24 มีนาคม 2561

ช่องทางปัญญาแห่งการบรรลุธรรม....

>>  คำถาม  :  ขอกราบเรียนถามพระคุณเจ้าครับ...ตามที่เล่าเรียนมาปัญญาเกิดได้ สามทาง

ปัญญาเกิดจากการฟังเล่าเรียน

ปัญญาเกิดจากการคิดค้นตรึกตรอง

ปัญญาที่เกิดจากการภาวนา

ผมสงสัยว่าตัวปัญญาที่จะใช้ในการตัดอาสวะกิเลสได้ตัวไหนคือพระเอกครับ  หมายความว่าถ้าไม่มีตัวนี้..กิเลสยังคงอยู่...เพราะเกิดความขัดแย้งทางความคิดครับว่า ในสมัยพระพุทธกาลพระสาวกของท่านแต่ละองค์ใช้เวลาในการบรรลุธรรมขั้นต้นถึงขั้นสูงสุดในเวลาที่น้อยมาก....บางท่านมือถือดาบเปื้อนเลือดอยู่แท้ๆ...ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าแค่คำครั้งเดียว..ทิ้งดาบออกบวชเลยและไม่นานก็สำเร็จ...

เมื่อเทียบกับประวัติพระอรหันต์..ต่างในยุคปัจจุบัน..แต่ละท่านต้องปฏิบัติอย่างโชคโชนแบบถวายชีวิตและใช้เวลาไม่ต่ำกว่า10-15 ปีตามประวัติของท่านครับ....

ผมเลยเกิดความสงสัยถึงตัวปัญญาทั้งสามตัวว่ามันต้องมีทั้งสามตัวหรือไม่ในการตัดกิเลสหรือตัวใดตัวหนึ่งครับ....เพราะมิฉะนั้นมันจะกลายเป็นวิปัสะนึก...คือนึกเอาเพราะมันคาบเกี่ยวกับปัญญาตัวที่สอง..ขอบพระคุณครับ

<<  พระอาจารย์  :  ตอบ Meena Mana จะขยายธรรมที่สงสัยให้ฟัง

คำว่าปัญญานี้ ทั้งสามทางที่เกิด คือความเข้าใจในขณะนั้น อย่างที่ไม่เคยเข้าใจมาก่อน จึงเรียกว่า ปัญญา

เมื่อเกิดปัญญาแล้ว รู้แล้ว เข้าในแล้ว ในแต่ละเหตุนั้นๆ ทั้งจากที่อ่าน ที่ฟัง ที่ตรึกตรอง หรือ ภาวนา  รู้แล้วนั้น เป็นสัญญาอดีตทั้งหมด

อดีตสัญญานี้ เป็นปัญญาที่ผ่านไปแล้ว เราอาศัยสัญญานั้น สาวผลไปหาเหตุที่ลึก และละเอียด ลงไปได้อีก โดยไม่รู้จบ

อะไรที่เป็นสัญญาไปแล้ว ย่อมไม่ใช่ปัญญาที่เราคิดว่าเป็น    แต่เราใช้สัญญาที่เคยเป็นปัญญารู้แจ้งนั้น อบรมจิตโดยมีสติระลึกถึง ประคองใจเป็นเครื่องอยู่

คนสมัยโบราณ ท่านก็ไม่ต่างไปจากเรา ไม่ใช่ว่าคนโบราณ จะมีกิเลสน้อยกว่ายุคนี้ซะเมื่อไหร่

เพราะคนโบราณ ต่างก็มี นิสัยโลภ โกรธ หลง ไม่แตกต่างไปจากคนยุคนี้

ยุคก่อน เขาปล้นฆ่าชิงเมืองกันเลยทีเดียว ไม่พอใจก็ฆ่า อยากได้ก็ปล้น และหวงแหนในรูป และทรัพย์สมบัติของตน มันหนักยิ่งกว่าคนยุคนี้ซิไม่ว่า

ที่ท่านบรรลุธรรมกัน เกิดจากที่ท่านฟังแล้ว เข้าใจ แย้งไม่ได้ ไม่เคยรู้มาก่อน และเห็นจริงตามนั้น เริ่มตั้งแต่ขั้นศีล เรียกว่าเป็นอริยชนแล้ว คือเป็นผู้ประเสริฐ เรียกว่า พระโสดาบัน

มีปัญญาละเอียดขึ้น วางได้มากขึ้น มีความละอายใจต่อบาปสูงขึ้น เรียกว่า พระสกิทาคามี 

เมื่อเกิดปัญญาเห็นแจ้งในกายว่ามันสกปรก ไม่ได้น่าหลงใหลอะไรตรงไหน รวมทั้งวัตถุสิ่งของว่ามันสลายเป็นธรรมดา ปล่อยวางอารมณ์กระทบได้ นี่เรียกว่า พระอนาคามี

หากเห็นแจ้งประจักษ์ใจแทงตลอดทั้งสายแห่งธรรม คือธรรมดาในสรรพสิ่ง ว่าแท้จริง มันเป็นของมันเช่นนั้นเอง ที่เกิด เป็นเพราะมีเหตุปัจจัย ไม่ได้มีใคร มาบังคับบัญชามัน นี่ ปัญญาเช่นนี้ เรียกพระอรหันต์

สมัยก่อนเขาไม่ค่อยรู้ความจริงกัน เขาจึงอวดดี แต่พอรู้ความจริงว่า แท้จริงมันเป็นของมันเช่นนี้ เขาจึงวางอุปาทานที่ยึดมั่นไว้ เพราะมันเห็นความเป็นธรรม เช่นนั้นจริงๆ

ต่างจากยุคนี้ กาลมันผ่านมานาน เกิดสะสมสัญญาความรู้มาก สมัยก่อน เขารู้กันธรรมดา แต่เราเดี๋ยวนี้ มันดันรู้มาก มันมากซะจน แทบจะไม่รู้อะไรจริงๆ  กันเลย

ปัญญาทางการอ่านการฟัง เมื่อผัสสะแล้วเกิดปัญญา การอ่านต้อง อาศัยการตรึกตรอง และการภาวนาตาม การบรรลุจึงมีโอกาสเกิด    เพราะมีตัวตนทั้งดุ้น เข้าไปเป็นเจ้าของธรรมทั้งหลายที่ผัสสะ

บางท่าน ฟังแล้วบรรลุ ทั้งที่ไม่เคยอ่านและภาวนามา เหตุเพราะปัญญาเขามีภาชนะรองรับธรรมได้สูง แต่ก็ต้องตรึกตรองตาม นี่ก็เป็นอาการแห่งการภาวนาเช่นกัน

ส่วนการตรึกตรอง เป็นวิสัยของผู้ที่จะบรรลุปัญญาวิมุตติ ต้องอาศัย การอ่าน หรือการฟัง และมีการภาวนา นี่..จึงบรรลุมรรคผลได้

