทิฏฐิพร้อมทั้งอนุสัย อันอริยสาวก
นั้นย่อมละได้ อริยสาวกนั้นมีจิตอันวิจิกิจฉากลุ้มรุมไม่ได้ อันวิจิกิจฉาครอบงำไม่ได้อยู่ และ
เมื่อวิจิกิจฉาเกิดขึ้นแล้ว ย่อมรู้อุบายเป็นเครื่องสลัดออกเสียได้ตามความเป็นจริง วิจิกิจฉาพร้อม
ทั้งอนุสัย อันอริยสาวกนั้นย่อมละได้. อริยสาวกนั้นมีจิตอันสีลัพพตปรามาสกลุ้มรุมไม่ได้ อัน
สีลัพพตปรามาสย่อมครอบงำไม่ได้อยู่ และเมื่อสีลัพพตปรามาสเกิดขึ้นแล้ว ย่อมรู้อุบายเป็น
เครื่องสลัดออกเสียได้ตามความเป็นจริง สีลัพพตปรามาสพร้อมทั้งอนุสัย อันอริยสาวกนั้นย่อม
ละได้. อริยสาวกนั้นมีจิตอันกามราคะกลุ้มรุมไม่ได้ อันกามราคะครอบงำไม่ได้อยู่ และเมื่อ
กามราคะเกิดขึ้นแล้ว ย่อมรู้อุบายเป็นเครื่องสลัดออกเสียได้ตามความเป็นจริง กามราคะพร้อมทั้ง
อนุสัยอันอริยสาวกนั้นย่อมละได้. อริยสาวกนั้นมีจิตอันพยาบาทกลุ้มรุมไม่ได้ อันพยาบาท
ครอบงำไม่ได้อยู่ และเมื่อพยาบาทเกิดขึ้นแล้ว ย่อมรู้อุบายเป็นเครื่องสลัดออกเสียได้ตามความ
เป็นจริง พยาบาทพร้อมทั้งอนุสัย อันอริยสาวกนั้นย่อมละได้.

#มรรคปฏิปทาเครื่องละสังโยชน์

             [๑๕๖] ดูกรอานนท์ ข้อที่ว่า 

#บุคคลจักไม่อาศัยมรรคปฏิปทาที่เป็นไปเพื่อละโอรัมภาคิยสังโยชน์๕ 

#แล้วจักรู้ #จักเห็น #หรือจักละ 

#โอรัมภาคิยสังโยชน์๕ได้นั้น

 #ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้. 

