21 กุมภาพันธ์ 2565

สามีภรรยา ในคัมภีร์กฎแห่งกรรม 3 ชาติ

คัมภีร์กฎแห่งกรรม 3 ชาติ ได้บันทึกไว้ว่า “สามีภรรยา " มีกรรมร่วมกันมา ไม่ว่าจะกรรมดี หรือกรรมชั่ว ถ้าไม่มีกรรม ร่วมกันมา ก็ไม่อาจอยู่ร่วมบ้านหลังเดียวกันได้ " บุตรธิดา " คือ หนี้ ไม่ว่าจะเป็นทวงหนี้ หรือชดใช้หนี้ ไม่มีหนี้ ไม่มาเกิดเป็น พ่อ แม่ ลูกกัน” 
      ดังนั้น สามีภรรยา ที่มีกรรมดีร่วมกันมา ย่อมสมานสามัคคี รักใคร่กลมเกลียว ถือไม้เท้ายอดทอง กระบองยอดเพชร ส่วนสามีภรรยา ที่มีกรรมชั่ว ร่วมกัน มาแต่อดีตชาติ ย่อม ทะเลาะเบาะแว้ง บ้านแตกสาแหรกขาด ไม่อาจอยู่ร่วมกัน จนวันตาย  

       ส่วน " บุตรธิดา " ที่มาทวงหนี้ เป็นลูกที่ไม่เอาไหน เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ทำให้พ่อแม่ทุกข์ใจไม่ วายเว้น " บุตรธิดา " ที่มาใช้หนี้ จะสำรวมระวัง รู้คุณทดแทนคุณ ไม่กล้า ทำให้พ่อแม่ ชอกช้ำใจ ชาวโลก ทุกคน เกิดมาต่างหนีไม่พ้น พบ พราก สุข ทุกข์ เศร้า อภัย แค้น รัก ชัง นี่คือผลแห่งของกรรม ปลูกเหตุเช่นไร ย่อมได้ลิ้มผลเช่นนั้น ไม่ว่าจะเหตุใด หรือ ผลใด ล้วนหนีไม่พ้น กฏแห่งกรรมทั้งสิ้น 

       1. มาแทนคุณ ด้วยบุญในอดีต ที่ได้สั่งสมร่วมกันมา ด้วยพระคุณที่มีต่อกัน จึงได้มาเกิดเป็นพ่อแม่ลูกหลานกัน เราเรียกบุตรธิดาเหล่านี้ว่า “ลูกกตัญญู” เขามาเพื่อที่จะทดแทนคุณ เป็นเด็กดี ฉลาด เชื่อฟัง เขาเหล่านี้ไม่มีทาง จะทำอะไรเสียหาย ให้พ่อแม่ต้อง กลัดกลุ้มกังวลใจ 

       2. มาล้างแค้น ด้วยกรรมในอดีต ที่ได้สร้างร่วมกันมา จึงได้มาเกิดเป็นพ่อแม่ลูกหลานกัน เมื่อเติบใหญ่ก็จะกลายเป็นลูกล้างผลาญ ทำให้ครอบครัวล่มสลาย เราเรียกบุตรธิดาเหล่านี้ว่า “ลูกทรพี” เขามาล้างแค้น ดังนั้น อย่าได้ผูกเวรไว้กับเขา เจ้ากรรมนายเวรที่อยู่ภายนอก ยังพอป้องกันได้ แต่นี่เกิดมาเป็นลูกหลานในบ้านใน ตระกูลแล้ว จะทำอย่างไรดี ดังนั้น อย่าทำร้ายใคร อย่าฆ่าแกงกัน เพราะต่างคนต่างก็รักตัวกลัวตายเช่นกัน 

       3. มาทวงหนี้ ชาติก่อนหนหลัง พ่อแม่เป็นหนี้ไว้ ไม่ได้ชดใช้คืน หนี้ที่ว่าคือ หนี้เงิน ไม่ใช่หนี้ชีวิต เขาจึงเกิดมาเพื่อทวงหนี้คืน หากเป็นหนี้กันน้อย เกิดมาให้ดูแลปีสองปีเขาก็ตาย เราเป็นหนี้เขาเท่าไหร่ เมื่อใช้หมด เขาก็ไป ต่อให้คุณรักเขามากแค่ไหน เขาก็ไม่เคยใส่ใจคุณ หากเป็นหนี้เขาเยอะ เลี้ยงจนเติบใหญ่ จบมหาวิทยาลัย เรียนจบวันนั้น ก็ตายวันนั้น เขาไม่อยู่รับใช้เรา เพราะมาทวงหนี้ หนี้หมดก็จากไป 

       4. มาใช้หนี้ชาติก่อนหนหลัง เขาเป็นหนี้พ่อแม่ไว้ ไม่ได้ชดใช้คืน เมื่อเขาเกิดมาในชาตินี้ จึงต้องทำงาน หาเงิน เหน็ดเหนื่อย เพื่อเลี้ยงดูพ่อแม่ แต่ก็อยู่ที่ว่า เป็นหนี้พ่อแม่มาก น้อยเพียงใด หากเป็นหนี้มาก ก็ต้องเลี้ยงดูพ่อแม่ เป็นอย่างดี หากเป็นหนี้พ่อแม่น้อย ก็เลี้ยงดูตามอัตภาพเหมือนที่เราเคยพบเห็น เลี้ยงพ่อแม่ประหนึ่งคนรับใช้ในบ้าน เพราะอะไร เพราะมาใช้หนี้กรรม ลูกประเภทนี้ แม้จะเลี้ยงดูพ่อแม่ แต่ก็หล่อเลี้ยงแค่กาย ไม่หล่อเลี้ยงจิตใจ เลี้ยงดูโดยปราศจากความเคารพ และความกตัญญู ซึ่งต่างจากบุตรที่เกิดมา เพื่อทดแทนคุณ ประเภทนี้ไม่เพียงแต่หล่อเลี้ยงกาย ยังหล่อเลี้ยง จิตใจบุพการี ด้วย 

     หลักธรรมในข้อนี้ มิใช่เพียงแค่ลูกหลาน ยังรวมทั้งญาติพี่น้อง และคนรอบข้าง ทั้งหลาย ที่เราได้รู้จัก และเคยได้อยู่ร่วมกันมา หากแต่เป็นเพราะ กรรมที่ก่อกันมา หนักหนา หรือ เบาบาง หากบุญคุณ ความแค้นหนักหนา ก็เกิดมาเป็นสามีภรรยา และลูกหลานพี่น้อง หากบุญคุณ และความแค้นเบาบาง ก็เกิดมาเป็นญาติสนิทมิตรสหาย คุณเดินซื้อของในตลาด อยู่ๆคนแปลกหน้า ก็มายิ้มให้คุณและ คุณก็ยิ้มตอบ ล้วนเป็นบุญกรรม แต่ชาติปางก่อน แต่ถ้าคุณรู้สึก ขัดหูขัดตา แถมไม่พอใจ ยังถมึงตา ใส่ฝ่ายตรงข้ามอีก นี่ก็ล้วนเป็นบุญกรรม แต่ชาติปางก่อนเมื่อเข้าใจในกฏแห่งกรรม เหล่านี้ เราจะได้ไม่ผูกกรรมด้านดำเพิ่ม แต่จงผูกกรรมด้านขาวซึ่งเป็นกรรมดีจะดีกว่า 

       แล้วจะแก้ไขอย่างไร หากเราและลูกหลานผูกกรรมที่ ไม่ดีต่อกันมา แต่ปางก่อนแล้ว คำตอบก็คือ นำพาลูกหลานเข้าวัด หมั่นบำเพ็ญปฏิบัติธรรม ศึกษาพระธรรม เมื่อต่างฝ่ายต่างศึกษาธรรม ย่อมแปรกรรมร้าย ให้กลายเป็นกรรมดีได้ ย่อมคลายความจองจำ คับแค้นให้สลายคลายลงได้ เช่นนี้ที่เราเรียกว่า "เปลี่ยนแปลงชะตาชีวิต เปลี่ยนร้าย กลายเป็นดี”
สาธุ...

อมตะธรรม ประเทศไทย
#ธรรมะ #อมตะธรรม #ธรรมะสอนใจ

18 กุมภาพันธ์ 2565

บุญกรรมฐาน

 
แต่มีเรื่องเล่าอยู่เรื่องหนึ่งว่า อาตมาไปแสดงพระธรรมเทศนายังอำเภอสรรคบุรี ปรากฏว่าในขณะนั้นท่านผู้ตายชอบพอกับอาตมามาก เพราะว่าไปทีไรท่านมาเฝ้าที่กุฏิจนกว่าจะกลับ จะเป็นเวลากี่วันกี่เดือนก็ตามที เมื่อไปถึงแล้วก็ปรากฏว่าท่านมาอยู่ด้วย ช่วยปฏิบัติทุกอย่างให้มีความสุข 

เมื่อเวลาที่ท่านตายไปแล้ว บุตรสาวของท่านตั้งใจจะทำศพบิดา แล้วก็บวชน้องชายในเวลาเดียวกัน แล้วมานิมนต์อาตมาไปเป็นประธานในงาน แล้วก็นิมนต์เทศน์

ในงานนั้นอาตมาบอกว่า "ถ้าให้อาตมาเป็นประธานในงาน ในงานนั้นจะต้องไม่มีบาปปะปน คือไม่ทำลายชีวิตสัตว์ แม้แต่ไข่ก็ไม่ทุบ การเลี้ยงสุรายาเมาก็ต้องไม่มี" เจ้าภาพก็ยอมรับ 

แล้วขณะที่จัดงานลงไป ตอนเช้าก็บวชน้องชาย พอตอนสายยกศพของบิดาขึ้นมาตั้ง 

เมื่อฉันเพลกันเสร็จอาตมาก็ขึ้นไปเทศน์กับเจ้าคุณภาวนาภิราม ปรากฏว่าในตอนต้นอาตมาแสดงอารัมภบท พอว่าอารัมภบทเสร็จ 
เจ้าคุณภาวนาภิรามมหาเถระก็ว่าต่อ ตอนนี้ก็เป็นเวลาว่าง ก็มานั่งนึกถึงว่า ไอ้ศพนายกิ่มวันนี้แล้ว นายกิ่มไปไหน เมื่อพิจารณาไปด้วยกำลังใจเข้าหาผีนายกิ่มให้พบ เห็นแต่คนอื่นมายืนอยู่เป็นแถวนับเป็นจำนวนหมื่นจำนวนแสน 

จึงได้นึกในใจว่าเวลานี้นายกิ่มอยู่ที่ไหน ถ้าหากว่าจำจะต้องจองจำอยู่ก็ตาม ขออนุญาตท่านผู้มีอำนาจควบคุมขอนำนายกิ่มมาพบก่อน พอนึกจบก็ปรากฏว่ามีคน 2 คนใช้โซ่ผูกคอ นายกิ่ม 2 เส้น ถือมา 2 ข้าง ก็ตกใจ เพราะนึกว่านายกิ่มเป็นคนดี แล้วทำไมมีโทษทัณฑ์แบบนี้ก็สงสัย ก็เลยถามผู้ควบคุม เขาก็เลยเล่าประวัติ ประวัติความเป็นมาในตอนหนุ่ม ๆ ของ นายกิ่มทำกรรมทุกอย่างที่เป็นอกุศล 

อาตมาก็เลยถามคนควบคุมว่า "เวลานี้ลูกสาวของเขาบำเพ็ญทานอย่างหนึ่ง แล้วก็ตั้งใจว่าเป็นกุศลในการถวายสังฆทาน เลี้ยงพระ 25 รูป แล้วก็มีพระธรรมเทศนา ทำไมกุศลเหล่านี้ไม่มีโอกาสได้กินบ้างเลยหรือ?"  