ส่วนการภาวนา คือเมื่ออ่านแล้ว ฟังแล้ว หรือตรึกตรองแล้ว ก็ยังไม่แตกฉาน จำเป็นต้อง มากระทำผลนั้น สาวไปหาเหตุ ด้วยการตรึกตรองและการฟัง การอ่านมากๆ เรียกว่า เป็นอาการของการภาวนา นี่..จึงบรรลุธรรมได้

การบรรลุธรรม บรรลุได้ทุกๆ  คน ที่ได้เกิดมา เพียงแต่ มันต้องอาศัยเหตุปัจจัยหลากหลาย ในแต่ละคน มันไม่เท่ากัน   เราจึงเข้าถึงความเป็นธรรม ไม่เท่ากันอีก

แม้ความเป็นพระอรหันต์ ก็ยังมีแยกย่อยกันออกไปมากหลาย ใช่ว่าจะรู้เห็นเหมือนๆ  กันทุกๆ  องค์  เพียงแต่สิ่งที่ไม่รู้เห็นในแต่ละองค์ ท่านก็เข้าใจในความไม่รู้ว่า มันก็เป็นของมัน เช่นนั้นเอง

ปัญญาที่ตัดอาสวะได้อย่างเด็ดขาด   คือปัญญาทั้งสามทางนี้ที่ถามมานั้นแหละ  อ่านฟังก็ตัดได้   ตรึกตรองคิดค้นก็ตัดได้    การภาวนาทั้งหลายก็ตัดได้

การตัดได้มันขึ้นอยู่กับกำลังบารมีของเจ้าของ  ว่ามีภูมิรองรับแค่ไหน   ส่วนสามทางที่ถามมานั้น เรียกว่า  เป็นช่องทางแห่งเครื่องมือในการเข้าถึง   การเข้าถึงของแต่ละคนย่อมใช้กำลังไม่เท่ากัน

บางคนฟังเล็กน้อย  ก็เข้าถึงความจริงเลย

บางคน  ต้องค้นคิดตรึกตรอง  จึงเห็นจริงตามนั้นจึงเข้าถึงได้

บางคนต้องภาวนา  ย้อนไปย้อนมาทุกกระบวนการ  จึงจะเข้าถึงความจริงได้

การเข้าถึงมันเกิดขึ้นจากกำลังสติปัญญา  ของแต่ละคนที่สร้างสมมา  ซึ่งก็มีไม่เท่ากัน  ส่วนช่องทางการเข้าถึง  มันเป็นจริตกำลังแห่งปัญญาของใครของมัน  ตัดสินตามช่องทางว่าใครดีกว่ากันนั้นไม่ได้

บางคนแค่ช่องใดช่องหนึ่ง  ก็เข้าถึง   บางคนต้องประกอบกัน  สองช่องทางจึงจะเข้าถึง  บางคนก็ต้องกระทำทั้งสามช่องทางเลย  จึงจะเข้าถึง  นี่..มันก็มีของมันมาอย่างนี้  ตามกำลังของสติปัญญาภูมิของเจ้าตัว...

วันนี้โม้มาหลายหน้าเพจ บ่ายแล้วจึงขอลาไปทำงานก่อน ขอสาธุคุณทุกท่านทั้งหลาย

พระธรรมเทศนา  จากบทธรรม เรื่อง  รู้ธรรมจริง .....ไม่จำเป็นต้องท่องจำ คำบาลี  ณ  วันที่  19  กรกฎาคม  2557  โดย  พระอาจารย์ธรรมกะ  บุญญพลัง

20 มีนาคม 2561

การบรรลุธรรม เข้าใจได้เฉพาะตน สาธุ

การประพฤติปฏิบัติธรรมโยมไม่ต้องไปคิดแสวงหาว่าฉันจะต้องบรรลุธรรมขั้นนั้นขั้นนี้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ เมื่อโยมทำไปแล้วมันจะบรรลุของมันเอง การ"บรรลุ"คือความเข้าใจ เข้าใจว่าเป็นอย่างนี้เช่นนี้คือสภาวะธรรมที่เกิดนั่นแลเรียกว่าบรรลุ..คือเข้าใจ ไม่ใช่ว่าบอกว่าบรรลุธรรมจะเรียกว่าสำเร็จธรรม..ไม่จริง เพราะความสำเร็จจับต้องไม่ได้  แต่จะรู้ได้เฉพาะตน ฉันถึงบอกว่าการบรรลุธรรมคือการเข้าใจในสภาวะธรรม

ดังนั้นขอให้โยมฝึกโดยที่ไม่ต้องไปอยากปรารถนาว่าจะต้องสำเร็จขั้นนั้นขั้นนี้ แต่ให้รู้โยมว่าโยมไปขั้นไหนแล้ว แต่อย่าไปยึดติดในขั้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ อย่าไปยึดติดในอารมณ์ เพราะสภาวะที่โยมไปยึดแม้ขณะจิตเดียวก็ตาม..ความไม่ได้ดั่งใจมันก็จะบังเกิด ความคับแค้นใจมันก็จะบังเกิด นั่นเรียกว่าทำให้จิตมันเป็นทุกข์ จิตเมื่อเป็นทุกข์แล้วย่อมจะเกิดอุปาทานแห่งจิต เข้าใจมั้ยจ๊ะ เรารู้แล้วเราต้องวาง..

นั้นเมื่อโยมอยากพายเรือไปในยามราตรี มันต้องมีกำลังถึงสองเท่า เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะความไม่เคยชินหนึ่ง ความลังเลสงสัยหนึ่ง ความกลัวหนึ่ง เข้าใจมั้ยจ๊ะ นั้นโยมต้องทำให้มันชิน กลางคืนกลางวันมันเป็นอย่างไร..กลางวันกลางคืนมันก็เป็นเช่นนั้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ ใจต่างหากที่เรานั้นไม่เป็นปกติ ถ้าเราทำให้เป็นปกติแล้ว เป็นอารมณ์เดียวกัน จึงไม่มีกลางวันและกลางคืนจิตเมื่อเราสว่างนั้นแลความกลัวมันก็จักหายไปเอง

