28 เมษายน 2562
พระคาถาจินดามณี
#ของหลวงพ่อศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า จ.ชัยนาท
จินดามณี สหโกฏิ สัตตังเทวานัง มนุสสะเทวานัง อะมนุสสะเทวานัง
สะมณีจิตตัง บุตรีจิตตัง อาคัจเฉยหิ ปะริเทวันติ ปิยังมะมะ มณีจินดา
ปัญจะทานัง ทาสาโกมัง ทาสีโกมัง ปิลันทัสสะ นะมามิหัง
สัพเพชะนา พะหูชะนา มหาจินดา เอหิพุทธัง
ปิยินทรียัง เทวะมนุสสานัง ปิโยนาคะ สุปันนานัง
ปิยินทรียัง นะมามิหัง
พุทโธโส ภะคะวา ธัมโมโส ภะคะวา สังโฆโส ภะคะวา
อินทัสสะเหน่หา พรหมมะสะเหน่หา อิตถีสะเหน่หา
ราชาเทวี มณีรักขัง ปิยังมะมะ พุทธะสังมิ นะชาลีติ
พระอะระหัง สัพพะลาภัง ประสิทธิเม
ผู้ใดสวดภาวนาทุกค่ำเช้า จะอยู่เย็นเป็นสุขมีกินมีใช้ตลอดไม่อดอยาก เป็นเมตตามหานิยมแก่คนสัตว์และเทวดา
27 เมษายน 2562
การทรงสมาธิ
โอวาทหลวงพ่อวัดท่าซุง
แต่ทว่าการภาวนาก็ดี รู้ลมหายใจเข้าออกก็ดี เราจะบังคับให้จิตรู้เฉพาะลมหายใจเข้าออก กับคำภาวนาตลอดเวลาที่เราต้องการนั้นไม่ได้ ทั้งนี้เพราะอะไร? เพราะจิตมีสภาพคิด จิตนี่ชอบคิดนอกเรื่องนอกราวมาตลอดกาลตลอดสมัย คิดมาอย่างนี้มาหลายอสงไขยกัป แล้วก็จะมานั่งบังคับว่าเวลานี้จิตจงรู้เฉพาะลมหายใจเข้าลมหายใจออก จงรู้เฉพาะคำภาวนา อาจจะทรงตัวอยู่ได้สักนาทสองนาทีอย่างมาก ประเดี๋ยวจิตก็คิดโน่นบ้างคิดนี้บ้าง ที่เรียกว่าอารมณ์ฟุ้ง ต้องถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าเรารู้ตัวว่านี่ซ่านออกนอกลูกนอกทางไปแล้ว เราก็หวลกลับมาเริ่มต้นจับใหม่ เอาใจเข้าไปรู้ลมหายใจเข้าหายใจออก แล้วภาวนาตาม หายใจเข้านึก "พุท" หายใจออกนึก "โธ" อย่างนี้ใช้ได้ สลับกันไปสลับกันมา
แต่ปรากฏว่า ถ้าอารมณ์เริ่มจะซ่านทนไม่ไหว เกิดมีอารมณ์ฟุ้งซ่าน ลมหายใจก็ไม่เอา คำภาวนาก็ไม่เอา อย่างนี้จะทำยังไง?
การแก้อารมณ์ฟุ้งซ่านของ พระพุทธโฆษาจารย์ ในวิสุทธิมรรคมีอยู่ 2อย่าง
ถ้าซ่านเกินไป บังคับไม่อยู่ ให้เลิกเสียเลย เลิกเลย ปล่อยใจตามสบายจะไปดูหนัง ดูละคร ดูโทรทัศน์ นั่งโขกหมากรุก ชาวบ้านคงไม่เล่นหมากรุกหรอกมั้ง เอ้าไม่เล่นหมากรุกก็อย่าเพิ่งไปเล่นไพ่ก็แล้วกัน เล่นไพ่เพลินไปตำรวจจะจับจะเสียสตางค์ จะร้องเพลงอย่างไงก็ช่าง จะมานั่งนึกว่า เอ…. ใช้เวลานิดหน่อยทำความดี เราปล่อยความฟุ้งซ่านมากเกินไปเพราะอารมณ์ใจมันเป็นความชั่ว มันก็ไม่แน่นัก ถ้าความดีถ้าเราฝืนนะ บรรดาท่านพุทธบริษัท มันจะกลายเป็นอารมณ์ร้าย ถ้าฟุ้งซ่านมากเกินไป บังคับไม่อยู่ เราก็ต้องการบังคับมันไม่อยู่ตามที่เราต้องการ ความกลุ้มก็จะเกิด ในตอนนี้แหละโรคประสาทจะเกิดแก่บรรดาท่านพุทธบริษัท ที่เขาบอกว่าทำสมาธิแล้วบ้า ทำสมาธิแล้วบ้าเพราะใช้อารมณ์แบบนี้
บางท่านพออารมณ์ดีขึ้นมาบ้างถึงปีติไม่อยากพัก ไม่อยากผ่อน ไม่อยากนอน ไม่อยากกิน อย่างนี้ก็เป็นโรคเส้นประสาท ขัดคำสั่งของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ว่าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า จงละส่วนล่างสุด 2 อย่าง คือ
๑. อัตตกิลมถานุโยค การทรมานกายทรมานใจ
๒. กามสุขัลลิกานุโยค ย่อหย่อนเกินไป หรืออยากได้เกินไป
อารมณ์ฟุ้ง ต้องใช้ มัชฌิมาปฏิปทา คือ อารมณ์พอสบายเราก็ทำแค่สบาย เมื่อมันไม่สบายเราก็เลิก เวลาใหม่ทำกันใหม่ โดยเฉพาะเราทำแค่กำไร ไม่ใช่ทำขาดทุน ถ้าเราไม่ต้องการจะเลิก พระพุทธเจ้าแนะนำตามนี้อาตมาเคยปฏิบัติตาม ท่านบอกว่าให้คิดไป มันอยากจะคิดอะไรเชิญคิดไปเหมือนคนฝึกม้าพยศ ม้าพยศถ้าฝึกไม่ได้มันวิ่งออกนอกทางก็กอดคอมันเลย มันจะวิ่งไปไหนปล่อยวิ่งไป พอหมดแรงเมื่อไหร่ เราลากเข้าเส้นทางบังคับมันจะตามใจเรา ข้อนี้ฉันใดถ้ากำลังใจฟุ้งซ่าน บรรดาท่านพุทธบริษัท ปล่อยเลยคิดตามสบาย อาตมาเคยพิสูจน์ มันจะคิดไปอย่างนานไม่เกิน ๑๕ นาที พอกลับเข้ามาอีกทีมันหยุดคิด ตอนนี้จับ อานาปานุสติ คือลมหายใจเข้าออกกับคำภาวนา มันจะทรงตัวแนบนิ่งดีมาก อย่างน้อยครึ่งชั่วโมงหรือว่าถ้าฉลาดในการทรงสมาธิมันก็ไม่หนักนัก
แต่ทว่าการภาวนาก็ดี รู้ลมหายใจเข้าออกก็ดี เราจะบังคับให้จิตรู้เฉพาะลมหายใจเข้าออก กับคำภาวนาตลอดเวลาที่เราต้องการนั้นไม่ได้ ทั้งนี้เพราะอะไร? เพราะจิตมีสภาพคิด จิตนี่ชอบคิดนอกเรื่องนอกราวมาตลอดกาลตลอดสมัย คิดมาอย่างนี้มาหลายอสงไขยกัป แล้วก็จะมานั่งบังคับว่าเวลานี้จิตจงรู้เฉพาะลมหายใจเข้าลมหายใจออก จงรู้เฉพาะคำภาวนา อาจจะทรงตัวอยู่ได้สักนาทสองนาทีอย่างมาก ประเดี๋ยวจิตก็คิดโน่นบ้างคิดนี้บ้าง ที่เรียกว่าอารมณ์ฟุ้ง ต้องถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าเรารู้ตัวว่านี่ซ่านออกนอกลูกนอกทางไปแล้ว เราก็หวลกลับมาเริ่มต้นจับใหม่ เอาใจเข้าไปรู้ลมหายใจเข้าหายใจออก แล้วภาวนาตาม หายใจเข้านึก "พุท" หายใจออกนึก "โธ" อย่างนี้ใช้ได้ สลับกันไปสลับกันมา
แต่ปรากฏว่า ถ้าอารมณ์เริ่มจะซ่านทนไม่ไหว เกิดมีอารมณ์ฟุ้งซ่าน ลมหายใจก็ไม่เอา คำภาวนาก็ไม่เอา อย่างนี้จะทำยังไง?
การแก้อารมณ์ฟุ้งซ่านของ พระพุทธโฆษาจารย์ ในวิสุทธิมรรคมีอยู่ 2อย่าง
ถ้าซ่านเกินไป บังคับไม่อยู่ ให้เลิกเสียเลย เลิกเลย ปล่อยใจตามสบายจะไปดูหนัง ดูละคร ดูโทรทัศน์ นั่งโขกหมากรุก ชาวบ้านคงไม่เล่นหมากรุกหรอกมั้ง เอ้าไม่เล่นหมากรุกก็อย่าเพิ่งไปเล่นไพ่ก็แล้วกัน เล่นไพ่เพลินไปตำรวจจะจับจะเสียสตางค์ จะร้องเพลงอย่างไงก็ช่าง จะมานั่งนึกว่า เอ…. ใช้เวลานิดหน่อยทำความดี เราปล่อยความฟุ้งซ่านมากเกินไปเพราะอารมณ์ใจมันเป็นความชั่ว มันก็ไม่แน่นัก ถ้าความดีถ้าเราฝืนนะ บรรดาท่านพุทธบริษัท มันจะกลายเป็นอารมณ์ร้าย ถ้าฟุ้งซ่านมากเกินไป บังคับไม่อยู่ เราก็ต้องการบังคับมันไม่อยู่ตามที่เราต้องการ ความกลุ้มก็จะเกิด ในตอนนี้แหละโรคประสาทจะเกิดแก่บรรดาท่านพุทธบริษัท ที่เขาบอกว่าทำสมาธิแล้วบ้า ทำสมาธิแล้วบ้าเพราะใช้อารมณ์แบบนี้
บางท่านพออารมณ์ดีขึ้นมาบ้างถึงปีติไม่อยากพัก ไม่อยากผ่อน ไม่อยากนอน ไม่อยากกิน อย่างนี้ก็เป็นโรคเส้นประสาท ขัดคำสั่งของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ว่าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า จงละส่วนล่างสุด 2 อย่าง คือ
๑. อัตตกิลมถานุโยค การทรมานกายทรมานใจ
๒. กามสุขัลลิกานุโยค ย่อหย่อนเกินไป หรืออยากได้เกินไป
อารมณ์ฟุ้ง ต้องใช้ มัชฌิมาปฏิปทา คือ อารมณ์พอสบายเราก็ทำแค่สบาย เมื่อมันไม่สบายเราก็เลิก เวลาใหม่ทำกันใหม่ โดยเฉพาะเราทำแค่กำไร ไม่ใช่ทำขาดทุน ถ้าเราไม่ต้องการจะเลิก พระพุทธเจ้าแนะนำตามนี้อาตมาเคยปฏิบัติตาม ท่านบอกว่าให้คิดไป มันอยากจะคิดอะไรเชิญคิดไปเหมือนคนฝึกม้าพยศ ม้าพยศถ้าฝึกไม่ได้มันวิ่งออกนอกทางก็กอดคอมันเลย มันจะวิ่งไปไหนปล่อยวิ่งไป พอหมดแรงเมื่อไหร่ เราลากเข้าเส้นทางบังคับมันจะตามใจเรา ข้อนี้ฉันใดถ้ากำลังใจฟุ้งซ่าน บรรดาท่านพุทธบริษัท ปล่อยเลยคิดตามสบาย อาตมาเคยพิสูจน์ มันจะคิดไปอย่างนานไม่เกิน ๑๕ นาที พอกลับเข้ามาอีกทีมันหยุดคิด ตอนนี้จับ อานาปานุสติ คือลมหายใจเข้าออกกับคำภาวนา มันจะทรงตัวแนบนิ่งดีมาก อย่างน้อยครึ่งชั่วโมงหรือว่าถ้าฉลาดในการทรงสมาธิมันก็ไม่หนักนัก
ปัญญาสมาธิ
สมาธิ คือจิตที่แน่นอยู่ในอารมณ์เดียวเรียกว่า “สมถะ” จิตที่ไม่ติดต่อกับสิ่งใด มีความสะอาด ปราศจากอารมณ์ภายนอก มีสติสัมปชัญญะ รู้รอบคอบ ปลดปล่อยอารมณ์เสียได้ เรียกว่า “วิปัสสนา” เมื่อสมาธิซึ่งประกอบด้วยวิปัสสนาเกิดขึ้น ความเป็นใหญ่ เป็นอิสระในตัวทั้ง ๕ อย่างก็จะบังเกิดขึ้นพร้อมกันคือ
๑. ”สัททินทรีย์” ศรัทธาความเชื่อก็เข้มแข็งมั่นคง ใครจะมาพูดดีหรือไม่ดีอย่างไร ใจก็ไม่หวั่นไหว
๒. “วิริยินทรีย์” ความพากเพียรก็แก่กล้า ถึงใครจะมาสอนให้หรือไม่สอนให้ ก็ทำไปเรื่อย ไม่ท้อถอยหรือหยุดหย่อน
๓. “สตินทรีย์” สติก็เป็นใหญ่ เป็นมหาสติ ไม่ต้องไปข่มไปบังคับ มันก็แผ่จ้ากระจายไปทั่วตัวเหมือนต้นไม้ใหญ่ กิ่งก้านใบของมันย่อมจะแผ่สาขาลงมาคลุมลำต้นของมันไว้ และพัดกระพือขึ้นเองโดยไม่ต้องมีใครไปจับเขย่าหรือดึงยอดมันลงมา ความรู้ของเราก็จะจ้าไปหมด ทั้งยืนเดิน นั่ง นอนทุกอิริยาบถ มันรู้ของมันได้เองโดยไม่ต้องไปนึก ความรู้รอบอย่างนี้แหละเรียกว่า ”มหาสติปัฏฐาน”
๔. “สมาธินทรีย์” สมาธิของเราก็เป็นใหญ่ จะทำอะไร ๆ อยู่ก็ตาม จิตก็ไม่มีวอกแวก ถึงจะพูด จะคุยกันให้ปากอ้าออกไปตั้งวา ใจก็คงที่เป็นปกติอยู่ กายมันจะอยากกิน อยากนอน อยากนั่ง อยากยืน อยากเดิน อยากวิ่ง อยากนึก อยากคิด อยากพูด อยากทำก็ทำไป ช่างมัน หรือว่ากายมันจะเจ็บ จะป่วย จะปวด จะเมื่อยที่ตรงไหนก็ให้มันเป็นไป จิตใจก็ตั้งเที่ยงอยู่ในอารมณ์เดียว ไม่วอกแวกไปทางอื่น
๕ “ปัญญินทริย์” ปัญญาความฉลาดรู้ก็เป็นให้เกิดขึ้นในตนเอง อาจสามารถที่จะทำดวงจิตของตนให้บรรลุธรรมสำเร็จมรรคผลเป็นโสดา สกิทาคา อนาคาจนถึง อรหันต์ ก็ได้
-:- ท่านพ่อลี ธมฺมธโร -:-
วัดอโศการาม อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ
ภาพ พระพุทธรูปปางปาลิไลยก์ หน้าพระอุโบสถวัดวัง จ.พัทลุง
๑. ”สัททินทรีย์” ศรัทธาความเชื่อก็เข้มแข็งมั่นคง ใครจะมาพูดดีหรือไม่ดีอย่างไร ใจก็ไม่หวั่นไหว
๒. “วิริยินทรีย์” ความพากเพียรก็แก่กล้า ถึงใครจะมาสอนให้หรือไม่สอนให้ ก็ทำไปเรื่อย ไม่ท้อถอยหรือหยุดหย่อน
๓. “สตินทรีย์” สติก็เป็นใหญ่ เป็นมหาสติ ไม่ต้องไปข่มไปบังคับ มันก็แผ่จ้ากระจายไปทั่วตัวเหมือนต้นไม้ใหญ่ กิ่งก้านใบของมันย่อมจะแผ่สาขาลงมาคลุมลำต้นของมันไว้ และพัดกระพือขึ้นเองโดยไม่ต้องมีใครไปจับเขย่าหรือดึงยอดมันลงมา ความรู้ของเราก็จะจ้าไปหมด ทั้งยืนเดิน นั่ง นอนทุกอิริยาบถ มันรู้ของมันได้เองโดยไม่ต้องไปนึก ความรู้รอบอย่างนี้แหละเรียกว่า ”มหาสติปัฏฐาน”
๔. “สมาธินทรีย์” สมาธิของเราก็เป็นใหญ่ จะทำอะไร ๆ อยู่ก็ตาม จิตก็ไม่มีวอกแวก ถึงจะพูด จะคุยกันให้ปากอ้าออกไปตั้งวา ใจก็คงที่เป็นปกติอยู่ กายมันจะอยากกิน อยากนอน อยากนั่ง อยากยืน อยากเดิน อยากวิ่ง อยากนึก อยากคิด อยากพูด อยากทำก็ทำไป ช่างมัน หรือว่ากายมันจะเจ็บ จะป่วย จะปวด จะเมื่อยที่ตรงไหนก็ให้มันเป็นไป จิตใจก็ตั้งเที่ยงอยู่ในอารมณ์เดียว ไม่วอกแวกไปทางอื่น
๕ “ปัญญินทริย์” ปัญญาความฉลาดรู้ก็เป็นให้เกิดขึ้นในตนเอง อาจสามารถที่จะทำดวงจิตของตนให้บรรลุธรรมสำเร็จมรรคผลเป็นโสดา สกิทาคา อนาคาจนถึง อรหันต์ ก็ได้
-:- ท่านพ่อลี ธมฺมธโร -:-
วัดอโศการาม อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ
ภาพ พระพุทธรูปปางปาลิไลยก์ หน้าพระอุโบสถวัดวัง จ.พัทลุง
23 เมษายน 2562
วิธีหนีบาป...
" เจ้ากรรมนายเวร "
(ธรรมโอวาทหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง)
..เจ้ากรรมนายเวร หมายถึงบาปที่เป็นอกุศล
ที่เราได้ทำไว้กับคนและสัตว์ในอดีตชาติก็ดี
...
ในชาติปัจจุบันก็ดี อย่างบางคนที่เราฆ่าเขาบ้าง
เราทำร้ายเขาบ้าง เขาอาจจะไปเกิดเป็นเทวดาหรือพรหมแล้ว
ถ้าเป็นเทวดาเขาไม่สนใจแล้ว แต่ไอ้ตัวบาปที่เราทำไว้
อย่างคนที่ไปขโมยของเขา เจ้าของเขาไม่ติดใจ
แต่ตำรวจมีหน้าที่ตามไม่ใช่อยากตาม แต่กฎหมายให้ตาม
ฉะ...นั้น กรรมหรือเวรตัวนี้คือกฎหมาย ถ้าหากปฏิบัติ
ในขั้นสุกขวิปัสสโก ก็จะบอกว่าไม่มีตัวตนเพราะไม่เคยเห็น
แต่ว่าตั้งแต่ เตวิชโชขึ้นไปเขาเห็น ดังเรื่องที่อาตมาเล่าให้ฟังประกอบเรื่องนี้
เมื่อ พ.ศ.๒๕๑๗ คืนหนึ่งอาตมาเจริญพระกรรมฐานเสร็จ ก็อุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร
ขณะที่อุทิศส่วนกุศลก็มายืนกันมากแต่ไม่ใช่เจ้ากรรมนายเวร เป็นคนมาโมทนาบุญ
พอเขาโมทนากันเสร็จ ก็มีชายคนหนึ่งคลานเข้ามา ถือขวานเล่มใหญ่
พอเข้ามาใกล้ก็บอกว่า "ผมกับท่านหมดเรื่องกัน"
อาตมาก็ถามว่า "หมดเรื่องอะไร"
เขาก็บอกว่า "หมดเรื่องที่จะต้องติดตามจองล้างจองผลาญกัน"
ก็ถามอีกว่า "จองล้างจองผลาญฉันทำไม"
เขาก็บอกว่า "เปล่าครับ ผมไม่ได้จองล้างจองผลาญ"
ก็ถามว่า "แล้วเข้ามาทำไม"
เขาก็เลยเล่าประวัติความเป็นมาให้ฟังว่า "ในอดีตนับเป็นสิบ ๆ ชาติ ท่านกับผมรบกันมาเรื่อย"
เป็นคู่สงครามกัน ตัวเขาเก่งขวานทุกชาติ ส่วนอาตมาเก่งดาบสองมือทุกชาติ
ถ้าเวลาให้รบตัวต่อตัว ต้องเอาคู่นี้มารบกัน ถ้าคนอื่นหัวขาด พอถึงเวลากินข้าวก็บอกว่า
"พักรบก่อน กินข้าวเสร็จมารบกันใหม่" วันนั้นทั้งวันไม่มีใครเสียท่ากัน
อาตมาถามว่า "มันมีเวรกรรมอะไรกันล่ะ"
เขาบอกว่า "กฎของกรรมเขาถือว่ามี แต่เวลานี้กฎของกรรมสลายตัวแล้ว"
ก็เลยถามว่า "เวลานี้ไปเกิดที่ไหน"
เขาก็บอกว่า "ผมเป็นพรหมครับ"
ถามว่า "พรหมยังจองกรรมหรือ"
เขาตอบว่า "ผมไม่ได้จองแต่กฎของกรรมมันจอง เรื่องของกรรมหนัก ๆ ระหว่างสงครามหมดกันแค่นี้"
เราอุทิศส่วนกุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวร เขาจะได้รับหรือไม่ได้รับก็ตาม บุญที่เราทำเป็นผลให้เกิดความสุข
ไอ้กรรมต่าง ๆ ที่เป็นอกุศลที่เราได้ทำไปแล้ว เราไปยับยั้งมันไม่ได้
แต่ทว่าถ้าเราทำกรรมดีให้มีกำลังเหนือบาป บาปต่าง ๆ ก็จะตามเราไม่ทันเหมือนกัน
เรียกได้ว่า เป็นการทำบุญหนีบาป ไม่ใช่ทำบุญล้างบาปทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้ที่ไม่ทำความชั่วเลยน่ะไม่มี
ดังนั้นถ้าเราจะชดใช้บาปก็คงจะชดใช้กันไม่ไหวมีทางเดียวในกิจของพระพุทธศาสนาคือ หนีบาปด้วยการปฏิบัติดังนี้
๑) การคิดถึงคุณพระรัตนตรัยคือ พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระอริยสงฆคุณ
๒) ทรงศีล ๕ ให้บริสุทธิ์
๓) มีพรหมวิหาร ๔ ให้ครบถ้วน
๔) มีอิทธิบาท ๔ ทรงตัว
๕) มีการภาวนาให้จิตทรงตัว
๖) พยายามรวบรวมบารมี ๑๐ ประการให้มีในจิตให้ครบถ้วน
๗) พยายามตัดสังโยชน์ ๑๐ ประการให้หมด
๘) จรณะ ๑๕ ปฏิบัติให้ครบถ้วน
เมื่อมีการทรงตัวดังกล่าวมาแล้วนี้ได้ทั้งหมด ก็เป็นอันว่าไม่ต้องเกิดกันอีกต่อไป
นั่นคือตายเมื่อใดก็ไปพระนิพพานอันเป็นแดนที่มีความสุขที่สุด.."
(ธรรมโอวาทหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง)
..เจ้ากรรมนายเวร หมายถึงบาปที่เป็นอกุศล
ที่เราได้ทำไว้กับคนและสัตว์ในอดีตชาติก็ดี
...
ในชาติปัจจุบันก็ดี อย่างบางคนที่เราฆ่าเขาบ้าง
เราทำร้ายเขาบ้าง เขาอาจจะไปเกิดเป็นเทวดาหรือพรหมแล้ว
ถ้าเป็นเทวดาเขาไม่สนใจแล้ว แต่ไอ้ตัวบาปที่เราทำไว้
อย่างคนที่ไปขโมยของเขา เจ้าของเขาไม่ติดใจ
แต่ตำรวจมีหน้าที่ตามไม่ใช่อยากตาม แต่กฎหมายให้ตาม
ฉะ...นั้น กรรมหรือเวรตัวนี้คือกฎหมาย ถ้าหากปฏิบัติ
ในขั้นสุกขวิปัสสโก ก็จะบอกว่าไม่มีตัวตนเพราะไม่เคยเห็น
แต่ว่าตั้งแต่ เตวิชโชขึ้นไปเขาเห็น ดังเรื่องที่อาตมาเล่าให้ฟังประกอบเรื่องนี้
เมื่อ พ.ศ.๒๕๑๗ คืนหนึ่งอาตมาเจริญพระกรรมฐานเสร็จ ก็อุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร
ขณะที่อุทิศส่วนกุศลก็มายืนกันมากแต่ไม่ใช่เจ้ากรรมนายเวร เป็นคนมาโมทนาบุญ
พอเขาโมทนากันเสร็จ ก็มีชายคนหนึ่งคลานเข้ามา ถือขวานเล่มใหญ่
พอเข้ามาใกล้ก็บอกว่า "ผมกับท่านหมดเรื่องกัน"
อาตมาก็ถามว่า "หมดเรื่องอะไร"
เขาก็บอกว่า "หมดเรื่องที่จะต้องติดตามจองล้างจองผลาญกัน"
ก็ถามอีกว่า "จองล้างจองผลาญฉันทำไม"
เขาก็บอกว่า "เปล่าครับ ผมไม่ได้จองล้างจองผลาญ"
ก็ถามว่า "แล้วเข้ามาทำไม"
เขาก็เลยเล่าประวัติความเป็นมาให้ฟังว่า "ในอดีตนับเป็นสิบ ๆ ชาติ ท่านกับผมรบกันมาเรื่อย"
เป็นคู่สงครามกัน ตัวเขาเก่งขวานทุกชาติ ส่วนอาตมาเก่งดาบสองมือทุกชาติ
ถ้าเวลาให้รบตัวต่อตัว ต้องเอาคู่นี้มารบกัน ถ้าคนอื่นหัวขาด พอถึงเวลากินข้าวก็บอกว่า
"พักรบก่อน กินข้าวเสร็จมารบกันใหม่" วันนั้นทั้งวันไม่มีใครเสียท่ากัน
อาตมาถามว่า "มันมีเวรกรรมอะไรกันล่ะ"
เขาบอกว่า "กฎของกรรมเขาถือว่ามี แต่เวลานี้กฎของกรรมสลายตัวแล้ว"
ก็เลยถามว่า "เวลานี้ไปเกิดที่ไหน"
เขาก็บอกว่า "ผมเป็นพรหมครับ"
ถามว่า "พรหมยังจองกรรมหรือ"
เขาตอบว่า "ผมไม่ได้จองแต่กฎของกรรมมันจอง เรื่องของกรรมหนัก ๆ ระหว่างสงครามหมดกันแค่นี้"
เราอุทิศส่วนกุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวร เขาจะได้รับหรือไม่ได้รับก็ตาม บุญที่เราทำเป็นผลให้เกิดความสุข
ไอ้กรรมต่าง ๆ ที่เป็นอกุศลที่เราได้ทำไปแล้ว เราไปยับยั้งมันไม่ได้
แต่ทว่าถ้าเราทำกรรมดีให้มีกำลังเหนือบาป บาปต่าง ๆ ก็จะตามเราไม่ทันเหมือนกัน
เรียกได้ว่า เป็นการทำบุญหนีบาป ไม่ใช่ทำบุญล้างบาปทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้ที่ไม่ทำความชั่วเลยน่ะไม่มี
ดังนั้นถ้าเราจะชดใช้บาปก็คงจะชดใช้กันไม่ไหวมีทางเดียวในกิจของพระพุทธศาสนาคือ หนีบาปด้วยการปฏิบัติดังนี้
๑) การคิดถึงคุณพระรัตนตรัยคือ พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระอริยสงฆคุณ
๒) ทรงศีล ๕ ให้บริสุทธิ์
๓) มีพรหมวิหาร ๔ ให้ครบถ้วน
๔) มีอิทธิบาท ๔ ทรงตัว
๕) มีการภาวนาให้จิตทรงตัว
๖) พยายามรวบรวมบารมี ๑๐ ประการให้มีในจิตให้ครบถ้วน
๗) พยายามตัดสังโยชน์ ๑๐ ประการให้หมด
๘) จรณะ ๑๕ ปฏิบัติให้ครบถ้วน
เมื่อมีการทรงตัวดังกล่าวมาแล้วนี้ได้ทั้งหมด ก็เป็นอันว่าไม่ต้องเกิดกันอีกต่อไป
นั่นคือตายเมื่อใดก็ไปพระนิพพานอันเป็นแดนที่มีความสุขที่สุด.."
21 เมษายน 2562
พระมาลัยเถระเจ้า กราบนมัสการพระเกตุแก้วจุฬามณีเจดีย์ บนดาวดึงส์เทวโลก…”
“…พระมาลัยเถระเจ้า กราบนมัสการพระเกตุแก้วจุฬามณีเจดีย์ บนดาวดึงส์เทวโลก…”
“…เมื่อครั้งที่หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพานไปแล้ว ๖๐๐ ปี
พระมาลัยองค์อรหันต์เถระเจ้า ได้มาจุติเป็นลูกของครอบครัวหนึ่ง
พ่อมีศีล ๕ แม่มีศีล ๕ ออกจากท้องแม่ยายแล้ว อายุได้ ๗ ขวบ
พ่อกับแม่ก็ถวายให้เป็นลูกพระเถระองค์อรหันต์เจ้า
บวชในสำนักพระเถระอรหันต์เจ้า ต่อมาได้สำเร็จมรรคผล
ครั้นสำเร็จมรรคผลแล้ว ได้ไปกราบมนัสการพระบรมสารีริกธาตุและพระธาตุ พระเจดีย์ต่างๆ ในชมพูทวีปลังกา แต่ยังเหลือแค่พระเกตุแก้วจุฬามณีเจดีย์ บนดาวดึงส์พิภพ
ครั้นรู้แล้ว ได้ดอกบัวจากโยมอุบาสก นำมาถวาย ๘ ดอก ตอนบิณฑบาตรฉันเช้า เข้าฌาณเหาะขึ้นไปบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อไปกราบนมันการสักการะพระเกตุแก้วจุฬามณีเจดีย์ บนดาวดึงส์เทวโลก
พระอินทราธิราช เจ้าแห่งดาวดึงส์เทวโลกมาเห็นเข้า จึงเอ๋ยคำขึ้นว่ากราบนมัสการพระคุณเจ้า พระเจ้าคุณมาจากที่ใด พระคุณเจ้าขึ้นมาบนเทวโลก มีอะไรให้โยมรับใช้หรือขอรับ ?
อาตมา มาจากลังกาทวีปชมพูทวีป(โลกมนุษย์) ขึ้นมานี้ก็มากราบสักการะพระเกตุแก้วจุฬามณีเจดีย์ (พระมาลัย)
อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลยนะ พระคุณเจ้า อีหยังของพระคุณเจ้า ดอกบัวอุบลนี้ มันของต่ำ มันเป็นของอุบาสก อุบาสิกา บ่คู่ควรกับพระคุณเจ้าดอกครับกระผม (พระอินทราธิราช กล่าว)
โยม อาตมาจะกล่าวให้ฟังนะ อาตมานี้ก็มาจากโลกียะ พ่อแม่ก็โลกียะ อาตมาก็อาศัยโลกียะมาเกิด
ตอนอาตมาบวรเณร ก็ได้ดอกบัวอุบลนี้ล่ะถึงได้บวช
ตอนบวชพระ ก็ดอกบัวนี้ละถึงได้บวชเป็นพระมาทุกวันนี้นะโยม…
โยม มากล่าวอย่างนี้คงไม่ถูก โยมก็ไปลักลูกลักเมียเขามิใช่หรือ
อย่าว่าอาตมานี้ไม่รู้น่ะ (พระมาลัย กล่าว)
พระอินทราธิราช ยอมแล้ว ยอมรับครับ ท่านพระคุณเจ้า สมัยกระผมเป็นขันติยะมานพ นางสุชาดา เคยเป็นเมียของกระผม เมื่อตายแล้ว มาเกิดเป็นลูกยักษ์ พ่อเป็นยักษ์ แม่เป็นยักษ์ แต่ลูกไม่ใช่ยักษ์ งามที่สุดยังกะเทวดาอยู่ฟ้า กระผมแปลงกายจากอินทร์ให้เป็นยักษ์แก่อายุ ๘๙ ปี เพื่อไปเสี่ยงดวงเพื่อที่จะได้เอานางสุชาดากลับมาเป็นเมียอีกครั้งหนึ่ง ครั้นบ่ไป กระผมจะต้องตายถูกลงโทษครับ
ครั้นเสี่ยงดวง ๓ ครั้ง นางสุชาดาก็โยนพวงมาลัย ๓ ครั้ง ครั้งที่ ๑ ก็สวมหัวยักษ์แก่ ครั้งที่ ๒ ก็สวมหัวยักษ์แก่ ครั้งที่ ๓ ก็สวมหัวยักษ์แก่
เสนาบดีกระทรวงมหายักษ์ เลยกราบเรียนพระเจ้าแผ่นดิน พระเจ้าข้าลูกเขยของพระองค์ท่าน จะตายอยู่มื้อนี้ ควรเปลี่ยนใหม่
(พระอินทราธิราช เล่าถวายพระมาลัย)
พระอินทร์องค์นี้ลัก(ขโมย)ลูกสาวเขาไม่ใช่เหรอ ขี้เมาไม่ใช่เหรอ
นั้นล่ะตราบใด๋ที่โยมยังล่ะจากกามคุณบ่ได้ บ่สมควรมาติเตียนคนอื่น นะโยม (พระมาลัยกล่าว)
ข้าน้อยฯ ยอมทุกอย่างแล้วครับท่านพระคุณเจ้า เชิญพระคุณเจ้า ไปกราบนมัสการพระเจดีย์ได้เลยครับกระผม (พระอินทราธิราช กล่าว)
หลังจากพระมาลัยเจ้า กราบนมัสการพระจุฬามณีเจดีย์แล้วได้ไม่ทันนาน
เทวดาจากชั้นดุสิตนำบริวารมาแสนหนึ่ง มากราบพระจุฬามณีเจดีย์ รัศมีสว่างไสวมาก
พระมาลัย สอบถามพระอินทราธิราช นั้นใครหรือโยม ?
พระอินทราธิราช นั้นคือพระศรีอาริยะโพธิสัตว์ครับกระผม
ท่านมาจากชั้นดุสิต ลงมากราบนมัสการพระจุฬามณีเช่นเดียวกับพระคุณเจ้าครับกระผม (พระอินทราธิราช กล่าว)
ตอนนั้นพระศรีอารียะโพธิสัตว์ ได้มากราบนมัสการพระจุฬามณีเจดีย์ เช่นเดียวกับพระมาลัย
พระคุณเจ้ากราบนมัสการครับกระผม (พระศรีอาริยะโพธิสัตว์)
โส โพธิสัตโต โยมเป็นพระศรีอารีย์โพธิสัตว์หรือ ? (พระมาลัย)
ครับกระผม (พระศรีอาริยะโพธิสัตว์)
เมื่อใด๋โยมจะลงไปช่วยศาสนาพระโคตมะพุทธเจ้า (พระมาลัย)
เมื่อถึงเวลาครับกระผม (พระศรีอาริยะโพธิสัตว์)
สัตว์โลกยังมืดมนอยู่หลายเด้อโยม หน้าที่ของโยมควรจะลงไปโปรดสัตว์ช่วยรื้อขนสัตว์โลกออกจากกองทุกข์ใหญ่นี้ (พระมาลัยกล่าว)
ครับกระผมพระคุณเจ้า โยมจะลงไปช่วยอยู่ครับ ยังมีสัตว์โลกที่เกี่ยวข้องกับโยมอยู่ โยมจะลงไปช่วยอยู่ครับพระคุณเจ้า (พระศรีอาริยะโพธิสัตว์)
ดีแล้วละโยม อาตมา สาธุนำ แล้วยามใด๋โยมจะลงไปตรัสรู้ มนุษย์พวกไหนจะได้เห็นโยมได้ฟังธรรมจากโยมล่ะ ? (พระมาลัย)
โยมจะลงมาตรัสรู้ ก็ต่อเมื่อหลังจากหมดศาสนาพระโคตรมะพุทธเจ้า
มนุษย์อายุ ๘ หมื่นปี ฮู้จักความดี ความชั่ว อายุมนุษย์ยุคนั้น ๘ หมื่นปี
มนุษย์ที่จะพบโยมต้องฟังเทศน์มหาชาติมื้อเดี่ยวจบกัณฑ์ ได้พบโยม
คนฆ่าสัตว์ตัดชีวิต อันนี้บ่ได้พบโยม
คนลักเล็กขโมยน้อย อันนี้บ่ได้พบโยม
คนผิดลูกผิดเมีย ผิดผัว อันนี้บ่ได้พบโยม
คนขี้ปด มุสา อันนี้บ่ได้พบโยม คนมักของมึนเมา อันนี้บ่ได้พบโยม
ให้พระคุณเจ้าไปบอกพวกมนุษย์ด้วยขอรับ ให้สร้างคุณงามความดีไว้จึงได้พ้อพบกับโยมแน่นอน (พระศรีอาริยะโพธิสัตว์)
หลังจากนั้นพระศรีอาริยะโพธิสัตว์สันดุสิต ก็กราบลากลับชั้นของตน
พระมาลัยเจ้า ก็ทูลลาถวายพระพร พระอินทราธิราช
พระอินทราธิราชก็กราบนมัสการ และร่วมส่งพระอรหันต์เจ้า
กลับชมพูทวีปลังกา เพื่อโปรดสัตว์โลกต่อไป…”
คัดย่อมาจากพระธรรมเทศนาองค์หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม วัดป่าอรัญญวิเวก ต.บ้านข่า อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม
“…เมื่อครั้งที่หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพานไปแล้ว ๖๐๐ ปี
พระมาลัยองค์อรหันต์เถระเจ้า ได้มาจุติเป็นลูกของครอบครัวหนึ่ง
พ่อมีศีล ๕ แม่มีศีล ๕ ออกจากท้องแม่ยายแล้ว อายุได้ ๗ ขวบ
พ่อกับแม่ก็ถวายให้เป็นลูกพระเถระองค์อรหันต์เจ้า
บวชในสำนักพระเถระอรหันต์เจ้า ต่อมาได้สำเร็จมรรคผล
ครั้นสำเร็จมรรคผลแล้ว ได้ไปกราบมนัสการพระบรมสารีริกธาตุและพระธาตุ พระเจดีย์ต่างๆ ในชมพูทวีปลังกา แต่ยังเหลือแค่พระเกตุแก้วจุฬามณีเจดีย์ บนดาวดึงส์พิภพ
ครั้นรู้แล้ว ได้ดอกบัวจากโยมอุบาสก นำมาถวาย ๘ ดอก ตอนบิณฑบาตรฉันเช้า เข้าฌาณเหาะขึ้นไปบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อไปกราบนมันการสักการะพระเกตุแก้วจุฬามณีเจดีย์ บนดาวดึงส์เทวโลก
พระอินทราธิราช เจ้าแห่งดาวดึงส์เทวโลกมาเห็นเข้า จึงเอ๋ยคำขึ้นว่ากราบนมัสการพระคุณเจ้า พระเจ้าคุณมาจากที่ใด พระคุณเจ้าขึ้นมาบนเทวโลก มีอะไรให้โยมรับใช้หรือขอรับ ?
อาตมา มาจากลังกาทวีปชมพูทวีป(โลกมนุษย์) ขึ้นมานี้ก็มากราบสักการะพระเกตุแก้วจุฬามณีเจดีย์ (พระมาลัย)
อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลยนะ พระคุณเจ้า อีหยังของพระคุณเจ้า ดอกบัวอุบลนี้ มันของต่ำ มันเป็นของอุบาสก อุบาสิกา บ่คู่ควรกับพระคุณเจ้าดอกครับกระผม (พระอินทราธิราช กล่าว)
โยม อาตมาจะกล่าวให้ฟังนะ อาตมานี้ก็มาจากโลกียะ พ่อแม่ก็โลกียะ อาตมาก็อาศัยโลกียะมาเกิด
ตอนอาตมาบวรเณร ก็ได้ดอกบัวอุบลนี้ล่ะถึงได้บวช
ตอนบวชพระ ก็ดอกบัวนี้ละถึงได้บวชเป็นพระมาทุกวันนี้นะโยม…
โยม มากล่าวอย่างนี้คงไม่ถูก โยมก็ไปลักลูกลักเมียเขามิใช่หรือ
อย่าว่าอาตมานี้ไม่รู้น่ะ (พระมาลัย กล่าว)
พระอินทราธิราช ยอมแล้ว ยอมรับครับ ท่านพระคุณเจ้า สมัยกระผมเป็นขันติยะมานพ นางสุชาดา เคยเป็นเมียของกระผม เมื่อตายแล้ว มาเกิดเป็นลูกยักษ์ พ่อเป็นยักษ์ แม่เป็นยักษ์ แต่ลูกไม่ใช่ยักษ์ งามที่สุดยังกะเทวดาอยู่ฟ้า กระผมแปลงกายจากอินทร์ให้เป็นยักษ์แก่อายุ ๘๙ ปี เพื่อไปเสี่ยงดวงเพื่อที่จะได้เอานางสุชาดากลับมาเป็นเมียอีกครั้งหนึ่ง ครั้นบ่ไป กระผมจะต้องตายถูกลงโทษครับ
ครั้นเสี่ยงดวง ๓ ครั้ง นางสุชาดาก็โยนพวงมาลัย ๓ ครั้ง ครั้งที่ ๑ ก็สวมหัวยักษ์แก่ ครั้งที่ ๒ ก็สวมหัวยักษ์แก่ ครั้งที่ ๓ ก็สวมหัวยักษ์แก่
เสนาบดีกระทรวงมหายักษ์ เลยกราบเรียนพระเจ้าแผ่นดิน พระเจ้าข้าลูกเขยของพระองค์ท่าน จะตายอยู่มื้อนี้ ควรเปลี่ยนใหม่
(พระอินทราธิราช เล่าถวายพระมาลัย)
พระอินทร์องค์นี้ลัก(ขโมย)ลูกสาวเขาไม่ใช่เหรอ ขี้เมาไม่ใช่เหรอ
นั้นล่ะตราบใด๋ที่โยมยังล่ะจากกามคุณบ่ได้ บ่สมควรมาติเตียนคนอื่น นะโยม (พระมาลัยกล่าว)
ข้าน้อยฯ ยอมทุกอย่างแล้วครับท่านพระคุณเจ้า เชิญพระคุณเจ้า ไปกราบนมัสการพระเจดีย์ได้เลยครับกระผม (พระอินทราธิราช กล่าว)
หลังจากพระมาลัยเจ้า กราบนมัสการพระจุฬามณีเจดีย์แล้วได้ไม่ทันนาน
เทวดาจากชั้นดุสิตนำบริวารมาแสนหนึ่ง มากราบพระจุฬามณีเจดีย์ รัศมีสว่างไสวมาก
พระมาลัย สอบถามพระอินทราธิราช นั้นใครหรือโยม ?
