21 สิงหาคม 2565

จิตไม่สงบเพราะเกาะติดทุกข์-สุข

พระธรรมคำสอนสมเด็จองค์ปฐม
จิตไม่สงบเพราะเกาะติดทุกข์-สุข

ต่อไปนี้ขอให้เจ้า หมั่นดูอารมณ์ของตนเอง
อย่าไปมองดูอารมณ์ของคนอื่น การที่จะ
พ้นทุกข์แห่งอารมณ์พอใจหรือไม่พอใจ
ก็ต้องสังเกตที่จุดนี้

กำหนดสติสัมปชัญญะ รู้ให้ได้ว่าขณะนี้
กำลังเสวยอารมณ์อะไรอยู่ เมื่อเรียนรู้
อารมณ์ที่เสวยแล้ว ก็ต้องหมั่นเอา
พระกรรมฐานเข้ามาแก้อารมณ์ที่เป็นพิษนั้น ๆ

จิตไร้ความสงบ เพราะอารมณ์ของจิต
ดิ้นรนเกาะติดทุกข์-สุข ถ้าหากศึกษา
ไม่ถ่องแท้แล้ว ก็จักแก้ไขจุดนี้ได้ยาก
ต้องรู้จริงกระทบจริงด้วยสติสัมปชัญญะ
ที่ว่องไว อันตามรู้ว่ากิเลสชนิดใด
ได้เกิดขึ้นแล้วในขณะจิตนั้น

ถ้าไม่รู้ก็แก้ไขไม่ได้ ต้องหลงปล่อยให้จิต
เป็นทาสของอารมณ์อยู่ร่ำไปอย่าท้อแท้
พลั้งบ้างเผลอบ้างเป็นธรรมดา หมั่นเพียร
ดูจิตเสวยอารมณ์อยู่เสมอ ๆ ใหม่ ๆ มันก็
ยุ่งยากหนักใจบ้างเป็นธรรมดา แต่กำหนดรู้
ไปนาน ๆ ก็จักเกิดความเคยชินเอง

ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น
รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน

17 สิงหาคม 2565

กฎของกรรม

️ผู้ถาม : "หลวงพ่อคะ หนูเคยอ่านเรื่องกฎของกรรมเรื่องหนึ่งคือ นายแดงเป็นคนเนรคุณพ่อแม่ และเคยทุบตีพ่อแม่ พอแกมีลูกออกมา ลูกก็มีอาการเหมือนกับพ่อค่ะ คงจะเป็นกฎของกรรมของนายแดง แต่หนูคิดว่าลูกของนายแดง จะต้องมีบาปเหมือนกันใช่ไหมคะ..?" 

️หลวงพ่อ : "ก็ไม่ใช่บาป" 

️ผู้ถาม : "แล้วกฎของกรรม จะบันดาลให้เป็นอย่างไรคะ..?" 

️หลวงพ่อ : "นายแดงเป็นคนอกตัญญู ไม่รู้คุณพ่อแม่ ตีพ่อตีแม่ นายแดงก็เป็นคนมีจิตเลว ฉะนั้น...เด็กที่จะต้องมาเกิดด้วยก็ต้องเป็นเด็กเลวๆ มาเกิด คือว่าเด็กที่จะมาเกิดร่วมกันส่วนใหญ่ จะต้องมีศรัทธาเสมอกัน มีจาคะเสมอกัน มีปัญญาเสมอกัน มีศีลเสมอกัน เสมอกับพ่อแม่ จึงจะสู่ครรภ์เข้าในตระกูลนั้นได้ 

.... แต่ว่าไอ้กรรมที่เป็นอกุศลย่อมให้ผลต่างวาระ บางทีตอนเป็นเด็กๆ แกดี ตอนโตอาจเลวไปชั่วขณะหนึ่งก็ได้ หมายความว่ากรรมที่เป็นอกุศลเดิมเข้ามาสิงจิตในช่วงกลางนะ และในช่วงหนึ่งของชีวิต เขาอาจจะมีดีในตอนปลายมือก็ได้ เพราะว่าตอนต้นพ่อเลวแม่เลว แต่เขาอาจมีดีอยู่ เป็นเพราะช่วงของกรรมเขาเกิดมาในช่วงนั้น กรรมที่เป็นอกุศลมันให้ผลไปก่อน แต่ว่ากรรมที่เป็นกุศล คือความดีมันอาจจะมาทีหลัง" 

️ผู้ถาม : "อย่างนั้นพระองคุลิมาล ที่ต้องเป็นโจรฆ่าคนเอานิ้วมือ ก็คงเป็นกฎของกรรมใช่ไหมคะ..?" 