ดูกรอานนท์ เปรียบเหมือนข้อที่ว่า ไม่ถากเปลือก ไม่ถากกระพี้ของต้นไม้ใหญ่ที่ยืนต้น
มีแก่น แล้วจักถากแก่นนั้น ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้ ฉันใด ข้อที่ว่า บุคคลจักไม่อาศัยมรรคปฏิปทา
ที่เป็นไปเพื่อละโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ แล้ว จักรู้ จักเห็น หรือจักละโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕
ได้นั้นก็ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้ ฉันนั้น. ดูกรอานนท์ ข้อที่ว่า บุคคลอาศัยมรรคปฏิปทาอันเป็นไป
เพื่อละโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ แล้ว จักรู้ จักเห็น และจักละโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ นั้นได้ เป็น
ฐานะที่จะมีได้. ดูกรอานนท์ เปรียบเหมือนข้อที่ว่า ถากเปลือก ถากกระพี้ของต้นไม้ใหญ่ที่ยืนต้น
มีแก่น แล้วจึงถากแก่นนั้น เป็นฐานะที่จะมีได้ ฉันใด ข้อที่ว่า บุคคลอาศัยมรรคปฏิปทา
อันเป็นไปเพื่อละโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ แล้ว จักรู้ จักเห็น หรือจักละโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕
ได้นั้น ก็เป็นฐานะที่จะมีได้ ฉันนั้น. ดูกรอานนท์ เปรียบเหมือนแม่น้ำคงคาน้ำเต็มเปี่ยมเสมอ
ขอบฝั่ง กาก้มลงดื่มได้ ครั้งนั้น บุรุษผู้มีกำลังน้อย พึงมาด้วย หวังว่า เราจักว่ายตัดขวาง
กระแสน้ำแห่งแม่น้ำคงคานี้ ไปให้ถึงฝั่งโดยสวัสดี ดังนี้เขาจะไม่อาจว่าย ตัดขวางกระแสน้ำ
แห่งแม่น้ำคงคา ไปให้ถึงฝั่งโดยสวัสดีได้ ฉันใด เมื่อธรรมอันผู้แสดงๆ อยู่แก่ผู้ใดผู้หนึ่ง เพื่อ
ดับความเห็นว่า กายของตน จิตของผู้นั้นไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่มั่นคง ไม่พ้น ฉันนั้น
เหมือนกัน. บุรุษผู้มีกำลังน้อยนั้น ฉันใด พึงเห็นบุคคลเหล่านั้น ฉันนั้นเหมือนกัน. ดูกรอานนท์
เปรียบเหมือนแม่น้ำคงคา น้ำเต็มเปี่ยมเสมอขอบฝั่ง กาก้มลงดื่มได้ ครั้งนั้นบุรุษมีกำลัง พึงมาด้วย
หวังว่า เราจักว่ายตัดขวางกระแสน้ำแห่งแม่น้ำคงคานี้ ไปให้ถึงโดยสวัสดี ดังนี้ เขาอาจจะ
ว่ายตัดขวางกระแสแห่งแม่น้ำคงคา ไปให้ถึงฝั่งโดยสวัสดีได้ ฉันใด ดูกรอานนท์ เมื่อธรรม
อันผู้แสดงๆ อยู่แก่ผู้ใดผู้หนึ่งเพื่อดับความเห็นว่า กายของตน จิตของตน จิตของผู้นั้นแล่นไป
เลื่อมใส มั่นคง พ้น ฉันนั้นเหมือนกันแล. บุรุษมีกำลังนั้นฉันใด พึงเห็นบุคคลเหล่านั้น ฉันนั้น
เหมือนกัน.
รูปฌาน ๔
             [๑๕๗] ดูกรอานนท์ มรรคปฏิปทาที่เป็นไปเพื่อละโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ เป็นไฉน?
ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมเพราะอุปธิวิเวก เพราะละ
อกุศลธรรมได้ เพราะระงับความคร้านกายได้โดยประการทั้งปวง บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร
มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ เธอพิจารณาเห็นธรรมทั้งหลาย คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร
วิญญาณ ซึ่งมีอยู่ในกาย ในสมาบัตินั้น โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นโรค เป็น
ดังหัวฝี เป็นดังลูกศร เป็นความลำบาก เป็นไข้ เป็นอื่น เป็นของทรุดโทรม เป็นของสูญ
เป็นของมิใช่ตัวตน. เธอย่อมเปลื้องจิตจากธรรมเหล่านั้น ครั้นเธอเปลื้องจิตจากธรรมเหล่านั้นแล้ว
ย่อมน้อมจิตไปในอมตธาตุว่า ธรรมชาตินี้สงบ ธรรมชาตินี้ประณีต คือ ธรรมเป็นที่สงบสังขาร
ทั้งปวง เป็นที่สละคืนอุปธิทั้งปวง เป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา เป็นที่สิ้นกำหนัด เป็นที่ดับสนิท
เป็นที่ดับกิเลส และกองทุกข์ดังนี้. เธอตั้งอยู่ในวิปัสสนา อันมีไตรลักษณ์เป็นอารมณ์นั้น ย่อม
บรรลุธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ถ้ายังไม่บรรลุธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย
ย่อมเป็นโอปปาติกะ ๑- จักปรินิพพานในภพนั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา เพราะ
ความยินดี ความเพลิดเพลินในธรรมนั้น และเพราะสิ้นไปแห่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ทั้ง ๕ ดูกร-
*อานนท์ มรรคแม้นี้แล ปฏิปทาแม้นี้แล ย่อมเป็นไปเพื่อละโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕.
             ดูกรอานนท์ อีกประการหนึ่ง ภิกษุบรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน
เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร เพราะวิตกวิจารสงบไป มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่.
             ดูกรอานนท์ อีกประการหนึ่ง ภิกษุมีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะอยู่ และเสวยสุข
ด้วยนามกาย เพราะปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌานที่พระอริยะทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้
เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติ อยู่เป็นสุข.
             ดูกรอานนท์ อีกประการหนึ่ง ภิกษุบรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุข
ละทุกข์ และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่. เธอพิจารณา
เห็นธรรมทั้งหลาย คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ซึ่งมีอยู่ในภายในสมาบัตินั้น ฯลฯ
เพื่อละสังโยชน์
อรูปฌาน
             [๑๕๘] ดูกรอานนท์ ภิกษุบรรลุ อากาสานัญจายตนฌาน ด้วยบริกรรมว่า อากาศ
ไม่มีที่สุด เพราะก้าวล่วงรูปสัญญา เพราะดับปฏิฆสัญญา และเพราะไม่มนสิการนานัตตสัญญา
โดยประการทั้งปวง เธอย่อมพิจารณาเห็นธรรมเหล่านั้นคือ เวทนา สัญญา สังขารวิญญาณ ซึ่ง
มีอยู่ในฌานนั้นโดยความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นโรค เป็นดังหัวฝี เป็นดังลูกศร เป็นความลำบาก
เป็นไข้ เป็นอื่น เป็นของทรุดโทรม เป็นของสูญ เป็นของไม่มีตัวตน. เธอให้จิตดำเนินไปด้วย
ธรรมเหล่านั้น ครั้นให้จิตดำเนินไปด้วยธรรมเหล่านั้นแล้ว ย่อมน้อมจิตเข้าหาธาตุอันเป็นอมตะว่า
นั้นมีอยู่ นั่นประณีต คือสงบสังขารทั้งปวง สละคืนอุปธิทั้งปวง สิ้นตัณหา ปราศจากราคะ
ดับสนิท นิพพาน เธอตั้งอยู่ในฌานนั้น ย่อมบรรลุการสิ้นอาสวะ ถ้าไม่บรรลุ จะเป็นโอปปาติกะ
@๑ พระอนาคามี
ปรินิพพานในภพนั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา เพราะสิ้นโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕
ด้วยความเพลิดเพลินในธรรมนั้น ด้วยความยินดีในธรรมนั้นแล ดูกรอานนท์ มรรคแม้นี้
ปฏิปทานี้แล ย่อมเป็นไปเพื่อละโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕
             ดูกรอานนท์ ก็ข้ออื่นยังมีอยู่อีก ภิกษุก้าวล่วงอากาสานัญจายตนะ โดยประการทั้งปวง
บรรลุวิญญาณัญจายตนฌาน ด้วยมนสิการว่า วิญญาณไม่มีที่สุดอยู่. เธอพิจารณาธรรมเหล่านั้น
คือเวทนา ซึ่งมีอยู่ในฌานนั้น ฯลฯ เพื่อละสังโยชน์. อานนท์ ก็ข้ออื่นยังมีอยู่อีก ภิกษุก้าวล่วง
วิญญาณัญจายตนะ บรรลุอากิญจัญญายตนะด้วยมนสิการว่า หน่อยหนึ่งย่อมไม่มีอยู่. เธอพิจารณา
เห็นธรรมเหล่านั้น คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ซึ่งมีอยู่ในอรูปฌานนั้น โดยความ
ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ เป็นโรค เป็นดังหัวฝี เป็นดังลูกศร เป็นความลำบาก เป็นไข้ เป็นอื่น
เป็นของทรุดโทรม เป็นของว่างเปล่า ไม่มีตัวตน. เธอให้จิตดำเนินไปด้วยธรรมเหล่านั้น
ครั้นให้จิตดำเนินไปด้วยธรรมเหล่านั้นแล้ว ย่อมน้อมจิตเข้าหาธรรมธาตุอันเป็นอมตะว่า
นั่นมีอยู่ นั่นประณีต คือการสงบสังขารทั้งปวง การสละคืนอุปธิทั้งปวง ตัณหักขยะ วิราคะ นิโรธ
นิพพาน ดังนี้. เธอตั้งอยู่ในอากิญจัญญายตนะนั้น ย่อมถึงการสิ้นอาสวะ ถ้าไม่ถึงการสิ้นอาสวะ
จะเป็นโอปปาติกะ ปรินิพพานในที่นั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา เพราะสิ้นโอรัมภาคิย-
*สังโยชน์ ๕ เพราะความเพลิดเพลินในธรรม เพราะความยินดีในธรรมนั้นนั่นแล. ดูกรอานนท์
มรรคปฏิปทานี้แล ย่อมเป็นไปเพื่อละโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕
             [๑๕๙] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้ามรรคนี้ ปฏิปทานี้ ย่อมเป็นไปเพื่อละโอรัมภาคิย-
*สังโยชน์ ๕ เมื่อเป็นอย่างนั้น เพราะเหตุไร ภิกษุบางพวกในพระศาสนานี้ จึงเป็นเจโตวิมุติ
บางพวกเป็นปัญญาวิมุติเล่า.
             ดูกรอานนท์ ในเรื่องนี้ เรากล่าวความต่างกันแห่งอินทรีย์ ของภิกษุเหล่านั้น.
             พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว ท่านพระอานนท์มีใจยินดีชื่นชมพระภาษิต
ของพระผู้มีพระภาค ดังนี้แล.
จบ มหามาลุงโกฺยวาทสูตร ที่ ๔.
-----------------------------------------------------

             เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๓ บรรทัดที่ ๒๘๑๔-๒๙๖๑ หน้าที่ ๑๒๓-๑๒๘.
http://84000.org/tipitaka/read/v.php?B=13&A=2814&Z=2961&pagebreak=0

09 มีนาคม 2564

"สาธุ" คือ อะไร ?

คำว่า สาธุ นั้น เป็นคำที่คนใช้กันเยอะ
แต่บางท่านอาจจะไม่เข้าใจความหมาย
และจะใช้อย่างไน

คำว่า #สาธุ แปลว่า ดีละ หรือ เหมาะสม

ใช้สำหรับการกล่าวเพื่อสนับสนุน
หรือ..ยืนยันว่า
สิ่งที่กระทำอยู่นั้นเป็นสิ่งที่เหมาะสม ดีและควร
หรือ..เรียกว่าร่วมอนุโมทนาด้วย

แม้ไม่ได้ทำเอง
เพียงแค่กล่าวคำว่า สาธุ
ก็พลอยได้รับบุญด้วย ที่เรียกว่า มุฑิตา นั่นเอง

ที่มา ว. กนฺตวีโร

10 วิธีใช้หนี้พ่อแม่" ทำแล้วชีวิตเจริญโดย "หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม

10 วิธีที่พึงปฏิบัติ พ่อแม่คือผู้ให้ชีวิตกับเราแต่เล็กจนโตท่านต้องคอยพร่ำสอนให้ทำความดี ส่งเสียให้เรียนหนังสือ เลี้ยงดูแลเอาใจใส่เราในทุก ๆ เรื่อง เมื่อเราโตขึ้นหน้าที่ของลูกทุกคนก็คือ กตัญญูกตเวที คอยดูแลเลี้ยงดูท่านเมื่อยามแก่เฒ่า ทำให้ท่านมีความสุขเพราะ "พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก" พระพุทธศาสนาสอนให้เราเป็นคนกตัญญูกตเวทีต่อบิดามารดา แล้วชีวิตก็จะมีแต่เรื่องดี ๆ จึงขอนำเรื่องราวสาระธรรมดี ๆ ที่ หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม ได้เขียนไว้สอนใจ ฝากถึงลูก ๆ ทุกคน กับ 10 วิธีใช้หนี้พ่อแม่ มีดังนี้
🌺1. จงสร้างความดีให้กับตัวเอง และนี่ก็เป็นการใช้หนี้ตัวเอง ตัวเราพ่อให้หัวใจ แม่ให้น้ำเลือดน้ำเหลืองอยู่ในตัวแล้ว จะไปแสวงหาพ่อที่ไหน จะไปแสวงหาแม่ที่ไหน บางคนรังเกียจแม่ ว่าแก่เฒ่าไม่สวยไม่งาม พอตัวเองแก่ก็เลยถูกลูกหลานรังเกียจ จึงเป็นกงกรรมกงเกวียนยืดเยื้อกันต่อไปอีก ฯ
🌺2. ใครที่คุณแม่ล่วงลับไปแล้ว ก็ให้หมั่นทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ท่าน และถ้าจะทำบุญด้วยการเจริญกรรมฐาน แล้วอุทิศส่วนกุศลไป การทำเช่นนี้ถือว่าได้บุญมากที่สุด ทั้งฝ่ายผู้ให้และผู้รับ ฯ
🌺3. ผู้ใดก็ตามที่คุณแม่ยังมีชีวิตอยู่ ก็ให้กลับไปหาแม่ ไปกราบเท้าขอพรจากท่าน จะได้มั่งมีศรีสุข ส่วนคนที่เคยทำไม่ดีไว้กับท่าน ก็นำเทียนแพไปกราบขออโหสิกรรม ล้างเท้าให้ท่านด้วย เป็นการขอขมาลาโทษ ฯ