พระอินทราธิราช นั้นคือพระศรีอาริยะโพธิสัตว์ครับกระผม
ท่านมาจากชั้นดุสิต ลงมากราบนมัสการพระจุฬามณีเช่นเดียวกับพระคุณเจ้าครับกระผม (พระอินทราธิราช กล่าว)
ตอนนั้นพระศรีอารียะโพธิสัตว์ ได้มากราบนมัสการพระจุฬามณีเจดีย์ เช่นเดียวกับพระมาลัย
พระคุณเจ้ากราบนมัสการครับกระผม (พระศรีอาริยะโพธิสัตว์)
โส โพธิสัตโต โยมเป็นพระศรีอารีย์โพธิสัตว์หรือ ? (พระมาลัย)
ครับกระผม (พระศรีอาริยะโพธิสัตว์)
เมื่อใด๋โยมจะลงไปช่วยศาสนาพระโคตมะพุทธเจ้า (พระมาลัย)
เมื่อถึงเวลาครับกระผม (พระศรีอาริยะโพธิสัตว์)
สัตว์โลกยังมืดมนอยู่หลายเด้อโยม หน้าที่ของโยมควรจะลงไปโปรดสัตว์ช่วยรื้อขนสัตว์โลกออกจากกองทุกข์ใหญ่นี้ (พระมาลัยกล่าว)
ครับกระผมพระคุณเจ้า โยมจะลงไปช่วยอยู่ครับ ยังมีสัตว์โลกที่เกี่ยวข้องกับโยมอยู่ โยมจะลงไปช่วยอยู่ครับพระคุณเจ้า (พระศรีอาริยะโพธิสัตว์)
ดีแล้วละโยม อาตมา สาธุนำ แล้วยามใด๋โยมจะลงไปตรัสรู้ มนุษย์พวกไหนจะได้เห็นโยมได้ฟังธรรมจากโยมล่ะ ? (พระมาลัย)
โยมจะลงมาตรัสรู้ ก็ต่อเมื่อหลังจากหมดศาสนาพระโคตรมะพุทธเจ้า
มนุษย์อายุ ๘ หมื่นปี ฮู้จักความดี ความชั่ว อายุมนุษย์ยุคนั้น ๘ หมื่นปี
มนุษย์ที่จะพบโยมต้องฟังเทศน์มหาชาติมื้อเดี่ยวจบกัณฑ์ ได้พบโยม
คนฆ่าสัตว์ตัดชีวิต อันนี้บ่ได้พบโยม
คนลักเล็กขโมยน้อย อันนี้บ่ได้พบโยม
คนผิดลูกผิดเมีย ผิดผัว อันนี้บ่ได้พบโยม
คนขี้ปด มุสา อันนี้บ่ได้พบโยม คนมักของมึนเมา อันนี้บ่ได้พบโยม
ให้พระคุณเจ้าไปบอกพวกมนุษย์ด้วยขอรับ ให้สร้างคุณงามความดีไว้จึงได้พ้อพบกับโยมแน่นอน (พระศรีอาริยะโพธิสัตว์)
หลังจากนั้นพระศรีอาริยะโพธิสัตว์สันดุสิต ก็กราบลากลับชั้นของตน
พระมาลัยเจ้า ก็ทูลลาถวายพระพร พระอินทราธิราช
พระอินทราธิราชก็กราบนมัสการ และร่วมส่งพระอรหันต์เจ้า
กลับชมพูทวีปลังกา เพื่อโปรดสัตว์โลกต่อไป…”
คัดย่อมาจากพระธรรมเทศนาองค์หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม วัดป่าอรัญญวิเวก ต.บ้านข่า อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม
๒๑ เมษายน ๒๓๗ ปี กรุงรัตนโกสินทร์ เทิดพระเกียรติ ๑๐ รัชกาล
รักราช จงจิตน้อม...........ภักดี ท่านนา
รักชาติ กอบกรณีย์.........แน่วไว้
รักศาสน์ กอบบุญตรี.......สุจริต ถ้วนเทอญ
รักศักดิ์ จงจิตให้............โลกซร้องสรรเสริญฯ
.
๏ ยามเดินยืนนั่งน้อม.......กะมล
รำลึกถึงเทศตน............. อยู่ยั้ง
เป็นรัฎฐะมณฑล............ไทยอยู่ สราญฮา
คนถนอมแน่นตั้ง............อยู่เพี้ยงอวสานฯ
.
๏ ใครรานใครรุกด้าว.......แดนไทย
ไทยรบจนสุดใจ.............ขาดดิ้น
เสียเนื้อเลือดหลั่งไหล....ยอมสละ สิ้นแล
เสียชีพไป่เสียสิ้น...........ชื่อก้องเกียรติงามฯ
.
๏ หากสยามยังอยู่ยั้ง..... ยืนยง
เราก็เหมือนอยู่คง......... ชีพด้วย
หากสยามพินาศลง........ไทยอยู่ ได้ฤๅ
เราก็เหมือนมอดม้วย......หมดสิ้นสกุลไทยฯ
.
๒๑ เมษายน พ.ศ.๒๓๒๕ เป็นวันครบรอบ ๒๓๗ ปี นับจากวันที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ ๑ ทรงสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นเป็นราชธานีแห่งที่ ๔ ของสยามประเทศ ทรงโปรดเกล้าฯ ให้มีพระราชพิธีฝังเสาพระหลักเมืองที่กรุงเทพมหานคร วันอาทิตย์ ขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือน ๖ ปีขาล ตรงกับวันที่ ๒๑ เมษายน พ.ศ.๒๓๒๕ เวลา ๐๖:๕๔ น.รวมทั้งโปรดเกล้าฯ ให้มีการก่อสร้างพระบรมมหาราชวัง รวมทั้งวัดพระศรีรัตนศาสดารามขึ้นในคราวเดียวกัน
.
ปวงข้าพระพุทธเจ้า น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
เป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้ ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม
20 เมษายน 2562
หน้าที่ของ..ภูมิเทวดา
ผู้ถาม : หลวงพ่อคะ
บ้านทุกหลัง มีพระภูมิเจ้าที่ อยู่ไหมคะ..?
หลวงพ่อฯ : เขาคงไม่อยู่นะ.. พระภูมิองค์หนึ่ง รักษาเขตเป็นกิโล ๆ องค์เดียวกันนี่นะ
เคยถามเขาว่า : คนที่คุณรักษาในเขตกรุงเทพฯ เป็นกิโล นี่ คนมันมากเหลือเกิน มีเป็นล้าน แล้วคุณจะรู้ได้ยังไง ว่า เขาทำดีทำชั่ว ต่างกรรมต่างวาระ คุณรู้ได้ยังไง.?
เขาบอกว่า : อารมณ์จิตผมเป็นทิพย์ครับ คือ ไม่ต้องไปถามดูหรอก มันขึ้นเอง คือว่า บัญชีมันขึ้นเอง มันจะบอกเลยว่า ใครทำอะไร.. เขาบอกว่า : เขามีหน้าที่รับทราบ คนที่ทำความดีความชั่ว
เมื่อถึงเวลาวันโกน วันกลางเดือน หรือ วันสิ้นเดือน จะมีเทวดาชั้นจาตุมหาราช มารับบัญชี และก็ จะไปส่งให้ เทวดาที่เป็นมหาอำมาตย์ใหญ่ เทวดาผู้ใหญ่ ก็เสนอท้าวมหาราช
ท้าวมหาราช ท่านก็จะแบ่งบัญชี เป็น ๒ บัญชี ใครทำบาป กันไว้ประเภทของบาป.. ใครทำบุญ กันไว้ประเภทของบุญ ประเภทบาป ก็ให้เทวดา ๔ องค์ ที่เรียกว่า "เทวทูต" นำไปส่งสำนักพระยายม
ตัวท่านท้าวมหาราชเอง พอเวลาวันพระ ก็นำไปส่งที่ประชุมของเทวดา บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เมื่อเทวดามาประชุมกัน ที่เทวสภา หรือ ศาลาสุธรรมา บรรดาเทวดาทั้งหลายเหล่านั้น เมื่อทราบว่าคนทำบุญมาก ก็ดีใจ
แต่หน้าที่ ที่จะนำเอาบัญชีนั้นไปกราบทูล ให้พระอินทร์ทรงทราบ คือ "ท่านปัญจสิกขเทพบุตร" มีหน้าที่เป็นเลขาพระอินทร์ เมื่อพระอินทร์ทรงทราบแล้ว ก็ประกาศนามคนที่ทำบุญเหล่านั่น ให้มวลหมู่เทวดา ที่มาประชุมกันทราบ
ถ้าระหว่างวันพระไหน มีคนทำบุญมาก บัญชีบุญบัญชีกุศลมาก บรรดาเทวดาทั้งหลาย ก็ดีใจ กล่าวกันว่า ต่อแต่นี้ไปพวกบรรดาเทพนิกายมากแล้ว
เพราะอาศัย ความดี ดีใจ ปลื้มใจ ที่มีพวกมาก ท่านก็พากันฟ้อนรำ ทั้งเทวดา และ นางฟ้า.. ความจริงสวยจริง ๆ นะ
แต่วันพระไหน ถ้าบังเอิญคนทำบุญน้อย บรรดาเทวดาทั้งหลาย ได้ทราบจากบัญชีของท้าวมหาราช ก็สลดใจ วันนั้นไม่มีการฟ้อนรำ นั่งสลดใจเศร้าสร้อยไปตาม ๆ กัน
( จากหนังสือ *หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม* เล่มที่ ๓ หน้าที่ ๒๔ ของวัดท่าซุง )
19 เมษายน 2562
พระเจ้าตากสืนมหาราชา
ฝรั่งยกย่อง "พระเจ้าตาก" ทรงพระปรีชายิ่ง ไม่กลัวเสื่อมพระราชอำนาจเพียงเพราะการออกพบราษฎรของพระองค์ ด้วยพระเจ้าตากมีพระประสงค์จะทอดพระเนตรการทั้งปวงด้วยพระเนตรของพระองค์เองทั้งสิ้น
“…บรรดาคนทั้งหลายเรียกพระเจ้าตากว่า พระเจ้าแผ่นดิน แต่พระเจ้าตากเองว่าเป็นแต่เพียงผู้รักษากรุงเท่านั้น พระเจ้าตากหาได้ทรงประพฤติเหมือนอย่างพระเจ้าแผ่นดินก่อนๆ ไม่ และในธรรมเนียมของเจ้าแผ่นดินฝ่ายทิศตะวันออกที่ไม่เสด็จออกให้ราษฎรเห็นพระองค์ ด้วยกลัวจะเสื่อมเสียพระเกียรติยศนั้น พระเจ้าตากไม่ทรงเห็นชอบด้วยเลย
พระเจ้าตากทรงพระปรีชาสามารถยิ่งกว่าคนธรรมดา เพราะฉะนั้นจึงไม่ทรงเกรงว่าถ้าเสด็จออกให้ราษฎรพลเมืองเห็นพระองค์และถ้าจะทรงมีรับสั่งด้วยแล้ว จะทำให้เสียพระราชอำนาจลงแต่อย่างใด พระองค์มีพระประสงค์จะทอดพระเนตรการทั้งปวงด้วยพระเนตรของพระองค์เองทั้งสิ้น พระองค์ทรงทนทานแก่ความเหน็ดเหนื่อย ทั้งทรงกล้าหาญและพระปัญญาก็เฉียบแหลม มีพระนิสัยกล้าได้กล้าเสียและพระทัยเร็ว ถ้าจะว่าก็เป็นทหารอันกล้าหาญคน ๑ ตั้งแต่ได้เสด็จขึ้นครองราชสมบัติ ได้เสด็จยกทัพไปปราบเมืองนครศรีธรรมราช และเมือไทรบุรีก็มายอมอ่อนน้อมสวามิภักดิ์ต่อพระองค์แล้ว เมื่อเร็วๆนี้พระเจ้าตากได้เสด็จไปตีเมืองคันเคาและเมืองป่าสักมาได้ และทางฝ่ายเขมรนั้นไม่มีใครคิดสู้พระองค์เลย…”
คัดมาจาก จดหมายเหตุมองเซนเยอร์เลอบอง ถึงผู้อำนวยการคณะการต่างประเทศ ลงวันที่ ๑ เดือนพฤศจิกายน ค.ศ. ๑๗๗๒ (พ.ศ.๒๓๑๕) ในประชุมพงศาวดาร เล่มที่ 23 จดหมายเหตุคณะบาทหลวงฝรั่งเศสในแผ่นดินพระเจ้าเอกทัศ กรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น
ที่มาข้อมูล: ศิลปวัฒนธรรม SILPA-MAG.COM
17 เมษายน 2562
ลายพระปรมาภิไธย พระมหากษัตริย์ในราชวงศ์จักรี
ลายพระปรมาภิไธย พระมหากษัตริย์ในราชวงศ์จักรี
เอกสารในสมัยโบราณของไทยใช้การประทับตราประจำกรมของเสนาบดี เช่น กฎหมายตราสามดวง ใช้ตราบัวแก้ว ตราราชสีห์ และตราคชสีห์ แต่ไม่มีการลงชื่อเช่นในปัจจุบัน พระมหากษัตริย์ก็มีตราพระราชลัญจกรประจำพระองค์ ประทับเวลาออกพระบรมราชโองการหรือหมายรับสั่งต่าง ๆ เอกสารจะถูกบันทึกลงในสมุดข่อยหรือสมุดไทยที่มีรูปแบบเป็นพับ เนื้อกระดาษสีดำบ้างขาวบ้าง และแบบที่เป็นกระดาษม้วน
ยุคแรกที่มีการเปลี่ยนแปลงเอกสาร คือสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ในปี พ.ศ. ๒๓๙๗ มีพระบรมราชโองการว่า
“…ให้ประกาศแก่ข้าราชการฝ่ายทหารพลเรือนฝ่ายหน้าฝ่ายใน แลราษฎรทั้งปวง บรรดาที่ต้องทำฎีกา ทูลเกล้าฯ ถวาย อย่าให้เขียนกระดาษม้วนยาว ๆ อย่าให้ต้องคลี่ลำบาก ให้เขียนใส่กระดาษตัดเป็นท่อนๆ แล้วติดเข้าเหมือนอย่างสมุดฝรั่ง จะได้ทรงทอดพระเนตรง่าย ๆ …”
การทรงลง “พระปรมาภิไธย” ในเอกสารสำคัญต่าง ๆ ของพระมหากษัตริย์ไทย จึงเริ่มปรากฏหลักฐานครั้งแรกในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ปรากฏหลักฐานการลงพระปรมาภิไธยในแต่ละรัชกาลดังนี้
รัชกาลที่ ๔ : “สมเด็จพระปรเมนทรมหามกุฎ พระจอมเกล้าเจ้ากรุงสยาม” ในกรณีที่เป็นเอกสารภาษาต่างประเทศจะทรงลงพระปรมาภิไธยว่า “SPPM. Mongkut Rex Siamensium (Somdet Phra Poramenthra Maha Mongkut King of the Siamese)”
รัชกาลที่ ๕ : “จุฬาลงกรณ์ ปร.” หรือ “สยามินทร์”
รัชกาลที่ ๖ : ช่วงต้นรัชกาลทรงลงพระปรมาภิไธยว่า “วชิราวุธ ปร.” ภายหลังทรงเปลี่ยนเป็น “ราม วชิราวุธ ปร.” หรือ “ราม ร.”
รัชกาลที่ ๗ : “ประชาธิปก ปร.”
รัชกาลที่ ๘ : “อานันทมหิดล”
รัชกาลที่ ๙ : โดยทั่วไปทรงลงพระปรมาภิไธยว่า “ภูมิพลอดุลยเดช ปร.” ในเอกสารบางแห่งทรงลงพระปรมาภิไธยว่า “สมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร” ในกรณีที่เป็นเอกสารภาษาต่างประเทศจะทรงลงพระปรมาภิไธยว่า “Bhumibol R.”
รัชกาลปัจจุบัน : “มหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร”
(ขอบคุณเพจ : โบราณนานมา)
เอกสารในสมัยโบราณของไทยใช้การประทับตราประจำกรมของเสนาบดี เช่น กฎหมายตราสามดวง ใช้ตราบัวแก้ว ตราราชสีห์ และตราคชสีห์ แต่ไม่มีการลงชื่อเช่นในปัจจุบัน พระมหากษัตริย์ก็มีตราพระราชลัญจกรประจำพระองค์ ประทับเวลาออกพระบรมราชโองการหรือหมายรับสั่งต่าง ๆ เอกสารจะถูกบันทึกลงในสมุดข่อยหรือสมุดไทยที่มีรูปแบบเป็นพับ เนื้อกระดาษสีดำบ้างขาวบ้าง และแบบที่เป็นกระดาษม้วน
ยุคแรกที่มีการเปลี่ยนแปลงเอกสาร คือสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ในปี พ.ศ. ๒๓๙๗ มีพระบรมราชโองการว่า
“…ให้ประกาศแก่ข้าราชการฝ่ายทหารพลเรือนฝ่ายหน้าฝ่ายใน แลราษฎรทั้งปวง บรรดาที่ต้องทำฎีกา ทูลเกล้าฯ ถวาย อย่าให้เขียนกระดาษม้วนยาว ๆ อย่าให้ต้องคลี่ลำบาก ให้เขียนใส่กระดาษตัดเป็นท่อนๆ แล้วติดเข้าเหมือนอย่างสมุดฝรั่ง จะได้ทรงทอดพระเนตรง่าย ๆ …”
การทรงลง “พระปรมาภิไธย” ในเอกสารสำคัญต่าง ๆ ของพระมหากษัตริย์ไทย จึงเริ่มปรากฏหลักฐานครั้งแรกในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ปรากฏหลักฐานการลงพระปรมาภิไธยในแต่ละรัชกาลดังนี้
รัชกาลที่ ๔ : “สมเด็จพระปรเมนทรมหามกุฎ พระจอมเกล้าเจ้ากรุงสยาม” ในกรณีที่เป็นเอกสารภาษาต่างประเทศจะทรงลงพระปรมาภิไธยว่า “SPPM. Mongkut Rex Siamensium (Somdet Phra Poramenthra Maha Mongkut King of the Siamese)”
รัชกาลที่ ๕ : “จุฬาลงกรณ์ ปร.” หรือ “สยามินทร์”
รัชกาลที่ ๖ : ช่วงต้นรัชกาลทรงลงพระปรมาภิไธยว่า “วชิราวุธ ปร.” ภายหลังทรงเปลี่ยนเป็น “ราม วชิราวุธ ปร.” หรือ “ราม ร.”
รัชกาลที่ ๗ : “ประชาธิปก ปร.”
รัชกาลที่ ๘ : “อานันทมหิดล”
รัชกาลที่ ๙ : โดยทั่วไปทรงลงพระปรมาภิไธยว่า “ภูมิพลอดุลยเดช ปร.” ในเอกสารบางแห่งทรงลงพระปรมาภิไธยว่า “สมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร” ในกรณีที่เป็นเอกสารภาษาต่างประเทศจะทรงลงพระปรมาภิไธยว่า “Bhumibol R.”
