ถ้าใครสามารถทรงฌานได้ดี เวลาเจริญวิปัสสนาญาณนี่มันรู้สึกว่าง่ายบอกไม่ถูก เมื่อถ้า ฌาน ๔ เต็มอารมณ์แล้ว เราจะใช้วิปัสสนาญาณ ก็ถอยหลังมาถึง อุปจารสมาธิ เราจะต้องการตัดตัวไหนล่ะ
ตัด ราคะ ความรักสวยรักงาม
เราก็ยก อสุภกรรมฐาน ขึ้นมาเป็นเครื่องเปรียบ
ยก กายคตานุสสติกรรมฐาน ขึ้นมาเป็นเครื่องเปรียบ
เปรียบเทียบกันว่า ไอ้สิ่งที่เรารักน่ะ มันสะอาดหรือมันสกปรก กำลังของ ฌาน ๔ นี่เป็นกำลังที่กล้ามาก ปัญญามันเกิดเอง เกิดชัด มีความหลักแหลมมาก ประเดี๋ยวเดียวมันเห็นเหตุผลชัด
พอตัดได้แล้วมันไม่โผล่นะ รู้สภาพยอมรับสภาพความเป็นจริงหมด เห็นคนปั๊ปไม่ต่างอะไรกับส้วมเดินได้ จะเอาเครื่องหุ้มห่อสีสันวรรณะขนาดไหนก็ตาม มันบังปัญญาของท่านพวกนี้ไม่ได้
พระพุทธเจ้าจึงได้บอกว่า คนที่ทรงฌาน ๔ ได้ และก็รู้จักใช้อารมณ์ของฌาน ๔ ควบคุมวิปัสสนาญาณได้
🌟ถ้ามี บารมีแก่กล้า จะเป็นพระอรหันต์ ภายใน ๗ วัน
🌟ถ้ามี บารมีอย่างกลาง จะเป็นพระอรหันต์ ๗ เดือน
🌟ถ้ามี บารมีอย่างอ่อน จะเป็นพระอรหันต์ ภายใน ๗ ปี
บารมี เขาแปลว่า กำลังใจ
มี บารมีแก่กล้า คือมีกำลังจิตเข้มข้นนั่นเอง ต่อสู้กับอารมณ์ที่เข้ามาต่อต้าน
แต่ว่าถ้าบารมีมันเข้มบ้าง ไม่เข้มบ้าง เดี๋ยวก็จริงบ้าง เดี๋ยวก็ไม่ค่อยจริงบ้าง คือ ย่อๆ หย่อนๆ ตึงบ้าง หย่อนบ้าง อย่างนี้ ท่านบอกภายใน ๗ เดือน
ทีนี้ บารมีย่อหย่อน เปาะแปะๆ ตามอัธยาศัย ถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง ตามอารมณ์อย่างนี้ไม่เกิน ๗ ปี
นี่ผมพูดถึงคนที่ทรงฌาน ๔ ได้ และก็ฉลาดในการใช้ฌาน ๔ ควบวิปัสสนาญาณ ถ้าโง่ละก็ดักดานอยู่นั่นแหล่ะ กี่ชาติก็ไม่ได้เป็นอรหันต์
🙏หลวงพ่อพระราชพรหมยาน🙏
ธรรมที่ทำให้หลุดพ้นจากความทุกข์
📙ธัมมวิโมกข์
ปีที่ ๔๑ ฉบับที่ ๔๗๐ เดือน พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๓
หน้า ๘๔
🖊ปัณณ์ธรรม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น