หลวงพ่อ : "อันนี้ก็เป็นกฎของกรรม คือถอยหลังจากชาตินี้ไป ๑ ชาติ ก่อนที่จะเกิดมาเป็นคน ท่านเกิดเป็นควายป่า ภายหลังถูกฆ่า คนทั้งหมดมีพันคนเศษ ที่ร่วมกันตีให้ตาย พอตีลงไปแล้วก่อนจะสิ้นใจแกก็ลืมตาดู "ไอ้พวกนี้มันมาก กูคนเดียวมึงรุมฆ่ากู ถ้าชาติหน้ามีจริง...กูก็ขอฆ่ามึงบ้าง" นี่เป็นเวรที่จองกันไว้ 

... พอเกิดมาอีกชาติหนึ่ง พ่อตั้งชื่อให้ว่า "อหิงสกกุมาร" แปลว่ากุมารผู้ไม่เบียดเบียน พอเกิดมาแล้วสติปัญญาดีท่านเป็นคนดีมาก ต่อมาพ่อส่งไปเรียนศิลปวิทยา ภายหลังเพราะความดีของท่าน ถูกลูกศิษย์ด้วยกันกลั่นแกล้ง ยุยงให้อาจารย์ออกอุบายให้ไปเรียน "วิษณุมนต์" แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องยกครูก่อน โดยจะต้องฆ่าคนให้ได้ถึงพันคน จึงจะเรียนได้ 

.... ท่านก็เลยตกลงยกครู โดยการไล่ฆ่าคน ฆ่าได้ ๑ คนก็เอานิ้ว ๑ นิ้ว แต่ว่าคู่ปรับยังมีอีกคนเดียว ถ้าได้อีกนิ้วเดียวก็ครบคู่ปรับพอดี และคู่ปรับที่ต้องจะฆ่าก็คือแม่ 

.... สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทราบว่า ถ้าอหิงสกกุมารฆ่าแม่ จัดเป็นอนันตริยกรรม มรรคผลจะไม่ได้เลย ท่านทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ ต้องการว่าคนที่จะดีก็ขอให้ดีต่อไป ไม่ให้ความชั่วเข้ามาทับถม จึงเสด็จไปโปรด 

....เพราะกรรมที่เป็นกุศลเดิมให้ผล ท่านจึงรู้สึกตัววิ่งเข้าไปกราบพระพุทธเจ้า ภายหลังท่านก็ขอบวช แล้วก็ได้เป็นอรหันต์"

จาก : หนังสือหลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๓ หน้า ๕๔-๕๕ โดย...หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

16 สิงหาคม 2565

การเจริญพระกรรมฐาน

อันดับแรก ให้ทุกคนกำหนดรู้ลมหายใจเข้า ออก 
เวลาหายใจเข้า รู้อยู่หายใจเข้า 
เวลาหายใจออก รู้อยู่หายใจออก 

การภาวนาไม่จำกัด 
ใครจะภาวนาว่าอย่างไร ก็ไม่เป็นไร ตามถนัด

แต่ว่าก่อนภาวนา ให้นึกถึงพระพุทธเจ้าก่อน
ถือเป็น พุทธานุสสติ 
เวลาภาวนาจะใช้เวลาไหนบ้าง ก็ตามชอบใจ

ถ้าเวลาอื่นไม่มี ก่อนนอนอย่าลืม 
ถ้าศีรษะถึงหมอน ภาวนาพุทโธ ทันที 

นึกถึงภาพพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่ง 
ที่เราชอบคิด ว่าองค์นี้คือ พระพุทธเจ้า 

แล้วก็ภาวนา 
อาจจะภาวนา "พุทโธ"

หายใจเข้านึกว่า "พุท" 
หายใจออกนึกว่า "โธ" 
สัก ๒-๓ ครั้ง ก็ได้ตามความพอใจ 
มากก็ได้น้อยก็ได้ แล้วก็หลับไป

