ลูกหลานทั้งหลายเอ๊ยฯ .. ประเทศชาติก็เหมือนบุคคล มีทั้งช่วงเวลาแห่งความสุขและความทุกข์ สลับคละเคล้ากันไป. ประเทศไทย-สยามเรานี้ก็เช่นกัน. สมัยก่อน ไทย-สยามเราเคยมีเจ้าแผ่นดิน 2 พระองค์. องค์เอกเรียกเจ้าวังหลวง องค์รองเรียกเจ้าวังหน้า.
เจ้าทั้ง 2 วังนี้ เคยมีเรื่องระหองระแหงหวาดระแวงกัน หวิดจะเกิดสงครามกลางเมืองแย่งชิงบัลลังก์กันหลายครั้ง แต่สยามประเทศมีพลังศักดิ์สิทธิ์แห่งพระรัตนตรัย จึงทำให้เราไม่สูญสิ้นชาติไปโดยง่าย แม้จะต้องเปลี่ยนเมืองหลวงเปลี่ยนราชอาณาจักรมาหลายครั้งหลายคราวก็ตาม
เจ้าวังหน้าองค์สุดท้ายแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ได้พบหลวงปู่ใหญ่ในญาณสมาธิของท่าน
โดยที่เจ้าวังหน้าองค์นี้ท่านบำเพ็ญบารมีเป็นพระโพธิสัตว์ และท่านใฝ่การบุญแบบคนสมัยใหม่ในยุคนั้น คือ ชอบทรงงานด้านเรือกลไฟ ปืนใหญ่ เหมืองแร่ ฯลฯ ไปพร้อมกับชอบทำกรรมฐาน เวทย์มนต์คาถา ว่านยา เล่นแร่แปรธาตุ
เจ้าท่านนี้คือ.. "พระองค์เจ้ายอดยิ่งยศ"
ก่อนหน้านั้น หลวงปู่ใหญ่ยังไม่ได้มีนามเรียกขานเป็นทางการ ว่า "หลวงปู่เทพโลกอุดร"
แต่เป็นด้วยเจ้ายอดยิ่งยศท่านนี้เองเป็นผู้เรียกขานนาม "หลวงปู่เทพโลกอุดร" เป็นท่านแรก
นับแต่นั้น นาม หลวงปู่เทพโลกอุดร จึงเป็นที่เรียกขานสืบทอดเรื่อยมา
และการที่ท่านพระองค์เจ้ายอดยิ่งยศเป็นผู้ใฝ่ใจในพระพุทธศาสนา ชอบเจริญฌานกรรมฐานจนกระทั่งได้พบ หลวงปู่ใหญ่ นี่เอง จึงมีผลทำให้พระทัยของท่านสงบเยือกเย็น มิฉะนั้นประเทศชาติไทยอาจไม่เป็นดังเช่นทุกวันนี้
ด้วยมีอยู่คราวหนึ่ง ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้เกิดวิกฤติใหญ่ มีความขัดแย้งลุกลามบานปลายระหว่างวังหลวงกับวังหน้า วังหน้าโดยพระองค์เจ้ายอดยิ่งยศได้ไปพึ่งกงสุลอังกฤษ โดยที่หากมีกองทหารอังกฤษเข้ามาแทรกแซง ประเทศสยามจะต้องแตกเป็นเสี่ยง ๆ เพราะในเวลานั้นเป็นยุคล่าอาณานิคม พวกฝรั่งเศส อังกฤษ ล้วนจ้องที่จะฮุบสยามเป็นเมืองขึ้นอยู่แล้ว.
แต่ด้วยน้ำพระทัยพระองค์เจ้ายอดที่ทรงไว้ด้วยพระสติปัญญา และทรงฟังเสียงหลวงปู่ใหญ่ในพระญาณ ว่า "อย่าให้การขัดแย้งดำเนินไปถึงขั้นแตกแยกประหัตประหารกันในหมู่ชาวสยามด้วยกันเองเลย" พระองค์จึงทรงตั้งพระสติได้มั่นคง ใช้วิธีเจรจาโดยสันติ เหตุการณ์ร้ายจึงสงบลงไปได้ด้วยดีในที่สุด
------------------
ที่มา #หลวงปู่เทพโลกอุดร.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น