ผู้ควบคุมเขาก็บอกว่าไม่มีโอกาส เพราะกรรมที่นายกิ่มทำแรงมาก 

 ทีนี้ก็ถามท่านว่า "จะอาศัยกรรมอะไรที่จะทำให้นายกิ่มบรรเทาความทุกข์ได้"  

ผู้คุมก็ชี้มาที่อาตมา บอกว่า "บุญกรรมฐานสามารถจะบรรเทาความทุกข์ของนายกิ่มให้มีความสุขได้ จะสามารถปลดเปลื้องได้"

อาตมาก็คิดในใจว่า ไอ้เรื่องนี้มันของไม่ยาก เราไม่ต้องลงทุน แค่อุทิศส่วนกุศลเท่านั้น  

เมื่อเขาบอกอย่างนั้นจึงได้ตั้งใจบอกกับนายกิ่มว่า นับตั้งแต่บัดนี้ไปตั้งใจโมทนาบุญกุศล และอธิษฐานจิตว่า

"ที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญบารมีมาตั้งแต่อดีต ตั้งแต่เริ่มบำเพ็ญบารมีมาจนกระทั่งในปัจจุบันนี้ ผลบุญบารมีจะพึงมีแก่ข้าพเจ้าเพียงใด ขอนายกิ่มจงโมทนาในส่วนกุศลนี้และรับประโยชน์และความสุขเช่นเดียวกับข้าพเจ้าจะพึงได้รับ นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป"

พออธิษฐานจิตแบบนี้ก็เห็นภาพของนายกิ่ม โซ่ 2 เส้น ไม่มีใครปลด หลุดจากคอ แล้วนายกิ่มก็กราบลงไป 3 วาระ ครั้งแรกก็ยังมีสภาพเดิม ครั้งที่ 2 มีสภาพเหมือนเดิม ครั้งที่ 3 นี่มีสภาพมันผ่องใสสวยสดงดงามมาก ในเวลาเดียวกันบุญกุศลใด ๆ ที่เคยทำไว้ในสมัยที่เป็นมนุษย์ ก็ต้องมารวมตัวกัน ทีนี้ก็มีความสุข

นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท การเจริญพระกรรมฐาน บุญของกรรมฐานก็มีอานิสงส์ใหญ่ 

พระราชพรหมยาน,ธัมมวิโมกข์ (2561),450

facebook : นิตยสารธัมมวิโมกข์ วัดท่าซุง

#สมัครสมาชิกนิตยสารธัมมวิโมกข์ได้ที่ ID line : thammavimok

คติธรรม สมเด็จพระสังฆราช สมเด็จพระสังฆราช ประทานคติธรรม เนื่องในวันมาฆบูชา 17 กุมภาพันธ์ 2565


“ดีถีมาฆบูชา อันเป็นวันจาตุรงคสันนิบาต ได้เวียนมาบรรจบอีกคำรบหนึ่งแล้ว ดิถีเช่นนี้เมื่อกว่าสองพ้นห้าร้อยปีก่อน สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ประทานหลักการอันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาไว้ ๓ ประการ ได้แก่ การไม่กระทำบาปทั้งปวง การทำกุศลให้ถึงพร้อม และการทำจิตให้บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว

“จิต” เป็นสภาพรู้ที่ปรากฏมีอยู่ในทุกชีวิตซึ่งมีสภาพธรรมอีกประเภทหนึ่งเรียกว่า “เจตสิก” เกิดร่วมด้วย เจตสิกกลุ่มที่เรียกว่า “สังขาร” อาจปรุงแต่งให้จิตเป็นไปในทางสามฝ่าย กล่าวคือ ฝ่ายดี ฝ่ายเลว และฝ่ายที่เป็นกลาง การจะทำจิตให้ผ่องแผ้วได้ตามหลักการอันเป็นหัวใจของพระศาสนา จำเป็นต้องเริ่มขัดเกลาตนเองให้มีปรกติอดทนอดกลั้นที่จะไม่ทำบาป พอใจขวนขวายที่จะทำบุญ คือการบำเพ็ญทาน รักษาศีล และเจริญภาวนาอยู่เสมอ เพื่อฝึกจิตให้โน้มน้าวไปสู่วิถีสะอาด คอยชำระซักฟอกไปจนกว่าธุลีแห่งความมัวหมองจะลบเลือนหายไป ทำให้เข้าถึงสภาวะอันผ่องแผ้วด้วยจิตฝ่ายดี มีกุศลจิตเป็นเนืองนิตย์ การฝึกจิตอยู่เสมอ จะเป็นเหตุปัจจัยนำมาซึ่งความหลุดพ้นจากห้วงทุกข์ ถึงแม้ยังดำเนินไปไม่ถึงที่สุดในฝ่ายคดีธรรม แต่ก็ย่อมยังอำนวยประโยชน์สุขในฝ่ายคดีโลก คือทำให้ผู้ฝึกจิตเป็นสุจริตชน มีการงานสะอาดปราศจากโทษ มีใจสงบระงับ ไม่ต้องกลัวโทษทัณฑ์จากกฎหมายบ้านเมือง ทั้งยังเป็นเครื่องประคับประคองจิตให้ไม่เดือดร้อนต่อโลกธรรม ไม่แสดงอาการขึ้นลง เมื่อประสบกับการมีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ สรรเสริญ นินทา สุข และทุกข์ รวมความได้ว่าจิตที่ผ่องแผ้ว ต้องเกิดจากการฝึก เมื่อฝึกแล้วจิตก็จะมั่นคงไม่หวั่นไหว สมตามพระพุทธานุศาสนีที่ว่า “จิตฺตํ ทนฺตํ สุขาวหํ” ความว่า จิตที่ฝึกดีแล้ว นำสุขมาให้ ด้วยประการฉะนี้

ขอพระสัทธรรมของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จงดำรงมั่นอยู่ในโลกนี้ตลอดกาลนาน และขอพุทธบริษัททั้งหลาย จงพร้อมเพรียงกันศึกษาพระสัทธรรมนั้น เพื่อบรรลุถึงความงอกงามไพบูลย์ยิ่ง ๆ ขึ้นสืบไป เทอญ.”

หลวงปู่เสาร์และหลวงปู่มั่น ได้ดำริบูรณะซ่อมแซมปรับปรุงพระธาตุพนม จนแล้วเสร็จ

เรื่อง "หลวงปู่เสาร์และหลวงปู่มั่น ได้ดำริบูรณะซ่อมแซมปรับปรุงพระธาตุพนม จนแล้วเสร็จ"
(ปกิณกธรรม หลวงปู่เสาร์และหลวงปู่มั่น)

พระธาตุพนม : กองคาราวานขนดินดำจากห้วยจันตะคาม อำเภอตาลสุม จังหวัดอุบลราชธานี ไปซ่อมบูรณะ พระธาตุพนม 

พระธาตุพนม สมัยก่อนนั้น ช่วงนั้นทรุดโทรมมาก เมื่อหลวงปู่เสาร์และหลวงปู่มั่นได้(เดินธุดงค์)ไปเจอ จึงได้ให้ญาติธรรมชาวนครพนม ให้มานิมนต์พระครูวิโรจน์รัตโนบลหรือหลวงปู่รอด วัดทุ่งศรีเมือง จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งมีบุญญาธิการมากในสมัยนั้น ให้ไปเป็นผู้นำในการพัฒนาบูรณะปรับปรุงซ่อมแซมองค์พระธาตุพนม โดยได้เอาดินขนจากอำเภอตาลสุม แต่ก่อนขึ้นกับพิบูลมังสาหารนี่เอง โดยเป็นดินเหนียวที่มีลักษณะสีดำอยู่บริเวณลำห้วยจันตคาม บริเวณใกล้โรงเรียนบ้านดอนตะลี หลวงปู่รอดหรือพระครูวิโรจน์รัตโนบล ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ของหลวงปู่บุญวัดบ้านนาห้วยแคนบ้านคำหว้าบ้านเชียงแก้ว จึงพาญาติธรรมพากันขนดิน จากแผ่นดินตาลสุมในอดีตเป็นคาราวานกองทัพเกวียนร่วมร้อยคันทั้งเสบียงทั้งบรรทุกดินจากตาลสุมไปบูรณะพระธาตุพนมจนแล้วเสร็จ

CR ภาพประกอบ : กิตติรัตน์ ศรีหาบัน
(ภาพถ่าย : กองเกวียนคาราวาน)

16 กุมภาพันธ์ 2565

การทำสมาธิ

   "สมาธิ" แปลว่า "ตั้งใจ" ถ้าตั้งใจรักษาศีลให้ครบถ้วน ตั้งใจทรงอารมณ์ในกรรมบถ ๑๐ ให้ครบถ้วนก็เป็นสมาธิในศีล และกรรมบถ ๑๐ ถ้ามีอารมณ์ทรงตัวโดยที่ศีลและกรรมบถ ๑๐ ไม่คลาดจากใจ คิดไม่ลืม ไม่มีการปฏิบัติผิดพลาดอย่างนี้ท่านเรียกว่า "ผู้ทรงฌานในศีลและกรรมบถ๑๐" 

   ท่านที่มีอารมณ์นับถือพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์แน่นอน ไม่ปรามาสแม้แค่พูดเล่น อย่างนี้ท่านเรียกผู้นั้นว่า "ผู้ทรงฌานในพุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ" 

   ท่านที่มีความรู้สึกว่าชีวิตนี้ต้องตายไม่ประมาทในชีวิต คิดทำความดีละความชั่วเป็นปกติ ท่านก็เรียกท่านผู้นั้นว่ามี "ฌานในมรณานุสสติ"

  รวมความแล้ว "#สมาธิ" มีแก่ท่านที่ทรงอารมณ์อย่างนี้อยู่แล้ว จะนั่งขัดสมาธิภาวนาหรือไม่ก็ตาม การฝึกใจให้เกิดสมาธิ คือฝึกใจให้ทรงอยู่ในความรู้สึกของความดีที่จะหนีนรกได้ เราทำได้ในทุกอิริยาบถ นั่ง นอน ยืน เดิน ได้ทั้งนั้น 

   ก็ต้องคิดอีกนิดว่า นั่ง นอน ยืน เดิน แบบไหนจึงจะถูกวิธี ถ้าทำคนเดียวอยู่ในที่พักของเราเองก็ขอตอบว่า นั่ง นอน ยืน เดินตามสบาย ที่ไม่ฝืนอารมณ์ใจใช้ได้เลย ถ้าฝืนอารมณ์ใจจิตจะไม่เป็นสมาธิ เพราะเราฝึกที่ใจ ไม่ได้ฝึกที่กาย เว้นไว้แต่ ถ้าอยู่ในกลุ่มมากด้วยกันต้องนั่งตามระเบียบของสถานที่ 

   การทำสมาธิไม่มีแต่ภาวนาอย่างเดียว ท่านให้มีพิจารณาด้วย ขอให้ทำตามชอบใจของอารมณ์ แต่อย่าตามใจอารมณ์มากเกินไป
การฝึกเพื่อ " หนีนรก " ก็ต้องลิดรอนกำลังของสังโยชน์ ๓

▪︎สมาธิแบบง่ายๆ▪︎

   "สมาธิ" แปลว่า "การตั้งใจมั่น" ตั้งใจไว้เฉพาะอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งพยายามกำหนดจิตให้รู้ลมหายใจเข้า หายใจออก 
เวลาหายใจเข้านึกว่า #พุท 
หายใจออกนึกว่า #โธ 
เอาเท่านี้พอ 