รัชกาลปัจจุบัน : “มหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร”
(ขอบคุณเพจ : โบราณนานมา)
พระหลวงพ่อทวด.สมเด็จโตสร้าง
พระหลวงพ่อทวด.สมเด็จโตสร้างและปลุกเสก.จริง เนื้อผงว่านผสมตะไบทองและผงที่ได้จากพระซุ้มกอกำแพงเพชร หลังฝังตะกรุด 1 ดอก
สุดยอดพระนิรันตราย.อัญเชิญพระดวงวิญญาณ หลวงพ่อทวดปลุกเสกให้จริง
พลังธาตุนำด้วยพลังธาตุลม น้ำ ดิน ไฟ. มีพบเฉพาะในพระหลวงทวดองค์ท่านเท่านั้นครับ
มุมมองใหม่เพื่อการเรียนรู้ ร่วมกันครับ
จากหลวงพ่อทวด. สมเด็จโตสร้างและปลุกเสก. ถึงหลวงพ่อทวด2497และ2505. หลวงพ่อทิม วัดช้างให้
ผ่านองค์ชายเฉลิมพล ผู้สร้าง
ปลุกเสกโดยดวงจิตหลวงพ่อทวด
เพื่อการศึกษาและพิจารณา
มุมมองใหม่เพื่อการศึกษาเรียนรู้ร่วมกันครับ
สุดยอดพระนิรันตราย ทั้งสองยุค
พลังธาตุนำด้วยพลังธาตุ ลม น้ำ ดิน ไฟ
DNA. พลังธาตุ มีเฉพาะองค์ท่านเท่านั้นครับ
ผ่านองค์ชายเฉลิมพล ผู้สร้าง
ปลุกเสกโดยดวงจิตหลวงพ่อทวด
เพื่อการศึกษาและพิจารณา
มุมมองใหม่เพื่อการศึกษาเรียนรู้ร่วมกันครับ
สุดยอดพระนิรันตราย ทั้งสองยุค
พลังธาตุนำด้วยพลังธาตุ ลม น้ำ ดิน ไฟ
DNA. พลังธาตุ มีเฉพาะองค์ท่านเท่านั้นครับ
๑๗ เมษายน รำลึกบูชาคุณ ๒๓๑ ปีชาตกาล อาจาริยบูชาคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี)
๑๗ เมษายน รำลึกบูชาคุณ ๒๓๑ ปีชาตกาล อาจาริยบูชาคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี)
หรือนามที่นิยมเรียก "สมเด็จโต" "หลวงปู่โต" หรือ "สมเด็จวัดระฆัง" ท่านเป็นพระมหาเถระรูปสำคัญที่ได้รับความนิยมนับถืออย่างมากในประเทศไทย ท่านเคยดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหารในสมัยรัชกาลที่ ๔-๕ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) นับเป็นพระเถราจารย์ผู้มีปฏิปทาจริยาวัตรน่าเลื่อมใส เป็นที่เคารพนับถือทั่วไปมาตั้งแต่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ตั้งแต่พระมหากษัตริย์จนถึงสามัญชน ด้วยปฏิปทาจริยาวัตรความสมถะอันโดดเด่นของท่านและคุณวิเศษอัศจรรย์ของท่านแล้วจึงทำให้พุทธศาสนิกชนชาวไทยเคารพนับถือว่าท่านเป็นอมตะเถราจารย์รูปหนึ่งของเมืองไทย และมีผู้นับถือจำนวนมากในปัจจุบัน
“ลูกเอ๋ย..ก่อนจะเที่ยวไปขอบารมีหลวงพ่อองค์ใด เจ้าจะต้องมีทุนของตัวเองคือบารมีของตนลงทุนไปก่อน เมื่อบารมีของเจ้าไม่พอจึงค่อยขอยืมบารมีของคนอื่นมาช่วย มิฉะนั้นเจ้าจะเอาตัวไม่รอด เพราะหนี้สินในบุญบารมีที่เที่ยวไปขอยืมมาจนพ้นตัว...เมื่อทำบุญทำกุศลได้บารมีมา ก็ต้องเอาไปผ่อนใช้หนี้เขาจนหมด ไม่มีอะไรเหลือติดตัว...แล้วเจ้าจะมีอะไรไว้ในภพหน้าหมั่นสร้างบารมีไว้..แล้วฟ้าดินจะช่วยเอง”
“เจ้าจงจำไว้นะ...เมื่อยังไม่ถึงเวลาเทพเจ้าองค์ใดจะคิดช่วยเจ้าไม่ได้...ครั้นถึงเวลา...ทั่วฟ้าจบดินก็ต้านเจ้าไม่อยู่...จงอย่าไปเร่งเทวดาฟ้าดินเมื่อบุญเราไม่เคยสร้างไว้เลยจะมีใครที่ไหนมาช่วยเจ้า…”
โอวาทธรรมคำสอนสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี
◎ สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ท่านถือกำเนิดในสมัยรัชกาลที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อวันขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือน ๕ ปีวอก ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๑๗ เมษายน พ.ศ.๒๓๓๑ เวลา ๑๖.๓๕ นาฬิกา
ท่านเป็นบุตรนอกเศวตรฉัตรในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่๒ แห่งราชวงศ์จักรี กล่าวคือในสมัยรัชกาลที่๑ นั้น ได้เกิดศึกขึ้นทางภาคเหนือของไทย โดยกองทัพเวียงจันทน์จะยกมาตีเมืองโคราช พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว(สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ ) จึงทรงมีรับสั่งให้รัชกาลที่๒ ซึ่งขณะนั้นทรงดำรงพระยศเป็นเจ้าฟ้า ไปปราบศึกที่ยกมา รัชกาลที่๒ ซึ่งขณะนั้นเพิ่งมีพระชนมายุได้ ๑๗ พรรษาเท่านั้น ก็ได้ยกทัพไปทางเรือ ครั้นไปถึงจังหวัดกำแพงเพชรก็ได้มีชาวบ้านจัดสินค้าต่างๆมาขายแก่พวกทหารในกองทัพ ในจำนวนแม่ค้าพายเรือมาขายของนั้น ได้มีมารดาของท่านซึ่งเป็นสาวงามชาวกำแพงเพชรด้วยผู้หนึ่ง (ท่านเล่าว่ามารดาของท่านชื่อ แม่งุด ) มารดาของท่านพายเรือขายผลกระท้อนแก่พวกทหาร ด้วยบุพเพสันนิวาส พวกนายทหารเห็นเป็นบุญว่ามารดาของท่านเป็นคนสวยจึงชักพาให้ได้กับเจ้าฟ้าแม่ทัพ และได้อยู่ร่วมกันคืนหนึ่ง ก่อนที่จะจากไปท่านแม่ทัพบิดาของท่านได้ประทานรัดประคดอันหนึ่งแก่มารดาของท่านไว้ เพื่อมอบให้บุตรที่จะเกิดขึ้นต่อไป ทั้งรับสั่งไว้ด้วยว่าถ้ามารดาของท่านคลอดบุตรเป็นชายให้ตั้งชื่อว่า “โต” ถ้าคลอดบุตรเป็นหญิง ให้ตั้งชื่อว่า “เกตุแก้ว”หลังจากนั้นก็เดินทัพต่อไป
ต่อมามารดาของท่านก็ได้ตั้งครรภ์ท่าน ระหว่างตั้งครรภ์มารดาของท่านได้ล่องเรือลงมาสืบหาสามีถึงบางกอก จึงได้ทราบว่าสามีเป็นเจ้าฟ้าผู้สูงศักดิ์ จะเป็นกษัตริย์สืบต่อไปก็เกิดความเจียมตัวจึงไม่แสดงตัว และได้คลอดท่านที่บ้านญาติที่บางกอกน้อยนั้นเอง ตั้งชื่อว่า “โต” ตามที่บิดาท่านสั่งไว้ ตอนเล็กๆนั้นท่านเป็นเด็กที่เรียกว่า“ตัวกระเปี๊ยกเลี๊ยก” เพราะกินอยู่ไม่สมบูรณ์ ต่อมาตาและมารดาของท่านได้ไปค้าขาย ( ท่านว่าไปขายของจับฉลาก ) อยู่ที่จังหวัดพิจิตร แล้วต่อมาก็ได้อพยพไปอยู่ที่อำเภอไชโย จังหวัดอ่างทอง
เมื่อท่านอายุได้ ๗ ขวบ ท่านอยากบวชจึงไปบอกแม่กับตา แม่กับตาก็ให้บวชเป็นสามเณรอยู่ที่วัดสำนักสงฆ์ใหญ่ ( ซึ่งต่อมาจึงได้สร้างเป็นวัดเกตุไชโย ) หลังจากทรงบรรพชาแล้ว ก็เริ่มปฏิบัติธรรมทั้งทางด้านปริยัติ ปฏิบัติและปฏิเวธ ศึกษาค้นคว้าแตกฉานเร็วมากด้วยเหตุแห่งการสั่งสมบารมีมามากเป็นอเนกอนันตชาติ และทรงทราบว่าพระองค์มาจุติหรืออุบัติขึ้นเพื่อเจริญพระศาสนา จึงเร่งศึกษาพระไตรปิฎกอย่างแตกฉานแยกแยะความถูกต้องและผิดพลาดจากการบันทึกไว้ในพระไตรปิฎก เร่งฝึกวิปัสสนาพระกรรมฐานความรู้แจ้งเห็นจริงก็ปรากฏขึ้นในดวงจิตที่มุ่งมั่นสะอาดและบริสุทธิ์ ทรงมีพระปัญญาคมกล้าเป็นยอดเยี่ยม จึงสามารถบรรลุมรรคผลอย่างรวดเร็ว โดยการเริ่มเทศน์จากพระคัมภีร์ใบลาน จนกระทั่งเทศน์ด้วยปากเปล่าและในรูปแบบของปุจฉา-วิสัชนา เป็นที่ยอมรับของอุบาสกอุบาสิกาทั้งหลาย ที่ได้ฟังพระสุรเสียงเป็นที่ไพเราะจับใจ ความชัดเจนของอักขระการเอื้อนทำนองวรรคตอนได้ถูกต้อง ภาษาสละสลวย เนื้อหาสาระที่เทศน์ ไม่ว่าจะเป็นพระธรรมเจ็ดคัมภีร์ หรือพระเจ้า ๑๐ ชาติ ก็สามารถเทศน์ให้ญาติโยมได้รับฟังอย่างจับจิตจับใจและฟังอย่างมีความสุข และจดจำเนื้อหาที่เทศน์ได้ และประกอบด้วยพระอัจฉริยภาพที่สง่างาม น่ารักของ “ สามเณรจิ๋ว ” ท่านบวชแล้วก็เกิดไม่ยอมสึก แม่ไม่ทราบจะทำอย่างไรก็ปล่อยให้บวชไปเรื่อยๆ พอผ่านไปสัก ๓ พรรษา ตอนนั้นอายุได้สัก ๑๐ ขวบ ท่านก็ยังไม่ยอมสึกตามที่มารดาของท่านพยายามให้สึก สมัยนั้นหน้าวัดที่ท่านบวชมีเรือสำเภาล่องมาจากทางเหนือคือทางปากน้ำโพผ่านมาจอดเสมอ สามเณรโตคิดว่าขืนอยู่อ่างทองนี้ต้องสึกแน่เพราะมารดาและตาของท่านฝากความหวังไว้กับท่าน ต้องการให้สึกจึงอ้อนวอนรบเร้าท่านเสมอ ท่านไม่อยากสึก ท่านจึงได้สอบถามว่าเรือสำเภาลำไหนบ้างที่พรุ่งนี้เช้าล่องไปบางกอก ก็ได้มีไต้ก๋ง(กัปตันเรือสำเภา) ชื่อแดงประจำเรือสำเภาลำหนึ่งบอกว่าเณรจะไปไหน พรุ่งนี้เรือจะล่องไปบางกอกตอนตีห้าท่านก็บอกไต้ก๋งแดงว่า ท่านจะไปเที่ยวบางกอก แล้วก็กลับไปเก็บข้าวของเตรียมเดินทาง คืนนั้นท่านนอนไม่หลับ เพราะเกิดการต่อสู้ทางความคิดขึ้นในจิตใจท่านเป็นอย่างมาก ตากับแม่ฝากความหวังไว้ที่ท่าน แต่ท่านนั้นดื่มด่ำในรสพระธรรมและจะทิ้งไปโดยไม่บอกให้ทราบ ไม่ทราบอะไรเป็นสิ่งบันดาลให้สามเณรน้อยตัดสินใจ รุ่งเช้าตีห้าท่านเก็บข้าวของลงเรือโดยไม่บอกทางบ้าน และเรือนั้นก็มาเทียบที่ท่าวัดอินทร์สามเสน ท่านได้ไปอยู่กับเจ้าอาวาสวัดอินทร์ บางขุนพรหม กรุงเทพมหานคร ท่านเจ้าอาวาสวัดอินทร์เห็นท่านมีหน้าตาท่าทางฉลาด จึงเอาท่านไปฝากที่วัดระฆัง
รุ่งขึ้นก่อนที่สามเณรจะถูกจับมาฝากวัดระฆังนั้น คืนนั้นเจ้าอาวาสวัดระฆังได้ฝันว่า มีช้างเผือกเชือกหนึ่งโผล่ขึ้นไปบนกุฏิท่านแล้วไชตู้พระไตรปิฎกรื้อลงมาหมด แล้วเคี้ยวพระไตรปิฎกเข้าไปหมด เจ้าอาวาสตกใจตื่น รุ่งเช้าจึงสั่งพระเลขานุการไว้ว่า ถ้าวันนี้มีใครเอาอะไรมาที่นี่ จงรับไว้ห้ามปฏิเสธเด็ดขาด เจ้าอาวาสคอยเหตุการณ์จนสายก็พอดีมีอำแดงพรนิมนต์ไปฉันที่คลองบางกอกน้อย ก็สั่งกำชับเลขานุการไว้อีก
ครั้นเจ้าอาวาสออกไปแล้วก็พอดีทางวัดอินทร์นำสามเณรน้อยคือท่านมาฝากที่วัดระฆัง ทีแรกก็เกือบถูกไล่ออกจากกุฏิ เพราะเจ้าอาวาสสั่งว่ามีอะไรให้รับไว้นั้น ไม่ได้บอกให้รับคน คุยกันอยู่นั้นก็พอดีเจ้าอาวาสกลับมาได้เห็นสามเณรก็บอกว่าตรงกับความฝัน จึงรับอุปการะและให้การศึกษา ศึกษาได้อยู่พักหนึ่ง ได้ถูกส่งให้มาอยู่วัดมหาธาตุ ต่อมาทางวัดอินทร์ได้ขอตัวท่านไปอยู่ที่วัดอินทร์ โดยอ้างว่าเพราะสามเณรองค์นี้เทศน์เก่ง ขอให้ไปเทศน์ให้ญาติโยมที่วัดอินทร์ฟัง ระหว่างอยู่ที่วัดอินทร์ท่านได้เล่าเรียนวิชาจนแตกฉาน มีพระสังฆราชไก่เถื่อนเป็นอาจารย์ทรงมุ่งมั่นในการศึกษาพระธรรม และฝึกวิปัสสนากรรมฐาน ในขณะเดียวกัน ก็ได้สร้างผงวิเศษต่างๆ เช่น สร้างดินสอพองขึ้นมาเพื่อเขียนกระดานชนวนลงเลขยันต์ ลบเก็บผงไว้เป็นผงวิเศษ ได้ชื่อว่าผงอิทธิเจ ปถมัง ตรีนิสิงเห มหาราช พุทธคุณ ผงเหล่านี้ เรียกว่าเป็นผงวิเศษ หรือผงศักดิ์สิทธิ์ นอกจากจะสร้างผงขึ้นมาด้วยอำนาจจิต จากความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมา ด้วยพระองค์เองและผงวิเศษที่ได้ถวายมาจากพระอาจารย์ก็ได้เก็บสะสมไว้ โดยตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะเอาไว้สร้างพระ ต่อมาเสมียนตราด้วงซึ่งเป็นคนสนิทของเจ้าฟ้าในวังมาพบท่านเข้า ถูกชาตาจึงจะพาไปเทศน์ที่วัดพระแก้ว ซึ่งเป็นวัดหลวงเทศน์ให้เจ้าฟ้าฟัง พอสามเณรเข้าเฝ้านั้นก็นึกถึงแม่ ให้รัดประคดเอาไว้ว่า อันนี้ลูกจะต้องเก็บให้ดีเป็นของเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ในวันที่ที่จะเข้าเฝ้าเจ้าฟ้านั้น ท่านจึงได้เอารัดประคดนี้มาคาดแล้วเข้าไปเฝ้า เจ้าฟ้าผู้เป็นบิดาทอดพระเนตรเห็นรัดประคดก็ทรงจำได้และรู้ว่าเป็นเชื้อพระวงศ์ ก็กราบทูลให้พระเจ้าแผ่นดินทรงทราบความเป็นมา และพาท่านเข้าเฝ้าถวายตัวต่อพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๑ ทรงโปรดฝีปากการเทศน์ จึงทรงรับอุปถัมภ์ไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์ โดยพระราชทานเรือกันยาเป็นรางวัลแก่ท่านด้วยขณะนั้นท่านอายุได้ ๑๖ – ๑๗ ปี และได้ย้ายไปอยู่วัดปรินิพพาน( วัดมหาธาตุ ) อาศัยอยู่กุฏิแดงน้อย ริมแม่น้ำเจ้าพระยา มีหน้าที่เรียนหนังสืออย่างเดียว ระหว่างเรียนหนังสือก็มีอาหารจากในวังส่งมาให้เป็นประจำ โอกาสนี้ท่านได้สนิทสนมคลุกคลีกับเจ้าฟ้ารัชกาลที่ ๔ ด้วย ต่อมาท่านเป็นมหาสามประโยค ได้กลับไปเยี่ยมแม่ด้วย และหลังจากนั้นจึงได้ไปบวชเป็นพระที่จังหวัดพิจิตร ตอนที่ท่านเรียนหนังสือ ท่านอ่านตำราแตกฉาน จนกระทั่งพระอาจารย์บอกว่า นิมนต์มหาโตไปเรียนกับพระประธานในโบสถ์ ท่านก็ไปอ่านไปคุยกับพระประธานในโบสถ์ ในสมัยรัชกาลที่ ๓ ท่านกับรัชกาลที่ ๓ มีความไม่เข้าใจซึ่งกันและกัน ท่านจึงหลีกหนีไปบำเพ็ญในป่า เช่นที่จังหวัดกำแพงเพชร ดงพญาเย็น จังหวัดขอนแก่น วัดชนะชัยศรี วัดเกาะแก้วในอำเภออรัญประเทศ และเข้าไปในเขตประเทศเขมรเป็นต้น ครั้นรัชกาลที่ ๔ ขึ้นครองราชย์ ก็ได้ทรงประกาศหาตัวท่าน เพื่อจะให้ท่านมาช่วยด้านศาสนา ถ้าเห็นใครมีรูปร่างคล้ายท่าน เจ้าหน้าที่ก็จะจับเพื่อส่งวังหลวง ท่านท่องอยู่ในป่า พอได้ทราบข่าวว่า รัชกาลที่ ๔ ขึ้นครองราชย์แล้ว ท่านก็ได้ออกมาให้ตำรวจหลวงนำตัวท่านจากบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่นมาสู่บางกอก ขณะนั้นท่านอายุ ๔๐ ปี กลับมาอยู่วัดอินทร์ สมัยท่านอยู่วัดอินทร์ คราวหนึ่งท่านได้สร้างพระพุทธรูปองค์หนึ่งหันพระพักตร์เข้าข้างฝาในศาลา ทั้งนี้เพื่อเป็นปริศนาธรรมว่า พระสงฆ์ควรหันหน้าเข้าข้างฝาเพื่อค้นสัจธรรม แล้วค่อยหันหน้ามาสอนชาวบ้าน คือให้ถึงธรรมแล้วค่อยมาสอนธรรม เป็นการสร้างขึ้นเพื่อกระทบเหล่าพระสงฆ์ในขณะนั้น เพราะพระสงฆ์ส่วนใหญ่ในขณะนั้นไม่บำเพ็ญในทางธรรม แล้วก็ชอบพูดธรรมอวดธรรมกัน
ในสมัยรัชกาลที่ ๔ นั้น สมเด็จพระพุฒาจารย์(โต)พรหมรังสีเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการช่วยให้คำแนะนำรัชกาลที่ ๔ ในเรื่องของการแก้ปัญหาบ้านเมืองในยุคที่มีอิทธิพลของต่างประเทศกำลังขยายตัวเพื่อล่าเมืองขึ้นในแถบเอเชีย ท่านเป็นผู้ร่างกฎหมาย กฎมณเฑียรบาล ท่านวางระบบการปกครองแบบมีสภาเลขา ซึ่งในการวางแผนต่างๆของท่านนั้น ท่านเล่าว่าท่านไม่เคยวางแผนเพียงแต้มเดียว แต่แผนของท่านมีทั้งแผนบุก แผนถอย แผนหนี แผนวิ่ง แผนตีลังกา ในการกู้แผ่นดินตอนที่พวกอังกฤษจะมายึดกรุงสยามในรัชกาลที่ ๔ นั้น ท่านก็วางแผนให้ที่ดินบางส่วนแก่เขาไปเพื่อรักษาเอกราชไว้
สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี เป็นนักเทศน์ที่มีชื่อเสียง เป็นที่ทรงคุ้นเคยมาทั้งในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาโตเป็นผู้ไม่ปรารถนาลาภ ยศ สมณศักดิ์ใดๆ เมื่อเรียนรู้พระปริยัติมาแล้วก็ไม่เข้าแปลหนังสือเป็นเปรียญและไม่รับเป็นฐานานุกรม เมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็นพระราชาคณะ พระมหาโตได้ทูลขอตัวมิยอมรับตำแหน่ง หรือเลี่ยงโดยออกธุดงค์ไปตามวัดในชนบทห่างไกลทุกคราวไป จึงคงเป็นพระมหาโตมาตลอด
จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระมหาโตจึงยอมรับพระมหากรุณาในปีพุทธศักราช ๒๓๙๕ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงตั้งพระมหาโตเป็นพระราชาคณะที่พระธรรมกิติ เจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม ในปีขาล พุทธศักราช ๒๓๙๗ ได้เลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะผู้ใหญ่ที่พระเทพกวี ศรีนายกตรีปิฎกปรีชามหาคณฤศร บวรสังฆราชคามวาสี ครั้นสมเด็จพระพุฒาจารย์ (สน) วัดสระเกศ มรณภาพ ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระพุฒาจารย์ รูปที่ ๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อวันพฤหัสบดี เดือน ๑๐ ขึ้น ๙ ค่ำ ปีชวด ตรงกับวันที่ ๘ กันยายน พุทธศักราช ๒๔๐๗
สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ได้สร้างวัดและสิ่งเกี่ยวเนื่องด้วยพระพุทธศาสนาจำนวนมาก เช่น หลวงพ่อโต วัดอินทรวิหาร บางขุนพรหม พระโตนั่งกลางแจ้งวัดไชโย จังหวัดอ่างทอง พระเจดีย์นอน วัดลครทำ ฯลฯ นอกจากศาสนวัตถุต่างๆ แล้ว สมเด็จพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ยังได้รจนาบทสวดพระคาถาหลายบท แต่ที่เป็นที่รู้จักและถือว่าเป็นพระคาถาที่ศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง และนิยมสวดภาวนาในหมู่พุทธศานิกชน คือพระคาถาชินบัญชร ด้วยความที่พระองค์ท่านเป็นปูชนียบุคคลที่พระพุทธศาสนิกชนกล่าวขวัญถึง ในชื่อ “สมเด็จฯโตเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม และเป็นสมเด็จพระพุฒาจารย์ ที่มีความรอบรู้แตกฉานใน พระธรรมวินัย และธรรมปฏิบัติ ความเป็นเลิศในการเทศนา ได้รับการยกย่องสรรเสริญในสติปัญญาและ ปฏิญาณโวหารที่ฉลาดหลักแหลม เปี่ยมด้วยเมตตากรุณาแก่ผู้ตกยากมีอัธยาศัยมักน้อยสันโดษท่านถือปฏิบัติในข้อธุดงควัตรทุกประการ คือ ฉันในบาตร ถือผ้าสามผืนออกธุดงค์ เยี่ยมป่าช้า นั่งภาวนา เดินจงกรม
จนวาระสุดท้ายท่านมรณภาพเมื่อวันอาทิตย์ เวลา ๐๖.๐๐ น. ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๗ ปีมะเมีย ซึ่งตรงกับวันที่ ๒๒ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๑๕ สิริพระชนมายุนับรวมได้ ๘๔ ปี กับ ๒ เดือนเศษ สมเด็จพระพุฒาจารย์ โต พรหมรังสี พระราชสมภพเพื่อพระพุทธศาสนาโดยแท้จริง เพราะพระองค์ทรงบรรพชาเป็นสามเณรเมื่อพระชนมายุ ๕ ชันษา และทรงอุปสมบทเป็นพระเมื่อพระชนมายุ ๒๐ ชันษา ปฏิบัติศาสนกิจอย่างต่อเนื่องโดยตลอดพระชนม์ชีพ ทรงมีผลงานทั้งเรื่องการให้พระธรรมคำสอนโดยการเทศนาโปรด ทั้งในระเทศและต่างประเทศ ทรงสร้างวัตถุมงคลไว้เป็นจำนวนมากในพระอิริยาบทต่างๆ เช่น นั่ง ยืน เดิน และนอน และทรงสร้างพระพุทธรูปขนาดเล็ก และขนาดใหญ่ไว้เป็นจำนวนมาก จนวาระสุดท้ายของพระชนม์ชีพ (พระชนมายุ ๘๕ พรรษา ใน พ.ศ. ๒๔๑๕)
เนื้อหาประวัติคัดลอกมาจากอินเตอร์เน็ต สาธุครับ
_/\_ _/\_ _/\_
หรือนามที่นิยมเรียก "สมเด็จโต" "หลวงปู่โต" หรือ "สมเด็จวัดระฆัง" ท่านเป็นพระมหาเถระรูปสำคัญที่ได้รับความนิยมนับถืออย่างมากในประเทศไทย ท่านเคยดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหารในสมัยรัชกาลที่ ๔-๕ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) นับเป็นพระเถราจารย์ผู้มีปฏิปทาจริยาวัตรน่าเลื่อมใส เป็นที่เคารพนับถือทั่วไปมาตั้งแต่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ตั้งแต่พระมหากษัตริย์จนถึงสามัญชน ด้วยปฏิปทาจริยาวัตรความสมถะอันโดดเด่นของท่านและคุณวิเศษอัศจรรย์ของท่านแล้วจึงทำให้พุทธศาสนิกชนชาวไทยเคารพนับถือว่าท่านเป็นอมตะเถราจารย์รูปหนึ่งของเมืองไทย และมีผู้นับถือจำนวนมากในปัจจุบัน
“ลูกเอ๋ย..ก่อนจะเที่ยวไปขอบารมีหลวงพ่อองค์ใด เจ้าจะต้องมีทุนของตัวเองคือบารมีของตนลงทุนไปก่อน เมื่อบารมีของเจ้าไม่พอจึงค่อยขอยืมบารมีของคนอื่นมาช่วย มิฉะนั้นเจ้าจะเอาตัวไม่รอด เพราะหนี้สินในบุญบารมีที่เที่ยวไปขอยืมมาจนพ้นตัว...เมื่อทำบุญทำกุศลได้บารมีมา ก็ต้องเอาไปผ่อนใช้หนี้เขาจนหมด ไม่มีอะไรเหลือติดตัว...แล้วเจ้าจะมีอะไรไว้ในภพหน้าหมั่นสร้างบารมีไว้..แล้วฟ้าดินจะช่วยเอง”
“เจ้าจงจำไว้นะ...เมื่อยังไม่ถึงเวลาเทพเจ้าองค์ใดจะคิดช่วยเจ้าไม่ได้...ครั้นถึงเวลา...ทั่วฟ้าจบดินก็ต้านเจ้าไม่อยู่...จงอย่าไปเร่งเทวดาฟ้าดินเมื่อบุญเราไม่เคยสร้างไว้เลยจะมีใครที่ไหนมาช่วยเจ้า…”
โอวาทธรรมคำสอนสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี
◎ สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ท่านถือกำเนิดในสมัยรัชกาลที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อวันขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือน ๕ ปีวอก ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๑๗ เมษายน พ.ศ.๒๓๓๑ เวลา ๑๖.๓๕ นาฬิกา
ท่านเป็นบุตรนอกเศวตรฉัตรในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่๒ แห่งราชวงศ์จักรี กล่าวคือในสมัยรัชกาลที่๑ นั้น ได้เกิดศึกขึ้นทางภาคเหนือของไทย โดยกองทัพเวียงจันทน์จะยกมาตีเมืองโคราช พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว(สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ ) จึงทรงมีรับสั่งให้รัชกาลที่๒ ซึ่งขณะนั้นทรงดำรงพระยศเป็นเจ้าฟ้า ไปปราบศึกที่ยกมา รัชกาลที่๒ ซึ่งขณะนั้นเพิ่งมีพระชนมายุได้ ๑๗ พรรษาเท่านั้น ก็ได้ยกทัพไปทางเรือ ครั้นไปถึงจังหวัดกำแพงเพชรก็ได้มีชาวบ้านจัดสินค้าต่างๆมาขายแก่พวกทหารในกองทัพ ในจำนวนแม่ค้าพายเรือมาขายของนั้น ได้มีมารดาของท่านซึ่งเป็นสาวงามชาวกำแพงเพชรด้วยผู้หนึ่ง (ท่านเล่าว่ามารดาของท่านชื่อ แม่งุด ) มารดาของท่านพายเรือขายผลกระท้อนแก่พวกทหาร ด้วยบุพเพสันนิวาส พวกนายทหารเห็นเป็นบุญว่ามารดาของท่านเป็นคนสวยจึงชักพาให้ได้กับเจ้าฟ้าแม่ทัพ และได้อยู่ร่วมกันคืนหนึ่ง ก่อนที่จะจากไปท่านแม่ทัพบิดาของท่านได้ประทานรัดประคดอันหนึ่งแก่มารดาของท่านไว้ เพื่อมอบให้บุตรที่จะเกิดขึ้นต่อไป ทั้งรับสั่งไว้ด้วยว่าถ้ามารดาของท่านคลอดบุตรเป็นชายให้ตั้งชื่อว่า “โต” ถ้าคลอดบุตรเป็นหญิง ให้ตั้งชื่อว่า “เกตุแก้ว”หลังจากนั้นก็เดินทัพต่อไป
ต่อมามารดาของท่านก็ได้ตั้งครรภ์ท่าน ระหว่างตั้งครรภ์มารดาของท่านได้ล่องเรือลงมาสืบหาสามีถึงบางกอก จึงได้ทราบว่าสามีเป็นเจ้าฟ้าผู้สูงศักดิ์ จะเป็นกษัตริย์สืบต่อไปก็เกิดความเจียมตัวจึงไม่แสดงตัว และได้คลอดท่านที่บ้านญาติที่บางกอกน้อยนั้นเอง ตั้งชื่อว่า “โต” ตามที่บิดาท่านสั่งไว้ ตอนเล็กๆนั้นท่านเป็นเด็กที่เรียกว่า“ตัวกระเปี๊ยกเลี๊ยก” เพราะกินอยู่ไม่สมบูรณ์ ต่อมาตาและมารดาของท่านได้ไปค้าขาย ( ท่านว่าไปขายของจับฉลาก ) อยู่ที่จังหวัดพิจิตร แล้วต่อมาก็ได้อพยพไปอยู่ที่อำเภอไชโย จังหวัดอ่างทอง
เมื่อท่านอายุได้ ๗ ขวบ ท่านอยากบวชจึงไปบอกแม่กับตา แม่กับตาก็ให้บวชเป็นสามเณรอยู่ที่วัดสำนักสงฆ์ใหญ่ ( ซึ่งต่อมาจึงได้สร้างเป็นวัดเกตุไชโย ) หลังจากทรงบรรพชาแล้ว ก็เริ่มปฏิบัติธรรมทั้งทางด้านปริยัติ ปฏิบัติและปฏิเวธ ศึกษาค้นคว้าแตกฉานเร็วมากด้วยเหตุแห่งการสั่งสมบารมีมามากเป็นอเนกอนันตชาติ และทรงทราบว่าพระองค์มาจุติหรืออุบัติขึ้นเพื่อเจริญพระศาสนา จึงเร่งศึกษาพระไตรปิฎกอย่างแตกฉานแยกแยะความถูกต้องและผิดพลาดจากการบันทึกไว้ในพระไตรปิฎก เร่งฝึกวิปัสสนาพระกรรมฐานความรู้แจ้งเห็นจริงก็ปรากฏขึ้นในดวงจิตที่มุ่งมั่นสะอาดและบริสุทธิ์ ทรงมีพระปัญญาคมกล้าเป็นยอดเยี่ยม จึงสามารถบรรลุมรรคผลอย่างรวดเร็ว โดยการเริ่มเทศน์จากพระคัมภีร์ใบลาน จนกระทั่งเทศน์ด้วยปากเปล่าและในรูปแบบของปุจฉา-วิสัชนา เป็นที่ยอมรับของอุบาสกอุบาสิกาทั้งหลาย ที่ได้ฟังพระสุรเสียงเป็นที่ไพเราะจับใจ ความชัดเจนของอักขระการเอื้อนทำนองวรรคตอนได้ถูกต้อง ภาษาสละสลวย เนื้อหาสาระที่เทศน์ ไม่ว่าจะเป็นพระธรรมเจ็ดคัมภีร์ หรือพระเจ้า ๑๐ ชาติ ก็สามารถเทศน์ให้ญาติโยมได้รับฟังอย่างจับจิตจับใจและฟังอย่างมีความสุข และจดจำเนื้อหาที่เทศน์ได้ และประกอบด้วยพระอัจฉริยภาพที่สง่างาม น่ารักของ “ สามเณรจิ๋ว ” ท่านบวชแล้วก็เกิดไม่ยอมสึก แม่ไม่ทราบจะทำอย่างไรก็ปล่อยให้บวชไปเรื่อยๆ พอผ่านไปสัก ๓ พรรษา ตอนนั้นอายุได้สัก ๑๐ ขวบ ท่านก็ยังไม่ยอมสึกตามที่มารดาของท่านพยายามให้สึก สมัยนั้นหน้าวัดที่ท่านบวชมีเรือสำเภาล่องมาจากทางเหนือคือทางปากน้ำโพผ่านมาจอดเสมอ สามเณรโตคิดว่าขืนอยู่อ่างทองนี้ต้องสึกแน่เพราะมารดาและตาของท่านฝากความหวังไว้กับท่าน ต้องการให้สึกจึงอ้อนวอนรบเร้าท่านเสมอ ท่านไม่อยากสึก ท่านจึงได้สอบถามว่าเรือสำเภาลำไหนบ้างที่พรุ่งนี้เช้าล่องไปบางกอก ก็ได้มีไต้ก๋ง(กัปตันเรือสำเภา) ชื่อแดงประจำเรือสำเภาลำหนึ่งบอกว่าเณรจะไปไหน พรุ่งนี้เรือจะล่องไปบางกอกตอนตีห้าท่านก็บอกไต้ก๋งแดงว่า ท่านจะไปเที่ยวบางกอก แล้วก็กลับไปเก็บข้าวของเตรียมเดินทาง คืนนั้นท่านนอนไม่หลับ เพราะเกิดการต่อสู้ทางความคิดขึ้นในจิตใจท่านเป็นอย่างมาก ตากับแม่ฝากความหวังไว้ที่ท่าน แต่ท่านนั้นดื่มด่ำในรสพระธรรมและจะทิ้งไปโดยไม่บอกให้ทราบ ไม่ทราบอะไรเป็นสิ่งบันดาลให้สามเณรน้อยตัดสินใจ รุ่งเช้าตีห้าท่านเก็บข้าวของลงเรือโดยไม่บอกทางบ้าน และเรือนั้นก็มาเทียบที่ท่าวัดอินทร์สามเสน ท่านได้ไปอยู่กับเจ้าอาวาสวัดอินทร์ บางขุนพรหม กรุงเทพมหานคร ท่านเจ้าอาวาสวัดอินทร์เห็นท่านมีหน้าตาท่าทางฉลาด จึงเอาท่านไปฝากที่วัดระฆัง
รุ่งขึ้นก่อนที่สามเณรจะถูกจับมาฝากวัดระฆังนั้น คืนนั้นเจ้าอาวาสวัดระฆังได้ฝันว่า มีช้างเผือกเชือกหนึ่งโผล่ขึ้นไปบนกุฏิท่านแล้วไชตู้พระไตรปิฎกรื้อลงมาหมด แล้วเคี้ยวพระไตรปิฎกเข้าไปหมด เจ้าอาวาสตกใจตื่น รุ่งเช้าจึงสั่งพระเลขานุการไว้ว่า ถ้าวันนี้มีใครเอาอะไรมาที่นี่ จงรับไว้ห้ามปฏิเสธเด็ดขาด เจ้าอาวาสคอยเหตุการณ์จนสายก็พอดีมีอำแดงพรนิมนต์ไปฉันที่คลองบางกอกน้อย ก็สั่งกำชับเลขานุการไว้อีก
ครั้นเจ้าอาวาสออกไปแล้วก็พอดีทางวัดอินทร์นำสามเณรน้อยคือท่านมาฝากที่วัดระฆัง ทีแรกก็เกือบถูกไล่ออกจากกุฏิ เพราะเจ้าอาวาสสั่งว่ามีอะไรให้รับไว้นั้น ไม่ได้บอกให้รับคน คุยกันอยู่นั้นก็พอดีเจ้าอาวาสกลับมาได้เห็นสามเณรก็บอกว่าตรงกับความฝัน จึงรับอุปการะและให้การศึกษา ศึกษาได้อยู่พักหนึ่ง ได้ถูกส่งให้มาอยู่วัดมหาธาตุ ต่อมาทางวัดอินทร์ได้ขอตัวท่านไปอยู่ที่วัดอินทร์ โดยอ้างว่าเพราะสามเณรองค์นี้เทศน์เก่ง ขอให้ไปเทศน์ให้ญาติโยมที่วัดอินทร์ฟัง ระหว่างอยู่ที่วัดอินทร์ท่านได้เล่าเรียนวิชาจนแตกฉาน มีพระสังฆราชไก่เถื่อนเป็นอาจารย์ทรงมุ่งมั่นในการศึกษาพระธรรม และฝึกวิปัสสนากรรมฐาน ในขณะเดียวกัน ก็ได้สร้างผงวิเศษต่างๆ เช่น สร้างดินสอพองขึ้นมาเพื่อเขียนกระดานชนวนลงเลขยันต์ ลบเก็บผงไว้เป็นผงวิเศษ ได้ชื่อว่าผงอิทธิเจ ปถมัง ตรีนิสิงเห มหาราช พุทธคุณ ผงเหล่านี้ เรียกว่าเป็นผงวิเศษ หรือผงศักดิ์สิทธิ์ นอกจากจะสร้างผงขึ้นมาด้วยอำนาจจิต จากความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมา ด้วยพระองค์เองและผงวิเศษที่ได้ถวายมาจากพระอาจารย์ก็ได้เก็บสะสมไว้ โดยตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะเอาไว้สร้างพระ ต่อมาเสมียนตราด้วงซึ่งเป็นคนสนิทของเจ้าฟ้าในวังมาพบท่านเข้า ถูกชาตาจึงจะพาไปเทศน์ที่วัดพระแก้ว ซึ่งเป็นวัดหลวงเทศน์ให้เจ้าฟ้าฟัง พอสามเณรเข้าเฝ้านั้นก็นึกถึงแม่ ให้รัดประคดเอาไว้ว่า อันนี้ลูกจะต้องเก็บให้ดีเป็นของเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ในวันที่ที่จะเข้าเฝ้าเจ้าฟ้านั้น ท่านจึงได้เอารัดประคดนี้มาคาดแล้วเข้าไปเฝ้า เจ้าฟ้าผู้เป็นบิดาทอดพระเนตรเห็นรัดประคดก็ทรงจำได้และรู้ว่าเป็นเชื้อพระวงศ์ ก็กราบทูลให้พระเจ้าแผ่นดินทรงทราบความเป็นมา และพาท่านเข้าเฝ้าถวายตัวต่อพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๑ ทรงโปรดฝีปากการเทศน์ จึงทรงรับอุปถัมภ์ไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์ โดยพระราชทานเรือกันยาเป็นรางวัลแก่ท่านด้วยขณะนั้นท่านอายุได้ ๑๖ – ๑๗ ปี และได้ย้ายไปอยู่วัดปรินิพพาน( วัดมหาธาตุ ) อาศัยอยู่กุฏิแดงน้อย ริมแม่น้ำเจ้าพระยา มีหน้าที่เรียนหนังสืออย่างเดียว ระหว่างเรียนหนังสือก็มีอาหารจากในวังส่งมาให้เป็นประจำ โอกาสนี้ท่านได้สนิทสนมคลุกคลีกับเจ้าฟ้ารัชกาลที่ ๔ ด้วย ต่อมาท่านเป็นมหาสามประโยค ได้กลับไปเยี่ยมแม่ด้วย และหลังจากนั้นจึงได้ไปบวชเป็นพระที่จังหวัดพิจิตร ตอนที่ท่านเรียนหนังสือ ท่านอ่านตำราแตกฉาน จนกระทั่งพระอาจารย์บอกว่า นิมนต์มหาโตไปเรียนกับพระประธานในโบสถ์ ท่านก็ไปอ่านไปคุยกับพระประธานในโบสถ์ ในสมัยรัชกาลที่ ๓ ท่านกับรัชกาลที่ ๓ มีความไม่เข้าใจซึ่งกันและกัน ท่านจึงหลีกหนีไปบำเพ็ญในป่า เช่นที่จังหวัดกำแพงเพชร ดงพญาเย็น จังหวัดขอนแก่น วัดชนะชัยศรี วัดเกาะแก้วในอำเภออรัญประเทศ และเข้าไปในเขตประเทศเขมรเป็นต้น ครั้นรัชกาลที่ ๔ ขึ้นครองราชย์ ก็ได้ทรงประกาศหาตัวท่าน เพื่อจะให้ท่านมาช่วยด้านศาสนา ถ้าเห็นใครมีรูปร่างคล้ายท่าน เจ้าหน้าที่ก็จะจับเพื่อส่งวังหลวง ท่านท่องอยู่ในป่า พอได้ทราบข่าวว่า รัชกาลที่ ๔ ขึ้นครองราชย์แล้ว ท่านก็ได้ออกมาให้ตำรวจหลวงนำตัวท่านจากบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่นมาสู่บางกอก ขณะนั้นท่านอายุ ๔๐ ปี กลับมาอยู่วัดอินทร์ สมัยท่านอยู่วัดอินทร์ คราวหนึ่งท่านได้สร้างพระพุทธรูปองค์หนึ่งหันพระพักตร์เข้าข้างฝาในศาลา ทั้งนี้เพื่อเป็นปริศนาธรรมว่า พระสงฆ์ควรหันหน้าเข้าข้างฝาเพื่อค้นสัจธรรม แล้วค่อยหันหน้ามาสอนชาวบ้าน คือให้ถึงธรรมแล้วค่อยมาสอนธรรม เป็นการสร้างขึ้นเพื่อกระทบเหล่าพระสงฆ์ในขณะนั้น เพราะพระสงฆ์ส่วนใหญ่ในขณะนั้นไม่บำเพ็ญในทางธรรม แล้วก็ชอบพูดธรรมอวดธรรมกัน
