>> คำถาม : ขอกราบเรียนถามพระคุณเจ้าครับ...ตามที่เล่าเรียนมาปัญญาเกิดได้ สามทาง
ปัญญาเกิดจากการฟังเล่าเรียน
ปัญญาเกิดจากการคิดค้นตรึกตรอง
ปัญญาที่เกิดจากการภาวนา
ผมสงสัยว่าตัวปัญญาที่จะใช้ในการตัดอาสวะกิเลสได้ตัวไหนคือพระเอกครับ หมายความว่าถ้าไม่มีตัวนี้..กิเลสยังคงอยู่...เพราะเกิดความขัดแย้งทางความคิดครับว่า ในสมัยพระพุทธกาลพระสาวกของท่านแต่ละองค์ใช้เวลาในการบรรลุธรรมขั้นต้นถึงขั้นสูงสุดในเวลาที่น้อยมาก....บางท่านมือถือดาบเปื้อนเลือดอยู่แท้ๆ...ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าแค่คำครั้งเดียว..ทิ้งดาบออกบวชเลยและไม่นานก็สำเร็จ...
เมื่อเทียบกับประวัติพระอรหันต์..ต่างในยุคปัจจุบัน..แต่ละท่านต้องปฏิบัติอย่างโชคโชนแบบถวายชีวิตและใช้เวลาไม่ต่ำกว่า10-15 ปีตามประวัติของท่านครับ....
ผมเลยเกิดความสงสัยถึงตัวปัญญาทั้งสามตัวว่ามันต้องมีทั้งสามตัวหรือไม่ในการตัดกิเลสหรือตัวใดตัวหนึ่งครับ....เพราะมิฉะนั้นมันจะกลายเป็นวิปัสะนึก...คือนึกเอาเพราะมันคาบเกี่ยวกับปัญญาตัวที่สอง..ขอบพระคุณครับ
<< พระอาจารย์ : ตอบ Meena Mana จะขยายธรรมที่สงสัยให้ฟัง
คำว่าปัญญานี้ ทั้งสามทางที่เกิด คือความเข้าใจในขณะนั้น อย่างที่ไม่เคยเข้าใจมาก่อน จึงเรียกว่า ปัญญา
เมื่อเกิดปัญญาแล้ว รู้แล้ว เข้าในแล้ว ในแต่ละเหตุนั้นๆ ทั้งจากที่อ่าน ที่ฟัง ที่ตรึกตรอง หรือ ภาวนา รู้แล้วนั้น เป็นสัญญาอดีตทั้งหมด
อดีตสัญญานี้ เป็นปัญญาที่ผ่านไปแล้ว เราอาศัยสัญญานั้น สาวผลไปหาเหตุที่ลึก และละเอียด ลงไปได้อีก โดยไม่รู้จบ
อะไรที่เป็นสัญญาไปแล้ว ย่อมไม่ใช่ปัญญาที่เราคิดว่าเป็น แต่เราใช้สัญญาที่เคยเป็นปัญญารู้แจ้งนั้น อบรมจิตโดยมีสติระลึกถึง ประคองใจเป็นเครื่องอยู่
คนสมัยโบราณ ท่านก็ไม่ต่างไปจากเรา ไม่ใช่ว่าคนโบราณ จะมีกิเลสน้อยกว่ายุคนี้ซะเมื่อไหร่
เพราะคนโบราณ ต่างก็มี นิสัยโลภ โกรธ หลง ไม่แตกต่างไปจากคนยุคนี้
ยุคก่อน เขาปล้นฆ่าชิงเมืองกันเลยทีเดียว ไม่พอใจก็ฆ่า อยากได้ก็ปล้น และหวงแหนในรูป และทรัพย์สมบัติของตน มันหนักยิ่งกว่าคนยุคนี้ซิไม่ว่า
ที่ท่านบรรลุธรรมกัน เกิดจากที่ท่านฟังแล้ว เข้าใจ แย้งไม่ได้ ไม่เคยรู้มาก่อน และเห็นจริงตามนั้น เริ่มตั้งแต่ขั้นศีล เรียกว่าเป็นอริยชนแล้ว คือเป็นผู้ประเสริฐ เรียกว่า พระโสดาบัน
มีปัญญาละเอียดขึ้น วางได้มากขึ้น มีความละอายใจต่อบาปสูงขึ้น เรียกว่า พระสกิทาคามี
เมื่อเกิดปัญญาเห็นแจ้งในกายว่ามันสกปรก ไม่ได้น่าหลงใหลอะไรตรงไหน รวมทั้งวัตถุสิ่งของว่ามันสลายเป็นธรรมดา ปล่อยวางอารมณ์กระทบได้ นี่เรียกว่า พระอนาคามี
หากเห็นแจ้งประจักษ์ใจแทงตลอดทั้งสายแห่งธรรม คือธรรมดาในสรรพสิ่ง ว่าแท้จริง มันเป็นของมันเช่นนั้นเอง ที่เกิด เป็นเพราะมีเหตุปัจจัย ไม่ได้มีใคร มาบังคับบัญชามัน นี่ ปัญญาเช่นนี้ เรียกพระอรหันต์