   ถ้าขณะใดที่จิตของท่านยังรู้ลมหายใจเข้าออก รู้คำว่า "พุทโธ" ก็แสดงว่าจิตของท่านเป็นสมาธิ เป็นมหากุศลใหญ่ ตั้งใจไว้เพียงเท่านี้ก็เป็นบุญอนันต์ คือจะนับประมาณอานิสงส์ไม่ได้ ถ้าทรงจิตไว้ตามปกติ ตายแล้วก็เกิดเป็นพรหม

   อารมณ์นี้ ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายทรงไว้ให้เป็นปกติ จะเป็นเวลานี้หรือเวลาอื่นก็ตาม ทำงานอยู่ นั่งรถ นั่งเรือ เดินทางไปไหนก็ตามนึกถึงอารมณ์นี้ไว้เป็นปกติเวลาตายจะไม่หลงตายจุดที่ไปอย่างเลวก็ต้องสวรรค์ อย่างดีก็ต้องพรหมโลก เพราะสมถภาวนามีผลถึงพรหมโลก

#หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
[พระมหาวีระ ถาวโร]
วัดจันทาราม(ท่าซุง) จ.อุทัยธานี
หนังสือพ่อสอนลูก หน้า ๑๘๑-๑๘๒
#เพจคำสอนหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
พิมพ์เพื่อธรรมทานโดย..
🖋..Moddam Thammawong

15 กุมภาพันธ์ 2565

#ประวัติและความเป็นมาของวันมาฆบูชา

.
วันมาฆบูชา เป็นวันสำคัญของชาวพุทธเถรวาท "มาฆบูชา" ย่อมาจาก "มาฆปูรณมีบูชา" หมายถึงการบูชาในวันเพ็ญกลางเดือนมาฆะ ตามปฏิทินของอินเดีย หรือเดือน 3 ตามปฏิทินจันทรคติของไทย (ตกช่วงเดือนกุมภาพันธ์หรือมีนาคม) ถ้าในปีใดมีเดือนอธิกมาส คือมีเดือน 8 สองหน (ปีอธิกมาส) ก็เลื่อนไปทำในวันเพ็ญเดือน 3 หลัง (วันเพ็ญเดือน 4) 
.
วันมาฆบูชา ได้รับการยกย่องเป็นวันสำคัญทางศานาพุทธเนื่องจากเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นเมื่อ 2,500 กว่าปีก่อนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ท่ามกลางที่ประชุมมหาสังฆสันนิบาตครั้งใหญ่ในพระพุทธศาสนา โดยมีเหตุการณ์เกิดขึ้นพร้อมกัน 4 ประการ คือ พระสงฆ์สาวกที่มาประชุมพร้อมกันทั้ง 1,250 รูปนั้นได้มาประชุมกันยังวัดเวฬุวันโดยมิได้นัดหมาย, พระสงฆ์ที่มาประชุมทั้งหมดต่างล้วนเป็น "เอหิภิกขุอุปสัมปทา" หรือผู้ได้รับการอุปสมบทจากพระพุทธเจ้าโดยตรง, พระสงฆ์ทั้งหมดที่มาประชุมล้วนเป็นพระอรหันต์ผู้ทรงอภิญญา 6, และวันดังกล่าวตรงกับวันเพ็ญมาฆปุรณมีดิถี ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ดังนั้นจึงมีคำเรียกวันนี้อีกคำหนึ่งว่า "วันจาตุรงคสันนิบาต" หรือ วันที่มีการประชุมพร้อมด้วยองค์ 4 
.
เดิมนั้นไม่มีการประกอบพิธีมาฆบูชาในประเทศพุทธเถรวาท จนมาในสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว(รัชกาลที่ 4) พระองค์ได้ทรงปรารภถึงเหตุการณ์ครั้งพุทธกาลในวันเพ็ญเดือน 3 ดังกล่าวว่า เป็นวันที่เกิดเหตุการณ์สำคัญยิ่ง ควรมีการประกอบพิธีทางพระพุทธศาสนาเพื่อเป็นที่ตั้งแห่งความศรัทธาเลื่อมใส จึงมีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้จัดการพระราชกุศลมาฆบูชาขึ้น โดยการประกอบพระราชพิธีคงคล้ายกับวันวิสาขบูชา คือมีการบำเพ็ญพระราชกุศลต่าง ๆ มีการพระราชทานจุดเทียนตามประทีปเป็นพุทธบูชาในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม และพระอารามหลวงต่าง ๆ เป็นต้น โดยในช่วงแรกพิธีมาฆบูชาคงเป็นการพระราชพิธีภายใน ยังไม่แพร่หลายทั่วไป จนต่อมาความนิยมจัดพิธีมาฆบูชาจึงได้ขยายออกไปทั่วราชอาณาจักร 
.
#ความสำคัญ
"วันมาฆบูชา" เป็นวันที่ระลึกถึงวันที่พระพุทธเจ้าทรงประทานโอวาทปาฏิโมกข์แก่มหาสังฆสันนิบาตในมณฑลวัดเวฬุวันมหาวิหาร ซึ่งในวันนั้นมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น 4 ประการคือ
1.พระสงฆ์ 1,250 รูปที่พระพุทธองค์ได้ส่งไปเผยแพร่พระพุทธศาสนาตามแว่นแคว้นต่างๆ ได้กลับมาเฝ้าพระพุทธเจ้าอย่างพร้อมเพรียงกันโดยมิได้นัดหมาย
2.พระสงฆ์ทั้งหมดล้วนเป็นเอหิภิกขุที่พระพุทธเจ้าทรงบวชให้ด้วยพระองค์เองทั้งสิ้น ซึ่งเรียกว่า เอหิภิกขุอุปสัมปทา
3.พระสงฆ์ทั้งหมดล้วนเป็นพระอรหันต์ คือผู้ได้อภิญญา 6 ข้อ
4.วันที่พระสงฆ์ทั้งหมดมาชุมนุมกันนี้ตรงกับวันเพ็ญเดือนมาฆะ (วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3)
.
ด้วยเหตุการณ์ประจวบกับ 4 อย่าง จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า จาตุรงคสันนิบาต (มาจากศัพท์บาลี จตุ+องฺค+สนฺนิปาต แปลว่า การประชุมอันประกอบด้วยองค์ประกอบทั้งสี่ประการ) โดยประชุมกัน ณวัดเวฬุวันมหาวิหาร กรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ หลังจากพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว 9 เดือน (45 ปี ก่อนพุทธศักราช)
.
#จาตุรงคสันนิบาต
โดยพระอรหันต์ทั้งหลายนั้นต่างไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ณ วัดเวฬุวันมหาวิหาร กรุงราชคฤห์ อันเป็นที่ประทับ โดยมีคณะทั้ง 4 คือ คณะศิษย์ของชฎิล 3 พี่น้อง คือ คณะพระอุรุเวลกัสสปะ (มีศิษย์ 500 องค์) คณะพระนทีกัสสปะ (มีศิษย์ 300 องค์) คณะพระคยากัสสปะ (มีศิษย์ 200 องค์) และคณะของพระอัครสาวกคือคณะพระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะ (มีศิษย์ 250 องค์) รวมนับจำนวนได้ 1,250 รูป (จำนวนนี้ไม่ได้นับรวมชฎิล 3 พี่น้อง และพระอัครสาวกทั้งสอง)
การเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าในวันมาฆฤกษ์นี้ เป็นไปโดยมิได้มีการนัดหมาย และเป็นการเข้าประชุมของพระอรหันต์จำนวนมากเป็นมหาสังฆสันนิบาต และประกอบด้วย "องค์ประกอบอัศจรรย์ 4 ประการ" คือ พระสงฆ์สาวกที่มาประชุมพร้อมกันทั้ง 1,250 องค์นั้น ได้มาประชุมกันยังวัดเวฬุวันโดยมิได้นัดหมาย, พระสงฆ์ที่มาประชุมทั้งหมดต่างล้วนเป็น "เอหิภิกขุอุปสัมปทา" คือเป็นพระสงฆ์ได้รับการอุปสมบทจากพระพุทธเจ้าโดยตรง , พระสงฆ์ทั้งหมดที่มาประชุมล้วนเป็นพระอรหันต์ผู้ทรงอภิญญา 6 และวันดังกล่าวตรงกับวันเพ็ญมาฆปุรณมีดิถี ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ดังนั้นจึงมีคำเรียกวันนี้อีกคำหนึ่งว่า "วันจาตุรงคสันนิบาต" หรือ วันที่มีการประชุมพร้อมด้วยองค์ 4 ดังกล่าวแล้ว
.
#ประทานโอวาทปาฏิโมกข์
พระพุทธเจ้าเมื่อทอดพระเนตรเห็นมหาสังฆสันนิบาตอันประกอบไปด้วยเหตุอัศจรรย์ดังกล่าว จึงทรงเห็นเป็นโอกาสอันสมควรที่จะแสดง "โอวาทปาฏิโมกข์" อันเป็นหลักคำสอนสำคัญที่เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาแก่ที่ประชุมพระสงฆ์เหล่านั้น เพื่อวางจุดหมาย หลักการ และวิธีการ ในการเข้าถึงพระพุทธศาสนาแก่พระอรหันตสาวกและพุทธบริษัททั้งหลาย พระพุทธองค์จึงทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์เป็นพระพุทธพจน์ 3 คาถากึ่ง ท่ามกลางมหาสังฆสันนิบาตนั้น มีใจความดังนี้
.
•พระพุทธพจน์คาถาแรกทรงกล่าวถึง พระนิพพาน ว่าเป็นจุดมุ่งหมายหรืออุดมการณ์อันสูงสุดของบรรพชิตและพุทธบริษัท อันมีลักษณะที่แตกต่างจากศาสนาอื่น ดังพระบาลีว่า "นิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา"
•พระพุทธพจน์คาถาที่สองทรงกล่าวถึง "วิธีการอันเป็นหัวใจสำคัญเพื่อเข้าถึงจุดมุ่งหมายของพระพุทธศาสนาแก่พุทธบริษัททั้งปวงโดยย่อ" คือ การไม่ทำความชั่วทั้งปวง การบำเพ็ญแต่ความดี และการทำจิตของตนให้ผ่องใสเป็นอิสระจากกิเลสทั้งปวง ส่วนนี้เองของโอวาทปาฏิโมกข์ที่พุทธศาสนิกชนมักท่องจำกันไปปฏิบัติ ซึ่งเป็นเพียงหนึ่งคาถาในสามคาถากึ่งของโอวาทปาฏิโมกข์เท่านั้น
•ส่วนพระพุทธพจน์คาถาสุดท้าย ทรงกล่าวถึงหลักการปฏิบัติของพระสงฆ์ผู้ทำหน้าที่เผยแผ่พระศาสนา 6 ประการ คือ การไม่กล่าวร้ายใคร, การไม่ทำร้ายใคร , การมีความสำรวมในปาฏิโมกข์ทั้งหลาย, การเป็นผู้รู้จักประมาณในอาหาร และการรู้จักที่นั่งนอนอันสงัด

#ประวัติสมเด็จองค์ปฐม

#ประวัติสมเด็จองค์ปฐม
พระพุทธเจ้าพระองค์แรกของโลก 
⚜..." ท่านสาธุชนทั้งหลาย ตอนนี้ ก็มาพูดกันถึงเรื่อง สมเด็จองค์ปฐม.. 

~ สำหรับคำว่า "สมเด็จองค์ปฐม" ก็คือพระพุทธเจ้าองค์แรก หรือองค์ที่ ๑ เรียกว่า "#องค์ปฐม" 

~ ขอเล่าย้อนตอนหลังสักนิด คือ.. เมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๕๑๑ ตอนนั้นอาตมา มาอยู่ที่วัดท่าซุงแล้ว และ พล.อ.อ.อาทร โรจนวิภาต เวลานั้นเป็นนาวาอากาศเอก เป็นผู้บังคับกองฝึกโรงเรียนการบิน ที่นครราชสีมา.. 