ทำยังไงให้จิตสว่างให้มันตื่นรู้ เค้าบอกว่าให้ภาวนาบ่อยๆ เหมือนว่าเรากำลังจุดเทียนเล่มหนึ่ง แต่ว่าลมมันแรง จุดเท่าไรก็ไม่ติด บางคนจุดติดแล้วแต่ก็ดับ เพราะว่าเทียนมันชื้น ใช่มั้ยจ๊ะ นั้นโยมต้องไล่ลมเสียออกจากปอดเสียก่อน การไล่ลมนี้ไม่ต้องไปกำหนดรู้อะไร แค่กำหนดรู้ลม เอาสติไปไว้ที่ลมหายใจ ลมเข้ายาวๆลึกๆ ออกลึกๆยาวๆ จะทำให้จิตเรานั้นสว่างขึ้นมา อารมณ์ที่มันขุ่นมัวเศร้าหมองนั้นแลเค้าเรียกว่าพายุ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ฝึกได้แบบนี้บ่อยๆ ทุกครั้งที่เรามีสติ ทำให้มันชินทำให้มันเคย เข้าใจมั้ยจ๊ะ แม้จะตื่นนอนก็ทำได้ ก่อนนอนก็ควรทำ นี่เค้าเรียกว่ากักเก็บบุญกุศลไว้ เก็บพลังงานไว้

นั้นขอให้โยมจงภาวนาให้มาก เพราะการภาวนานี้จะทำให้โยมมีสติรู้ตัวอยู่ตลอดเวลาไม่มากก็น้อย ทำให้มันอยู่บ่อยๆ ภาวนาให้มันชิน เมื่อมันจะสงบองค์ภาวนามันจะหายไปเอง เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่ถ้าเราภาวนาไปแล้วไปติดองค์ภาวนาอีก ไม่ยอมหายไม่ยอมสดับไม่ยอมไปไหนเลย..ติดอยู่อย่างนั้น เราต้องภาวนาให้หนักเข้าไปอีก กำหนดลมเข้าไปใหม่ แล้วองค์ภาวนามันจะหายไป

เมื่อมันหายไปแล้วนั่นแลความสงบจะมาแทนที่มันเอง เข้าใจมั้ยจ๊ะ แล้วกำหนดสติลงไปใหม่ แล้วประคองความสงบไว้ เหมือนประคองเทียนที่เราจุดไว้ ไม่ให้ลมนั้นมาพัดอีก คือประคองให้จิตมันนิ่ง อย่าให้มันส่ายเซไปในอดีต หรือไปในอนาคต ในอนาคตนี้แลเค้าเรียกว่าโลกแห่งอีกมิติหนึ่ง ให้อยู่แต่ในอารมณ์ปัจจุบัน เราจะรักษาความสว่างความสงบไว้ได้

เมื่อความสว่างมันมีมากเพียงใดโยมจะเห็นทางอยู่ข้างหน้าคือแสงปัญญา เมื่อความกลัวสะดุ้งผวาไม่มีเกิดขึ้นแล้ว ศีลเราจะตั้งมั่นมั่นคงองอาจ เมื่อศีลเรามีตั้งมั่นมั่นคงดีแล้ว โดยธรรมชาติแห่งจิตตัวปัญญานั้นก็บังเกิด..ก็เกิดตัวรู้ แต่ตัวรู้นี้เราต้องน้อมนำมาพิจารณาเสียก่อนว่าเราไปรู้อะไร เมื่อเราไปรู้แล้ว เราไปพิจารณาตัวรู้แล้วนั่นแล เมื่อเราได้คำตอบนั่นก็คือปัญญา คือที่เราค้นหาของเราเองได้ ไม่ใช่ไปจำของใครเค้ามา เข้าใจมั้ยจ๊ะ..

ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๖๑
ณ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
      ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)

19 มีนาคม 2561

ความพอดี

๐ 
มัตตัญญุตา สทา สาธุ
ความรู้จักพอดียังประโยชน์ให้สำเร็จทุกเมื่อ
"...ครั้งนั้น พระโสณะ อยู่ที่ป่าสีตวัน ใกล้เมืองราชคฤห์ ท่านทำความเพียรเดินจงกรมจนเท้าแตก ก็ไม่อาจให้บรรลุมรรคผลได้ จึงคิดว่า “บรรดาสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าที่เป็นผู้ตั้งหน้าทำความเพียร มีความบากบั่นมั่นคง เราก็เป็นคนหนึ่ง ถึงกระนั้นจิตของเราก็หาหลุดพ้นจากอาสวะไม่ ตระกูลของเรามีโภคทรัพย์ที่จะใช้สอยเลี้ยงชีพให้เป็นสุขและทำความดีทั้งหลาย เราควรลาสิกขาไปใช้จ่ายโภคทรัพย์และทำความดีต่าง ๆ ”
พระผู้มีพระภาคทรงทราบความคิดของท่านพระโสณะ จึงเสด็จมาสนทนาด้วย เนื่องจากท่านพระโสณะ สมัยเมื่อเป็นคฤหัสถ์เป็นผู้ชำนาญในการดีดพิณ จึงตรัสถามเรื่องสายพิณว่าต้องขึงสายพิณแต่พอดี เสียงพิณจึงจะไพเราะ หย่อนเกินไปก็ไม่ดัง ตึงเกินไปก็สายขาด ใช่หรือไม่
เมื่อท่านพระโสณะ ทูลรับว่าจริงอย่างนั้นแล้ว ก็ตรัสสอนอุปไมยว่าความเพียรก็เหมือนกัน ถ้าหย่อนเกินไปก็จะเอียงไปทางเกียจคร้าน ถ้าตึงเกินไปก็จะฟุ้งซ่าน จึงควรทำความเพียรแต่พอดี
พระผู้มีพระภาคทรงโอวาทพระโสณะแล้วเสด็จไปยังภูเขาคิชฌกูฏ ฝ่ายพระโสณะทำความเพียรให้เสมอกันกับอินทรีย์ทั้งหลาย (คือ ศรัทธา สติ สมาธิ ปัญญา รวมวิริยะด้วยเป็นอินทรีย์ ๕) กล่าวคือทำ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญาให้พอ ๆ กัน ทำความเพียรไม่หย่อนเกิน ไม่ตึงเกิน ไม่นานนักก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์องค์หนึ่ง..."
- มิลินทปัญหา อธิบายโดย อาจารย์วศิน อินทสระ

15 มีนาคม 2561

เราไม่ใช่เรา เรียกว่า ธาตุ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ เท่านั้นเอง