สมัยก่อนเขาไม่ค่อยรู้ความจริงกัน เขาจึงอวดดี แต่พอรู้ความจริงว่า แท้จริงมันเป็นของมันเช่นนี้ เขาจึงวางอุปาทานที่ยึดมั่นไว้ เพราะมันเห็นความเป็นธรรม เช่นนั้นจริงๆ
ต่างจากยุคนี้ กาลมันผ่านมานาน เกิดสะสมสัญญาความรู้มาก สมัยก่อน เขารู้กันธรรมดา แต่เราเดี๋ยวนี้ มันดันรู้มาก มันมากซะจน แทบจะไม่รู้อะไรจริงๆ กันเลย
ปัญญาทางการอ่านการฟัง เมื่อผัสสะแล้วเกิดปัญญา การอ่านต้อง อาศัยการตรึกตรอง และการภาวนาตาม การบรรลุจึงมีโอกาสเกิด เพราะมีตัวตนทั้งดุ้น เข้าไปเป็นเจ้าของธรรมทั้งหลายที่ผัสสะ
บางท่าน ฟังแล้วบรรลุ ทั้งที่ไม่เคยอ่านและภาวนามา เหตุเพราะปัญญาเขามีภาชนะรองรับธรรมได้สูง แต่ก็ต้องตรึกตรองตาม นี่ก็เป็นอาการแห่งการภาวนาเช่นกัน
ส่วนการตรึกตรอง เป็นวิสัยของผู้ที่จะบรรลุปัญญาวิมุตติ ต้องอาศัย การอ่าน หรือการฟัง และมีการภาวนา นี่..จึงบรรลุมรรคผลได้
ส่วนการภาวนา คือเมื่ออ่านแล้ว ฟังแล้ว หรือตรึกตรองแล้ว ก็ยังไม่แตกฉาน จำเป็นต้อง มากระทำผลนั้น สาวไปหาเหตุ ด้วยการตรึกตรองและการฟัง การอ่านมากๆ เรียกว่า เป็นอาการของการภาวนา นี่..จึงบรรลุธรรมได้
การบรรลุธรรม บรรลุได้ทุกๆ คน ที่ได้เกิดมา เพียงแต่ มันต้องอาศัยเหตุปัจจัยหลากหลาย ในแต่ละคน มันไม่เท่ากัน เราจึงเข้าถึงความเป็นธรรม ไม่เท่ากันอีก
แม้ความเป็นพระอรหันต์ ก็ยังมีแยกย่อยกันออกไปมากหลาย ใช่ว่าจะรู้เห็นเหมือนๆ กันทุกๆ องค์ เพียงแต่สิ่งที่ไม่รู้เห็นในแต่ละองค์ ท่านก็เข้าใจในความไม่รู้ว่า มันก็เป็นของมัน เช่นนั้นเอง
ปัญญาที่ตัดอาสวะได้อย่างเด็ดขาด คือปัญญาทั้งสามทางนี้ที่ถามมานั้นแหละ อ่านฟังก็ตัดได้ ตรึกตรองคิดค้นก็ตัดได้ การภาวนาทั้งหลายก็ตัดได้
การตัดได้มันขึ้นอยู่กับกำลังบารมีของเจ้าของ ว่ามีภูมิรองรับแค่ไหน ส่วนสามทางที่ถามมานั้น เรียกว่า เป็นช่องทางแห่งเครื่องมือในการเข้าถึง การเข้าถึงของแต่ละคนย่อมใช้กำลังไม่เท่ากัน
บางคนฟังเล็กน้อย ก็เข้าถึงความจริงเลย
บางคน ต้องค้นคิดตรึกตรอง จึงเห็นจริงตามนั้นจึงเข้าถึงได้
บางคนต้องภาวนา ย้อนไปย้อนมาทุกกระบวนการ จึงจะเข้าถึงความจริงได้
การเข้าถึงมันเกิดขึ้นจากกำลังสติปัญญา ของแต่ละคนที่สร้างสมมา ซึ่งก็มีไม่เท่ากัน ส่วนช่องทางการเข้าถึง มันเป็นจริตกำลังแห่งปัญญาของใครของมัน ตัดสินตามช่องทางว่าใครดีกว่ากันนั้นไม่ได้
บางคนแค่ช่องใดช่องหนึ่ง ก็เข้าถึง บางคนต้องประกอบกัน สองช่องทางจึงจะเข้าถึง บางคนก็ต้องกระทำทั้งสามช่องทางเลย จึงจะเข้าถึง นี่..มันก็มีของมันมาอย่างนี้ ตามกำลังของสติปัญญาภูมิของเจ้าตัว...
วันนี้โม้มาหลายหน้าเพจ บ่ายแล้วจึงขอลาไปทำงานก่อน ขอสาธุคุณทุกท่านทั้งหลาย
พระธรรมเทศนา จากบทธรรม เรื่อง รู้ธรรมจริง .....ไม่จำเป็นต้องท่องจำ คำบาลี ณ วันที่ 19 กรกฎาคม 2557 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น