การประพฤติปฏิบัติธรรมโยมไม่ต้องไปคิดแสวงหาว่าฉันจะต้องบรรลุธรรมขั้นนั้นขั้นนี้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ เมื่อโยมทำไปแล้วมันจะบรรลุของมันเอง การ"บรรลุ"คือความเข้าใจ เข้าใจว่าเป็นอย่างนี้เช่นนี้คือสภาวะธรรมที่เกิดนั่นแลเรียกว่าบรรลุ..คือเข้าใจ ไม่ใช่ว่าบอกว่าบรรลุธรรมจะเรียกว่าสำเร็จธรรม..ไม่จริง เพราะความสำเร็จจับต้องไม่ได้ แต่จะรู้ได้เฉพาะตน ฉันถึงบอกว่าการบรรลุธรรมคือการเข้าใจในสภาวะธรรม
ดังนั้นขอให้โยมฝึกโดยที่ไม่ต้องไปอยากปรารถนาว่าจะต้องสำเร็จขั้นนั้นขั้นนี้ แต่ให้รู้โยมว่าโยมไปขั้นไหนแล้ว แต่อย่าไปยึดติดในขั้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ อย่าไปยึดติดในอารมณ์ เพราะสภาวะที่โยมไปยึดแม้ขณะจิตเดียวก็ตาม..ความไม่ได้ดั่งใจมันก็จะบังเกิด ความคับแค้นใจมันก็จะบังเกิด นั่นเรียกว่าทำให้จิตมันเป็นทุกข์ จิตเมื่อเป็นทุกข์แล้วย่อมจะเกิดอุปาทานแห่งจิต เข้าใจมั้ยจ๊ะ เรารู้แล้วเราต้องวาง..
นั้นเมื่อโยมอยากพายเรือไปในยามราตรี มันต้องมีกำลังถึงสองเท่า เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะความไม่เคยชินหนึ่ง ความลังเลสงสัยหนึ่ง ความกลัวหนึ่ง เข้าใจมั้ยจ๊ะ นั้นโยมต้องทำให้มันชิน กลางคืนกลางวันมันเป็นอย่างไร..กลางวันกลางคืนมันก็เป็นเช่นนั้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ ใจต่างหากที่เรานั้นไม่เป็นปกติ ถ้าเราทำให้เป็นปกติแล้ว เป็นอารมณ์เดียวกัน จึงไม่มีกลางวันและกลางคืนจิตเมื่อเราสว่างนั้นแลความกลัวมันก็จักหายไปเอง
ทำยังไงให้จิตสว่างให้มันตื่นรู้ เค้าบอกว่าให้ภาวนาบ่อยๆ เหมือนว่าเรากำลังจุดเทียนเล่มหนึ่ง แต่ว่าลมมันแรง จุดเท่าไรก็ไม่ติด บางคนจุดติดแล้วแต่ก็ดับ เพราะว่าเทียนมันชื้น ใช่มั้ยจ๊ะ นั้นโยมต้องไล่ลมเสียออกจากปอดเสียก่อน การไล่ลมนี้ไม่ต้องไปกำหนดรู้อะไร แค่กำหนดรู้ลม เอาสติไปไว้ที่ลมหายใจ ลมเข้ายาวๆลึกๆ ออกลึกๆยาวๆ จะทำให้จิตเรานั้นสว่างขึ้นมา อารมณ์ที่มันขุ่นมัวเศร้าหมองนั้นแลเค้าเรียกว่าพายุ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ฝึกได้แบบนี้บ่อยๆ ทุกครั้งที่เรามีสติ ทำให้มันชินทำให้มันเคย เข้าใจมั้ยจ๊ะ แม้จะตื่นนอนก็ทำได้ ก่อนนอนก็ควรทำ นี่เค้าเรียกว่ากักเก็บบุญกุศลไว้ เก็บพลังงานไว้
นั้นขอให้โยมจงภาวนาให้มาก เพราะการภาวนานี้จะทำให้โยมมีสติรู้ตัวอยู่ตลอดเวลาไม่มากก็น้อย ทำให้มันอยู่บ่อยๆ ภาวนาให้มันชิน เมื่อมันจะสงบองค์ภาวนามันจะหายไปเอง เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่ถ้าเราภาวนาไปแล้วไปติดองค์ภาวนาอีก ไม่ยอมหายไม่ยอมสดับไม่ยอมไปไหนเลย..ติดอยู่อย่างนั้น เราต้องภาวนาให้หนักเข้าไปอีก กำหนดลมเข้าไปใหม่ แล้วองค์ภาวนามันจะหายไป
เมื่อมันหายไปแล้วนั่นแลความสงบจะมาแทนที่มันเอง เข้าใจมั้ยจ๊ะ แล้วกำหนดสติลงไปใหม่ แล้วประคองความสงบไว้ เหมือนประคองเทียนที่เราจุดไว้ ไม่ให้ลมนั้นมาพัดอีก คือประคองให้จิตมันนิ่ง อย่าให้มันส่ายเซไปในอดีต หรือไปในอนาคต ในอนาคตนี้แลเค้าเรียกว่าโลกแห่งอีกมิติหนึ่ง ให้อยู่แต่ในอารมณ์ปัจจุบัน เราจะรักษาความสว่างความสงบไว้ได้
เมื่อความสว่างมันมีมากเพียงใดโยมจะเห็นทางอยู่ข้างหน้าคือแสงปัญญา เมื่อความกลัวสะดุ้งผวาไม่มีเกิดขึ้นแล้ว ศีลเราจะตั้งมั่นมั่นคงองอาจ เมื่อศีลเรามีตั้งมั่นมั่นคงดีแล้ว โดยธรรมชาติแห่งจิตตัวปัญญานั้นก็บังเกิด..ก็เกิดตัวรู้ แต่ตัวรู้นี้เราต้องน้อมนำมาพิจารณาเสียก่อนว่าเราไปรู้อะไร เมื่อเราไปรู้แล้ว เราไปพิจารณาตัวรู้แล้วนั่นแล เมื่อเราได้คำตอบนั่นก็คือปัญญา คือที่เราค้นหาของเราเองได้ ไม่ใช่ไปจำของใครเค้ามา เข้าใจมั้ยจ๊ะ..
ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๖๑
ณ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น