พอตื่นขึ้นมาใหม่ๆ 
ก็นึกถึงพระพุทธรูปองค์นั้นอีก

แล้วก็ภาวนาว่า "พุทโธ" อีก 

ทำอย่างนี้ทุกวัน 
จนกระทั่งวันไหน ถ้าเราไม่มีโอกาสจะทำ วันนั้นรำคาญ 
ต้องทำเป็นอารมณ์ชิน 

อย่างนี้ ถือว่า ทรงฌานในพุทธานุสสติกรรมฐานแล้ว
 
แม้ศีลมันจะขาดมันจะบกพร่องบ้าง 
ถึงยังไงก็ตาม ตายแล้วต้องไปสวรรค์แน่นอน

ญาติโยมพุทธบริษัท
บางท่านที่ไม่สามารถจะรักษาศีล ๕ ได้ครบถ้วน
ก็ให้จับอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง 

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง

หนึ่ง พุทธานุสสติกรรมฐาน อย่าทิ้งพระพุทธเจ้า

และประการที่สอง ให้จับอารมณ์ สังฆทาน 
มีภาพแบบไหน มีอะไรบ้าง 
ว่าเราเคยถวายสังฆทานแล้วในชีวิตนี้ 
จับอารมณ์ให้ทรงตัว

ส่วนนี้เป็นส่วนหนึ่ง ที่พาท่านไปนิพพานได้โดยง่ายเหมือนกัน

และจงอย่าลืมคิดตามความเป็นจริง 
ตามอริยสัจว่า

การเกิดมันเป็นทุกข์ 
ความแก่เป็นทุกข์ 
ความป่วยไข้ไม่สบายเป็นทุกข์ 
ความพลัดพรากจากของรัก ของชอบใจเป็นทุกข์ 
ความตายเป็นทุกข์ 

ถ้าเราจะเกิดอย่างนี้ อีกกี่ชาติ ก็จะมีทุกข์อย่างนี้

เมื่อเวลาใกล้จะตาย จิตอย่าลืมนิพพาน 
ต้องยึดไว้ทุกวัน

นิพพานนี้ นึกให้เป็นอารมณ์ไปจนชิน

ตัวนึกว่า ถ้าตายจาก โลกนี้เมื่อไหร่
ขอไปนิพพานเมื่อนั้น ให้จิตเป็นฌาน 

ที่ เรียกว่า อุปสมานุสสติกรรมฐาน 

อย่างนี้ทุกคนจะไม่พลาดนิพพาน

หลวงพ่อพระราชพรหมยาน 
(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง)

🙏🙏🙏🙏🙏🙏🙏🙏🙏🙏🙏🙏🙏🙏🙏🙏🙏

"ตอนเช้ามืด ไม่ต้องภาวนาก็ได้ 
ตั้งจิตไปเลย 
นึกถึงพระพุทธเจ้า 
นึกถึงพระธรรม 
นึกถึงพระอริยสงฆ์ 
พรหมและเทวดาทั้งหมด ตลอดจนท่านผู้มีคุณ 
ขอจงเป็นพยานแก่ข้าพเจ้า 
ข้าพระพุทธเจ้าทำทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำมาแล้วทั้งหมด 
หรือจะทำในกาลข้างหน้าก็ตาม 
ไม่ต้องการอย่างอื่น ต้องการอย่างเดียวคือพระนิพพาน 
จิตจับพระนิพพานเป็นอารมณ์ เพียงเท่านี้แหละ"

หลวงพ่อพระราชพรหมยาน 
(หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ วัดท่าซุง)