ร่างกายนี้เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
"...ความเป็นจริงไม่มีอะไร ดินก็ดี น้ำก็ดี ลมก็ดี ไฟก็ดี ที่ประกอบกันเรียกว่ามนุษย์นี้ เป็นไปด้วยอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือเป็นของไม่แน่นอน เป็นของไม่ยั่งยืน เป็นของหมุนเวียนเปลี่ยนไปแปรไป อยู่อย่างนี้ ไม่ยั่งยืนอยู่กับที่ แม้แต่ว่าร่างกายของเราก็ไม่แน่ไม่นอน เคลื่อนไหวไปมาอยู่เสมอ เปลี่ยนไป ผมก็เปลี่ยนไป ขนก็เปลี่ยนไป หนังก็เปลี่ยนไป สารพัดอย่างมันเปลี่ยนไป เปลี่ยนไป เปลี่ยนไปหมด
จิตใจของเรานี้ก็เหมือนกัน มันก็ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไม่ใช่เราไม่ใช่เขา ที่คิดไปสารพัดอย่าง มันไม่แน่นอน บาทีคิดฆ่าตัวตายเลยก็ได้ บางทีคิดสุขก็ได้ บางทีคิดทุกข์ก็ได้ ถ้าเราไม่มีปัญญา เราก็ไปเชื่อจิตอันนี้ มันก็โกหกเราเรื่อยไป เป็นทุกข์บ้าง เป็นสุขบ้าง สลับซับซ้ อนกันไป
จิตนี้มันก็เป็นของไม่แน่นอน กายนี้ก็เป็นของไม่แน่นอน รวมแล้วเป็นอนิจจัง รวมแล้วเป็นทุกขัง รวมแล้วเป็นอนัตตา สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ พระบรมครูของเราท่านว่า ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา เรียกว่า ธาตุ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ เท่านั้นเอง
เอาจิตของเราพิจารณาลงไปให้มันเห็นชัด เมื่อมันเห็นชัดแล้วอุปาทานที่ถือว่า เราสวยบ้าง เรางามบ้าง เราดีบ้าง เราชั่วบ้าง เรามีบ้าง เราอะไรๆหลายอย่าง มันก็ถอนไป ถอนไปเห็นสภาวะอันเดียวกัน เห็นมนุษย์สัตว์ทั้งหลายเป็นอันเดียวกัน เห็นไทยเป็นอันเดียวกันกับฝรั่ง เห็นฝรั่งเป็นอันเดียวกันกับไทย เมื่อจิตเราเห็นเช่นนี้ มันก็ถอนอุปาทานความยึดมั่นออกจากจิตใจของเรา..."
โอวาทธรรมคำสอน..
องค์หลวงพ่อชา สุภัทโท
วัดหนองป่าพง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี

14 มีนาคม 2561

นักวิจัยตะลึง! หลังพบซากมัมมี่ เป็นมนุษย์ต่างดาว

นักวิจัยตะลึง! หลังพบซากมัมมี่ ที่อาจเป็นมนุษย์ต่างดาว หรือมนุษย์หุ่นยนตร์ชีวภาพ

12 มี.ค.สำนักข่าวเดลี่ มิรเรอร์รายงานข่าว พบโครงกระดูกมนุษย์มัมมี่ผู้หญิง ข้างๆกับมัมมี่เด็ก ล่าสุดทีมสำรวจเปิดเผยว่าโครงกระดูกนี้ไม่ใช่ของมนุษย์..

Image: Gaia /Youtube นักสำรวจพบโครงกระดูกลึกลับ มีนิ้วมือสามนิ้วและนิ้วเท้าสามนิ้ว ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่า นี่อาจจะเป็นการค้นพบเอเลี่ยน ที่มีลักษณะทางกายภาพคล้ายคลึงกับมนุษย์

Image: Gaia /Youtube ทีมวิจัยกล่าวว่า ซากมัมมี่ลึกลับนี้มีชื่อว่า ‘มาเรีย’ ถูกพบในประเทศเปรู ข้างๆกันพบมัมมี่เด็กอายุ 9 เดือน
ขั้นแรกผลการสำรวจเปิดเผยว่า มัมมี่มาเรียน่าจะเป็นซากศพของมนุษย์ เพราะมีโครโมโซมจำนวน 23 คู่ แต่ขณะเดียวกันก็พบหลายสิ่งหลายอย่างที่ขัดแย้ง แสดงความน่าสงสัยว่าเธออาจไม่ใช่มนุษย์

Image: Gaia /Youtube ศาสตราจารย์ คอนสแตนติ โครอตโคฟ จากมหาวิทยาลัยวิจัยนานาชาติรัสเซีย กล่าวว่า ก่อนหน้านี้เขาเคยเห็นมัมมี่ผู้ชายอายุกว่า 6,500 ปีจำนวน 4 คน ในประเทศเปรู ที่ถูกพบโดยเพื่อนร่วมงานของเขา
เขาให้สัมภาษณ์กับสปุกนิก นิวส์ ของรัสเซียว่า “มัมมี่มาเรียมี 2 แขน 2 ขา บนศรีษะมี 2 ตา และ1ปาก เครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์แบบ 3 มิติ ทำให้เห็นโครงกระดูกของพวกเขา เนื้อเยื่อมีลักษณะทางชีวภาพและองค์ประกอบทางเคมีที่บ่งชี้ว่าพวกเขาเป็นมนุษย์ การตรวจสอบดีเอ็นเอพบโครโมโซม 23 คู่เหมือนคนทั่วไป ส่วนมัมมี่เพศชายทั้ง 4 มีโครโมโซมวายที่เป็นโครโมโซมเพศชาย ลักษณะที่ปรากฏเหมือนมนุษย์ทุกอย่าง แต่มีโครงสร้างทางกายวิภาคที่ต่างจากมนุษย์ออกไป”

ขณะนี้ทีมวิจัยกำลังศึกษาร่างมัมมี่มาเรียและมัมมี่เด็ก โดยเริ่มตั้งแต่ปีที่แล้ว เพื่อหาหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มาอ้างอิงเพิ่มเติม ซึ่งเว็บไซต์ Gaia.com ได้เปิดเผยวิดีโอการค้นพบมัมมี่ ที่มีลักษณะใกล้เคียงกับมนุษย์ที่อาศัยอยู่ต่างดาว และตั้งสมติฐานว่านี่อาจเป็นมนุษย์ต่างดาว

ซึ่งศาสตราจารย์ คอนสแตนติ โครอตโคฟก็เห็นด้วย พร้อมกล่าวว่า “พวกเขาอาจเป็นมนุษย์ต่างดาว หรือไม่ก็อาจเป็นมนุษย์หุ่นยนตร์ชีวภาพ มัมมี่มาเรียและลูกของเธอ อาจเป็นตัวแทนจากอีกเผ่าพันธุ์หนึ่งที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมากกว่ามนุษย์ ประมาณ 1,000 ปี”

13 มีนาคม 2561

สุกทันตฤาษี

            