~ ทราบว่า.. อาตมาป่วย จึงนิมนต์ไปพักที่นั้น ตอนกลางคืน สามีภรรยาก็นั่งเจริญพระกรรมฐาน อาตมาเป็นคนแนะนำ ขณะที่แนะนำเขาอยู่ 
เมื่อเสร็จแล้วก็ทำสมาธิ.. 

* ขณะที่ทำสมาธิ บรรดาท่านพุทธบริษัท สิ่งที่คาดไม่ถึงก็ปรากฏขึ้น นั่นคือ.. เห็นเป็นพระพุทธเจ้าในปางนิพพานยืนสองแถวยาวเหยียดไปข้างหน้า แล้วก็พนมมือ.. 

~ จึงมีความรู้สึกในใจว่า.. บางทีอาจเป็นอุปทานของเรา เพราะว่า.. พระพุทธเจ้าไม่เคยก้มศีรษะให้ใคร แม้แต่บ้านเรือนเล็ก ๆ ที่หลังคาต่ำ ๆ ที่พระพุทธเจ้าเข้าไป หลังคา ก็สูงขึ้น.. 

~ แต่เวลานี้ เราเห็นพระพุทธเจ้ายืนพนมมือ.. อุปาทาน คือ กิเลส คงกินใจมาก 

* เมื่อนึกเพียงเท่านี้ ก็เห็นภาพ หลวงพ่อปาน ปรากฏขึ้นข้าง ๆ ท่านบอกว่า.. 

"คุณ..ไม่ใช่อุปาทาน ประเดี๋ยวพระพุทธเจ้าองค์ปฐมจะเสด็จมา" 

* อีกประมาณสัก ๕ นาที ปรากฏว่า.. มีพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง รูปร่างใหญ่โตมาก สูงมาก มาในรูปของปางนิพพาน เดินมาระหว่างช่องกลาง พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ก้มศรีษะแสดงความเคารพ เพราะพนมมืออยู่แล้ว.. 

~ พอท่านเดินมาถึงอาตมา ท่านก็พูดว่า.. "ข้าจะนั่งที่ไหนหว่า ในเมื่อไม่มีที่นั่ง ข้าเอาหัวแกเป็นแท่นก็แล้วกัน” 

* ก็เลยนั่งบนหัว.. แล้วก็บอกว่า.. " นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ก่อนที่แกจะสอนกรรมฐานก็ดี จะพูดธรรมะก็ดี จะเทศน์ก็ดี บอกฉันก่อน ฉันให้พูด ตอนไหนจะเทศน์ตอนไหน ให้ว่าตามนั้น " 

~ ก็เป็นความจริง.. บรรดาท่านพุทธบริษัท เวลาสอนกรรมฐานก็ดี เทศน์ก็ดี บางทีคิดว่าวันนี้ จะพูดเรื่องอย่างนี้ แต่พอพูดเข้าจริง ๆ เรื่องนั้นไม่ได้พูด ไปพูดอีกจุดหนึ่ง.. 

~ อันนี้เป็นลีลาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์.. 

การเทศน์ของพระพุทธเจ้ามุ่งเฉพาะบุคคลสำคัญคนใดคนหนึ่ง ไม่ได้หวังคนทั่วไป คนจะนั่งสักหนึ่งพัน สองพัน ห้าพันก็ตาม ท่านจะดูจิตใจว่า บุคคลใดจะรับคำเทศนาของท่านได้ จะสามารถบรรลุมรรคผลได้ ท่านจะจี้จุดเฉพาะคนนั้น เอาจุดเด่น แต่ว่าคนที่มีความดี ใกล้เคียงกัน ก็พลอยบรรลุมรรคผลไปตามๆกัน..." 

หลวงพ่อฯ เคยเล่าให้ฟังว่า.. สมเด็จองค์ปฐมทรงพระนามว่า.. " #สมเด็จพระพุทธสิกขีที่ ๑ " 

.. เนื่องด้วย พระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้ผ่านไปแล้ว อาจจะมีพระนามซ้ำกันก็ได้ โดยเฉพาะพระนามนี้.. มีด้วยกันถึง ๕ พระองค์ จึงเอ่ยขานว่า เป็น.. " สมเด็จพระพุทธสิกขีที่ ๑ " 

.. พระพุทธองค์ ทรงเป็นต้นพระวงศ์ ของ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ จึงสมควรยกย่องพระองค์ว่าทรงเป็น.. " สมเด็จองค์ปฐมบรมครู " อย่างแท้จริง 

.. ครั้งหนึ่ง พระพุทธองค์เสด็จมาเล่าให้หลวงพ่อฯ ฟังที่บ้านสายลม ว่า.. สมัยที่พระองค์ทรงอุบัติในโลกมนุษย์ ในเวลานั้น คนมีอายุขัย ประมาณ ๘ หมื่น ปี 

.. พระองค์เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ เมื่อพระชนมายุได้ ๔ หมื่น ปี 

.. หลังจากทรงผนวชแล้วเป็นเวลาอีก ๒ หมื่น ปี จึงได้ทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์แรกของโลก 

.. พระพุทธองค์ ทรงสั่งสอนเวไนยสัตว์อีก ประมาณ ๒ หมื่น ปี จึงเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน 

.. หลังจากทรงใช้เวลาอันยาวนานถึง ๔๐ อสงไขยกัป ในการบำเพ็ญพระบารมี เพื่อแสวงหาพระโพธิญาณ ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง.. 

🙏โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง
✍จากหนังสือประวัติสมเด็จองค์ปฐม

“มหัศจรรย์แห่งบุญ”

“มหัศจรรย์แห่งบุญ”
ความดีเมื่อทำมากๆเข้าก็จะกลายเป็นบุญวาสนาบารมี เมื่อมีบุญวาสนาบารมีมากๆเข้า จะคิดจะทำสิ่งใดก็ตามที่เป็นสิ่งที่ดี จะสำเร็จดังที่ตั้งใจไว้ทุกประการ ความดีคือบุญ 
วันนี้ก็จะได้มาคุยกันถึงเรื่อง "บุญ-วาสนา-บารมี" เราได้ยินคำนี้มาอยู่ตลอดแล้วเราก็คิดว่าใครที่เขามียศฐาบรรดาศักดิ์สูง ร่ำรวยเงินทอง อะไรเหล่านี้ก็ว่าเขามีบุญ วาสนา บารมี

ถ้าหากว่าใคร..ยากๆ จนๆ หรือว่าทำงานก็ไม่ค่อยก้าวหน้า อะไรต่างๆ เหล่านี้เขาเรียกว่าเป็นไม่มีบุญ ไม่มีวาสนา ไม่มีบารมี แล้วก็พูดกันมาเท่านี้เราก็พอเข้าใจ แต่จะเข้าใจให้ละเอียดได้นั้นก็จำเป็นต้องรู้ว่า บุญนี้คืออะไร

อันดับแรก บุญก็คือ "ความดี" ความดีที่เราได้ทำเอาไว้ ในแต่อดีตชาติหรือปัจจุบันชาติ ความดีต่างๆ เหล่านั้นเราจะใช้คำว่า "ทำบุญให้ทาน" เหมือนกันกับเรามีลูกมีหลานบวชก็เรียกว่าบุญ ช่วยเป็นศาสนทายาท หรือมีเงินทองข้าวของก็บริจาคตามอัธยาศัย ตามความสามารถ

หรือว่ามีเรี่ยวมีแรงก็ไปช่วยในการทำสาธารณประโยชน์ หรือว่า มีอำนาจวาสนา เราก็ใช้อำนาจวาสนานั้น ไปทำประโยชน์ในทางที่สร้างบุญกุศลเป็นวัดวาอารามบ้าง เป็นโรงเรียนบ้าง เป็นโรงพยาบาลบ้าง หรือว่าส่วนใดที่จะเป็นประโยชน์นั้นเราก็ทำ อันนี้เรียกว่าเป็น "บุญ"

ทำมากเท่าไรก็เรียกว่า "สะสมบุญ" บุญเหล่านี้แหละเมื่อทำมากเข้าๆมันก็กลายเป็น "วาสนา" ยังไม่มากเท่าไรยังไม่ใช่ชื่อว่าเป็นวาสนาแต่ถ้าหากว่าทำบุญบ่อยๆ ถ้าบุญมากๆหลายภพหลายชาติก็เรียกว่า วาสนา เมื่อเป็นวาสนาแล้ว เมื่อวาสนามากเข้าๆเขาก็เรียกว่าเป็น "บารมี"

บารมีก็เช่นเดียวกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงบำเพ็ญพระบารมี พระองค์ทำทั้ง "บุญ" และทำทั้ง "วาสนา" ในที่สุดก็เป็น "บารมี" เมื่อบารมีเต็มที่ ปรารถนาสิ่งใดก็ได้สิ่งนั้น

เมื่อพระพุทธเจ้าปรารถนาเมื่อก่อนแต่ที่พระองค์จะมาปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ก็ยังเป็นคนธรรมดา เมื่อปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าแล้วพระองค์ก็สะสมบุญ เมื่อบุญมากเข้าๆ ก็เป็นวาสนา เมื่อวาสนามากเข้าก็กลายเป็นบารมี แล้วก็ทำให้พระองค์สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าที่เราได้พากันกราบไหว้อยู่ในปัจจุบัน

และพวกเราทั้งหลาย ในขณะนี้เรามีพระพุทธศาสนาที่เป็นที่พึ่งทางใจที่เราพากันพึ่งอยู่ในเวลานี้ เราก็จำเป็นที่จะต้องหา "ผลประโยชน์" ในพระพุทธศาสนานี้ให้แก่เรา การที่หาผลประโยชน์นั้น ไม่ใช่ว่าไปคดไปโกง หรือว่าไปหาผลประโยชน์โดยมิชอบ แต่เราหาผลประโยชน์ด้วยการที่เราสร้างบุญ มีเงินมีทองมีข้าวมีของ มีกำลังสติปัญญา เราแค่ใช้สิ่งเหล่านี้สร้างบุญขึ้นมา เมื่อสร้างบุญขึ้นมาแล้วเนี่ย ถึงแม้ว่าเราจะไม่ปรารถนา หรือเราจะไม่ปรารถนาอะไร แต่ว่าบุญก็จะต้องตามส่งเขาผู้นั้นอยู่ตลอด

Credit: ขอขอบพระคุณที่มาจากการถอดความมาจากพระธรรมเทศนาโดยท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระญาณวชิโรดม วิ.
(หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร) ในหัวข้อ "บุญ วาสนา บารมี" เมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ ณ วัดราชธรรมวิริยา
#ธรรมะ #อมตะธรรม #ธรรมะสอนใจ

หลวงปู่โต๊ะพบเจ้าแม่กวนอิม

หลวงปู่โต๊ะพบเจ้าแม่กวนอิม
ครั้งหนึ่งขณะที่หลวงปู่นั่งเจริญกรรมฐานอยู่ในโบสถ์ พลันก็เห็นเซียน 8 องค์เข้ามาพูดกับท่านว่า
"พระแม่กวนอิมมารับท่านเป็นสาวกและให้ท่านปฏิบัติแบบมหายาน คือไม่ฉันเนื้อวัว เนื้อควาย และให้ฉันเจทุกเทศกาลกินเจ"

หลวงปู่ก็ไม่ยอม เถียงไปว่า......... "พระแม่เป็นคนจีน หลวงปู่เป็นคนไทยและนับถือพระพุทธเจ้าอยู่แล้ว ไม่ตกลงด้วย"

