13 สิงหาคม 2565

ทางปฏิบัติที่ง่ายที่สุด


    ทีนี้วิธีปฏิบัติ ถ้าแบบฉันนะ ก็หาทางปฏิบัติแบบที่ง่ายที่สุด แบบต้นอาจจะยากสักหน่อย ตอนต้น ก็ขึ้นต้นมาเมื่อกี้นี้ว่า นึกถึงความตายไว้ว่า... 
"ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง สักวันหนึ่งข้างหน้าเราต้องตายแน่"
    แต่ก่อนที่เราจะตาย เราจะพร้อมหาทรัพย์สมบัติไว้      ☆☆ถ้าเราอยากเป็นคนรวย...เราก็ให้ทาน
☆☆อยากเป็นคนสวย...ก็รักษาศีล
☆☆อยากเป็นคนมีปัญญาดี...ก็เจริญวิปัสสนาญาณ
ง่ายๆ ไม่ยากนะ เราก็เตือนตัวเราไว้
    ประการที่ ๒ เราก็ตั้งใจยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์
    ประการที่ ๓ มีศีล ๕ บริสุทธิ์ หรือมีกรรมบถ ๑๐ บริสุทธิ์ ก็ได้ ๒ อย่าง
  เมื่อทำใจได้อย่างนี้ ตามบาลีท่านบอกว่า คนนั้นเป็นพระโสดาบัน ตามแบบหนังสือนั้นมี หนังสือที่แจกไปวันนี้นะ ถ้าเป็นพระโสดาบันแล้ว ทีนี้การปฏิบัติหลังจากเป็นพระโสดาบัน เขาทำคนละอย่าง มันมี ๒ แบบ **หนึ่ง บางท่านรักษาระเบียบ หรือว่ากำลังใจอ่อน ก็ต้องไต่เต้าไปหาพระสกิทาคามี เมื่อเป็นพระสกิทาคามีแล้ว ก็ต้องการเป็นพระอนาคามี และต้องการเป็นพระอรหันต์ 
**สอง สำหรับท่านที่มีกำลังแน่วแน่ กำลังใจสูง มีความเด็ดเดี่ยวมาก ก็มุ่งอรหันต์ทันที ให้ไปมุ่งหาอรหันต์เลย
    เขาทำกันอย่างไรเมื่อเป็นพระโสดาบันแล้ว หลังจากนั้นก็คิดตามความเป็นจริงว่า...
    "ความทุกข์ทั้งหลายที่มีกับเราเพราะอาศัยความเกิดเป็นเหตุ อาศัยร่างกายเป็นเหตุ ถ้าเราไม่มีร่างกาย เราไม่เกิดมีร่างกายอย่างนี้ เราก็ไม่ทุกข์ ทุกข์จากความหิว เพราะอาศัยร่างกาย ความกระหายที่เกิดขึ้นเพราะอาศัยร่างกาย ความป่วยไข้ไม่สบายเกิดขึ้นก็เพราะอาศัยร่างกาย ความแก่มีขึ้นก็เพราะอาศัยมีร่างกาย ความพลัดพรากจากของรักของชอบใจก็เพราะอาศัยร่างกาย ความตายเข้ามาถึงก็เพราะอาศัยร่างกาย"
    ก็รวมความว่า ไอ้ทุกข์ทั้งหมดที่เรามีอยู่น่ะอาศัยร่างกายตัวเดียว ถ้าเราไม่มีร่างกายอย่างนี้ความแก่มันก็ไม่มี ความป่วยก็ไม่มี ขึ้นชื่อว่าขันธ์ ๕ จะเป็นร่างกายคนร่างกายสัตว์ มีสภาพเหมือนกัน มันเป็นปัจจัยเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ แล้วก็ตัดสินใจว่า นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เราจะเป็นคนไม่มีทุกข์เพราะร่างกาย ก็ตัดกิเลส ๒ ตัว ไอ้กิเลส ๒ ตัวนี่รวมเข้าท่านเรียก อวิชชา 
ตัวที่ ๑ คือ ฉันทะ , ตัวที่ ๒ คือ ราคะ
**ฉันทะ แปลว่าความพอใจ เราจะไม่มีความพอใจในการเกิดเป็นมนุษย์ เป็นเทวดา หรือเป็นพรหม เราต้องการนิพพาน
**ราคะ เราจะไม่มองเห็นว่ามนุษยโลกเป็นดินแดนที่สวยสดงดงามมีความน่าอยู่ จะไม่คิดว่าเมืองเทวดา หรือเมืองพรหมสวยงามน่าอยู่
    ดินแดนทั้ง ๓ ประการนี้ ความจริงไม่มีดินแดนไหนมีความสุขจริง เทวดา นางฟ้า หรือพรหม มีความสุขก็จริงแหล่ แต่ว่าไม่ช้าก็ต้องลงมาเกิดใหม่ พวกเราทั้งหลายที่นั่งอยู่ทั้งหมดก็เคยเป็นเทวดา เคยเป็นนางฟ้า เคยเป็นพรหมกันมาแล้ว แต่เมื่อหมดบุญวาสนาบารมีก็ต้องกลับมาเกิดใหม่ เป็นทุกข์อย่างนี้ เราไม่ต้องการ เราต้องการพระนิพพาน หลังจากนั้นก็จับอารมณ์คิดว่า ร่างกายนี้มันไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา การตัดกิเลสเขาตัดตัวเดียวตัวนี้นะ ทั้ง ๑๐ ตัวนี่ตัดตัวเดียว อีก ๙ ตัวไม่จำเป็นต้องตัด
    เดี๋ยวมันอยากน้ำ คอแห้ง ขอตังค์ห้าแสนเขาไม่ให้ คอแห้ง (หัวเราะ) การตัดกิเลสก็ตัดตัวแรก คือ สักกายทิฏฐิ ค่อยๆ หาความรู้สึกให้เกิดขึ้นว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ถ้าร่างกายเป็นของเราจริง เราไม่ต้องการความแก่ ร่างกายต้องไม่แก่ เราไม่ต้องการความป่วย ร่างกายต้องไม่ป่วย เราไม่ต้องการความตาย ร่างกายต้องไม่ตาย เพราะมันเป็นของเรา เราบังคับได้ ทีนี้ร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราบังคับมันไม่ได้ เมื่อเวลาที่เราตาย เราไปนรก ร่างกายไม่ได้ไปด้วย

หนังสือ ธรรมปฏิบัติ ๖๙ (พระราชพรหมยาน) 
หน้า ๘๙-๙๒

ไม่มีความคิดเห็น:

อริยสัจ 4 และมรรคแปด

ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ห่างไกลจากกิเลสตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาค ทรงตรัส...