ในสมัยรัชกาลที่ ๔ นั้น สมเด็จพระพุฒาจารย์(โต)พรหมรังสีเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการช่วยให้คำแนะนำรัชกาลที่ ๔ ในเรื่องของการแก้ปัญหาบ้านเมืองในยุคที่มีอิทธิพลของต่างประเทศกำลังขยายตัวเพื่อล่าเมืองขึ้นในแถบเอเชีย ท่านเป็นผู้ร่างกฎหมาย กฎมณเฑียรบาล ท่านวางระบบการปกครองแบบมีสภาเลขา ซึ่งในการวางแผนต่างๆของท่านนั้น ท่านเล่าว่าท่านไม่เคยวางแผนเพียงแต้มเดียว แต่แผนของท่านมีทั้งแผนบุก แผนถอย แผนหนี แผนวิ่ง แผนตีลังกา ในการกู้แผ่นดินตอนที่พวกอังกฤษจะมายึดกรุงสยามในรัชกาลที่ ๔ นั้น ท่านก็วางแผนให้ที่ดินบางส่วนแก่เขาไปเพื่อรักษาเอกราชไว้
สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี เป็นนักเทศน์ที่มีชื่อเสียง เป็นที่ทรงคุ้นเคยมาทั้งในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาโตเป็นผู้ไม่ปรารถนาลาภ ยศ สมณศักดิ์ใดๆ เมื่อเรียนรู้พระปริยัติมาแล้วก็ไม่เข้าแปลหนังสือเป็นเปรียญและไม่รับเป็นฐานานุกรม เมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็นพระราชาคณะ พระมหาโตได้ทูลขอตัวมิยอมรับตำแหน่ง หรือเลี่ยงโดยออกธุดงค์ไปตามวัดในชนบทห่างไกลทุกคราวไป จึงคงเป็นพระมหาโตมาตลอด
จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระมหาโตจึงยอมรับพระมหากรุณาในปีพุทธศักราช ๒๓๙๕ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงตั้งพระมหาโตเป็นพระราชาคณะที่พระธรรมกิติ เจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม ในปีขาล พุทธศักราช ๒๓๙๗ ได้เลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะผู้ใหญ่ที่พระเทพกวี ศรีนายกตรีปิฎกปรีชามหาคณฤศร บวรสังฆราชคามวาสี ครั้นสมเด็จพระพุฒาจารย์ (สน) วัดสระเกศ มรณภาพ ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระพุฒาจารย์ รูปที่ ๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อวันพฤหัสบดี เดือน ๑๐ ขึ้น ๙ ค่ำ ปีชวด ตรงกับวันที่ ๘ กันยายน พุทธศักราช ๒๔๐๗
สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ได้สร้างวัดและสิ่งเกี่ยวเนื่องด้วยพระพุทธศาสนาจำนวนมาก เช่น หลวงพ่อโต วัดอินทรวิหาร บางขุนพรหม พระโตนั่งกลางแจ้งวัดไชโย จังหวัดอ่างทอง พระเจดีย์นอน วัดลครทำ ฯลฯ นอกจากศาสนวัตถุต่างๆ แล้ว สมเด็จพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ยังได้รจนาบทสวดพระคาถาหลายบท แต่ที่เป็นที่รู้จักและถือว่าเป็นพระคาถาที่ศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง และนิยมสวดภาวนาในหมู่พุทธศานิกชน คือพระคาถาชินบัญชร ด้วยความที่พระองค์ท่านเป็นปูชนียบุคคลที่พระพุทธศาสนิกชนกล่าวขวัญถึง ในชื่อ “สมเด็จฯโตเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม และเป็นสมเด็จพระพุฒาจารย์ ที่มีความรอบรู้แตกฉานใน พระธรรมวินัย และธรรมปฏิบัติ ความเป็นเลิศในการเทศนา ได้รับการยกย่องสรรเสริญในสติปัญญาและ ปฏิญาณโวหารที่ฉลาดหลักแหลม เปี่ยมด้วยเมตตากรุณาแก่ผู้ตกยากมีอัธยาศัยมักน้อยสันโดษท่านถือปฏิบัติในข้อธุดงควัตรทุกประการ คือ ฉันในบาตร ถือผ้าสามผืนออกธุดงค์ เยี่ยมป่าช้า นั่งภาวนา เดินจงกรม
จนวาระสุดท้ายท่านมรณภาพเมื่อวันอาทิตย์ เวลา ๐๖.๐๐ น. ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๗ ปีมะเมีย ซึ่งตรงกับวันที่ ๒๒ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๑๕ สิริพระชนมายุนับรวมได้ ๘๔ ปี กับ ๒ เดือนเศษ สมเด็จพระพุฒาจารย์ โต พรหมรังสี พระราชสมภพเพื่อพระพุทธศาสนาโดยแท้จริง เพราะพระองค์ทรงบรรพชาเป็นสามเณรเมื่อพระชนมายุ ๕ ชันษา และทรงอุปสมบทเป็นพระเมื่อพระชนมายุ ๒๐ ชันษา ปฏิบัติศาสนกิจอย่างต่อเนื่องโดยตลอดพระชนม์ชีพ ทรงมีผลงานทั้งเรื่องการให้พระธรรมคำสอนโดยการเทศนาโปรด ทั้งในระเทศและต่างประเทศ ทรงสร้างวัตถุมงคลไว้เป็นจำนวนมากในพระอิริยาบทต่างๆ เช่น นั่ง ยืน เดิน และนอน และทรงสร้างพระพุทธรูปขนาดเล็ก และขนาดใหญ่ไว้เป็นจำนวนมาก จนวาระสุดท้ายของพระชนม์ชีพ (พระชนมายุ ๘๕ พรรษา ใน พ.ศ. ๒๔๑๕)
เนื้อหาประวัติคัดลอกมาจากอินเตอร์เน็ต สาธุครับ
_/\_ _/\_ _/\_
07 เมษายน 2562
"ญาณ" นี้จะได้แต่คนทำ "สมาธิ" เท่านั้น
ใจเราจะบรรจุธรรมชั้นสูงทะลุโลกได้ จะต้องมี "สมาธิ" เป็นหลักก่อน แล้วจึงเกิดญาณ
"ญาณ" นี้จะได้แต่คนทำ "สมาธิ" เท่านั้น
ส่วนปัญญาย่อมมีอยู่ทั่วไปแก่คนทั้งหลาย แต่ไม่พ้นจากโลกได้ เพราะขาด "ญาณ"
ท่านพ่อลี ธัมธโร
"ญาณ" นี้จะได้แต่คนทำ "สมาธิ" เท่านั้น
ส่วนปัญญาย่อมมีอยู่ทั่วไปแก่คนทั้งหลาย แต่ไม่พ้นจากโลกได้ เพราะขาด "ญาณ"
ท่านพ่อลี ธัมธโร
วิธีใช้ปัญญาวิปัสสน
พอสมาธิเกิดจะเห็นแสงสว่างเหมือนแสงไฟฟ้า พิจารณาใช้ปัญญาวิปัสสนาต่อไป
“ พยายามทำจิตให้เป็นปกติสบาย ไม่ฟุ้งเฟ้อซ่านถึงเรื่องโน้นเรื่องนี้ แล้วภาวนาตั้งสติให้อยู่ในอารมณ์เดียว
พอสมาธิเกิดจะเห็นแสงสว่างเหมือนแสงไฟฟ้า พิจารณาใช้ปัญญาวิปัสสนาต่อไป ถ้าหากภาวนาเท่าไรๆ จิตไม่สงบลงได้ ท่านให้ใช้ปัญญาเลยทีเดียว พิจารณาธาตุขันธ์ปัญจกกรรมฐาน เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ หรืออการ ๓๒ หรืออะไรๆ ก็ได้ เช่น นรกสวรรค์ พุทธานุสสติ สังฆานุสสติ เป็นต้น
คิดนึกไปไตร่ตรองไปใจมันจะสงบลงเอง เมื่อได้ใช้ปัญญาชั่วขณะหนึ่งและจิตสงบ ก็ให้พักอยู่ในสมาธินั้นสักครู่หนึ่ง คือภาวนาเรื่อยๆ ไป ให้จิตเป็นสมาธิมากๆ ขึ้น แล้วจึงหวนกับมาใช้ปัญญาต่อไป
ท่านเปรียบเหมือนกรรมกรทำงานแบกหาม เขาเรื่อมทำงานสองโมงเช้า พอเที่ยงเขาก็หยุดพักจริงๆ บ่ายโมงเขาก็เริ่มทำงานใหม่ จนบ่ายสี่โมงเย็นก็หยุดเลิกงาน คือทำงานเหนื่อยแล้วก็ต้องหยุดพักผ่อนชั่วคราว จึงทำงานต่อไปใหม่
การปฏิบัติทางจิตต้องทำอย่างนี้ ต้องให้จิตมีเวลาได้พักผ่อนบ้าง ขืนใช้ปัญญาตะบันไปไม่ถูกหลัก ขืนสงบเป็นสมาธิเสียเรื่อยก็ไม่มีประโยชน์ มันเหมือนกับสมาธิหัวหลักหัวตอ เป็นเสาไม้ตั้งโด่ไมมีประโยชน์อะไรเลย หรือเวลาที่จิตสงบเกิดนิมิตเห็นโน่นเห็นนี่ มันก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย ให้พิจารณาสังขารว่าเป็นปฏิกูล ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีตัวตน ดูๆ ไปจนจิตละคลายความยึดมั่นถือมั่น ว่า เป็นอนัตตา ตัวตน สัตว์ บุคคล หญิง ชาย นั่นของเราของเขา พิจารณาจนเกิดเบื่อหน่ายในสังขารนี้ ให้ท่องคาถา ๒ บทนี้ไว้ให้ขึ้นใจ คือ...
สัพเพ สังขารา อนิจจา
สัพเพ ธัมมา อนัตตา ติ.
หลวงปู่ฝั้น อาจาโร
02 เมษายน 2562
#หลวงปู่ใหญ่สอนวิชาหลวงพ่อจรัญ
หลวงพ่อจรัญเล่าประสบการณ์การไปขอเรียนวิชา "ยืดเหรียญ" กับหลวงปู่ใหญ่เทพโลกอุดร. แต่จะได้วิชาตามที่ต้องการหรือไม่ ? ไปๆมาๆไปได้วิชาอะไร ? ทั้งยังได้รู้เรื่องราวการไปเรียนวิชากับหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์ นครสวรรค์ อีกด้วย ซึ่งหลวงพ่อเดิมก็เป็นศิษย์หลวงปู่ใหญ่เช่นกันแต่เป็นรุ่นก่อนนานมาก.. ขอให้ลูกหลานอ่านดูเถิดนะ นี่คือจากปากคำของหลวงพ่อจรัญเองเลย ยาวสักหน่อย อุตสาหะอ่านเอานะลูกนะ ได้สาระได้บุญกุศลดีจริงๆ นะลูกหลานเอ๊ย
--------------------
ประสบการณ์การปฏิบัติธรรมของหลวงพ่อจรัญ (เล่าสมัยเป็นพระครูภาวนาวิสุทธิ์)
วันนี้ อาตมาจะเล่าถึงชีวประวัติพร้อมทั้งประสบการณ์ในการปฏิบัติธรรมให้ญาติโยมพุทธบริษัทฟัง ตามที่มีผู้อาราธนาใคร่อยากจะทราบกันพอสมควรแก่เวลา
อาตมาชื่อเดิม จรัญ นามสกุล จรรยารักษ์ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระราชทานนามสกุลนี้ให้แก่คุณปู่
อาตมาเป็นนักศึกษาเที่ยวค้นคว้าหาความรู้ ทั้งวิชาทางโลกและทางธรรม เรียนชั้นประถมศึกษา เรียนชั้นมัธยมศึกษาจนเข้านักเรียนนายร้อยตำรวจตามลำดับ แต่ไม่คิดว่าจะมาบวชในบวรพุทธศาสนา เพราะไม่เคยเชื่อเลื่อมใสมาแต่เดิม
นอกเหนือจากนั้นยังเรียนวิชาช่างกลจากอาจารย์เลื่อน พงศ์โสภณ และเรียนวิชาดนตรีดีดสีตีเป่าจากหลวงประดิษฐ์ไพเราะ ด้วยนิสัยชอบพอกันกับ ดร.อุทิศ นาคสวัสดิ์ ซึ่งสิ้นชีวิตไปแล้ว
อาตมาเคยอยู่วัด แต่ไม่ได้อยู่ด้วยความเลื่อมใส อยู่เพื่อการศึกษา อาศัยวัดอาศัยวาทั้งเป็นบ้านนอกคอกนาเข้ามาสู่กรุงเทพมหานครตามลำดับ อาตมาไม่มีนิสัยเลื่อมใสพระมาแต่เดิมแล้วก็นิสัยกระด้าง ไม่ชอบที่จะไหว้พระ ไหว้ก็ไหว้ด้วยความจำยอมและจำเป็น เพื่อจะไปอาศัยพึ่งพระเท่านั้น นี่คือนิสัยอาตมา
เวลากาลผ่านมาอาตมาก็จบหลักสูตรทางโลก แต่ทางธรรมยังไม่มีเลย อายุก็เหยียบย่างเข้า ๒๐ ปีบริบูรณ์ โดยบิดาโยมมารดาใคร่จะให้อุปสมบทในพระบวรพุทธศาสนา
พูดถึงเรื่องนี้แล้วอาตมาส่ายหน้าไม่สนใจในการบรรพชาอุปสมบทในพระพุทธศาสนาแต่ประการใด แต่อาตมาก็ต้องจำใจจำยอมรับ เพราะคุณพ่อคุณแม่ ก็คิดว่ามีลูกชายก็ต้องการให้บวชตามหลักและประเพณีของคนโบราณ พ่อแม่ย่อมรักลูกอย่างแก้วตา แก้วตาทั้งสองข้าง นี่ทุกคนก็เข้าใจดี หวงแหนเหลือเกิน
อาตมาคิดทบทวนโดยรอบคอบแล้ว เห็นว่าถ้าเราจะฝ่าฝืนไม่บวชในพุทธศาสนาแล้วละก็ จะเป็นการอกตัญญูไม่รู้พระคุณของท่านผู้มีอุปการคุณ จึงยอมรับเข้าบวชในพระพุทธศาสนา ไม่ได้เข้าไปเป็นเณร บวชอายุ ๒๐ ปีบริบูรณ์
อาตมาตั้งใจว่าจะบวชเพียง ๓ เดือน ๑๐ วัน หรือ ๔ เดือน ๑๒๐ วันเท่านั้น ต้องการจะลาสิกขาลาเพศพรหมจรรย์ไปสู่เพศฆราวาสตามเดิม ต้องการไปศึกษาหรือไปทำงานทำการทางโลก เพราะเราต้องอาศัยโลกอยู่
อาตมาตั้งใจอย่างนี้แล้ว อาตมาก็ได้อุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดพรหมบุรี อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี แต่ภูมิลำเนาบ้านเกิดเมืองนอนนั้นอยู่เขตในคลองลพบุรีต่อสิงห์บุรีนั้นใกล้เคียงกัน
เหตุที่ต้องมาบวชวัดพรหมบุรี ก็เพราะอพยพบ้านเมืองมาอยู่ในตลาดปากบาง เพราะขโมยขโจรชุกชุม จึงได้หนีเข้าตลาดไป ตามเหตุผลของบิดามารดา อาตมาก็ได้ตามบิดามารดามาอยู่ในตลาด ประกอบกิจการค้าตามลำดับมา แต่อาตมาก็ไม่เคยได้ช่วยพ่อแม่ประกอบการค้าแต่ประการใด เพราะมุ่งมาดปรารถนาการศึกษาแต่เล็กมาตามลำดับ พอจบหลักสูตรการศึกษาพอสมควรอายุครบถ้วน ๒๐ ก็ไม่ได้ปริญญา แต่ก็สำเร็จการศึกษาวิชาช่างแลและวิชาอื่นก็คือดนตรีดีดสีตีเป่าดังกล่าวแล้ว
ขอรวบรัดตัดให้สั้นว่า ได้เคยบวชในพระพุทธศาสนาในปี พ.ศ. ๒๔๙๑ ก็เป็นเวลานานถึง ๓๔-๓๕ ปีมาแล้ว การบวชติดต่อกันมา ๑ พรรษา ก็ท่องหนังสือจนครบหลักสูตร ตั้งใจว่าออกพรรษาได้กฐินแล้วสึก อาตมาก็เตรียมเครื่องพร้อมแล้วที่จะลาสิกขาในวันนั้น
แต่ก็มีเรื่องอัศจรรย์ดลบันดาลให้เกิดเสียงประหลาดดังขึ้น ตอนกำลังง่วงเหงาหาวนอน เสียงประหลาดนี้ดังมาก......
"คุณบวชนี้นะดีแล้ว จะสึกก็ไม่เป็นไร นะโมยังไม่ได้ นะโมยังไม่ได้ ได้นะโมแล้วค่อยสึก"
อาตมาก็พิจารณาดู เอ ได้นะโมตัสสะ ภะคะวะโตนี้ได้มาตั้งแต่เป็นเด็กเล็ก ๆ แล้วสวดมาตั้งแต่อยู่โรงเรียนแล้ว คิดอย่างนี้แต่ก็ยังตอบไม่ถูกว่า นะโมคืออะไร นี่แหละเสียงอัศจรรย์เสียงประหลาดดังขึ้น
"นะโมยังไม่ได้จะสึกหรือ น่าเสียดายเหลือเกินนะ"
อาตมาก็พะว้าพะวังกังขา จิตใจชักไม่ค่อยจะดีแล้ว เสียงนี้มันอยู่ที่ไหน และก็ง่วงเหงาหาวนอนขึ้นมาอีก เสียงประหลาดดังขึ้นอีกว่า........
"นี่คุณสึกก็ไม่เป็นไร ง่ายนิดเดียว ไม่ยากอะไรนักหนา แต่ขอถามว่าพุทธคุณได้หรือยัง ธรรมคุณได้หรือยัง สังฆคุณได้หรือยัง ?"
