02 มีนาคม 2561

ตามหา”ตัวรู้”.มิรู้จบสิ้น.

...วิทยาศาสตร์ ยุคใหม่ ..ตอนนี้ค้นคว้าและเชื่อว่า ทุกสรรพสิ่ง”มีตัวรู้ “ พลังงานย่อมถ่ายเทได้  พลังงานของจิต  ที่มีพลังสูง  จึงส่งพลังงานชื่อ “พลังจิต “ มาบรรจุไว้ที่วัตถุ และในวัตถุ มันจะบันทึกตัวรู้ หรือ.จิตศักดิ์สิทธิ์ ไว้    ทำให้ น้ำมนต์ พระเครื่อง ฯลฯ จึงศักดิ์สิทธิ์ได้..ส่วนจะศักดิ์สิทธิ์มากหรือน้อย..อยู่ที่พลังจิต และ วัตถุที่เก็บประจุพลังปลุกเสก

++...ปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์พบว่า  มีอนุภาคที่เล็กกว่าอะตอม( หลาย ล้าน เท่า) จะสั่นอยู่ตลอดเวลาด้วยความถี่ต่างๆ ..ดังนั้นความถี่ที่ทำให้เกิดมิติ ไม่ใช่มีแค่ 4 มิติ (กว้าง ยาว สูง และเวลา) แต่มีมากถึง 26 มิติ และตั้งแต่มิติที่ 5 ถึง 11 มีขนาดเล็กและม้วนตัวซ้อนอยู่ในมิติปัจจุบัน.

  ทางพุทธศาสนาแบ่งภพภูมิของโอปปาติกะ ตามความละเอียกคลื่นความถี่   รวม 31 มิติ 31ภพภูมิ และแต่ละภพภูมิก็แยกกันได้ด้วยความถี่ ที่ละเอียดหยาบ แตกต่างกันไป จึงทำให้มีกายละเอียด กายทิพย์ ของมนุษย์และเทวดา พรหม อรูปพรหม.ที่ละเอียดไม่เท่ากัน..

#...ทำไม?..พุทธศาสนา..จึงค้นพบมิติมากกว่าทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่..ทั้งที่ไม่มีเครื่องมือทันสมัย..เหมือนทุกวันนี้....เพราะพุทธศาสนาใช้”จิต”เป็นเครื่องมือที่มีพลังสูงสุด มีความไวสูงสุด ไวกว่าแสงหลายเท่า มาเป็น”กล้องจิต” จึงค้นพบถึงมิติทั้งหมด ทั้งแสงสี (อนุภาค)แล้ว ยังพบ”รูปในนาม” หรือ “กายทิพย์” (ที่นักวิทยาศาสตร์ยังหาเครื่องมือมาเห็นกายทิพย์ไม่ได้)..อาจจะเห็นเพียงแสงสี(แสงออร่า)... แล้ว ทางพุทธศาสนายังบอกวิธี” การหลุดพ้น”จากมิติทุกภพภูมิ (สังสารวัฏ) ..หลุดพ้นจากรูปนาม .. หลุดพ้นจากทุกข์ .. เพื่อความเป็นอิสระแท้จริง  .ตลอดอนันตกาล..อีกด้วย..เรียก”รู้แจ้ง”รู้จบ..รู้จนกระทั่ง”วางตัวรู้.”.ด้วย..ส่วนทางวิทยาศาสตร์  ยังคงค้นหา...มิรู้จบสิ้น..ยังวิ่งตามตัวรู้..ตลอดสังสารวัฏ..มิจบสิ้น..

฿...หลักวิทยาศาสตร์ ตรวจวัดได้ เฉพาะวัตถุทางโลกหยาบๆ  และแค่สสารที่เล็กละเอียด ระดับอะตอมหรือต่ำกว่านั้น… การเห็นเป็นวัตถุ..ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่จริง “เป็นภาพมายา” ดุจภาพพยับแดด..เห็นแต่ไกล..พอเข้าใกล้..พบว่าไม่มีจริง..ภาพที่เห็น ไม่จริงแท้ในสัจธรรม มีแต่พุทธศาสนาชี้ให้เราเห็นความจริงที่แท้จริง ไม่แปรเปลี่ยน และเป็นอกาลิโก 

  นักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ยอมรับว่า.. “จิตก็เป็นคลื่นที่ละเอียด ยิ่งกว่าคลื่นอนุภาคใดๆ   - เรียก จิตสำนึก”หรือ “จิตรู้ “  และ บอกว่า “เวลา” เป็นเม็ดๆ-เหมือนแสง ซึ่งมาตรงกับพุทธศาสนา ของมหายานและวัชรญาณ ต่างก็กล่าวว่าเป็นเม็ดๆ เหมือนกัน 

***..  เมื่อ ๒๕๐๐ กว่าปี  พระพุทธเจ้าตรัสว่า  “.. ปรมาณูมิได้เป็นแท่งทึบ มีช่องว่างภายในมากมาย และ1 ปรมาณู วัดจาก ทอนความยาวเมล็ดข้าวเปลือกลง 6 ครั้ง  ส่วนทางวิทยาศาสตร์คำนวณได้  10 ยกกำลังลบ 8 เซนติเมตร ซึ่งเท่ากันพอดี..กับพุทธศาสนา

***มีคำกล่าวความหมายเดียวกัน  แต่ต่างกันที่..พระพุทธเจ้าตรัสมา 2500 กว่าปีแล้ว..ส่วนนักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่..เพิ่งจะเริ่มค้นพบบางส่วนเท่านั้น..เช่น พุทธศาสนากล่าวว่า..

“... ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ มีอยู่ในทุกปรมาณู และเป็นคุณสมบัติของธาตุ.”

.ส่วนทางวิทยาศาสตร์ กล่าวว่า

“ทุกอะตอมจะมี 4 แรง คือแรงโน้มถ่วง(ธาตุดิน) แรงนิวเคลียร์อย่างเข้ม(ธาตุน้ำ) แรงแม่เหล็กไฟฟ้า(ธาตุลม) และ เชื่อมโยงกับแรงนิวเคลียร์อย่างอ่อน (ธาตุไฟ)”

$...วิทยาศาสตร์  เพิ่งจะค้นพบว่า ทุกๆ ปรมาณู / อะตอม /อนุภาค  “มีตัวรู้” มี”จิตวิญญาณ”  (คือทุกสรรพสิ่ง  จะมีตัวรู้)... ทุกปรมาณู จะมีครบ 6 ธาตุคือ ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศธาตุ และวิญญาณธาตุ และอนุภาคเปลี่ยนแปรไม่คงที่    ซึ่ง พุทธศาสนากล่าวมานานแล้วว่า.

“.. ธาตุทั้ง๖  และทุกสรรพสิ่งไม่เที่ยง ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ และไม่มีตัวตนที่แท้จริง ตามหลักไตรลักษณ์ หลักอิทัปปัจจยตา”

***..นอกจากพุทธศาสนา..จะบอกว่าทุกสรรพสิ่ง.ประกอบด้วยธาตุทั้ง6 แล้ว..ยังบอกเส้นทาง(มรรคองค์8)..เพื่อเข้าถึงธาตุที่ 7 คือ “นิพพานธาตุ”..ซึ่งเป็นธาตุ..ที่ไม่เกิด-ไม่ดับ-ไม่เสื่อม-ไม่ขึ้นกับอะไร-ธาตุที่อิสระตลอดอนันตกาล ด้วย..

ไม่มีความคิดเห็น:

อริยสัจ 4 และมรรคแปด

ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ห่างไกลจากกิเลสตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาค ทรงตรัส...