จากหนังสือ หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๔ หน้า ๑๐๑-๑๐๔

เวสารัชชกรณธรรม


    เวสารัชชกรณธรรม คือ ธรรมทำความกล้าหาญ ๕ อย่าง ถ้ามีอารมณ์ ๕ อย่างนี้ประจำใจ ท่านผู้นั้นเป็นคนที่มีความกล้า กล้าไปสวรรค์ กล้าไปพรหม กล้าไปนิพพาน นี่กล้าดี ๕ อย่าง
  ๑. ศรัทธา เชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อ
  ๒. ศีล รักษากายวาจาใจให้เรียบร้อย ด้วยอำนาจของสติสัมปชัญญะ และปัญญา
  ๓. พาหุสัจจะ ศึกษาให้มาก ทำความเข้าใจให้ดี ให้มีความฉลาดในด้านสัญญา (อย่าเมาความรู้จากตำรา)
  ๔. วิริยารัมภะ ปรารภความเพียร ทำลายความชั่วให้พังไปให้หมด ไม่ให้เหลือ รักษาความดีเข้าไว้ จำพระบาลีให้ดีว่า "วิริเยนะ ทุกขะ มัจเจติ" เราจะล่วงทุกข์ได้เพราะความเพียร "วายะเมเถวะ ปุริโส" เป็นบุรุษต้องพยายามร่ำไป พยายามละชั่ว ประพฤติดี
  ๕. ปัญญา รอบรู้ในสิ่งที่ควรรู้ แต่ว่าควรรู้ทุกข์อย่าง ใช้ปัญญารู้ ทั้งดีและชั่ว จะได้มีทางหลีกเลี่ยง จะได้หนีมัน