อาตมาก็โมโหโกรธาในใจ ไอ้เสียงบ้า ๆ บอ ๆ นี่มันอยู่ที่ไหน ว่าพุทธคุณเราก็ได้ อิติปิโสเราก็คล่องปาก แต่มันอาจจะไม่คล่องใจก็อาจจะเป็นได้
อันนี้เสียงประหลาดดังขึ้นมา ทั้งอาตมาก็ไม่สบายใจเลยนึกถึงคำโบราณว่า ถ้าจิตใจไม่ดีแล้วอย่าสึก ถ้าสึกไปแล้วเป็นคนสุก ๆ ดิบ ๆ เอาดีไม่ได้แล้วจะเป็นคนบ้าบอคอแตกโบราณเขาว่าไว้ เลยต้องเลื่อนการสึกออกไปจากเดือน ๑๑ ขอเลื่อนไปเป็นเดือน ๑๒ เดือน ๑๒ สึกแน่ เตรียมพร้อมไว้แล้ว ไม่ได้ตั้งใจจะอยู่ในเพศพรหมจรรย์หรือบรรพชิตนี้ตลอดกาล คิดว่าเราจะต้องสึกอย่างแน่นอน เพราะงานมันรออยู่ข้างหน้า จะต้องไปรับราชการ จะต้องไปทำหน้าที่มากมาย เพราะเรามีวิชามีความรู้ต้องไปกลัวอะไร
คิดอย่างนี้นะ คิดถึงหลักสุนทรภู่ที่ว่า วิชาพึ่งตนเองได้ ไม่ต้องพึ่งใคร อาตมาท่องได้ตั้งแต่เป็นเด็กว่า "อันข้าไทยได้พึ่งเขาจึงรัก แม้ถอยศักดิ์สิ้นอำนาจวาสนา เขาหน่ายหนีมิได้อยู่คู่ชีวา แต่วิชาช่วยกายจนวายปราณ"
มาถึงตอนนี้ขอฝากญาติโยมเลยนะ ถ้ามีลูกสาวกับลูกชายนี่ โยมจะเอาใจใส่ใครมาก ? โยมจงเอาใจใส่ลูกสาวให้เชี่ยวชาญชำนาญการกว่าลูกผู้ชาย เพราะถ้าไม่มีวิชาความรู้นี่ไม่เชี่ยวชาญเคหะศาสตร์ ไม่เข้าใจแม่บ้านการเรือนไปได้สามีเขาก็แผลงฤทธิ์เอา อาตมาเคยเห็นนะ ตี ๔ ตี ๕ ตกใต้ถุน นี่ไม่มีธรรมะเลย นี่ลูกสาวเราไม่เชี่ยวชาญ ไม่ชำนาญการ เราไม่เคยตีลูกสาว แต่เราไปเห็นต่อหน้าต่อตา ตำตา ตำตอ อย่างนี้เราไม่โมโหหรือ ถึงไม่โกรธแต่ไม่พอใจลูกเขย แน่นอน
อาตมาพูดมาถึงตอนนี้แล้ว ก็ได้ความคิดว่า เอ นะโมยังไม่ได้ ใช่แล้ว เมื่อก่อนนี้ อาตมาเถียงพ่อเถียงแม่คำไม่ตกฟาก ไม่มีอ่อนน้อมต่อใคร แข็งกระด้างและปากแข็ง เถียงผู้ใหญ่นี่ซิไม่มีเพลงนะโม คิดได้ ตอนหลัง นี่คิดได้ อ้อบวชนี่เอาเพลงนะโมไปก่อนหรือ
อาตมาก็มาแปลได้ตอนหลัง อ้อเพลงนะโมแปลให้เด็กฟังง่าย ๆ ก็แปลว่า อ่อนน้อม ถ่อมตน ปากก็หวาน ตัวก็อ่อน มือก็อ่อน นอบน้อมกตัญญู เชิดชู ระเบียบ เพียบด้วยวินัย ตั้งใจศึกษา นำมาพ้นทุกข์ เป็นสุขอนันต์ เป็นหลักสำคัญ
อ้อ! นะโมอย่างนี้หรือ โง่มาเสียนาน อ้อเพลงนะโม นี่ มาพึ่งคิดได้ไม่กี่ปีนี้เอง เมื่อก่อนใครมองหน้าไม่ได้ ดูหน้าไม่ได้โดนต่อยเลย มันแข็งอย่างนี้ นี่ขาดบทนะโม
------------------------
อยู่กับหลวงพ่อเดิม เรียนตำรับพิชัยสงครามและวิชาเลี้ยงช้าง
ได้ความอย่างนั้นแล้ว อาตมาก็ซักผ้าซักผ่อนเตรียมเดินทางเที่ยวไปในป่าเที่ยวไปเรื่อย ๆ ก็ไปเจอ หลวงพ่อเดิม พระครูนิวาสธรรมขันธ์ อายุท่าน ๑๐๕ ปี ไปอยู่กับท่าน ๖ เดือน ไปขอเรียนวิชา บทแรก ท่านก็เล่าวิชาพิชัยสงครามให้ฟัง แล้วก็รู้เรื่องตามลำดับพิชัยสงคราม ท่านเก่งเพลงกระบี่ เพลงกระบอง ท่านเป็นอาจารย์องค์ที่ ๕ ของแม่ทัพกรุงศรีอยุธยา เมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๐ แม่ทัพหนีลงเรือมุ่งสู่นครสวรรค์บรรพชาอุปสมบทหมด
อาตมาไปอยู่ที่วัดหนองโพธิ์ จังหวัดนครสวรรค์ไปอยู่กับหลวงพ่อ นึกว่าจะให้เราเรียนคาถามหานิยมเพื่อเราจะสึกหาลาเพศ ประกอบอาชีพการงาน มีคนรักนับถือ นิยมชมชอบ กลับกลายเป็นว่าให้วิชาเลี้ยงช้างเสียเลย อาตมาไม่เอา แต่หลวงพ่อเดิมบอกว่าเอาเถอะ ลูกเอ๋ยหลานเอ๋ย มันจะเกิดประโยชน์ในวันหน้า อาตมาก็จำต้องยอมรับวิชาเลี้ยงช้างต่อช้างป่า วิชาจับช้างตกน้ำมันอย่างไร เลยก็ได้มาใช้ในภายหลัง
ตอนที่แม่ชีที่สมัยเมื่ออดีตชาติเป็นช้างอยู่เขาภูพาน แล้วกลับกลายมาเป็นมนุษย์ในชาตินี้ในไม่กี่ปีผ่านมา เลยซักไซร้ไล่เลียง อาตมารู้จากนิสัยช้าง อ้อคนนี้เป็นช้างมาก่อนแน่นอนอยู่ในป่าเขาภูพาน ในภาคอีสานนั้นเมื่อสมัย หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต เมื่อสมัยพรานทองดีที่ไปต่อช้างป่ามา อันนี้ไม่ขอเล่าขอฝากไว้เท่านี้ รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหามต้องรู้ทุกอย่างเลย กลับกลายเป็นว่าได้ตำรับพิชัยสงคราม เรียนรู้เหตุผลต้นปลายมาได้มาจากไหน ตำรับพิชัยสงครามอยู่ที่วัด เรียนต้องเรียนกระบี่กระบอง
สมัยโบราณกาล ประเทศชาติอยู่รอดมาได้ เพราะนิสัยไทยชาวพุทธนี้เป็นทหารของพระพุทธเจ้าก่อนแล้ว จึงจะเป็นทหารของพระราชา เรียนเพลงกระบี่กระบองมาก่อนในวัด ต้องเข้าใจนะ สมัยก่อนในวัดมีราชบุรุษ สาขานานาประการในสถาบันนี้
๑. ราชบุรุษที่เราเรียกกันทุกวันนี้ว่า รัฐศาสตร์ปกครองตัวเอง ปกครองตนและปกครองคนอื่นได้ นี่ราชบุรุษในวัด
๒. นิติศาสตร์ครบ ประเพณีวินัยครบจากวัดและยังมีข้อคิดในหลักธรรม และคิดคำนวณในการสาขาประกอบอาชีพการงานเรียนที่วัดครบ มีสถาบันการเรียนในพระไตรปิฎกนี้ครบ นอกเหนือจากนั้นแล้วเวชศาสตร์ แพทยศาสตร์ ฝนยาทา เรียนที่วัดนี้ ๕๐ ปีก่อนนี้มา นี้ท่านทั้งหลายโปรดคิดดูนะ
นอกเหนือจากนั้น ได้แก่ศิลปะ หัตถกรรม ช่อฟ้า หน้าบรรพ คันทวย วิชาช่าง เรียนจากวัดและก็ศิลปหัตถกรรมนี้เอามาจากวัดแล้ว วัดถ่ายทอดให้กรมศิลปากรไปแล้ว เช่น วิจิตรศิลป์ หรือภาคศิลปะต่าง ๆ ที่วัดพระแก้วเอามาจากไหนไม่ใช่เอามาจากวัดหรือ อนึ่งวิชาดนตรีดีดสีตีเป่า และตำรับพิชัยสงคราม เพลงกระบี่กระบองออกจากวัดครบถ้วนนานาประการเลย เรียกว่า วัดเป็นสถาบันพัฒนาคุณธรรมพัฒนาอาชีพและพัฒนาสังคมพร้อมที่วัดทั้งหมด
เรียนวิชายืดเหรียญ
ต่อจากนั้นอาตมาคิดว่าจะเดินทางไปพบพระในป่าเลยขอนแก่นไป เดี๋ยวนี้เป็นบริเวณน้ำท่วม ต้องการจะไปเรียนยืดเหรียญเป็นหวย ๓ ตัวเขาล่ำลือกัน อาตมาก็ตื่นกับเขาบ้าง อยากจะไปเรียนยืดเหรียญ
ไปเจอโยมคนหนึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านอายุ ๘๔ ปี ไปพักบ้านนี้ และอาตมาก็ถามโยมว่าพระองค์ไหนที่ยืดเหรียญได้อยู่ที่ไหนพาไปที
โยมผู้นี้เล่าว่าพระองค์นี้นะถึงปีท่านจะมาอยู่ที่ต้นไทรนี้ปีละครั้ง ครั้งละหนึ่งเดือนแล้วท่านก็หายไป ตั้งแต่ผมเป็นเด็ก แก้ผ้าแก้ผ่อนไปเลี้ยงวัวกับพ่อ แล้วอาศัยกินข้าวในบาตรของท่านมาจนผมมีอายุ ๘๔ ปี เดี๋ยวนี้ท่านก็ยังอยู่แต่ไม่ทราบว่าอายุเท่าไหร่ อาตมาก็ให้โยมนี้พาไป ต้องเดินไปไกลมาก ตอนเช้าท่านไปบิณฑบาต จากต้นไทรไปหมู่บ้านประมาณ ๓-๔ กิโล ท่านอยู่ที่ต้นไทรใหญ่ต้นไทรสาขา เดี๋ยวนี้ไปไม่ได้แล้วเป็นเขตน้ำท่วมมีเขื่อนเลยขอนแก่นขึ้นไป
โยมผู้ใหญ่บ้านอายุ ๘๔ ปี นี้เล่าให้ฟังว่า โยมมีกล่องยาอยู่หนึ่งกล่อง กล่องยานี้เป็นทองเหลืองและก็มีหูมีเชือกร้อยผูกเอวและมีฝาเปิด-ปิด และก็มีบุหรี่เป็นมวนอยู่และมีไฟแชกคือมีหินอยู่ก้อนหนึ่งมีเหล็กตีไว้จุดสำหรับสูบ ตั้งแต่ครั้งพ่อเป็นกำนันหรือเป็นผู้ใหญ่บ้านเก่าเขาเรียกเป็นขุนบรรดาศักดิ์ แต่เหรียญอันนั้นมีอยู่เหรียญหนึ่งอยู่ก้นกล่องยานี้ โยมนี้ลืมไปแล้ว ตั้งแต่ขอพ่อคือ ไม่ใช่เหรียญบาทที่เขาไปเช่ากันหรอก ที่เขาจะไปยืดกันที่แท้จริงเป็นเหรียญพระราชทานขององค์พระราชาหรือจะเป็นรัชกาลที่ ๔ หรือรัชกาลที่ ๕ อะไรจำไม่ได้ไม่มี ร.ศ.
หลวงพ่อองค์นี้ท่านไม่พูดนะ วันนั้นเกิดพูดขึ้นมา บอกโยม มีของดีในกล่องยา ไม่น่าจะมาทิ้งนะ โยมนี่ลืมไปแล้วเพราะมันอยู่กันกล่องนี่นานแล้ว ยาหมดก็ใส่ยา ยาหมดก็ใส่ยา เลยไม่ได้ดู
หลวงพ่อองค์นั้นพูดว่า นี่ เอาไปบูชาเสียลูกหลานจะได้อยู่เย็นเป็นสุข เป็นเหรียญพระราชทานนะ ขององค์พระราชานะที่ให้บำเหน็จรางวัลแก่ผู้ใหญ่บ้านกำนันที่ทำงานดี ปกปักรักษาราษฎรดี อยู่เย็นเป็นสุข ร่มเย็นเป็นสุขในหมู่บ้านนั้น จึงพระราชทานเหรียญนี้ มีเลขอยู่ ๓ ตัว ผลสุดท้าย โยมเลยมาเล่าให้ลูกหลานฟังว่า โอ้หลวงพ่อนี่เกิดพูดขึ้นมาแล้ว ตามปกติท่านไม่พูด ท่านนั่งทำสมาธิอยู่ใต้ต้นไทรนั้น ๑ เดือนแล้วก็หายไปทุกปี
อาตมาก็ไปบ้านโยมขอดูเหรียญพระราชทานมี ร.ศ. อยู่มีเลขอยู่ ๓ ตัว แล้วก็เดินทางไปพบท่าน พอไปถึงก็ไปกราบท่าน ท่านก็นั่งหลับตาอยู่เสมอไม่พูดไม่จา ร่างกายสังขารของท่านประมาณ ๗๐ ปี ฟันดีครบ และผมไม่หงอกเลย ผมดำ และร่างกายของท่านดำ ร่างกายสมบูรณ์แบบ ไม่ใช่คนอ้วนทรวดทรงสมส่วนทุกประการ อาตมาก็ไปกราบท่านตอนเมื่อราว พ.ศ.๒๔๙๓
อาตมาไปกราบแล้วพูดกับท่านว่า หลวงพ่อครับ หลวงพ่อทำไมไม่พูด หลวงพ่อครับอยู่วัดไหน หลวงพ่อครับผมเดินทางไกล อุตส่าห์ลำบากลำบนมาจากสิงห์บุรี เพื่อเดินทางมายังต้นไทรนี้ ต้องมาพักบ้านโยมอยู่ในหมู่บ้านเก่าซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้าน กว่าจะเดินมาถึงนี่ต้องลำบากลำบนเหลือเกิน กระผมใคร่จะมาเรียนวิชายืดเหรียญ กระผมทราบจากชาวกรุงเทพฯ อยากจะยืดเหรียญเป็นหวย ๓ ตัว คิดว่าผมยังอยู่ในทางโลกเป็นพระภิกษุใหม่อยากจะมาเรียนยืดเหรียญ เพื่อไปให้โยมรวยสักหน่อยจะได้ไปแทงหวย นี่ตั้งใจอย่างนั้นจริง ๆ
แต่ท่านก็ไม่พูดเลย ทำเฉยนั่งสมาธิของท่านอยู่เรื่อยอยู่ที่โคนต้นไทรนั้น ดูแล้วมีทรัพย์สมบัติอะไรบ้าง มีบาตรอยู่ลูกเดียวและผ้าอยู่ผืนหนึ่งและผ้าสังฆาฏิท่านดาดอกตลอดเวลา ท่านมีกลดปักอยู่ยอดไทร และมีอะไรอีก ? มีกาน้ำมีกระบอก กระบอกนั้นเป็นแทนแก้ว กระบอกขัดซะเป็นมันเลยแทนแก้วสำหรับรินน้ำ เท่านั้นเองไม่มีอะไรเลย อาตมาก็กราบนมัสการต่อไป เอ ไม่เอากับเราแน่ ไม่ลืมตาดูเราเลยนะ
อาตมาก็เปลี่ยนคำพูดใหม่ว่า "พระเดชพระคุณหลวงพ่อที่เคารพ ผมเป็นพระภิกษุนวกะเพึ่งบวชได้นี่พรรษา ๓ แล้ว อยากจะมาเรียนมาศึกษาทางธรรม.. ยังไม่รู้ทางธรรมว่าข้อปฏิบัติ ข้อวัตรเจริญสมาธิภาวนา ก็อยากจะมากราบเรียนพระเดชพระคุณหลวงพ่อแนะแนวทางบ้างครับ"
ขยับตาหน่อยขยับตาแล้ว คือเราพูดไปตั้งนาน ไม่เคยลืมตาและไม่ได้มองเลย พอพูดบอกจะมาศึกษาธรรม ให้หลวงพ่อแนะแนวเท่านั้นท่านก็ลืมตาขึ้น ลืมตาขึ้นมาแล้วก็ไม่ยิ้มแย้ม หน้าบึ้งไม่ยิ้มเลย
ท่านลืมตาขึ้นมาท่านบอก ดีแล้วอุตส่าห์สนใจธรรม ในเมื่อท่านพูดแล้วอาตมาก็ถามว่า จะมีแนวอย่างไร ท่านพูดสั้นมาก จนตีความหมายไม่ได้เลย บอก "คุณรู้ไหมพระพุทธเจ้าสอนอะไร ไม่ทราบบวชมุ่งมาทำอะไรอยู่ล่ะ บวชมุ่งอยู่ที่ไหนล่ะ เราก็ยอมรับ บอกเรียนนวโกวาท เรียนธรรมะ เรียนวินัย อย่าลืมนะ เรียนหมดเลย เรียนเลยไปหมด รู้มากไป คุณรู้มากคงใช้ไม่ได้เลย คำที่สองของท่าน รู้มากคงใช้ไม่ได้เลย ไม่ได้ผล เธออย่าลืมนะว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร ? สอนทุกข์และสอนวิธีดับทุกข์" นี่ท่านสอน "ท่านสอนอะไรอีกรู้ไหมคุณ ?" "ไม่ทราบครับ" "เอาล่ะจะบอกให้ สอนไม่ให้เบียดเบียนตน สอนไม่ให้เบียดเบียนคนอื่น พร้อมกับไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนด้วย หาที่มาของทุกข์ให้ได้ ศึกษาข้อนี้ในตัวเรา มีอะไรมีทุกข์หาที่มาของทุกข์แล้วปฏิบัติ วิธีปฏิบัติอย่างไรหรือ ? ศีล สมาธิ ปัญญา"
ได้ความแล้ว อ้อไอ้นี่เราก็เรียนมานี่ เรานึกไว้ในใจ โถ! แค่นี้เองหรือ เรานึกว่าจะมีอภินิหารมากกว่านี้ดีกว่านี้ เราก็เรียนเรื่องศีล สมาธิ ปัญญา นี่แค่นึกนะ เพียงนึกน่ะ ท่านชี้หน้าเลย
"คุณมันอย่างนี้เรียนเลยไปหมด ไอ้ที่จะทำไม่ทำ เสือกผ่าเอาที่ไม่ได้ความ ไอ้ที่ได้ไม่เอา เอาไอ้ที่ไม่ได้ ไอ้ที่จริงไม่ชอบ ไปชอบเอาที่ไม่จริง" ท่านว่า
อาตมาถึงจำที่ท่านพูดมานี่ คำพูดนี่พูดบ่อยด้วยนะ "ไอ้ที่จริงไม่ชอบ ไปชอบไอ้ที่ไม่จริง ไอ้ที่ได้ไม่เอา เสือกไปเอาไอ้ที่ไม่ได้ เลยไม่ได้กันเลย ไอ้ที่ไม่ได้ปล่อยไว้ก่อนสิ ไอ้ที่อยู่ที่จะได้ไม่เอา" ท่านด่าให้แสบเลยนะ
อาตมาแสบไส้เหลือเกินวันนั้น เราก็เจ็บในกลอน วันนั้นกลับไปนอนไม่สบายเลย นอนไม่สบายจริง นี่ละพระในป่าแหลมคม อาตมาดูสังเกตท่าน คมกริบ คมคาย มีทั้งคมสัน ท่านชี้แจงหลายเรื่องหลายอย่าง
วันนั้นมันก็เย็นแล้ว อาตมาก็บอกโยมผู้ใหญ่บ้านเก่า บอกโยมไม่ต้องรอ ฉันขอนอนที่นี่ อาตมาจะรอดูว่ากลางคืนจะพูดมากกว่านี้ไหม กลางวันไม่พูด ท่านอาจจะพูดกลางคืน นึกในใจนะ เลยต้องกราบท่านใหม่ บอกพระเดชพระคุณหลวงพ่อ กระผมขอถวายตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อนะ ท่านก็ลืมตามา.......
"ขอบใจมากที่จะฝากตัวเป็นลูกศิษย์ เป็นลูกศิษย์จริงนะ สำหรับวันนี้นะ ท่านชี้หน้าเลย ความขลังของพระอาจารย์ แต่ย้อนกลับไปเป็นความคลั่งของศิษย์คือเธอ. ท่านชี้หน้าเลย ตามจริงท่านด่าได้เจ็บเหลือเกิน หาว่าเราคลั่ง นึกไม่พอใจเลยนะ ท่านพูดแหลมคมมาก อาตมาดูท่านอยู่ในป่ายังพูดแหลมลึก
อาตมายังจำได้ท่านพูดแหลมคม ๓ ข้อ คมกริบ พูดหรือถามไม่เข้าเรื่องเข้าราว ไม่ตอบเก็บอยู่ข้างใน คมคาย ท่านเอาด้ามมาแทงเราซะเจ็บใจเลย คมสันของท่านยังแน่นอน เอาขวานตอกเราเสียแล้วนะ นึกว่าตอกตะปูไม่ต้องใช้คมสันตอกเราเสียแย่เลย
อย่างนี้ จึงจัดได้ว่า องค์นี้มีทั้งคมกริบ มีทั้งคมคาย มีทั้งคมสัน
อาตมาก็คิดได้ต่อไป อาตมาขอพักผ่อนที่นี่ ท่านไม่ยอมจะถึงเวลา ๕ โมงแล้วจึงถึงเวลา ๑๘ นาฬิกาแล้ว จะมืดแล้วดวงอาทิตย์ก็คล้อยใกล้เวลาอัสดงแล้ว เราก็จะเดินกลับไปถึงบ้านโยม มันต้องใช้เวลาเดินหลายกิโล ราว ๆ ประมาณ ๓-๔ กิโล เดินกันพักใหญ่ ๆ เลยเชียว ท่านไม่ยอม และอาตมาก็พูด ในเมื่อท่านไม่ยอมเลย ก็ขอฝากตัวว่า "พระเดชพระคุณหลวงพ่อที่เคารพ ผมมาจะเรียนยืดเหรียญแล้วก็ไม่ได้ผล แล้วก็จะขอฝากตัวเข้าหาทางธรรม แล้วขอตั้งสัจจะอธิษฐานว่าขอตามหลวงพ่อไปจะกรุณาหรือไม่ ? เมตตาเกล้ากระผมหรือเปล่า ?