นับแต่นั้นมาเซียน 8 องค์ก็มาเฝ้าอ้อนวอนให้หลวงปู่เปลี่ยนใจ จนกระทั่งวันหนึ่งเซียนทั้ง 8 องค์ก็มาหาอีกและบอกว่า "วันนี้พระแม่กวนอิมเสด็จมาด้วยพระองค์เอง พักรออยู่ข้างนอก"

หลวงปู่โต๊ะ ไม่สนใจได้แต่หลับตาเสีย เซียนองค์หนึ่งจึงไปเชิญเสด็จพระแม่กวนอิมเข้ามาในโบสถ์ และบอกให้ หลวงปู่โต๊ะ ลืมตาขึ้น หลวงปู่โต๊ะลืมตาเห็นพระรัศมีสว่างไสวและพระลักษณ์สวยงามมาก พระแม่เจ้าให้หลวงปู่โต๊ะเข้าเป็นสาวกทางพุทธศาสนามหายาน และประทานเสื้อกางเกงชุดพระจีนให้ใส่แทน หลวงปู่เผลอรับเสื้อกางเกงมาสวมใส่ พอกางเกงสวมมาถึงเข่า ก็รู้สึกตัวได้สติ รีบดึงกางเกงออกทิ้งไป พระแม่กลับบอกว่า "ท่านเป็นสาวกของพระแม่แล้ว ต่อไปนี้ท่านจะต้องฉันเจทุกปี ตามเทศกาลเจของชาวจีน" แล้วพระแม่กวนอิมและเซียนทั้ง 8 องค์ ก็หายวับไปกับตา

พอถึงเทศกาลเจครั้งแรก หลวงปู่ไม่ยอมฉันเจ หลวงปู่ก็อาพาธหนัก พอหมดเทศกาลเจก็หาย ในปีต่อ ๆ มา ก็เป็นเช่นนี้อีก หลวงปู่ทดสอบอยู่หลายปี จนต้องหันมาฉันเจในเทศกาลเจ อาการอาพาธต่าง ๆ ก็หายสิ้น ท่านจึงฉันเจตามเทศกาลแต่นั้นมา

ทุกปีของเทศกาลเจ หลวงปู่จะแต่งชุดพระจีนในเวลากลางคืน และเมื่อหลวงปู่นั่งสมาธิ พระแม่เจ้าก็ได้พาหลวงปู่ไปเที่ยวดินแดนสุขาวดีพุทธเกษตร พร้อมทั้งสอนวิชชาให้ จึงเป็นสาเหตุว่าชาวจีนทำไมจึงขึ้นกับหลวงปู่โต๊ะมากเป็นพิเศษ และหนึ่งในชาวจีนที่นับถือหลวงปู่โต๊ะมากคือ คุณพ่อของข้าพเจ้าเอง คุณพ่อและคณะศรัทธาธรรมได้ร่วมกันสร้างรูปหล่อพระแม่เจ้าร่วมกับหลวงปู่โต๊ะที่ หน้าถ้ำสิงโตทอง จังหวัดราชบุรี เป็นพระรูปกะไหล่ทองให้ศิษย์ที่นับถือพระแม่กวนอิมสักการะบูชา

ครั้นหลังเมื่อหลวงปู่กลับจากการเยือนพุทธคยาที่ประเทศอินเดีย หลวงปู่ก็เริ่มฉันภัตตาหารมังสวิรัติ คือ การเว้นเนื้อสัตว์และมันสัตว์ทั้งปวงโดยเด็ดขาดอย่างจริงจัง ตราบถึงกาลมรณภาพ

14 กุมภาพันธ์ 2565

#วิธีการเจริญเมฆจิต #เพื่อให้ได้ทิพยจักขุญาณ #และมโนมยิทธิ...

💜 #วิธีการเจริญเมฆจิต #เพื่อให้ได้ทิพยจักขุญาณ #และมโนมยิทธิ...
(โอวาทธรรมหลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
" โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วันนี้ขึ้น "#เมฆจิต" เป็นสายกลาง ก็เลยขอบอกวิธีการเจริญเมฆจิต ก็คือเจริญ พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ นั่นเอง....

▪️ใช้คำภาวนาว่า....
พุทธัง เมฆะนิมิต จิตตัง มะอะอุ
ธัมมัง เมฆะนิมิต จิตตัง อุอะมะ
สังฆัง เมฆะนิมิต จิตตัง อะมะอุ

ใช้คำภาวนาอย่างนี้ให้มันคล่อง ถ้าจะให้เร็ว ก็จับภาพพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งที่เราชอบ กำหนดจิตคิดให้เห็นว่าท่านอยู่ในตัวเรา คือในอก อย่างนี้เราจะได้ทั้ง "#ทิพยจักขุญาณ " และ"#วิญญาณัญจายตนฌาน" เป็นอรูปฌาน ได้ทั้ง ๒ อย่าง

▪️เพราะฉะนั้น เวลาภาวนาเขาก็ห้ามเห็นภาพ อะไรลอยมานี่ ให้ทิ้งทันที รักษาอารมณ์เข้าไว้ เราจะต้องการอย่างเดียวเฉพาะภาพที่้เราจับไว้ในตอนต้น คือ #ภาพพระพุทธรูป จะจับไว้ข้างนอกก็ได้แต่ว่าข้างนอกเสียท่านิดหนึ่ง เราจะได้แต่ "#ทิพยจักขุญาณ" เท่านั้น

ถ้าเราฝึกใจ ให้นึกว่าเราเห็นภาพพระพุทธรูป "#ในอก" ของเรานี่ พอได้ทิพยจักขุญาณแล้ว ก็จะได้มโนมยิทธิด้วย สามารถถอดกายข้างในไปเที่ยวสู่ภพต่าง ๆ ได้ นี่ประโยชน์ใหญ่กว่ากันเหนื่อยหน่อยไม่เป็นไร....

▪️แต่ระมัดระวังไว้ว่า...#เวลาภาวนาอย่าไปนึกถึงภาพใด ๆ ทั้งหมด กำหนดจิตไว้เฉพาะว่าเราจะเห็นภาพพระภายในอกเราเท่านั้น

ทีนี้เวลาภาวนาใช้เวลาไหนบ้าง ต้องไม่เลือกเวลา เดินไปอยู่ นั่งอยู่ นอนอยู่ ทำงานอยู่ พอเลิกงานก็จับนิดหน่อย ลืมตาก็ได้ หลับตาก็ได้....

📍 หรือท่านใดอยากจะได้ " ทิพจักขุญาณ แบบพิเศษ อาจง่ายกว่า "เมฆจิต" ก็คือ "#คาถาเห็นผีของหลวงพ่อปาน" ให้ใช้ภาวนาบทภาวนา อันนั้นง่ายกว่ามากได้เร็วกว่า.

...............................................................

📝📙 ธัมมวิโมกข์ ปีที่ ๓๘ ,๔๓๐/ม.ค.๒๕๖๐ หน้าที่๗๖ วัดท่าซุง
พิมพ์แบ่งปันโดย มงกุฎเพชร อภิญญา 
🥀🌸🥀🌸🥀🌸🥀🌸🥀🌸🥀🌸🥀

การขอขมาโทษต่อพระรัตนตรัย

🙏การขอขมาโทษต่อพระรัตนตรัย 🙏 #ในการขอขมาโทษต่อพระรัตนตรัยนี้ ถ้าบังเอิญเรามี การประมาทพลาดพลั้งใน พระพุทธเจ้าก็ดี ในพระธรรมก็ดี ในพระอริยสงฆ์ก็ดี เราทราบไม่ได้ 
🌟#โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีการปรามาส

#ในพระอริยสงฆ์อันนี้หนักมาก

#การขอขมาโทษส่วนตัวตรงต่อพระอริยสงฆ์องค์นั้นไม่มีผล 

เพราะว่า #ต้องขอขมาตรงต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

🙏#การหมิ่นประมาทพระอริยเจ้าประเภทนี้ 

#ถึงแม้ไม่ได้บวชท่านก็เป็นพระแท้ 

จะเป็นผู้ชายก็ตาม เป็นผู้หญิงก็ตาม มีสามีภรรยา 

มีลูกมีเต้า เขาก็ไม่ได้เลือก 

ไม่ได้เลือกว่าคนที่มีสามี ภรรยาจะเป็นพระอริยเจ้าไม่ได้ 

เป็นได้อย่าง พระนางสามาวดี ท่านก็เป็นได้ 

และ บังเอิญเราไปเห็นบุคคลบางคน 

#คิดว่าคนนี้มีท่าทางไม่น่ารักไม่น่าเคารพ 

#เพราะส่วนมากพระอริยเจ้าเป็นคนที่มีอารมณ์เปิด  

เราอาจจะประมาทพลาดพลั้งเข้า

#อย่างนี้โทษมันก็หนัก จะเป็นการยับยั้งความดีของเรา 

🙏#ฉะนั้นการขอขมาโทษสำหรับพระอริยเจ้า  

#ต้องขอตรงต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 

ฉะนั้น

🙏#สำหรับท่านที่ได้มโนมยิทธิแล้ว 

#เวลานี้ให้ตั้งจิตตรงต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยตรง 

🙏#สำหรับท่านที่ไม่ได้มโนมยิทธิ 

#ก็ตั้งใจนึกอาราธนาบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  

ขอได้โปรดมาประทับอยู่ที่พระพุทธปฏิมากรเบื้องหน้า  

แล้วตั้งใจขอขมาโทษต่อพระองค์โดยคิดในใจว่า

🌟 " หากข้าพเจ้าจะเคยประมาทพลาดพลั้งด้วยเจตนาก็ดี

 หรือไม่ได้เจตนาก็ดี ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี 

องค์สมเด็จพระชินสีห์ก็ตาม พระธรรมก็ตาม 

พระอริยสงฆ์ก็ตาม 

#ขอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้โปรดอดโทษให้

แก่ข้าพระพุทธเจ้า ตั้งแต่วันนี้ 

จนกว่าจะเข้าสู่พระนิพพาน"  

ตั้งใจไว้ตามนี้นะ 

🙏#ตอนนี้อย่าลืมนะ

ท่านที่ได้มโนมยิทธิ 

#ให้พุ่งจิตตรงไปที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  

#ให้เห็นว่าเรานั่งอยู่ต่อหน้าพระพักตร์ของพระองค์ 

สำหรับท่านที่ไม่ได้มโนมยิทธิ

ก็คิดว่า 

#เวลานี้องค์สมเด็จพระจอมไตรอยู่เฉพาะหน้าของเรา 

เรากำลังนั่งอยู่ใกล้พระองค์ 

#แล้วน้อมใจหมอบลงไปข้างพระบาทของพระองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  

กล่าวคำขอขมาเป็นภาษาบาลี 

🙏#คำขอขมาพระรัตนตรัย

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (๓ จบ ) 

สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะเม ภันเต อุกาสะ ทวารัตตะเยนะ กะตัง 

สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะเม ภันเต อุกาสะ ขะมามิ ภันเตฯ

:

🙏โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง

จากหนังสือทำวัตรสวดมนต์ ฉบับวัดท่าซุง 

(พิมพ์ครั้งที่๑๒) หน้า ๑๓๔-๑๓๕

:

#พุทธรัตนมณี

พระพุทธองค์ตรัสไว้ ๔ ประการ ที่ไม่ว่าใครก็ทำแทนไม่ได้ แม้แต่พระองค์ก็ทำแทนไม่ได้

พระพุทธองค์ตรัสไว้ ๔ ประการ ที่ไม่ว่าใครก็ทำแทนไม่ได้ แม้แต่พระองค์ก็ทำแทนไม่ได้
1. ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงวิบากกรรมได้ ใครสร้างกรรมเอาไว้ไม่มีใครรับแทนได้คนนั้นต้องรับเอง