หากจะกล่าวกันแล้ว ฤาษีที่มีความเกี่ยวพันกับสุวรรณภูมิหรือสยามประเทศมาเมื่อเวลาประมาณพันกว่าปีมานี้เอง ในยุคเริ่มก่อตั้งอาณาจักรสยาม คือ ประมาณ พ.ศ. ๑๘๐๐ เศษ ๆ  มีฤาษีที่มีชื่อปรากฏในเอกสารทางประวัติศาสตร์อยู่หลายองค์ด้วยกัน ที่สำคัญ ๆ ก็ได้แก่ พระวาสุเทพฤาษี ที่มีที่พำนักอยู่ ณ ยอดอุฉุจบรรพตหรือเขาอ้อย ( ดอยสุเทพ จังหวัดเชียงใหม่ในปัจจุบัน)   อสีพรหมสิฤาษี มีที่พำนักอยู่ที่ ภูเขาสองยอด และสัชชนาลัยฤาษี มีที่พำนักอยู่ ณ ยอดเขา "สะดางค์" บรรพต ( เขาหลวงในจังหวัดสุโขทัยในปัจจุบัน) สุกทันตฤาษี มีที่พำนักอยู่ ณ เขา "ธรรมิกบรรพต" ในเขตเมืองละโว้ (ตำบลเขาสอคอน อำเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรีในปัจจุบัน)
             สำหรับสุกทันตฤาษี ที่เป็นยอดคุรุแห่งเมืองละโว้นี้นั้น  ปรากฏเอกสารทางประวัติศาสตร์ว่าได้เป็นอาจารย์ของกษัตริย์ถึงสามอาณาจักรด้วยกัน คือ อาณาจักรสุโขทัย (พ่อขุนรามคำแหง) อาณาจักรพะเยา (พ่อขุนงำเมือง) อาณาจักรโยนก (พ่อขุนเม็งรายมหาราช) เมื่อครั้งที่กษัตริย์ทั้งสามพระองค์นั้น ยังเป็นเจ้าชาย มาศึกษาเล่าเรียนกับสุกทันตฤาษีที่เขาธรรมิกบรรพตหรือเขาสมอคอนในปัจจุบัน เขาธรรมมิกบรรพตนั้น ตั้งอยู่ในบริเวณอำเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี หากดูตามชัยภูมิแล้ว สภาพทางภูมิศาสตร์ของเมืองละโว้ในอดีตและจังหวัดลพบุรีในปัจจุบัน ตั้งอยู่ในขอบทางทิศตะวันออกของที่ราบภาคกลางตอนล่าง ต่อเนื่องกับขอบที่ราบสูงโคราช ตั้งอยู่บนที่ราบสลับกับเนินเขาและภูเขา บริเวณที่ราบลุ่มมีความสูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ ๒๕-๖๐ เมตร เขาธรรมิกบรรพตจึงเป็นเส้นทางผ่านที่สำคัญในสมัยโบราณ ซึ่งมีความเกี่ยวพันกับกษัตริย์หลายองค์ ที่มาศึกษาเล่าเรียนแล้วกลับไปถิ่นเดิม ได้สร้างบ้านแปลงเมืองให้มีความเจริญรุ่งเรืองเป็นอันมาก  
            สุกทันตฤาษีนับว่าเป็นยอดอาจารย์โดยแท้ ที่สามารถสั่งสอนลูกศิษย์ให้ประสบความสำเร็จจำนวนมาก ตามตำนานได้กล่าวว่า สุกทันตฤาษีนั้น เคยอุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา ต่อมาได้ลาสิกขาไปเป็นเพศฆราวาส เมื่อครองเพศฆราวาสแล้ว ก็เกิดความเบื่อหน่ายในเพศฆราวาส จึงออกบวชเป็นฤาษี ได้ไปอยู่ในป่าหิมพานต์ บำเพ็ญเพียรได้ญาณสำเร็จ  อภิญญา ๕ สมาบัติ ๘  แล้วจึงกลับมาพำนัก ณ เขาธรรมิกบรรพต (เขาสมอคอน) 

นิสัยคนที่มาจากชั้นพรหม

จากพรหมมาเกิดเป็นคน
"..มีสองสามีภรรยามาขอให้อาตมาช่วยตั้งชื่อลูกชาย ก็ถามว่า "ลูกชายเกิดวันอะไร" เขาก็ตอบว่า "เกิดวันพฤหัสบดี" ก็บอกว่า "เด็กคนนี้มันจะเป็นนักรบชั้นดีนะ" ให้ชื่อ "สุรสิทธิ์" หรือ "สุรเดช" เรื่องชื่อนี้ถามจากข้างบนอีกทีว่า เด็กคนนี้มาจากไหนมาเพื่ออะไร" ท่านบอกว่า "เด็กคนนี้จะมาเกิดเพื่อเป็นทหาร จะเป็นทหารอะไรก็ได้ตามสบายเขา ก็ดีทั้งนั้นแหละอย่าไปขวางเขานะ"
ฉันว่าชื่อ "สุรเดช" ดีกว่า แปลว่า "มีอำนาจมาก"
"สุรสิทธิ์" แปลว่า "กล้าที่จะยึดเมืองต่างๆ"
เด็กคนนี้ต้องระมัดระวังหน่อยนะ คือว่าคนเป็นพ่อเป็นแม่นี่ต้องถือเหตุผลเป็นสำคัญ อย่าทำอะไรประเภทไม่มีเหตุไม่มีผล เพราะเด็กคนนี้มาจากพรหม พวกพรหมจิตจะแข็งเพราะพรหมมาจากฌาน ถ้าหากว่าไม่มีเหตุผล จะมีสภาพเหมือนกับคนจองหอง ไม่ง้อใคร พูดง่ายๆ ก็คือ ถ้าเรื่องอยุติธรรมนี่ไม่ยอมก้มหัวให้แน่ เพราะพวกพรหมไม่ประจบ แต่ตอนเด็กๆ เอาแน่ไม่ได้ระยะต้น กรรมที่เป็นอกุศลบางอย่างอาจทำให้โฉเฉไปบ้าง เป็นเรื่องธรรมดา และต่อไปกรรมที่เป็นกุศลจะเข้า เราควรจะดีใจว่าลูกเราจะเป็นคนมีเหตุมีผล ต่อไปข้างหน้าพวกนี้จะลงมามาก จะขึ้นมีอำนาจในเมือง.."
....ปกิณกะ...