ท่านนั่งนิ่งอยู่สักครู่ก็ลืมตาพูดว่า......
"คุณ รอให้คุณอายุ ๔๕ ก่อนนะแล้วจะมาพบเราอีกครั้ง อายุเธอยังน้อยนัก ยังไม่แน่นอน ยังหละหลวมอยู่อย่างนี้จะรับได้อย่างไร รับได้ต้องเป็นคนหนึ่ง ไม่ใช่สอง มีสัจจะมีเมตตาสามัคคีแล้วหรือยัง สัจจะก็ไม่มีจะเกิดเมตตาได้อย่างไร แล้วเมตตาไม่มีจะเกิดความสามัคคีได้ทั้งใจทั้งจิต จะเกิดรูปนามได้หรือ ?
แหมพูดแหลมลึกสะกิดหัวใจนี่ ท่านบอกว่าอายุถึง ๔๕ ให้มา แล้วบอกเคล็ดลับมา ๓ ข้อ ต้องการพบท่านแล้วทำอย่างนี้ อันนี้บอกโยมไม่ได้นะ
อาตมากลับมาค้างบ้านโยมและลูกหลานมาคุยกันจนรุ่งเอาเหรียญมาอวด บอกนี่ฉันถูกหวย ๓ ครั้ง แล้วนามี ๒๐ ไร่ เดี๋ยวนี้มีตั้ง ๔๐๐, ๕๐๐ ไร่ แต่ด้วยการบูชาแล้วเจริญสมาธิที่ท่านบอกมาอย่างนี้ถูกหวย ๓ ครั้ง เห็นจะเป็นลูกคนโง่ เลยไปซื้อส่งเดชเลยถูกถึง ๓ ครั้ง
ไอ้เลข ๓ ตัว อันนี้อาตมาไม่ติดใจในเรื่องนั้น ติดใจในเรื่องนี้ นี่ดูสิจะไปเรียนยืดเหรียญแต่ไปได้เรื่องธรรมะ ทีแรกไปหาธรรมแมะเลยไปพบธรรมะ ท่านบอกแนวอาตมาดังนี้ บอกให้ไปทำศีล สมาธิ ปัญญา ให้ทำวิปัสสนากรรมฐาน แต่ท่านไม่ได้บอกวิธีทำ ท่านบอกให้ทำที่ศีล สมาธิ ปัญญา และ แนะแนวพระพุทธเจ้าสอนอะไรจำไว้ สอนทุกข์ ไม่ได้สอนความสนุกนะ สอนวิธีดับทุกข์ทำอย่างไร ท่านว่าอย่างนี้สั้น ๆ
อาตมาก็กลับวัดตั้งหน้าศึกษาธรรมแล้วก็เดินทางต่อไปเรียนกรรมฐานจากองค์โน้นองค์นี้ อาตมาก็ไปเรียนกรรมฐานกับหลวงพ่อลี วัดอโศการาม เมื่อสมัยยังไม่สร้างวัดบางปิ้ง ท่านเดินธุดงค์ไปสู่จันทบุรี ไปเมืองลพบุรี อาตมาตามท่านไปเลยนะ ตามไปภาคอีสาน ไปภาคเหนือ เดี๋ยวนี้อาตมาไม่ได้ไปติดต่อ ไม่รู้จักใครแล้ว วัดบางปิ้งท่านมรณภาพแล้ว เจริญภาวนา พุทหายใจเข้า โธหายใจออก ตามหลักไปแล้วไปเจอพระอีกองค์หนึ่ง กสิณเก่ง กสิณขยายดวงไฟ ได้แล้วไปเจอพระอาจารย์อีกรูปหนึ่งเรียนมโนมยิทธิ ไปคุยกับเทวดาก็ได้นะ เอ เข้าท่านะดีนะสนุกดีจัง แล้วก็ไปคุยกับเมืองนรกได้นะ
ไปเจอยมบาล อาตมาก็บอกจะเอาค่าแป๊ะเจี๊ยะมาให้ ขอให้ญาติอาตมาขึ้นจากเมืองนรก ยมบาลก็เอ่ยว่า พระคุณเจ้าที่เคารพ นับประสาอะไรที่จะช่วยญาติของพระคุณเจ้าเล่า แค่แม่ยายผม ผมยังช่วยไม่ได้ ช่วยไม่ได้จริง ๆ ภรรยาผมที่นะเขาบอกว่า ให้ช่วยแม่เถอะนะพี่นะ นึกว่าสงสารแม่ แม่ฆ่าเป็ด ฆ่าไก่มามากมาย ฆ่าหมู ฆ่าไก่ โหดมาก ใจดำ ทารุณดุร้าย ฆ่าเพื่อกินกันตาย ช่วยแม่เถอะ นี่ยมบาลเล่าให้อาตมาฟัง ว่าจะพยายามช่วยแม่เสียหน่อย แต่โจทก์มันมากันเยอะ ห่านมันก็มาร้อง เป็ดก็มาร้อง หมูก็มาร้อง ว่าไม่ได้นะ ยมบาลไม่ได้นะ นี่ทำฉันให้ทุกข์ทรมานเหลือเกิน ยมบาลเห็นท่าไม่ดี ช่วยไม่ได้
มโนมยิทธิอาตมาลองทุกอย่างนะ แล้วก็ยังผิดทางอยู่ไม่รู้ว่าทางไหนที่มันจะแน่นอนที่จะช่วยตัวเองได้ เอาทุกอย่าง มโนมยิทธินี้เกิดประโยชน์ไหม ? ช่วยตัวได้ไหม ? ก็ไม่ได้ ให้พ้นทุกข์ได้ไหม ก็ไม่ได้ ลองแล้วนะ อาตมาที่พูดนี่อาตมาเป็นพระนะ ไม่ได้โกหกโยมนะ
ในเวลากาลผ่านมาอายุอาตมาพอ ๔๕ แล้วก็ตั้งเข็มต้องการปรารถนาไปพบหลวงพ่อองค์นี้ให้ได้ แล้วอาตมาก็มาสวดมนต์ ภาวนา ตามลัทธินี้ ได้ไปพบหลวงพ่อนี้ที่เขาใหญ่ จะต้องเดินทางไปด้วยทางเท้าและไปถึงที่ต้นไม้ใหญ่ เลยที่เขาใหญ่ไประหว่างจังหวัดนครราชสีมาและจังหวัดสระบุรี เรียกกันว่าดงพระยาไฟ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวไปตั้งใหม่ เปลี่ยนดงพระยาไฟเป็น "ดงพระยาเย็น"
อาตมาไปพบท่านที่นั่น อาตมาค้างอยู่กับท่าน ๑ คืน และท่านสนทนาธรรมสอนอาตมาตั้งแต่ ๔ ทุ่มถึงตี ๔ พอดี แนะแนวทุกอย่าง แล้วทีนี้หลวงพ่อในป่านี้ท่านสอนตามหลัก บอก..........
"นี่เธอที่เธอทำมานั้น ทำมาแล้วนั้นดีเป็นวิปัสสนาได้ แต่เธอโปรดฟังหันมุมกลับ ได้ช่วยเธออะไรได้บ้าง ช่วยเธอดับทุกข์อะไรได้บ้าง ไม่มีเลยนะ ท่านก็เริ่มชี้แจงแสดงบรรยายสอนทางสายนี้ทันที "อย่าลืมสติปัฏฐาน ๔" ว่าอย่างนี้เลย
ท่านบอกที่ไปเรียนมโนมยิทธิไม่ใช่ไม่ดี แต่เธอนึกคิดช่วยเธอไม่ได้นะ ดับทุกข์เธอไม่ได้นะ เธอไปเพิ่มทุกข์ เธอไปคุยกับยมบาลน่ะ เข้าใจไหมด้วยอำนาจปีติอย่างแรงกล้าและอำนาจศรัทธา อุปทานยึดมั่นเอกัคคตารมณ์แล้ว จะแสดงอภินิหารของมโนมยิทธิได้ทันที อาตมาทำมาแล้ว เลยท่านก็สอนว่าเอาหนทางพ้นทุกข์เถอะให้เจริญสติปัฏฐาน ๔
อันดับแรก ก็เริ่มสอนดังต่อไปนี้ ยืนอยู่กับที่มือขวาจับมือซ้าย ยืนอยู่เฉย ๆ ๑ ชั่วโมง ยืนอยู่เฉย ๆ ๑ ชั่วโมง โดยไม่กระดุกกระดิก ตายเสียแล้วคราวนี้ เราไม่เคยยืนอยู่เลย ๑ ชั่วโมง นี่ในคืนวันนั้นมันเรื่องแปลก ยืน ๑ ชั่วโมง มือขวาจับมือซ้ายไขว้หลัง น้ำหนักของมือทั้งสองจะถ่วงที่กระเบนเหน็บทันทียืนอยู่ ๑ ชั่วโมง ตายแล้วเราคราวนี้ แขนกางแน่ อย่าไปเอามือไว้ข้างหน้ามันห่อทรวงอก หายใจไม่ปกติที่มักจะเป็นโรคปอด สอนละเอียดเสียด้วย
แล้วก็สอน เกศา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ ตะโจ ทันตา นะขา โลมา เกศา ให้สำรวจจิตตั้งสติ ตั้งแต่ปลายผมลงมา เบื้องบนตั้งแต่ปลายเท้าไปถึงปลายผม เบื้องล่างตั้งแต่ปลายผมไปถึงปลายเท้า นี่เริ่มตั้งแต่อาตมาจะเข้าถึงพุทธธรรม ที่เราจะบวชครบครันมาถึงบัดนี้ อาตมาก็ยืน ๑ ชั่วโมง ตายจริงไม่เข้าท่าเสียละมั่งนี่ ขาสั่นเอาแล้วมาเอาเรื่องแล้ว ท่านบอกพิจารณายืนมีสติ ศีรษะลงปลายเท้านับหนึ่งลงไปสำรวจจากปลายเท้านับสองขึ้นไปบนศีรษะ สำรวมจิตจากศีรษะลงสู่ปลายเท้า ๓ สำรวมสติอย่างที่คุณเคยบวชพระอุปัชฌาย์บอกไหมตั้งแต่เบื้องต่ำไปถึงเบื้องบน เบื้องบนไปถึงเบื้องต่ำ สมกับที่เคยด่าเราบอก คุณนี่มันเลย เลยวิชา เลยภาคปฏิบัติของพระพุทธเจ้า เลยไม่ได้เอาไหนไง
อาตมาก็ยืนกำหนด ตั้งสติมโนภาพกระจกฉายแสงว่าข้าพเจ้ายืน ๑ ช.ม.ให้หลัง เราก็รู้ตัวเองเลยว่ายืนมีสติ อ้อยืนมีสติอ่านตัวออกบอกตัวได้ ใช้ตัวเป็น แสดงอภินิหารนาทีนั้นว่าเรายืนมีมารยาท มีสติครบในการยืนเลย อ้อกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ฐานของจิตแผลงฤทธิ์ให้เรารู้สึกนึกคิดเป็นตัวปัญญาจากการยืนนี่เกิดประโยชน์มาก อาตมาได้มาอย่างนี้จากในป่า และก็ยืนมีสติดี อ้อใช่แล้วว่า เกศา โลมา นะขา ทันตา ได้ประโยชน์อย่างไร ยืน เดิน นั่ง นอน ๔ อิริยาบถ บทใดบทหนึ่งในสติปัฏฐาน ๔ ยืนได้อย่างนี้มีสติ เห็นคนเดินมาแล้ว เห็นตั้งแต่ศีรษะลงมาปลายเท้าแล้วเราจะรู้ทันทีว่าคนนี่มีนิสัยอย่างไร มันสัมพันธ์ให้เรารู้โดยตาปัญญาเท่านี้เอง เกิดประโยชน์มาก
อันดับ ๒ ท่านให้เดินมีสติเยื้องเท้าก้าวเท้ามีสติครบ นี่สอนที่เขาใหญ่บอกอาตมาเมื่อครั้งที่อายุ ๔๕ พอดีแล้วก็เอาสมถะ สมาธิของอาตมาที่เคยได้มาแต่เดิม เอามาเป็นบาทพลิกแผ่นดินเลย เอาสภาวะรูปที่ยึดบัญญัติเป็นอารมณ์เอาไปกำหนดตั้งสติ บัญญัติเป็นอารมณ์หายวับไปกลายเป็นรูปนามขันธ์ ๕ ขึ้นมาแทนที่ได้ทันที
แล้วท่านสอนต่อไป ท่านก็สอนอาตมาว่า นี่คุณรู้ไหม "อารมณ์นี้เป็นอย่างไร ?" ไม่ทราบครับหลวงพ่อ จำอารมณ์ตื่นนอนขึ้นมามีอารมณ์อย่างไร วสีเข้าออก ไปได้สตางค์ เสียเงิน อารมณ์ค้าง แบบนี้ไปแล้วเกิดอะไรขึ้นมา ? เหมือนเราเป็นนักธุรกิจ นี่พระในป่านะ สอนประยุกต์จริง ๆ เข้าใจคำพูดท่านได้มาก รู้จักอารมณ์ไหม บอกไม่ทราบ ท่านว่าอย่างไร อารมณ์คืออะไร คือลมหายใจยาว สั้น อารมณ์จิต จิตเป็นธรรมชาติคิดอ่านอารมณ์ รับรู้อารมณ์ได้นาน ๆ เหมือนเทป บันทึกเสียงคลำไม่ได้ ไม่มีตัวมีตนเป็นนามธรรม และอารมณ์แบบนี้ไปได้อารมณ์อะไรขึ้นมา ถ้าอารมณ์ฉุนเฉียว แบบนี้เป็นนักธุรกิจไปทำการค้า ใช้อะไรไม่ได้เลย แล้วจำอารมณ์นี้ไว้ให้ได้ สัมผัสกับอารมณ์ต่าง ๆ จากบุคคลที่เดินเข้ามา สัมผัสกับอารมณ์ไป กระแสอารมณ์ที่ทำให้ได้อยู่ทีหลัง ถ้าสติเราครบแล้ว เราจะรู้กระแสของคนโน่นอ่อน เบา หนัก ละเอียดถี่ถ้วนประการใดจะรู้ได้อย่างไร
และก็สอนต่อไปว่าให้รู้ อายตนะ เรียนที่ไหน เรียนที่ตัวเรา ท่านบอกอย่างนี้เลยนะ เอาสั้น ๆ ง่าย ๆ เลยนะ
- ตาเห็นรูปมีศีลไหมที่ตา ?
- หูได้ยินเสียงมีศีลที่หูไหม ?
- จมูกได้กลิ่นมีศีลที่จมูกไหม ?
- ลิ้นรับรสอาหารที่ศีลที่ลิ้นไหม ?
- กายสัมผัสร้อนหนาวอ่อนแข็งมีศีลไหม ?
อาตมาฟังท่านบอก เห็นรูปก็แล้วสติมีไหม ? มีครับหลวงพ่อ อ้อนั่นแหละสติ ศีลต้องมีเรือนให้เขาอยู่. บอก เธอต้องมีกุฏิอยู่ใช่ไหม เหมือนญาติโยมต้องมีอาคารสถานที่ จะนั่งตากแดดตากฝนอยู่คงไม่ได้ มันต้องมีเรือน เพราะฉะนั้นมันต้องมีเรือน ตาเห็นรูป มีสติไว้
แล้วท่านบอกว่า ไปไหนเอาตาหูเป็นใหญ่ อย่าเอาปากไปนะ ปากนี่เป็นครูน้อย ไม่ใช่ครูใหญ่ ส่วนมากเราเอาปากไปเสียนะ ตาดู หูฟัง จิตคิดประดิษฐ์สร้างสรรค์ ริเริ่มดำเนิน งานทางวาจาทีหลัง นี่สอนดีเหลือเกิน อาตมาได้ตรงนี้ บอกตามีศีล มีศีลแล้วทรัพย์มา ฟังเขาด่าแล้วถ้าหูไม่มีศีล ในเมื่อขาดสติเดี๋ยวเถอะ เดี๋ยวได้เรื่อง ด่ามาคำ เราก็สองคำบอกไป เลยเอาปากออกไปแล้ว นี่หูไม่มีศีล ตั้งสติไว้ หูมีสติแล้วหูมีทรัพย์ เพราะมีศีลทรัพย์มา พูดไปแล้วปัจจุบันธรรมปากมีศีล พูดเป็นเงินเป็นทองเลยด้วยมีสติ
โยมโปรดจำไว้เถอะ ซื้อรถสีอะไรจะดีแล้วก็แบบไหนดี โอ๊ยรถสีนี้มันชนเก่ง สีดีโฉลกดีแล ไม่ชนไม่มีที่ไหน อย่าลืมนะมันอยู่ที่จิตใจ มันฝากความห่วงใยและฝากชะตากรรมอยู่ที่เจ้าของรถและเจ้าของรถดวงไม่ดี เคราะห์ไม่ดี เคราะห์หามยามร้ายรถมันจะไปรู้เรื่องรู้ประสาอะไร เจ้าของรถจะต้องเสียแหลกราญเพราะเจ้าของ. ไม่ต้องไปเลือกสีหรอก ชอบไหม ไม่ต้องไปหาหมอดู ชอบสีอะไรสีไหนสบายใจเอาสีนั้น ไม่ต้องไปบอกหมอดูสีแดงแต่โยมชอบสีเขียว ไม่ต้องไปฝืนใจซื้อสีแดงมา ซ่อมแล้วก็ไม่สบายใจเลิกเชื่อหมอดูได้แล้ว เชื่อความสบายใจของโยมดีกว่า
สุนักขัตตัง สุมังคะลัง สุปะภาตัง เป็นต้น สะดวกไหม ฤกษ์คือโอกาสดี ยามดีต้องเวลาว่าง ถ้าโยมไม่ว่างยามดีไม่ได้ จะดำเนินงานต้องเครื่องพร้อม เครื่องอุปกรณ์พร้อม พอพร้อมแล้ว ฤกษ์โอกาสดีเวลานี้ว่างเสาร์อาทิตย์ว่างไม่ได้ไปทำงานอื่น ดำเนินการเลย พร้อมแล้วรีบดำเนินงานรวดเร็วทันใจถูกต้องเป็นธรรมเรียบร้อยทุกอย่างทุกประการ โยมจงจำไว้ถ้าหมอดูบอก โยมชอบสีแดงแต่ไปซื้อสีเขียว เอาสีแดงมาไม่สบายใจ ไปซื้อมาทำไม ก็เอาสีสบายใจไม่ได้หรือ นี่เอาตำราพระพุทธเจ้า
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วก็ขอฝากญาติโยมนะ การเจริญวิปัสสนากรรมฐานก็ดี การทำสมาธิก็ดี.. ทาน-ศีล-ภาวนานี้ ต้องรู้จักวิธีบริจาคท่านด้วยพระเจตนา โยมรู้จักหมดทุกคน โดยไม่ต้องอธิบายนะ ดูพระเจตนา ก่อนทำสบายใจทำไปแล้วสบายใจ ทำไปแล้วนานก็ยิ่งสบายใจ นี่เอาหลักนี้มาตั้งญาติโยมทำบุญ ญาติโยมกระเป๋าขาดเลย ได้บุญหรือนั่น นี่วิธีปฏิบัติการทำบุญ
นอกเหนือจากนั้นแล้วทานต้องเสียเงิน ภาวนาต้องเสียเวลาแต่ไม่เสียเงิน แค่ภาวนาจิตประจำ แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้โดยไม่ต้องใช้เงิน แต่ต้องใช้เวลา ทำได้ทุกขณะ
-------------------------------
#หลวงปู่เทพโลกอุดร.
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
อริยสัจ 4 และมรรคแปด
ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ห่างไกลจากกิเลสตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาค ทรงตรัส...
-
หล่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ปางเทศนา หลังพระปางอุ้มบาตร เนื้อเมฆพัด ลงรักปิดทอง สร้าง พ.ศ.๒๔๑๑ เจ้าพระคุณสมเด็จโต สร้างและปลุกเสก...
-
การจับพลังพระเครื่องนั้น มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ และมีรูปแบบการใช้อยู่อย่างหลากหลายเพื่อให้ทราบว่า พระเครื่ององค์นี้ หรือวัตถุมงคล ชิ้นนี้ ...
-
https://youtu.be/V5b6fr4VMjU หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ ระยอง - พลังจตุธาตุหนักแน่นเช่นเดิม มาเต็มๆ 100 ทุกพลังธาตุ ตามมาตรฐานหลวงปู่ทิม...