2. ปัญญาให้กันไม่ได้ ต้องฝึกฝนเอาเองถึงจะเกิดปัญญาได้

3. ความศรีวิไลของธรรมะ ไม่สามารถสื่อทางภาษาได้ ความจริงแท้ในจักรวาลต้องใช้การปฏิบัติหนทางเดียวเท่านั้นเพื่อพิสูจน์ความจริง

4. คนที่ไม่มีวาสนา ฝนแม้จะตกทั่วฟ้า ก็ยังไม่เกิดประโยชน์กับหญ้าที่ไร้ราก พระธรรมแม้จะกว้างใหญ่ไพศาล ก็ยากที่จะโปรดคนไร้วาสนา

คนที่ไม่ได้สั่งสมบุญมาด้วยกันต่อให้พระมาโปรดก็ไม่ศรัทธาและไม่เข้าใจ

ที่มา: กัลยาณธรรม

พ่อรอลูกอยู่

เรื่อง พ่อรอลูกอยู่ 

ลูกรัก...พ่อรักลูกทุกคน
พ่อจำลูกของพ่อได้หมด
พ่อรู้ว่าเราตามกันมานานแสนนาน
พ่อรู้จักผมทุกเส้นของลูก
พ่อรู้นิสัยของลูกทุกคน
พ่อเตรียมทุกสิ่งไว้พร้อม เพื่อจะพาลูกของพ่อกลับบ้าน
พ่อรู้จักเส้นทางกลับบ้านดี และพ่อเตรียมเส้นทางไว้แล้ว

เพียงแต่สังขารของพ่อ มันไม่อาจจะทรงตัวอยู่ได้
...จนถึงลูกคนสุดท้าย

แต่พ่อก็เตรียมทุกอย่างไว้ให้ลูกหมดแล้ว
ระหว่างที่ลูกยังไม่ถึงเวลาที่จะกลับบ้าน
หากลูกคิดถึงกายสังขารของพ่อก็ไปหาพ่อ
พ่อจะนอนรอลูกอยู่ที่วัดท่าซุง

ธรรมใดที่องค์สมเด็จให้พ่อไว้
พ่อให้ลูกหมดแล้ว
ปฏิปทาใดที่ชอบ และไม่เหลือวิสัยของลูกจงทำ

อีกไม่นานเราคงได้พบกันบนพระนิพพาน
พ่อรักลูกทุกคนเสมอกัน สังขารของพ่อมันพังไปแล้ว

มันทนไม่ไหว ยังรออะไรอยู่ลูกกลับบ้านกันได้แล้ว
พ่อรอลูกคนสุดท้ายอยู่นะ

อย่ามัวหลงเดินเล่น
วิ่งเล่นกันอยู่เดี๋ยวจะมืด พ่อก็ไม่อยู่......
หนทางข้างหน้าลูกจะจำไม่ได้
มันจะหลงทางนะลูก...........กลับบ้านกันเถอะ.....

: จากหนังสือ สัพพะพุทธะ สัพพะชยันโต หน้า ๑๓๗
"พ่อรักลูก"
ธรรมะพุทธะ สัพพะชยันโต

หลวงปู่วงษแสดงฤทธิ์

อาแปะเล่าให้ฟัง
เมื่อครั้งที่อาแปะนิมนต์หลวงปู่วงษ์ ไปฉันเพลที่บ้านที่เยาวราช มีเพื่อนๆของอาแปะมาร่วมงานทำบุญเป็นจำนวนมาก อาแปะก็โฆษณาว่าซือแปอั๊วเก่งยังงั้นยังงี้ เพื่อนๆอาแปะที่ไม่รู้จักหลวงปู่วงษ์ก็เออออไปกับอาแปะแต่ก็ยังไม่ได้ศรัทธาหลวงปู่วงษ์แต่อย่างใด พออาแปะพูดชมหลวงปู่วงษ์หลายครั้งเข้าพวกเพื่อนๆของอาแปะก็กระซิบบอกอาแปะว่าให้ซือแปลื้อช่วยแสดงฤทธิ์ให้ดูสักหน่อยจะได้รู้ว่าซือแปลื้อเก่งจริง อาแปะได้ยินเพื่อนๆพูดยังงั้นก็ไม่กล้าเข้าไปบอกหลวงปู่วงษ์ กลัวหลวงปู่วงษ์จะดุที่อาแปะไปเที่ยวพูดอวดเพื่อนๆ อาแปะก็เลยเงียบไม่พูดอวดอีก จนหลวงปู่วงษ์ฉันเสร็จและถวายของจนกรวดน้ำรับพรเสร็จเรียบร้อย หลวงปู่วงษ์ก็จะพรมน้ำมนต์ อาแปะก็จะเข้ามายกบาตรน้ำมนต์ แต่หลวงปู่วงษ์ไม่ให้อาแปะยก หลวงปู่วงษ์กลับชี้มาที่เพื่อนของอาแปะคนที่บอกว่าให้หลวงปู่วงษ์แสดงฤทธิ์ให้ดูหน่อย พอเพื่อนอาแปะเดินมายกบาตรน้ำมนต์แต่ยกเท่าไรก็ยกไม่ขึ้น ก็พยายามดูว่าบาตรน้ำมนต์ติดอะไรทำไมถึงยกไม่ขึ้น แต่ก็ไม่เห็นว่าบาตรน้ำมนต์ติดอะไร ก็พยายามยกอีกแต่ก็ยกบาตรน้ำมนต์ไม่ขึ้น ก็บอกอาแปะช่วยยกหน่อย พออาแปะยกบาตรน้ำมนต์ก็ยกขึ้นอย่างง่ายดาย เพื่อนอาแปะก็งง ก็ก้มดูใต้บาตรว่ามีอะไรติดอยู่ ก็ไม่เห็นมีอะไรติดอยู่ใต้บาตร ก็รับบาตรน้ำมนต์จากอาแปะเดินตามหลวงปู่วงษ์ออกมานอกบ้าน หลวงปู่วงษ์ก็เดินพรมน้ำมนต์ไปทั่วบ้าน ฝ่ายเพื่อนอาแปะก็อุ้มบาตรน้ำมนต์เดินตามติดหลวงปู่วงษ์ บาตรน้ำมนต์ก็ค่อยๆหนักขึ้นเรื่อยๆแถมบาตรน้ำมนต์ก็ค่อยๆร้อนขึ้นเรื่อยๆ จนเพื่อนอาแปะทนไม่ไหวร้องบอกหลวงปู่วงษ์ว่า 

“ อาซือแป อั๊วยอมแล้วๆ “

ต่อมาลูกศิษย์กลุ่มนี้ก็มาช่วยหลวงปู่วงษ์สร้างหอสวดมนต์หลังเก่าจนสำเร็จ

Cr:เครื่องรางวัดปริวาส

#อธิษฐานอย่างไรให้ปาฏิหาริย์เกิด

ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก เวลาที่เกิดความทุกข์ความไม่สบายใจคนเรามักจะหาที่พึ่ง หลายท่านคงเคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับการระบายความทุกข์ทั้งต่อคนรอบข้างและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย หากเราได้เล่าอะไร หรือบอกกล่าวอะไรกับใครบ้างก็จะทำให้เรามีจิตใจที่สบายขึ้น

หากเป็นการบอกเล่าความทุกข์กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็มักจะปรากฏอยู่ในรูปแบบของ “การอธิษฐาน” ที่กล่าวเช่นนี้ก็เพราะ การอธิษฐานโดยทั่วไปของมนุษย์ก็คือการขอในสิ่งที่ตนเองยังไม่มี สิ่งขอโอกาสให้ตนเองได้มีความสุข อยากได้ครอบครองไม่ว่าจะเป็นความสุขในแบบวัตถุ หรือความสุขทางใจ

การอธิษฐานจริงๆ แล้วไม่ใช่การ “ขอ” แต่อย่างใด

การอธิษฐานในแบบของพระพุทธศาสนาจะมีความเชื่อในเรื่อง กฎแห่งกรรม คือว่าด้วยเหตุและผลที่เป็นไปตามการกระทำเข้ามาเป็นส่วนประกอบเป็นปัจจัยสำคัญ

ครูบาอาจารย์ท่านเน้นว่า การอธิษฐานจะได้ผลก็ต่อเมื่อได้ประกอบคุณงามความดีต่างๆ ก่อนให้มากพอหรือมีการทำเหตุให้ตรงสมบูรณ์พร้อม แล้วค่อยขอพรหรือตั้งจิตอธิษฐานในสิ่งที่ตั้งความปรารถนาไว้ หากมีพลังบุญเป็นปัจจัยเสริมมากพอแรงอธิษฐานก็จะส่งให้เกิดผลสัมฤทธิ์ตามความปรารถนาที่ตั้งใจไว้ ซึ่งเมื่อเหตุนั้นตรงและสมบูรณ์ ปัจจัยสมบูรณ์ ผลที่ออกมาจะสมบูรณ์ตามที่อธิษฐานนั้น

โชคชะตาชีวิตของคนทุกคนนั้น จะดีหรือเลว จะมั่งมีหรือจน จะเป็นทุกข์หรือสุข จะผ่านอุปสรรคในชีวิตนั้นไม่ได้มาจากพระเจ้า เทพเจ้า ดวงดาวหรืออำนาจอื่นใดทั้งสิ้น ไม่มีฟ้าลิขิตทั้งสิ้น สิ่งที่จะกำหนดโชคชะตาชีวิตของคนนั้นคือ กรรมลิขิต

มนุษย์จะเป็นผู้กำหนดโชคชะตาชีวิตของตัวเองด้วยการกระทำที่มาจากกาย วาจา ใจ ที่รวมเรียกว่า กรรม และมีกฎแห่งกรรมเป็นผู้ควบคุม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ไม่มีใครมีอำนาจมาเบี่ยงเบนผลลัพธ์ได้ ใครทำเหตุอะไรไว้ก็ต้องได้ผลตามเหตุที่เกิดขึ้นนั้น ไม่ใช่ใครทำชั่วแล้วได้ดี หรือทำดีแล้วได้ชั่วเป็นอันขาด

การอธิษฐานเป็นการสร้างพลังจิตให้เข้มแข็ง เป็นการตั้งเป้าหมายหรือจะเรียกว่าเป็นการล็อคเป้าหมายว่าเราจะทำสิ่งใดให้สำเร็จลุล่วงไป ถือเป็นเข็มทิศของจิตและชีวิตของคนๆ นั้น หากแต่จะสำเร็จหรือไม่มีองค์ประกอบสำคัญๆ อยู่หนึ่งประการ คือ จิตในขณะที่กำลังอธิษฐานนั้นมีกำลังมากพอหรือไม่
ที่กล่าวว่าจิตต้องมีกำลังมากพอก็เพราะว่า จิตที่เข้มแข็งจะน้อมลงไปสู่การกระทำที่ตรงกับเหตุ ยิ่งความปรารถนาแรงกล้า และมีพลังบุญสนับสนุนเพียงพอคำอธิษฐานนั้นจึงจะประสบผล
องค์ประกอบที่สำคัญสำหรับการอธิษฐานนั้นให้สัมฤทธิ์ผลมีอยู่ 4 ประการก็คือ

1.พลังจิตที่บริสุทธิ์สะอาด เป็นบาทฐานกำลัง เราทราบกันดีแล้วว่าการจะทำให้จิตนั้นสะอาดผ่องใสได้ด้วยการสร้างบุญอันมาจากทาน ศีลและภาวนา ยิ่งทำบุญมากแบบถูกต้อง ถูกธรรมแล้ว จิตจะผ่องใสขึ้นอย่างแน่นอน