🌺4. ขอฝากท่านไว้ไปสอนลูกหลาน อย่าคิดไม่ดีกับพ่อแม่เลย ไม่ต้องถึงกับฆ่าหรอก แค่คิดว่าพ่อแม่เราไม่ดี จะทำมาหากินไม่ขึ้น เจ๊ง ท่านต้องแก้ปัญหาก่อนคือ ถอนคำพูด ไปขอขมาลาโทษเสีย แล้วมาเจริญกรรมฐาน รับรองสำเร็จแน่ มรรคผลเกิดแน่ ฯ
🌺5. บางคนลืมพ่อลืมแม่ อย่าลืมนะการเถียงพ่อเถียงแม่ไม่ดี ขอบิณฑบาต สอนลูกหลานอย่าเถียงพ่อเถียงแม่ อย่าคิดไม่ดีกับพ่อกับแม่ ไม่อย่างนั้นจะก้าวหน้าได้อย่างไร ก้าวถอยหลังดำน้ำไม่โผล่ ฯ
🌺6. คนที่มีบุญวาสนา จะกตัญญูกับพ่อแม่ คนเถียงพ่อเถียงแม่เอาดีไม่ได้..คนไม่พูดกับพ่อแม่ นั่งกรรมฐานร้อยปี ก็ไม่ได้อะไร? ถ้าไม่ขออโหสิกรรม ฯขออโหสิกรรม ที่คิดไม่ดีกับพ่อแม่ คิดไม่ดีกับครูบาอาจารย์ คิดไม่ดีกับพี่ๆ น้องๆ จะไม่เอาอีกแล้ว เอาน้ำไปขันหนึ่ง เอาดอกมะลิโรย กายกัมมัง วจีกัมมัง มโนกัมมัง โยโทโส อันว่าโทษทัณฑ์ใด ความผิดอันใด ที่ข้าพเจ้าพลั้งเผลอสติไป ด้วยกายก็ดี ด้วยวาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ขอให้คุณพ่อคุณแม่ คุณปู่คุณย่า คุณตาคุณยาย คุณพี่คุณน้อง อโหสิกรรมให้ด้วย แล้วเอาน้ำรดมือรดเท้า ฯ
นี่แหละท่านทั้งหลายเอ๋ย เป็นหนี้บุญคุณพ่อแม่มากมาย ยังจะไปทวงนาทวงไร่ ทวงตึก มาเป็นของเราอีกหรือ ตัวเองก็พึ่งตัวเองไม่ได้ สอนตัวเองไม่ได้ เป็นคนอัปรีย์จัญไรในโลกมนุษย์ไปทวงหนี้พ่อแม่ พ่อแม่ให้แล้ว (ให้ชีวิต ให้…ให้… ให้….ฯลฯ) เรียนสำเร็จแล้ว ยังช่วยตัวเองไม่ได้ มีหนี้ติดค้าง รับรองทำมาหากินไม่ขึ้น ฯ
หนี้บุญคุณอันยิ่งใหญ่ เหลือจะนับประมาณ
นั่นคือหนี้บุญคุณของบิดามารดา
ตัวอย่าง “หนามแหลมใครเสี้ยม มะนาวกลมเกลี้ยงใครไปกลึง” เด็กประถม ๔ พ่อเมาเหล้า เมากัญชาเล่นการพนัน แม่เล่นหวย ปัจจุบันเป็นดอกเตอร์อยู่อเมริกา หลวงพ่อสอนครั้งเดียวจำได้ บอกวันเกิด หนูซื้อขนม ๒ ห่อ เรียกพ่อแม่มานั่งคู่กัน แล้วกราบนะลูกนะ แล้วก็บอกพ่อแม่ว่า ความผิดอันใดที่ลูกพลั้งเผลอ ด้วยกาย วาจา ใจ ที่คิดไม่ดีต่อคุณพ่อคุณแม่ ขอให้คุณพ่อคุณแม่อโหสิกรรมให้ แล้วล้างเท้าให้พ่อแม่ ลูกไม่มีสตางค์ ลูกซื้อขนมมา ๒ ห่อ ให้แม่ก่อน ๑ ห่อ เพราะอุ้มท้องมา แล้วจึงให้พ่ออีก ๑ ห่อ ลูกขอปฏิญาณตนว่า ลูกขอเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ แล้วจะเป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ ลูกจะไม่ทำให้พ่อแม่ผิดหวัง...พ่อฟังแล้วน้ำตาร่วงสร่างเมา ส่วนแม่ก็ร้องไห้เลย พ่อแม่ก็ให้สัญญากับลูกเลิกอบายมุขทั้งหมด