08 มีนาคม 2561

พุทธคุณ ๙ ประการ

#นวอรหาทิคุณ (นะวะอะระหาทิคุน)
#พุทธคุณ ๙ ประการ
คุณของพระพุทธเจ้ามี ๙ ประการคือ
๑. อรหํ เป็นพระอรหันต์
๒. สมฺมาสมฺพุทโธ ตรัสรู้เองโดยชอบ
๓. วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ (ความประพฤติ)
๔. สุคโต เสด็จไปดีแล้ว
๕. โลกวิทู เป็นผู้รู้แจ้งโลก
๖. อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ เป็นสารถีฝึกคนที่ฝึกได้ไม่มีใครยิ่งกว่า
๗. สตฺถา เทวมนุสฺสานํ เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
๘. พุทฺโธ เป็นผู้ตื่นและเบิกบานแล้ว
๙. ภควา เป็นผู้มีโชค
พุทธคุณทั้งหมดนั้น โดยย่อมี ๒ คือ
๑. พระปัญญาคุณ พระคุณคือพระปัญญา
๒. พระกรุณาคุณ พระคุณคือพระมหากรุณา
พุทธคุณตามที่นิยมกว่ากันในประเทศไทย ย่อเป็น ๓ คือ
๑. พระปัญญาคุณ พระคุณคือพระปัญญา
๒. พระวิสุทธิคุณ พระคุณคือความบริสุทธิ์
๓. พระมหากรุณาคุณ พระคุณคือพระมหากรุณาต่อสัตว์โลก



07 มีนาคม 2561

แม้ฆราวาสเป็นพระอรหันต์ ก็มีอยู่ถมไป..หลวงปู่หล้า เขมปัตโต

“เราจะบวชหรือไม่บวช ก็ไม่มีปัญหา”
..เพราะครั้งพุทธกาล..ฆราวาสเป็นพระโสดาบันก็ดี
ทั้งเพศหญิงและชาย ที่เป็นพระสกทาคามีก็ดี
พระอนาคามีก็ดี มีมากจนนับไม่ไหวเสียแล้ว
ไม่สำคัญกับเพศเลย และไม่สำคัญกับชั้นวรรณะด้วย
แม้ฆราวาสเป็นพระอรหันต์ ก็มีอยู่ถมไป..
.............................................................................
โอวาทคติธรรม (หลวงปู่หล้า เขมปัตโต)
วัดบรรพตคีรี (ภูจ้อก้อ) อ.คำชะอี จ. มุกดาหาร
.............................................................................
บูชาธรรมพ่อแม่ครูอาจารย์เหนือเศียรเกล้า
●เผยแพร่เป็นธรรมทาน●

คล็ดลับในการรักษาศีลแบบวิธีง่าย ๆ ธรรมโอวาทหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง


● คนที่มีกำลังใจเข้มแข็ง
แนะให้ตั้งใจรักษาศีลให้ครบ ๕ ข้อวันละ ๓ ชั่วโมง
คือตั้งแต่ ๖ โมงเช้า ถึง ๙ โมงเช้า ในเวลาเท่านี้
จะอย่างไรก็ตามจะไม่ยอมละเมิดศีลเด็ดขาด
ถ้าเธอปฏิบัติตามนี้ได้ ไม่เกิน ๓ เดือน มีหวังรักษาศีล ๕
ครบทุกสิกขาบทได้ตลอด ๒๔ ชั่วโมง เพราะการ
ระมัดระวังศีลทั้ง ๕ ข้อ วันละ ๓ ชั่วโมงนั้น เป็นการ
ทรงฌานในสีลานุสสติวันละ ๓ ชั่วโมง เพราะเป็นอนุสสติ
ไม่ต้องไปนั่งหลับตาภาวนา เอาใจคอยระวังไม่ให้พลั้งพลาด
เท่านี้เป็นฌานแล้ว
คำว่า ฌาน นั้น ความหมายจริง ๆ ก็คืออารมณ์ชิน
คือ มีอารมณ์ทรงอย่างนั้นเป็นปกติ อย่างพวกเราชิน
กับความทุกข์จนไม่เข้าใจว่ามันเป็นความทุกข์
นั่นก็คือ ความหิว ปวดอุจจาระ ปวดปัสสาวะ เป็นต้น
มีทุกวันจนชิน เลยไม่เข้าใจว่าเป็นทุกข์ เห็นเป็นของธรรมดาไป คำว่าฌาน ก็เหมือนกัน มีอารมณ์ปกติจนไม่มีอะไรต้องระวัง
หรือมีความหนักใจ
● คนที่มีกำลังใจเข้มแข็งน้อย
หรือที่เรียกว่ามีกำลังใจค่อนข้างอ่อนแอ แต่มีแววที่พอจะทำได้ ให้เลือกปฏิบัติเอาจริงเอาจังเป็นข้อ ๆ ที่พอจะทำได้ ให้เอาชนะจริง ๆ ข้อใดข้อหนึ่งไปเลย เมื่อชนะข้อใดข้อหนึ่งแน่นอนแล้ว ก็ค่อย ๆ เลือกเอาข้อที่เห็นว่าง่าย ไม่นานเท่าไรก็ชนะหมดทุกข้อ
สำหรับศีล บางทีญาติโยมจะหนักใจ ก็ไม่เป็นไรวันหนึ่งรักษา ๒๔ ชั่วโมงไม่ได้ ก็รักษาวันละ ๓ ชั่วโมง มันก็เป็นศีล เรารักษาได้จริงๆ ด้วยการอดใจจริง ๆ ๑ ชั่วโมง มันก็เป็นศีล ถ้าวันหนึ่งเรารักษาได้จริง ๆ ใครจะด่าจะว่า จะทำอะไรก็ช่างมัน ช่างมัน ช่างมัน ๑ ชั่วโมง ใช่ไหม แล้วเหลือ ๒๓ ชั่วโมงด่าดะ ใช่ไหม
อย่าลืมว่าไอ้วันละ ๑ ชั่วโมงนี่ มันจะกดอารมณ์ลงไปเรื่อย ๆ
ไม่ช้ามันก็เต็ม ๒๔ ชั่วโมง ใช่ไหม ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า
น้ำฝนตกลงมาทีละหยดละหยาด สามารถทำให้ภาชนะเต็ม
ได้ฉันใด การอดใจหรือการทรงใจในอำนาจของศีลวันหนึ่ง
วันหนึ่งเราได้ ๑ ชั่วโมง ต่อไปอารมณ์มันก็ชิน มันก็เป็น ๒ ชั่วโมง ๓ ชั่วโมง ๕ ชั่วโมง ๑๐ ชั่วโมง ไปตามสภาพ
ฉะนั้น ภายใน ๓ ชั่วโมงนี่ ฉันจะทรงศีล ๕ ให้ทรงตัว
การระมัดระวังอย่างนี้ อย่าลืมนะท่านผู้นั้นเป็นผู้ทรงฌาน
ในสีลานุสสติกรรมฐานวันละ ๓ ชั่วโมง แล้วก็ทำอย่างนี้
หลายคนมารายงานไม่ถึง ๓ เดือน ศีล ๕ ครบถ้วนตลอดวัน

จิตและจักรวาล มีความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันอยู่ หลวงปู่ดูลย์


