อย่าลืมนะว่า ...
อันอภิญญาโลกียวิสัยนั้น ยังสามารถมีผัว มีเมียได้นะ ไม่ใช่ว่านักเจริญพระกรรมฐาน จะต้องเลิกจากผัว จะต้องเลิกจากเมีย มันไม่ใช่อย่างนั้น ถ้าเรื่องของศีลเขาไม่ขาดละก็ เขาทำของเขาได้
นับแต่ พระโสดาบัน สกิทาคามี เขายังครองเรือนได้ ยังมีลูกเต้าได้
แต่ ...
สำหรับ พระอนาคามี เท่านั้นแหละ ถึงแม้จะอยู่บ้าน ก็อยู่อย่างไม่มีความหมาย เพราะความรู้สึกทางเพศไม่มี นี่ส่วนที่เป็นฆราวาส อย่าว่าแต่โลกียเลย แม้แต่พวกที่ได้โลกุตตระ คือ เป็นพระอริยเจ้า ยังอยู่ได้ ถึงพระอนาคามี
นี่ บรรดาลูกหลานทั้งหลายที่ฟัง อาจจะสงสัยว่า ..
คนที่ได้ฌานโลกียะ ได้กสิณ ได้อภิญญาแล้ว ทำไมจะมามีลูกมีเมียเป็นฆราวาสอยู่ ทำไมไม่ออกบวช เรื่องของการบวชนั้นเป็นเรื่องของสมณวิสัย มันคนละเรื่องกัน ..
ฉันว่ามีความจำเป็นน้อย คนที่เป็นชาวบ้านจะทำความดีนี่ ไม่จำเป็นจะต้องเป็นพระ เครื่องแบบชาวบ้านก็ทำความดีได้... แต่งกายแบบชาวบ้านก็สามารถเป็นพระอริยเจ้าได้ ..
อย่าว่าแต่แค่ฌานโลกียวิสัยเลย ที่ใส่เครื่องแบบฆราวาสที่เป็นอริยเจ้าก็มีอยู่ถมเถไป
... สมัยเมื่อพระพุทธองค์ยังมีพระชนมชีพอยู่ พระภิกษุไปเจริญพระกรรมฐานอยู่ในป่าทึบ มีความอดอยาก บางวันท่านคิดว่า พรุ่งนี้ถ้าเราได้กินข้าวต้มสักนิดก็จะดี ก็ปรากฏว่ามีโยมผู้หญิงคนหนึ่ง ได้นำข้าวต้มมาถวายแต่เช้า
บางวันท่านคิดว่า พรุ่งนี้มีอะไรสักหน่อยหนึ่ง ที่ท่านชอบได้ขบฉันสักหน่อยก็จะดี ปรากฏว่าโยมสตรีนั้น ก็นำมาถวายให้แต่เช้า พระท่านก็สงสัย ถามโยมแก แกก็ไม่ตอบ
ต่อมาเมื่อกลับมาเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ ก็ได้ถามข้อสงสัยกับพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ ได้ทรงตอบว่า.. นางผู้นั้นได้สำเร็จ"อนาคามีผล"เป็นพระอริยบุคคลแล้วและก็เป็นขั้นปฏิสัมภิทาญาณ เสียด้วย (จึงได้เจโตปริยญาณ รู้ใจภิกษุรูปนั้น)
นี่จะว่า...พระจะดีกว่าฆราวาสเสมอไปไม่แน่นักนะนั่นพระยังเป็นโลกียชน แล้วคนๆนั้นเขาเป็นพระอริยเจ้าขั้น "อนาคามีบุคคล" เชียวละ พระทันเขาที่ไหน ! ..."
หลวงพ่อปาน โสนันฺโท
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น