2.บุญบารมีที่ได้ทำมาไม่ว่าจะเป็นบุญเก่าและบุญใหม่เป็นตัวเชื่อม การที่จะอธิษฐานให้ได้ผลนั้น อานุภาพแห่งบุญจะเป็นตัวเชื่อมระหว่างผู้อธิษฐานและเป้าหมายที่ต้องการ ที่บุญนั้นจะต้องครบถ้วน หรือเหตุนั้นจะต้องครบสมบูรณ์ ดังการอธิษฐานของพระพุทธเจ้าซึ่งนำไปสู่การตรัสรู้ว่า

ในอดีตชาตินั้นของพระพุทธองค์ เคยถือกำเนิดเป็น สุเมธดาบส ครั้งหนึ่งมีประกาศจากทางการว่าพระทีปังกร (พระพุทธเจ้าลำดับที่ 4) จะเสด็จผ่านทางเพื่อทำการผ่านทางหนึ่งเพื่อโปรดแสดงธรรม เส้นทางที่เสด็จนั้นมีความยากลำบากมีอุปสรรคมากมายและยังเป็นทางเลนที่ยากจะเสด็จผ่านไปได้ ชาวบ้านนับพันต่างก็มาร่วมใจกันแผ้วถางทางอย่างรวดเร็ว

สุเมธดาบสซึ่งเป็นฤๅษีก็เหาะผ่านมายังทางที่กำลังแผ้วถางอย่างขะมักเขม้น ก็ลงมาสอบถามว่าคนทั้งหลายมาชุมนุมกัน ณ ที่แห่งนี้เพราะเหตุอันใดกัน เมื่อทราบว่าพระทีปังกรพุทธเจ้าจะเสด็จมาแสดงธรรมโดยผ่านเส้นทางนี้ สุเมธดาบสก็มีความยินดีที่จะช่วยทำทางให้เสร็จโดยเร็วเช่นกัน

แต่ในขณะที่สุเมธดาบสกำลังจะลงมือทำทางให้พระทีปังกรก็เสด็จผ่านมาถึงก่อนโดยเส้นทางที่จะทำเหลืออีกเพียง 1 ช่วงตัวคนเท่านั้น สุเมธดาบสจึงถอดผ้าคลุมของตนเองออกแล้วปูลาดลงไปที่พื้นและได้กราบนมัสการต่อพระทีปังกรพุทธเจ้า และนิมนต์ให้พระพุทธองค์และพระสาวกทั้งหมดกว่า 4 แสนรูปได้ย่างเท้าไปบนร่างกายของตนเองที่จะทำการทอดถวายเป็นสะพานแทน ด้วยจิตปรารถนาถึงสัมมาสัมโพธิญาณขอให้ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในกาลข้างหน้า

พระพุทธเจ้าทีปังกรได้รู้เจตนาและการบำเพ็ญบารมีจึงตรัสทำนายว่า สุเมธดาบสจะได้กลายเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งนามว่า “พระพุทธโคดม” ซึ่งก็คือพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันของเรานี่เอง หลังจากสุเมธดาบสได้สิ้นชีวิตแล้วก็ได้ไปวนเวียนเกิดอีกหลายภพชาติสั่งสมบุญบารมีมาอีกยาวนานจนในชาติสุดท้ายก็ได้บรรลุผลแห่งการอธิษฐานเมื่อครั้งอดีตสมความตั้งใจ

แต่การที่ พระพุทธองค์จะตรัสรู้ได้นั้นต้อสะสมบุญบารมีให้ โดยเฉพาะในทศชาติสุดท้ายได้กระทำบุญบำเพ็ญบารมีนานาประการจน

บุญบารมีทั้งหลายที่สั่งสมมาหลายภพหลายชาติรวมกับการบำเพ็ญทศชาติบารมีอย่างสูงสุดแล้ว เมื่อบุญส่งผลในเวลานั้นจึงทำให้พระพุทธองค์ประสบความสำเร็จในการตรัสรู้ ในการเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ บุญบารมีจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะเป็นตัวเชื่อมให้คำอธิษฐานได้บรรลุผลและกลายเป็นความจริง

3.จุดประสงค์แห่งการอธิษฐาน ที่ต้องเป็นสิ่งที่ดีที่งามเป็นสิ่งที่จะเอื้อประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่นถูกต้องทางธรรมไม่ขัดแย้งกัน การอธิษฐานนั้นจึงจะมีความสัมฤทธิ์ผลได้ หรือจะเรียกว่าการอธิษฐานที่เต็มไปด้วยกิเลส ด้วยความเห็นแก่ได้อย่างนี้จะสำเร็จผลได้ยาก การอธิษฐานที่ปิดทางคนอื่น ไปพรากประโยชน์คนอื่นหรือด้วยต้องการให้คนอื่นฉิบหายนั้นไม่ใช่การอธิษฐานแต่เป็นการสาปแช่ง และไม่สมควรทำเป็นอย่างยิ่ง และไม่มีทางเกิดผลได้อย่างแน่นอน

4.อย่าอธิษฐานให้เกินบุญของตน หลายคนอธิษฐานแล้วไม่ได้ผลเลย อาจจะอธิษฐานที่เกินบุญที่ตนเองมี เช่น อธิษฐานขอให้มีโชคลาภถูกหวยรางวัลที่ 1 ซึ่งบุญของตนนั้นไม่พอที่จะได้ลาภใหญ่แบบนั้น เพราะว่าเกิดมาไม่เคยทำทาน ไม่เคยให้อะไรผู้ใด เหมือนคนที่เงินอยู่ 10 บาทแต่อยากจะเปิดร้านค้าใหญ่โตซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ ถ้าอยากจะได้จริงต้องทำเหตุให้ตรงเสียก่อน รู้ว่าบุญไม่พอก็เร่งสร้างบุญเสียให้พอ เรื่องนี้อาจจะยากสำหรับคนบางคน เพราะคนกำลังเดือดร้อนมากมักจะอยากให้ได้อะไรเร็ว ขอให้อธิษฐานที่เป็นไปได้แล้วจะเป็นไปได้ค่อยๆ ขยับขึ้นตามบุญที่ทำมา

5.ต้องทำเหตุให้ตรงกับสิ่งที่อธิษฐานขอไว้ (เป้าหมาย) หลายคนอธิษฐานแล้วไม่ได้ผลเลยแม้แต่น้อย อีกสาเหตุหนึ่งก็ขอเมื่อตั้งเป้าหมายแล้ว แต่ไม่ลงมือทำให้เหตุนั้นตรงกับเป้าหมายที่อยากจะได้ เช่น อธิษฐานขอให้ร่ำรวยเป็นเศรษฐี แต่ไม่เคยลุกขึ้นมาทำมาหากิน ไม่เคยลงมือทำงานอย่างเต็มที่ หรือลงมือทำแต่ก็ไม่เคยตั้งใจทำ แล้วจะรวยไปได้อย่างไร นอกจากว่าจะบุญเก่าสนับสนุนมากพอจริงๆ ถึงจะได้ ซึ่งก็นับว่ายากเต็มทีหากในปัจจุบันไม่เคยสร้างคุณงามความดีหรือทานบารมีใดๆไว้เลย

ยังมีอีกเคล็ดสำคัญคือ การอธิษฐานขอบุญกับจากครูบาอาจารย์ท่านผู้ทรงพระคุณความดี เป็นการเพิ่มบุญให้กับตัวเราเองโดยพื้นฐานสำคัญเราต้องมีบุญร่วมกับท่านซึ่งบุญเก่านั้นเราอาจจะไม่สามารถล่วงรู้ได้แต่เราสามารถทำได้โดยการเชื่อมบุญกับท่านด้วย

- ไปทำบุญกับท่าน ข้อนี้ง่ายถ้าเป็นครูบาอาจารย์ที่มีชีวิตอยู่เราสามารถทำกับท่านได้โดยตรง ทั้งการถวายกับตัวท่านเองหรือฝากคนอื่นไปถวายแทน แต่ถ้าท่านละสังขารไปแล้วให้อุทิศบุญถวายท่านเช่น หลวงปู่ทวด หลวงพ่อปาน หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ เป็นต้น ซึ่งเป็นการเชื่อมบุญกับท่าน

- ไปร่วมทำบุญกับท่าน เรื่องนี้ง่ายเพียงเราไปร่วมสร้างบุญกับท่าน มีพิธีบวช มีงานบุญอะไรก็ไปร่วมงานเพื่อโมทนาบุญในงานนั้น หรือเมื่อทราบข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ อินเตอร์เน็ตหรือสื่ออื่นๆ ก็บริจาคเงินหรือสิ่งของไปให้ท่านทางธนาคารหรือไปรษณีย์ก็ได้

- อนุโมทนาในบุญที่ท่านทำ เมื่อเราเห็นหรือทราบข่าว่าท่านสร้างบุญกุศลเรา เราก็ร่วมยินดีในบุญที่ท่านทำ เพียงกล่าว ขออนุโมทนาบุญที่ท่านทำ เราก็ได้บุญแล้ว เพียงแต่อาจจะได้ไม่เท่าที่ท่านทำเพราะเราไม่ได้สร้างเอง อย่างไรก็ตามเพียงแค่มีจิตนึกยินดีในสิ่งที่ท่านได้ทำ เราพลอยยินดีไปด้วยบุญก็เกิดขึ้นแล้ว

จากหนังสือเรื่อง ปาฏิหาริย์วิชาศักดิ์สิทธิ์ ๔ ห้อยพระ บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอพรเป็น ได้ทุกสิ่งที่ปรารถนา โดย ธ.ธรรมรักษ์
#ธรรมะ #อมตะธรรม #ธรรมะสอนใจ

บุญจากอภัยทานช่วยต่ออายุได้


ผู้ถาม : หลวงพ่อขอรับ ลูกเป็นโรคโลหิตแข็งตัว หมอบอกว่าจะตายภายใน 3 วัน แต่อาศัยความดีที่ผมได้บำเพ็ญมา  แล้วก็อุทิศส่วนกุศลทั้งหลายให้แต่เทวาทั้งหลาย และพระพุทธเจ้า เป็นต้น

ปรากฏว่าผมไม่ตายเลยครับ ลูกก็เลยมีความสบายใจว่า ความดีที่หลวงพ่อสอน  ความดีที่หลวงพ่อแนะ  ความดีที่ลูกได้ปฏิบัติตามคำสอน ได้ผลตามที่ไม่ต้องตายตามที่หมอกำหนด  จึงขอกราบขอบพระคุณหลวงพ่อมา ณ ที่นี้ด้วย ขอรับ

หลวงพ่อ : อ๋อ ขอบใจๆ นะ ขอให้อยู่ต่อไปอย่าอยู่นานเลยนะพ่อคุณนะ  มันลำบาก อีกสักแสนปีค่อยตายนะ (หัวเราะ)

ผู้ถาม : โอ..หลวงพ่อแปลกนะ หมอบอกว่าจะตายเมื่อนั้นเมื่อนี่  พอทำบุญทำกุศลเจริญกรรมฐาน  เอ๊ะต่ออายุไปได้นะ

หลวงพ่อ : ความจริงที่เขากำหนดไว้ไม่พลาดนะ  สังเกตคนป่วยนะ

แต่ว่าบุญที่เกี่ยวกับอภัยทานช่วยต่ออายุได้นะ

อย่างปล่อยสัตว์ ปล่อยปลา สัตว์ที่ต้องถูกฆ่า ใช่ไหม เราไม่ฆ่า หรือสัตว์ที่เราจะทำร้ายได้   เราไม่ทำ เราเว้น เป็นอภัยทาน

***ฉะนั้น  คนป่วยหรือใครที่ต้องการอายุยืน (แต่ไม่เกินอายุขัย) ก็หมั่นปล่อยปลานะ***

(จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 94 เดือนธันวาคม 2531 หน้า 8)

11 กุมภาพันธ์ 2565

เรื่อง หน้าที่ของ ภูมิเทวดา หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

* หลวงพ่อฤาษีลิงดำ~พระราชพรหมยานฯ..ตอบปัญหาธรรม
ผู้ถาม : หลวงพ่อคะ..
~ บ้านทุกหลัง มีพระภูมิเจ้าที่ อยู่ไหมคะ..
หลวงพ่อฯ : เขาคงไม่อยู่นะ.. พระภูมิองค์หนึ่ง รักษาเขตเป็นกิโล ๆ องค์เดียวกันนี่นะ
~ เคยถามเขาว่า : คนที่คุณรักษาในเขตกรุงเทพฯ เป็นกิโล นี่ คนมันมากเหลือเกิน มีเป็นล้าน แล้วคุณจะรู้ได้ยังไง ว่า เขาทำดีทำชั่ว ต่างกรรมต่างวาระ คุณรู้ได้ยังไง..