หนังสือ พ่อสอนลูก หน้า ๓๓๖-๓๓๗

13 สิงหาคม 2565

ทางปฏิบัติที่ง่ายที่สุด


    ทีนี้วิธีปฏิบัติ ถ้าแบบฉันนะ ก็หาทางปฏิบัติแบบที่ง่ายที่สุด แบบต้นอาจจะยากสักหน่อย ตอนต้น ก็ขึ้นต้นมาเมื่อกี้นี้ว่า นึกถึงความตายไว้ว่า... 
"ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง สักวันหนึ่งข้างหน้าเราต้องตายแน่"
    แต่ก่อนที่เราจะตาย เราจะพร้อมหาทรัพย์สมบัติไว้      ☆☆ถ้าเราอยากเป็นคนรวย...เราก็ให้ทาน
☆☆อยากเป็นคนสวย...ก็รักษาศีล
☆☆อยากเป็นคนมีปัญญาดี...ก็เจริญวิปัสสนาญาณ
ง่ายๆ ไม่ยากนะ เราก็เตือนตัวเราไว้
    ประการที่ ๒ เราก็ตั้งใจยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์
    ประการที่ ๓ มีศีล ๕ บริสุทธิ์ หรือมีกรรมบถ ๑๐ บริสุทธิ์ ก็ได้ ๒ อย่าง
  เมื่อทำใจได้อย่างนี้ ตามบาลีท่านบอกว่า คนนั้นเป็นพระโสดาบัน ตามแบบหนังสือนั้นมี หนังสือที่แจกไปวันนี้นะ ถ้าเป็นพระโสดาบันแล้ว ทีนี้การปฏิบัติหลังจากเป็นพระโสดาบัน เขาทำคนละอย่าง มันมี ๒ แบบ **หนึ่ง บางท่านรักษาระเบียบ หรือว่ากำลังใจอ่อน ก็ต้องไต่เต้าไปหาพระสกิทาคามี เมื่อเป็นพระสกิทาคามีแล้ว ก็ต้องการเป็นพระอนาคามี และต้องการเป็นพระอรหันต์ 
**สอง สำหรับท่านที่มีกำลังแน่วแน่ กำลังใจสูง มีความเด็ดเดี่ยวมาก ก็มุ่งอรหันต์ทันที ให้ไปมุ่งหาอรหันต์เลย
    เขาทำกันอย่างไรเมื่อเป็นพระโสดาบันแล้ว หลังจากนั้นก็คิดตามความเป็นจริงว่า...
    "ความทุกข์ทั้งหลายที่มีกับเราเพราะอาศัยความเกิดเป็นเหตุ อาศัยร่างกายเป็นเหตุ ถ้าเราไม่มีร่างกาย เราไม่เกิดมีร่างกายอย่างนี้ เราก็ไม่ทุกข์ ทุกข์จากความหิว เพราะอาศัยร่างกาย ความกระหายที่เกิดขึ้นเพราะอาศัยร่างกาย ความป่วยไข้ไม่สบายเกิดขึ้นก็เพราะอาศัยร่างกาย ความแก่มีขึ้นก็เพราะอาศัยมีร่างกาย ความพลัดพรากจากของรักของชอบใจก็เพราะอาศัยร่างกาย ความตายเข้ามาถึงก็เพราะอาศัยร่างกาย"
    ก็รวมความว่า ไอ้ทุกข์ทั้งหมดที่เรามีอยู่น่ะอาศัยร่างกายตัวเดียว ถ้าเราไม่มีร่างกายอย่างนี้ความแก่มันก็ไม่มี ความป่วยก็ไม่มี ขึ้นชื่อว่าขันธ์ ๕ จะเป็นร่างกายคนร่างกายสัตว์ มีสภาพเหมือนกัน มันเป็นปัจจัยเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ แล้วก็ตัดสินใจว่า นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เราจะเป็นคนไม่มีทุกข์เพราะร่างกาย ก็ตัดกิเลส ๒ ตัว ไอ้กิเลส ๒ ตัวนี่รวมเข้าท่านเรียก อวิชชา 
ตัวที่ ๑ คือ ฉันทะ , ตัวที่ ๒ คือ ราคะ
**ฉันทะ แปลว่าความพอใจ เราจะไม่มีความพอใจในการเกิดเป็นมนุษย์ เป็นเทวดา หรือเป็นพรหม เราต้องการนิพพาน
**ราคะ เราจะไม่มองเห็นว่ามนุษยโลกเป็นดินแดนที่สวยสดงดงามมีความน่าอยู่ จะไม่คิดว่าเมืองเทวดา หรือเมืองพรหมสวยงามน่าอยู่
    ดินแดนทั้ง ๓ ประการนี้ ความจริงไม่มีดินแดนไหนมีความสุขจริง เทวดา นางฟ้า หรือพรหม มีความสุขก็จริงแหล่ แต่ว่าไม่ช้าก็ต้องลงมาเกิดใหม่ พวกเราทั้งหลายที่นั่งอยู่ทั้งหมดก็เคยเป็นเทวดา เคยเป็นนางฟ้า เคยเป็นพรหมกันมาแล้ว แต่เมื่อหมดบุญวาสนาบารมีก็ต้องกลับมาเกิดใหม่ เป็นทุกข์อย่างนี้ เราไม่ต้องการ เราต้องการพระนิพพาน หลังจากนั้นก็จับอารมณ์คิดว่า ร่างกายนี้มันไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา การตัดกิเลสเขาตัดตัวเดียวตัวนี้นะ ทั้ง ๑๐ ตัวนี่ตัดตัวเดียว อีก ๙ ตัวไม่จำเป็นต้องตัด
    เดี๋ยวมันอยากน้ำ คอแห้ง ขอตังค์ห้าแสนเขาไม่ให้ คอแห้ง (หัวเราะ) การตัดกิเลสก็ตัดตัวแรก คือ สักกายทิฏฐิ ค่อยๆ หาความรู้สึกให้เกิดขึ้นว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ถ้าร่างกายเป็นของเราจริง เราไม่ต้องการความแก่ ร่างกายต้องไม่แก่ เราไม่ต้องการความป่วย ร่างกายต้องไม่ป่วย เราไม่ต้องการความตาย ร่างกายต้องไม่ตาย เพราะมันเป็นของเรา เราบังคับได้ ทีนี้ร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราบังคับมันไม่ได้ เมื่อเวลาที่เราตาย เราไปนรก ร่างกายไม่ได้ไปด้วย

หนังสือ ธรรมปฏิบัติ ๖๙ (พระราชพรหมยาน) 
หน้า ๘๙-๙๒

12 สิงหาคม 2565

ตั้งจิตไปนิพพาน

คนที่ตาย ที่เขาไปนรก ไปสวรรค์ ไปพรหมโลก ไปนิพพาน เขาเอาอะไรไป เอาตัวไปรึเปล่า ไอ้ที่ไปนี่คือจิตใช่ไหม ถ้าใจของเรายึดหัวหาดคืออารมณ์ของพระโสดาบันไว้ได้ มันตั้งตรงเฉพาะพระนิพพานนี่ 
จิตมันตั้งไว้แล้วว่าจะไปพระนิพพาน แล้วก็รู้แล้วว่าเวลาที่จะไปจริงๆ เอาจิตไป ทีนี้เวลาตายจริงๆ มันก็ไปนิพพานเลย 

   📖 หนังสือ พ่อสอนลูก (พระราชพรหมยาน)
หน้า ๒๖๖-๒๖๗

12 สิงหาคม วันแม่แห่งชาติ

คำว่าการให้เกิด..ไม่มีบุญอันใดที่จะมากเท่าด้วยการตอบแทนตามกำลังของเรา ดังนั้น โยมอย่าได้ท้อแท้หรือน้อยอกน้อยใจในคุณบิดามารดาผู้ให้กำเนิด ถึงแม้เขาไม่ได้เลี้ยงดูเรามาก็ตาม แม้ไม่เห็นหน้าก็ตาม.. 

