เวลาที่เรากราบพระทุกครั้งนี่ หรือไหว้พระทุกครั้ง จิตจะต้องเห็นพระพุทธเจ้าอยู่เป็นปรกติ แล้วกล่าวว่า "อะระหัง สัมมาสัมพุทธโธ ภะคะวา พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ" นั่นหมายถึงว่า เรากราบพระพุทธเจ้า ถ้าเวลาจิตที่กราบ ความจริงเราอาจนั่งอยู่หน้าพระพุทธรูป หรือว่าที่เรากราบไม่มีพระพุทธรูปก็ตาม แต่ว่าจิตของเราถ้าได้ มโนมยิทธิ ต้องส่งจิตขึ้นไปที่นิพพาน แล้วกราบลงไปต่อหน้าพระพักตร์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างนี้เขาเรียกว่า "กราบถึงพระ"
กราบครั้งที่สอง ที่เรียกกันว่า กราบพระธรรม ที่เป็นคำสอนของ หลวงพ่อปาน ก็ดี อาจารย์อีกทั้ง ๑๐ องค์ของอาตมาก็ดีสอนเหมือนกัน เพราะอีก ๑๐ องค์ เป็นพระอรหันต์ หลวงพ่อปานเป็นพระโพธิสัตว์ ท่านบอกว่า เวลากราบพระธรรม ให้จิตคิดกำหนดไว้ว่า เมื่อกราบลงไปแล้วเห็นเป็น ดอกมะลิแก้ว ไหลออกจากพระโอษฐ์ของพระองค์ลงมาบนเศียรเกล้าของเรา พระธรรมให้ตั้งเป็นนิมิต ให้เหมือนกับ ดอกมะลิแก้ว ที่ใสสะอาด มีความแพรวพราว ไหลออกจากพระโอษฐ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ลงบนเศียรของเรา
แล้วเวลา กราบพระอริยสงฆ์ ตอนนี้พระพุทธเจ้าเสด็จอยู่ที่ไหน ที่นั่นย่อมไม่ว่างจากพระอริยสงฆ์ เวลาที่กราบลงไปครั้งที่สาม ก็ตั้งใจเห็นพระอริยสงฆ์ ซึ่งมี พระโมคคัลลาน์ พระสารีบุตร เป็นต้น กราบครั้งที่สาม ก็คิดว่าเรากราบลงไปข้างหน้าท่านทั้งสอง หรือพระองค์ใดองค์หนึ่งก็ได้
ถ้าบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททำเป็นปรกติ เป็นกิจประจำวัน เวลากราบพระทีไรเห็นสภาพแบบนี้ หรือนึกถึงพระขึ้นมาเมื่อไหร่ก็เห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระรูปพระโฉมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เราเห็นที่นิพพาน ให้มันจับใจเราอยู่เสมอเป็นปรกติ
รวมความว่าหายใจเป็นพระพุทธเจ้า แล้วก็ต้องมีจิตคิดไว้เสมอว่า เราไม่ต้องการอะไรทั้งหมด ตัดอารมณ์ย่อๆ องค์สมเด็จพระบรมสุคต คือพระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน เวลาตายแล้วเราขอไปที่นั่น เราขอไปอยู่กับท่าน ถ้าท่านมีอารมณ์คิดอย่างนี้ไว้เป็นปรกติ ถ้ามันตายเมื่อไร เราก็ไปนิพพานเมื่อนั้น ขอบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททุกท่านทำตามนี้นะ
จากเรื่อง : การใช้อารมณ์มโนมยิทธิให้เป็นประโยชน์ สนทนาหลังกรรมฐาน วันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๒๒ จากหนังสือ “ธัมมวิโมกข์” ฉบับที่ ๓๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๑
กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมนี้ ทุกๆท่าน