ได้เมตตาอธิบายถึงเรื่องนี้ไว้อย่างพิสดารว่า จิต วิญญาณ เกิดจากรูปนามของจักรวาล และ นิพพาน เป็นการรวมของจิตบริสุทธิ์เข้ากับความว่างอันบริสุทธิ์และสว่างของจักรวาลเดิม ไว้ดังนี้
“สิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิตในจักรวาล มีนับไม่ถ้วน รวมแล้วมี รูป กับ นาม สองอย่างเท่านั้น นามเดิม ก็คือความว่างของจักรวาล เข้าคู่กัน เป็นเหตุเกิด ตัวอวิชชา--เกิดเหตุก่อ ที่ใดมีรูป ที่นั้นต้องมีนาม ที่ใดมีนาม ที่นั้นต้องมีรูป รูปนามรวมกัน เป็นเหตุเกิดปฏิกิริยา---ให้เกิดการเปลี่ยนแปลง และเกิดกาลเวลาขึ้น คือ รูปย่อมมีความดึงดูดซึ่งกันและกัน จึงเป็นเหตุให้รูปเคลื่อนไหว และหมุนรอบตัวเองตามปัจจัย รูปเคลื่อนไหวได้ ต้องมีนาม--ความว่าง--คั่นระหว่างรูป รูปจึงเคลื่อนไหวได้”
“เมื่อสภาวธรรมเป็นอย่างนี้ สรรพสิ่งของวัตถุ--สสารมีชีวิต และไม่มีชีวิต---จึงต้องเปลี่ยนแปลง เป็นไตรลักษณ์ เกิด ดับ สืบต่อทุกขณะจิต ไม่มีวันหยุดนิ่ง ให้คงทนเป็นปัจจุบันเช่นนั้นได้”
“จิต วิญญาณ ก็เกิดมาจาก รูปนาม ของจักรวาล มันเป็นมายาหลอกลวง แล้วเปลี่ยนแปลงให้คนหลง จากรูปนามไม่มีชีวิต เปลี่ยนมาเป็นรูปนามที่มีชีวิต จากรูปนามที่มีชีวิต มาเป็นรูปนามมีชีวิต-ที่มีจิตวิญญาณ แล้วจิต วิญญาณก็เปลี่ยนแปลงแยกออกจากกัน คงเหลือแต่ ‘นามว่างที่ปราศจากรูป’ นี้--เป็นจุดสุดยอดของการหลอกลวงของรูปนาม”
“เมื่อเจริญจิตจนเข้าถึงสภาวะเดิมแท้ของมันได้ดังนี้แล้ว ‘จิตเห็นจิต อย่าง แจ่มแจ้ง’ จิตก็จะอยู่เหนือสภาวะสมมติบัญญัติทั้งปวง เหนือความมีความเป็นทั้งปวง มันอยู่เหนือคำพูดและพ้นไปจากการกล่าวอ้างใดๆทั้งสิ้น เป็นธรรมชาติอันบริสุทธิ์และสว่าง รวมกันเข้ากับความว่างอันบริสุทธิ์และสว่างของจักรวาลเดิม เข้าเป็นหนึ่ง เรียกว่า ‘นิพพาน’ ”

06 มีนาคม 2561

คาถาสมเด็จพระมหากัสสปะเถระเจ้าและของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน

คาถาสมเด็จพระมหากัสสปะเถระเจ้า
หลวงพ่อบอกคาถาบทนี้ เมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๒๐ คาถาบทนี้ ท้าวเวสสุวัณให้มา ท่านบอกว่าให้สวดมนต์ไว้ทุกคืน ก่อนอื่นให้ระลักถึงบารมีของพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ อันมีสมเด็จพระพุทธกัสสปทรงเป็นประธาน เพราะท่านเป็นเจ้าของคาถานี้
พุทธัง มัดจิต ธัมมัง มัดใจ ศัตรูทั้งหลาย วินาศสันติ
พุทธัง มัดจิต ธัมมัง มัดใจ โรคภัยทั้งหลาย วินาศสันติ
ในบรรทัดที่ ๒ นี้รักษาโรค ท่านบอกว่าเสกน้ำให้กิน เสกอะไรให้กิน เสกข้าวให้กินก็ได้นะ แม้แต่ยาพิษมันก็สลายตัว อีกบทหนึ่งเป็น
ของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน
ฆะเตสิ ฆะเตสิ กิงกะระณัง ฆะเตสิ อะหังปิตัง ชานามิ ชานามิ
ทั้งสามบทนี้ท่านให้สวดพร้อมกันเลย เวลาฉันข้าวก็เสก กลางคืนก็ให้ภาวนาไว้นะ ภาวนาไว้สักครู่ เช้าเย็นอะไรนี่นะ ท่านบอกว่าศัตรูจะพินาศไปเอง สำหรับบทหลังศัตรูทำอะไรไม่ได้ จะทำอะไรแล้วเราจะต้องรู้อยู่เสมอ บทกลางนะทำลายโรค ได้ทำลายโรคนี่ดีใช่ไหม เสกข้าวนะ ข้าวที่เราจะฉัน เสกซะหมด และคนอื่นกินก็เป็นยาไปหมด ให้เป็นยาสำรับคนอื่นด้วยนะ ดีไหม ถ้าเห็นว่าดี ถ้าคุณจะให้รักษานี่นะ ถ้าจะใช้รักษาโรค คุณจะต้องหาดอกบัวมา ๓ ดอก ธูป ๕ ดอก เทียน ๑ เล่ม บูชาขอต่อพระพุทธรูป (ผมเข้าใจว่า ถ้าไม่นำสิ่งที่ให้นำมาผลกรรม โรค นั้นจะตกที่คนรักษา)
ถ้าใครต้องการจะให้เรารักษา ต้องบังคับให้เขาเอาดอกบัวมา ๓ ดอกนะ ธูป ๕ เทียน ๑ เสกน้ำมนต์ เสกอะไร อะไรให้กินได้ นั่งทำก็ได้ นอนก็ได้ ภาวนาให้เป็นฌานเป็นฌานในกรรมฐานภายในตัวเสร็จ
อย่าลืมนะ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เกาะก็ได้ผลเท่ากันเป็นฌาน
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

02 มีนาคม 2561

ตามหา”ตัวรู้”.มิรู้จบสิ้น.

...วิทยาศาสตร์ ยุคใหม่ ..ตอนนี้ค้นคว้าและเชื่อว่า ทุกสรรพสิ่ง”มีตัวรู้ “ พลังงานย่อมถ่ายเทได้  พลังงานของจิต  ที่มีพลังสูง  จึงส่งพลังงานชื่อ “พลังจิต “ มาบรรจุไว้ที่วัตถุ และในวัตถุ มันจะบันทึกตัวรู้ หรือ.จิตศักดิ์สิทธิ์ ไว้    ทำให้ น้ำมนต์ พระเครื่อง ฯลฯ จึงศักดิ์สิทธิ์ได้..ส่วนจะศักดิ์สิทธิ์มากหรือน้อย..อยู่ที่พลังจิต และ วัตถุที่เก็บประจุพลังปลุกเสก

++...ปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์พบว่า  มีอนุภาคที่เล็กกว่าอะตอม( หลาย ล้าน เท่า) จะสั่นอยู่ตลอดเวลาด้วยความถี่ต่างๆ ..ดังนั้นความถี่ที่ทำให้เกิดมิติ ไม่ใช่มีแค่ 4 มิติ (กว้าง ยาว สูง และเวลา) แต่มีมากถึง 26 มิติ และตั้งแต่มิติที่ 5 ถึง 11 มีขนาดเล็กและม้วนตัวซ้อนอยู่ในมิติปัจจุบัน.