อย่าลืมเมื่อเราเกิดแล้วมีชีวิตมีกายสังขารแล้ว นั่นแหล่ะจ้ะ..เขาให้ทุกสิ่งให้กับเรามาแล้ว ถ้าโยมได้บรรลุธรรมเล่าจ๊ะ บรรลุถึงความดีเล่าจ๊ะ ถ้าไม่มีท่านบุคคลผู้นั้นโยมจะมีมั้ยจ๊ะ ทุกอย่างที่โยมมี..โยมก็มีไม่ได้เช่นกัน

ถ้าอย่างนั้นโยมอย่าถามหาอะไร ว่าท่านนั้นไม่ได้เลี้ยงดูเรามา..ไม่จริง ชาตินี้ไม่เลี้ยงดูมา..ชาติก่อนเขาเลี้ยงมาแล้ว ที่เขาไม่เลี้ยงดูเราเพราะบุญเขาอาจไม่ถึงเรา เข้าใจมั้ยจ๊ะ ถ้าเขาเลี้ยงดูเราต่างคนต้องต่างตายไปคนหนึ่ง ทีนี้ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างมีชีวิตรอด แล้วเมื่อถึงเวลาก็จะพบกันเอง เข้าใจมั้ยจ๊ะ

ดังนั้นโยมมีหน้าที่ตอบแทนอย่างเดียว ไม่มีสิทธิ์มีข้อแม้ แต่ถ้าโยมมีอคติในใจเสียแล้ว..เป็นอกุศล ขอให้โยมจงน้อมจิตน้อมใจด้วยอำนาจแห่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระรัตนตรัยขอขมาด้วยกายวาจาใจของเราได้ล่วงเกินในคุณบิดามารดาผู้ให้กำเนิดที่มีคุณทั้งหลายไม่ว่าจะเกิดอีกกี่ภพกี่ชาติกี่ร้อยกี่พันชาติทั้งหลายที่ท่านได้เกิดมา ให้เราได้กำเนิด เลี้ยงดูมาแล้วในคุณไม่มีอะไรประมาณแล้ว

ข้าพเจ้าลูกคนนี้ ขอน้อมกราบแทบเท้า ต่อบิดามารดาผู้นั้น ด้วยกาย วาจา ใจที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ข้าพเจ้าขอขมากรรม ขอให้บิดามารดาเมื่อรับรู้แล้วจงอโหสิกรรมให้ลูกผู้นี้ ขออำนาจแห่งพระรัตนตรัยจงอดอาฆาตพยาบาท อย่าได้มีเวรภัยกับข้าพเจ้าเลย

ขอบุญกุศลข้าพเจ้าที่ได้มาเจริญกรรมฐานเจริญทานศีลภาวนานี้ที่สำเร็จเกิดขึ้นนี้แล้ว จงดลบันดาลให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้น แม้จะอยู่ก็ดี ไม่มีชีวิตอยู่ก็ดี เสวยสุขอยู่ก็ดี เสวยทุกข์อยู่ก็ดีขอให้พ้นทุกข์พ้นภัย อยู่ในภพภูมิที่ดี จงมีแต่ความสุขความเจริญ สบายจิตสบายใจ ตลอดชั่วกาลและนานเทอญ โยมเคยทำไมเล่าจ๊ะแบบนี้ โยมเคยน้อมระลึกถึงแบบนี้มั้ยจ๊ะ..

มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต

ติดตามข้อมูลข่าวสารกิจกรรมของมูลนิธิได้ทาง https://www.facebook.com/mprs.foundation
ติดตาม คลิปธรรมะได้ทาง YouTube channel : ธรรมะมหัศจรรย์ ตามรอยธรรมสมเด็จโต

อริยสัจ 4 และมรรคแปด

ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ห่างไกลจากกิเลสตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาค ทรงตรัส...