~ เขาบอกว่า : อารมณ์จิตผมเป็นทิพย์ครับ คือ ไม่ต้องไปถามดูหรอก มันขึ้นเอง คือว่า บัญชีมันขึ้นเอง มันจะบอกเลยว่า ใครทำอะไร.. เขาบอกว่า : เขามีหน้าที่รับทราบ คนที่ทำความดีความชั่ว.

* เมื่อถึงเวลาวันโกน วันกลางเดือน หรือ วันสิ้นเดือน จะมีเทวดาชั้นจาตุมหาราช มารับบัญชี และก็ จะไปส่งให้ เทวดาที่เป็นมหาอำมาตย์ใหญ่ เทวดาผู้ใหญ่ ก็เสนอท้าวมหาราช.

~ ท้าวมหาราช ท่านก็จะแบ่งบัญชี เป็น ๒ บัญชี ใครทำบาป กันไว้ประเภทของบาป.. ใครทำบุญ กันไว้ประเภทของบุญ.. ประเภทบาป ก็ให้เทวดา ๔ องค์ ที่เรียกว่า"เทวทูต" นำไปส่งสำนักพระยายม.

* ตัวท่านท้าวมหาราชเอง พอเวลาวันพระ ก็นำไปส่งที่ประชุมของเทวดา บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เมื่อเทวดามาประชุมกัน ที่เทวสภา หรือ ศาลาสุธรรมา บรรดาเทวดาทั้งหลายเหล่านั้น เมื่อทราบว่าคนทำบุญมาก ก็ดีใจ.

~ แต่หน้าที่ ที่จะนำเอาบัญชีนั้นไปกราบทูล ให้พระอินทร์ทรงทราบ คือ "ท่านปัญจสิกขเทพบุตร" มีหน้าที่เป็นเลขาพระอินทร์ เมื่อพระอินทร์ทรงทราบแล้ว ก็ประกาศนามคนที่ทำบุญเหล่านั้น ให้มวลหมู่เทวดา ที่มาประชุมกันทราบ.

* ถ้าระหว่างวันพระไหน มีคนทำบุญมาก บัญชีบุญบัญชีกุศลมาก บรรดาเทวดาทั้งหลาย ก็ดีใจ กล่าวกันว่า.. ต่อแต่นี้ไปพวกบรรดาเทพนิกายมากแล้ว.
~ เพราะอาศัย ความดี ดีใจ ปลื้มใจ ที่มีพวกมาก ท่านก็พากันฟ้อนรำ ทั้งเทวดา และ นางฟ้า.. ความจริงสวยจริง ๆ นะ

* แต่วันพระไหน ถ้าบังเอิญคนทำบุญน้อย บรรดาเทวดาทั้งหลาย ได้ทราบจากบัญชีของท้าวมหาราช ก็สลดใจ วันนั้นไม่มีการฟ้อนรำ นั่งสลดใจเศร้าสร้อยไปตาม ๆ กัน..

( จากหนังสือ *หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม* เล่มที่ ๓ หน้าที่ ๒๔ ของวัดท่าซุง จ.อุทัยธานี..คัดลอก โดย ยุพยง พัฒนเจริญ )

07 กุมภาพันธ์ 2565

หลงเพราะยึด

เพราะ ยึดติด 
อันนั้นของกู อันนี้ของกู นั้นบ้านกู นั้นรถกู
มันจึงมี ภพ มี ชาติ เป็นเเดนเกิด ( ต้องไปเกิด )
และเพราะ มี ภพ มี ชาติ 
จึงมี ชรา พยาธิ เเละ สัญญา ตามมา
ทางเเก้ตามคำสอน 
ปล่อยวาง การเป็นเจ้าของ ในทุกอย่าง 
ที่เสื่อม ที่พัง ที่หายได้
อย่าผูกกรรม กับ ผู้ใด

มีก็ดีใจ ใช้ไป
เสียไป หายไป ก็ไม่เป็นไร
เพราะ สุดท้าย ก็เอาไปด้วยไม่ได้สักอย่าง
แม้เเต่ร่างกาย

05 กุมภาพันธ์ 2565

ถ้าขาดสติ...แล้ว สมถะ และวิปัสสนานั้น ไม่มี ทาง...เจริญได้เลย

"ใครจะเจริญสมถะ 
หรือวิปัสสนา ขั้นใดก็ตาม 
ถ้าขาดสติ...แล้ว 
สมถะ และวิปัสสนานั้น ไม่มี ทาง...
เจริญได้เลย
นับแต่เริ่มแรกปฏิบัติ
มาจนสุดทางเดิน ผมไม่มองเห็นธรรมใด
ที่เด่น และฝังลึกในใจเท่า สติ...นี่เลย

สติ... 
เป็นทั้งพี่เลี้ยง เป็นทั้งอาหาร เป็นทั้งยา
รักษาของสมาธิ และปัญญา ทุกขั้น
ธรรมดังกล่าวนี้...
จะเจริญได้ จนสุดขั้นของตนล้วนขึ้น อยู่...
กับ สติ...
เป็นผู้บำรุงรักษา โดย...ขาดไม่ได้

ท่านจงฟังให้ถึงใจ 
ยึดไว้ อย่า...หลงลืม สตินี่แล 
คือ...ขุมกำลังใหญ่
แห่ง...ความเพียร ทุกด้านต้องผ่านสตินี้

ก่อนจะเคลื่อนไหว
โยกย้ายความคิดเห็น ไปในทางใด
หยาบ หรือละเอียด ในธรรมขั้นใด 

ต้องมีสติ...
เป็นตัวการสำคัญ ในวง...ความเพียร."
-------------------------------------------------------------------------
หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต
วัดป่าสุทธาวาส ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมือง จ.สกลนคร

02 กุมภาพันธ์ 2565

#เทวดาในแต่ละสถานที่ชอบบทสวดมนต์ที่แตกต่างกัน


บางสถานที่ก็ชอบบทธัมมะจักกัปปะวัตตสูตร 
บางสถานที่ก็ชอบบทกะระณียะเมตตะสูตร 
บางสถานที่ก็ชอบบทมาติกา 
บางสถานที่ก็ชอบบท เมตตาสังนะสูตร

พอสวดฮอด(ถึง) บทที่พวกเขาชื่นชอบละก็ 
เขาจะพากันเปล่งเสียงสาธุการดังสนั่น
หวั่นไหวไปทั่ว

เทวดาเขาพากันออนซอนสะออนหลาย 
(พากันชื่นชอบเป็นอย่างยิ่ง)"

#หลวงปู่บอกเน้นย้ำเรื่องการสวดมนต์ว่า ...

"เวลาสวดมนต์ไหว้พระ อย่าพากันทำเป็นเล่น
เห็นเป็นของสนุกคะนองปาก ธรรมของ
พระพุทธเจ้าเป็นของสูงควรค่าต่อการเคารพ
เป็นอย่างยิ่ง หากพากันเห็นเป็นของเล่นแล้ว 
ก็จะเป็นบาปเป็นกรรมกับตัวเอง นักปราชญ์
ได้ยินท่านก็ตำหนิ เทวดาเขาก็พากันตำหนิ

เวลาไหว้พระสวดมนต์ ให้พากันตั้งใจสวด
จริงๆ เวลาสวดก็ให้มีสมาธิจดจ่อลงไปในบท
หรือสูตรนั้นๆ มันถึงจะมีอานิสงส์เกิดขึ้นกับ
ตัวเจ้าของ ( ตัวเราเอง )

การสวดมนต์ไหว้พระเป็นการทำสมาธิไปใน
ตัว บางทีข้ออรรถธรรมต่างๆ มันก็จะผุดขึ้นมา
ในขณะที่สวดมนต์ก็มี

เทวดาทั้งหลายนั้น เขาก็เป็นมนุษย์เหมือน
กับพวกเรามาก่อน มีจิตใจฝักใฝ่ในบุญกุศล 
พอตายทำลายขันธ์จากโลกนี้ไปแล้ว ก็ได้
ไปจุติในสวรรค์ชั้นต่างๆ สูงบ้างต่ำบ้าง 
ก็ขึ้นอยู่กับบุญกุศลที่ตนเองได้สั่งสมมาใน
ตอนเป็นมนุษย์

ถึงแม้ว่าจะเป็นเทวดาอยู่ก็ตาม จิตของพวกเขา
ยังฝังไว้ในบุญกุศล พอได้ยินหรือได้เห็นผู้ใด
เขาทำคุณงามความดี พวกเขาก็จะพากันมา
ร่วมอนุโมทนาด้วย

หากว่าเรามีจิตที่ละเอียดเป็นสมาธิบ้าง 
เราก็จะเห็นเขามาร่วมอนุโมทนากับเราด้วย

อย่างหยาบๆที่พวกเราจะรับทราบได้ 
ก็คือ ขนพองสยองเกล้าเป็นต้น "

ด้วยหลวงปู่ท่านให้ความสำคัญเรื่องการ
สวดมนต์ไม่น้อยกว่าการทำสมาธิภาวนา 
จึงจะเห็นได้ว่า แม้ในช่วงปัจฉิมวัยของ
องค์ท่าน ยามกลางค่ำกลางคืน ท่านก็ยัง
ออกมานั่งรถเข็นจงกลมไปในบริเวณวัด 
ฟังพระเณรลูกหลานสวดมนต์ไหว้พระกัน 
เหมือนกับเป็นการให้กำลังใจลูกหลาน
พระเณรไปในตัว

พอหลังจากไหว้พระสวดมนต์กันเสร็จแล้ว
ในบางคืน ลูกหลานพระเณรก็จะได้กราบเรียน
สอบถามองค์ท่าน...
 " หลวงปู่ครับ ! วันนี้เทวดาเขามาร่วมสวดมนต์
ไหว้พระด้วยไหมครับ ? "
หลวงปู่ท่านก็มักจะตอบว่า...
" มีมาทุกวัน "ในวันไหนมีมากเท่าไร ท่านก็
จะบอกจำนวนให้ทราบด้วย หรือบางครั้ง
ท่านจะระบุชื่อพระเณรเป็นรายคนด้วย
" เทวดาเขาชมว่า พระ เณร องค์นี้ สวดมนต์
ม่วนหลาย เสียงดังกังวานไปไกล เทวดาเขา
ได้ยิน เขาขออนุโมทนาด้วย "

พอได้ยินหลวงปู่ท่านว่าให้ฟังเช่นนี้ พระเณร
ลูกหลานก็พากันปลื้มอกปลื้มใจเป็นอย่ายิ่ง 
พอถึงเวลาไหว้พระสวดมนต์ จึงพากันตั้งอก
ตั้งใจสวดกันอย่างเต็มที่...

จากหนังสือ หลวงปู่ชอบ ฐานสโม 
วัดป่าสัมมานุสรณ์ อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย

อริยสัจ 4 และมรรคแปด

ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ห่างไกลจากกิเลสตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาค ทรงตรัส...