  ทางพุทธศาสนาแบ่งภพภูมิของโอปปาติกะ ตามความละเอียกคลื่นความถี่   รวม 31 มิติ 31ภพภูมิ และแต่ละภพภูมิก็แยกกันได้ด้วยความถี่ ที่ละเอียดหยาบ แตกต่างกันไป จึงทำให้มีกายละเอียด กายทิพย์ ของมนุษย์และเทวดา พรหม อรูปพรหม.ที่ละเอียดไม่เท่ากัน..

#...ทำไม?..พุทธศาสนา..จึงค้นพบมิติมากกว่าทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่..ทั้งที่ไม่มีเครื่องมือทันสมัย..เหมือนทุกวันนี้....เพราะพุทธศาสนาใช้”จิต”เป็นเครื่องมือที่มีพลังสูงสุด มีความไวสูงสุด ไวกว่าแสงหลายเท่า มาเป็น”กล้องจิต” จึงค้นพบถึงมิติทั้งหมด ทั้งแสงสี (อนุภาค)แล้ว ยังพบ”รูปในนาม” หรือ “กายทิพย์” (ที่นักวิทยาศาสตร์ยังหาเครื่องมือมาเห็นกายทิพย์ไม่ได้)..อาจจะเห็นเพียงแสงสี(แสงออร่า)... แล้ว ทางพุทธศาสนายังบอกวิธี” การหลุดพ้น”จากมิติทุกภพภูมิ (สังสารวัฏ) ..หลุดพ้นจากรูปนาม .. หลุดพ้นจากทุกข์ .. เพื่อความเป็นอิสระแท้จริง  .ตลอดอนันตกาล..อีกด้วย..เรียก”รู้แจ้ง”รู้จบ..รู้จนกระทั่ง”วางตัวรู้.”.ด้วย..ส่วนทางวิทยาศาสตร์  ยังคงค้นหา...มิรู้จบสิ้น..ยังวิ่งตามตัวรู้..ตลอดสังสารวัฏ..มิจบสิ้น..

฿...หลักวิทยาศาสตร์ ตรวจวัดได้ เฉพาะวัตถุทางโลกหยาบๆ  และแค่สสารที่เล็กละเอียด ระดับอะตอมหรือต่ำกว่านั้น… การเห็นเป็นวัตถุ..ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่จริง “เป็นภาพมายา” ดุจภาพพยับแดด..เห็นแต่ไกล..พอเข้าใกล้..พบว่าไม่มีจริง..ภาพที่เห็น ไม่จริงแท้ในสัจธรรม มีแต่พุทธศาสนาชี้ให้เราเห็นความจริงที่แท้จริง ไม่แปรเปลี่ยน และเป็นอกาลิโก 

  นักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ยอมรับว่า.. “จิตก็เป็นคลื่นที่ละเอียด ยิ่งกว่าคลื่นอนุภาคใดๆ   - เรียก จิตสำนึก”หรือ “จิตรู้ “  และ บอกว่า “เวลา” เป็นเม็ดๆ-เหมือนแสง ซึ่งมาตรงกับพุทธศาสนา ของมหายานและวัชรญาณ ต่างก็กล่าวว่าเป็นเม็ดๆ เหมือนกัน 

***..  เมื่อ ๒๕๐๐ กว่าปี  พระพุทธเจ้าตรัสว่า  “.. ปรมาณูมิได้เป็นแท่งทึบ มีช่องว่างภายในมากมาย และ1 ปรมาณู วัดจาก ทอนความยาวเมล็ดข้าวเปลือกลง 6 ครั้ง  ส่วนทางวิทยาศาสตร์คำนวณได้  10 ยกกำลังลบ 8 เซนติเมตร ซึ่งเท่ากันพอดี..กับพุทธศาสนา

***มีคำกล่าวความหมายเดียวกัน  แต่ต่างกันที่..พระพุทธเจ้าตรัสมา 2500 กว่าปีแล้ว..ส่วนนักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่..เพิ่งจะเริ่มค้นพบบางส่วนเท่านั้น..เช่น พุทธศาสนากล่าวว่า..

“... ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ มีอยู่ในทุกปรมาณู และเป็นคุณสมบัติของธาตุ.”

.ส่วนทางวิทยาศาสตร์ กล่าวว่า

“ทุกอะตอมจะมี 4 แรง คือแรงโน้มถ่วง(ธาตุดิน) แรงนิวเคลียร์อย่างเข้ม(ธาตุน้ำ) แรงแม่เหล็กไฟฟ้า(ธาตุลม) และ เชื่อมโยงกับแรงนิวเคลียร์อย่างอ่อน (ธาตุไฟ)”

$...วิทยาศาสตร์  เพิ่งจะค้นพบว่า ทุกๆ ปรมาณู / อะตอม /อนุภาค  “มีตัวรู้” มี”จิตวิญญาณ”  (คือทุกสรรพสิ่ง  จะมีตัวรู้)... ทุกปรมาณู จะมีครบ 6 ธาตุคือ ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศธาตุ และวิญญาณธาตุ และอนุภาคเปลี่ยนแปรไม่คงที่    ซึ่ง พุทธศาสนากล่าวมานานแล้วว่า.

“.. ธาตุทั้ง๖  และทุกสรรพสิ่งไม่เที่ยง ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ และไม่มีตัวตนที่แท้จริง ตามหลักไตรลักษณ์ หลักอิทัปปัจจยตา”

***..นอกจากพุทธศาสนา..จะบอกว่าทุกสรรพสิ่ง.ประกอบด้วยธาตุทั้ง6 แล้ว..ยังบอกเส้นทาง(มรรคองค์8)..เพื่อเข้าถึงธาตุที่ 7 คือ “นิพพานธาตุ”..ซึ่งเป็นธาตุ..ที่ไม่เกิด-ไม่ดับ-ไม่เสื่อม-ไม่ขึ้นกับอะไร-ธาตุที่อิสระตลอดอนันตกาล ด้วย..

อริยสัจ 4 และมรรคแปด

ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ห่างไกลจากกิเลสตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาค ทรงตรัส...