คนเลี้ยงหมาแบบปล่อยแบบนี้ได้บุญขนาดไหนลุงพุฒิ แน่ะ ลุงแกมานั่งนานแล้ว พูดตอนนี้ก็ยิ้ม เลยลืมถามแก ลุง ถามจริงๆ นะ คนเลี้ยงหมานี่น่ะ อ๋อ แกรีบบอกมาเลย บอกว่าล้างบาปไม่ได้ จำไว้นะ ฉันมันพูดป้ำๆ เป๋อๆ เหมือนกัน บอกว่ากันนรกได้จะกลายเป็นล้างบาป แกบอกว่าเรื่องบาปเรื่องความชั่วนี่ล้างไม่ได้นะ แต่ว่าอานิสงส์ของหมา ด้วยการเลี้ยงปล่อย หมายความว่าเลี้ยงไม่หวังผลตอบแทน ลุง ไปทางไหน แกบอกว่ามันหลายทาง ความจริงนี่มันจะไม่เหมือนกันกับที่ฉันเทศน์เสียแล้วล่ะ ฉันเคยเทศน์ว่าเลี้ยงหมานี่ได้ผลขั้นกามาวจรสวรรค์ สามารถจะไปเกิดเป็นเทวดาได้ ลุงพุฒิแกตอบไม่เหมือนกันเสียแล้ว ลุงว่ามาซิ อ๋อ ยังงั้นหรือ บอกว่าถ้าเลี้ยงหมาด้วยการสงเคราะะห์ใช่ไหมล่ะ สงเคราะห์ให้หมามีความสุข อย่างนี้เป็นผลแห่งกามาวจรสวรรค์ งั้นนะลุงนะ ดางดึงส์เลยหรือ บอกว่าดาวดึงส์เลย นี่ฟังแกพูดนา แล้วฉันเทศน์น่ะมันจะผิด ผิดไหมลุง บอกว่าไม่ผิด แต่อธิบบายไม่ครบ อ้อ แหม ดีจริงๆ อย่างนี้ดีจริงๆ
แล้วขั้นที่สองเล่าลุง การเลี้ยงหมาถ้าใจจดจ่ออยู่กับการให้ทานหมา หมายความว่าการให้ทานนี่น่ะมีจิตห่วงใยมากรึ ใช่ อ๋อ แกบอกว่าใช่ ไปไหนก็ห่วงกลัวจะอด นอนก็คิดว่าพรุ่งนี้หมาจะกินอะไร จะมีกับข้าวอะไรให้หมากิน พยายามหามาให้สิ่งที่มันต้องการ ที่เรียกว่าพอจะกินได้ หรือว่าขนมพวกนี้หมาจะมีกินไหม ตั้งใจอยู่อย่างนี้เป็นปกติก่อนหลับหรือว่าปกติก็คิดเป็นห่วงอยู่ แกบอกว่าเป็นจาคานุสสติกรรมฐาน คือเป็นจาคานุสสติกรรมฐานอย่างนั้นใช่ไหมลุง แกบอกว่าใช่
อันนี้ฉันไม่ได้เคยคิดเลยนะลูกหลาน ตอนนี้ฉันไม่เคยคิด หรือไม่เคยเทศน์มาเลยนะ แกยิ้ม แกบอกว่าจะเทศน์ยังไงล่ะก็คนมันโง่บัดซบ นี่แกว่ายังงั้น แกบอกว่าโง่บัดซบแล้วจะเทศน์ยังไง ก็เทศน์ไปเพียงแค่กามาวจรสวรรค์ อ่านหนังสือมายังงั้น แกบอกว่า จิตถ้าจับอยู่อย่างนี้เป็นอารมณ์เขาเรียกว่าอารมณ์ฌาน แล้วก็อารมร์ฌานนี่น่ะเวลาใกล้จะตายถ้าจิตห่วงใยอยู่กับแมวหมาที่เราเลี้ยงไว้ คิดหวังจะให้ทานมันอยู่เป็นฌาน ตายไปเป็นพรหม ถ้าเวลาตายไม่คิด เวลาตายไปแล้วก็ไปเกิดบนกามาวจรสวรรค์ แล้วบุญอันนั้นบันดาลให้เป็นพรหมได้ เมื่อหมดอายุในสวรรค์แล้วก็ไปเกิดเป็นพรหม