🌺7. ลูกหลานโปรดจำไว้ เมื่อแยกครอบครัวไปมีสามีภรรยาแล้ว อย่าลืมไปหาพ่อแม่ ถึงวันว่างเมื่อไรต้องไปหาพ่อแม่ ถึงวันเกิดของลูกหลาน อย่าลืมเอาของไปให้พ่อแม่รับประทาน อย่ากินเหล้า เข้าโฮเต็ล ฯ
8. ชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้เป็นมงคลนาม ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยน เพราะชื่อเป็นเพียงนามสมมุติแทนตัวเรา อย่างหลวงพ่อชื่อจรัญ ปู่ตั้งให้ หมอดูบอกเป็นกาลกิณี แต่ทำไมเจริญรุ่งเรือง ขอให้เชื่อพระพุทธเจ้าทำดีได้ดี ฯ
🌺9. ของดี ของ ปู่ ย่า ตา ยาย อย่าไปทำลายเลย ของพ่อแม่อย่าไปทำลายนะ หนีได้แน่นอน โยมมีกรรมฐาน มีทรัพย์ มีชื่อเสียง ความรัก บูชาทรัพย์ บูชาชื่อเสียง ความรักของพ่อแม่ได้ เงินจะไหลนองทองจะไหลมา..พ่อแม่ให้อะไรเอาไว้ก่อน อย่าไปทำลายเสีย ถึงจะเป็นถ้วยพ่อแม่ให้มา ก็ไว้เป็นที่ระลึกก็ยังดีอย่าเอาไปทิ้งขว้าง ฯ
🌺10. ถ้าต้องการเจริญก้าวหน้าขอฝากไว้ด้วย คนเรามี ๒ ก้าว จะก้าวขึ้นหรือก้าวลงดำน้ำไม่โผล่ ก้าวลงมันง่ายดี ก้าวขึ้นมันต้องยาก ของชั่วมันง่าย หลั่งไหลไปตามที่ต่ำ นี่บอกสอนลูกหลาน ต้องการจะบรรจุงานไม่ต้องไปวิ่งเต้น ดูลูกเสียก่อน กุศลเพียงพอหรือเปล่า ต้องเพิ่มกุศล ตัวอย่างเรียนจบครู สวดมนตร์เข้าเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นครู ทำงานธนาคารก็ได้ บริษัทก็ได้เดี๋ยวมีคนรับ บางรายทั้งสอบทั้งสมัครหลายแห่งไม่เคยเรียกเลย อาตมาให้นั่งกรรมฐาน พอ ๗ วันผ่านไปพวกมาตามให้เข้าไปทำงานแล้ว ฯ
อานิสงส์ผลบุญนี้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง ชีวิตหน้าที่การงานเจริญก้าวหน้า เงินทองไหลมาเทมา แคล้วคลาดจากอุปสรรคทั้งปวง จิตจะเป็นสมาธิได้เร็ว

ข้อมูลจาก หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม (ฉบับหลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน)

อริยสัจ 4 และมรรคแปด

ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ห่างไกลจากกิเลสตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาค ทรงตรัส...