จำไว้ให้ดีนะลูกหลานนะ ฉันไม่เคยเทศนน์แบบนี้เลยนะ ฉันไม่เคยเทศน์ ลุงแกยิ้มใหญ่แล้วแกบอกว่า ต่อไปคนเลี้ยงหมานี่น่ะไปนิพพานได้ เพราะเอาหมาเป็นวิปัสสนาญาณ เอาอาหารเป็นวิปัสสนาญาณ ถาม ทำไงล่ะลุง วันนี้มีประโยชน์มากจำให้ดีนะ นี่คนรู้เขารู้จริงๆ อย่างลุงพุฒินี่แกเป็นพรหม ลุงพุฒิเป็นพรหม แล้วเป็นอนาคามีพรหมด้วย จะบอกไว้ให้เสียก็ได้ แล้วลุงพุฒิน่ะไม่มีโอกาสจะมาเกิดเป็นมนุษย์ จะนิพพานต่อไป นี่แกใกล้นิพพานเต็มทีแล้วใช่ไหมลุง แกบอกว่าใช่ พอสิ้นศาสนานี้แล้วประะมาณ ๕๐ ปี ๕๐ ปีนรกหรือว่า ๕๐ ปีมนุษย์ ลุง ๕๐ ปีมนุษย์หรือ ไปนิพพาน เวลานี้อยู่โต๋งเต๋งเล่นโก้ๆ ยังงั้นนะ เอาละ จำไว้นะ ว่าลุงพุฒิแกจะไปนิพพาน
เอ้า ลุงว่าต่อไปซิ วิธีเอาขนมเป็นวิปัสสนาญาณทำยังไง คืออาหารหรือขนมที่ให้สัตว์ แกว่ายังงั้น เป็นวิปัสสนาญาณ เราซื้อมามันก็กินหมดไปน่ะซิ กินหมดไปนี่มันอนัตตานี่ ซื้อมามาก มันค่อยๆ ยุบไปทีละน้อยๆ มันเป็นอนิจจัง กินหมดไปเป็นอนัตตา นี่อีกอย่างหนึ่งนะ แล้วก็หมาที่มันกินของๆ เรานี่น่ะมันก็มีชีวิตอยู่ไม่ตลอด ในที่สุดมันก็ตาย นี่แสดงว่าถึงแม้เราจะเลี้ยงมันยังไงก็ตาม สภาพความเที่ยงมันไม่มี แล้วเวลาที่มันอยู่มันหิว มันกระหาย มันร้อน มันเย็น มันหนาว มันก็มีความทุกข์ ก็เป็นทุกขัง แล้วเวลามันตาย ก็เป็นอนัตตา เรารักษารอดไหม พุทโธ่ ลุง ก็ฉันจะตายเองฉันยังรักษาไม่รอด หมามันจะตายฉันจะรักษารอดยังไง แกก็เลยบอกว่านั่นแหล่ะมันเป็นอนัตตา
คำว่าอนัตตาหรือกฎธรรมดานี่ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ๓ ประการนี่ ไม่มีใครบังคับได้ มันเป็นกฎตายตัว นี่ถ้าอารมณ์จิตอย่างนี้ว่าหมาเราเลี้ยงแล้วมันก็ตาย เราจะต้องตายอย่างนี้ เวลาหมามีชีวิตอยู่มันก็จะต้องมีความทุกข์ ต้องการอาหาร ต้องการความสบาย เราได้เกิดอีกเราก็มีทุกข์อย่างนี้ ในที่สุดก็ต้องตายอย่างนี้ เราก็เบื่อความตายมันเสีย เบื่อความเกิดมันเสีย เราไม่ต้องการมัน ขึ้นชื่อว่าความเกิดไม่ว่ามันจะเป็นคนก็ตามสัตว์ก็ตามเราไม่ต้องการ เราไม่เอาทั้งหมด คิดแค่นี้เราก็ไปนิพพาน เท่านี้น่ะหรือลุง แกบอกว่าเท่านี้แหล่ะไม่ต้องมาก
หนังสือ ประวัติหลวงพ่อปาน หน้า ๒๓๔-๒๓๖
พิมพ์แบ่งปัน ปัณณ์ธรรม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น