05 ธันวาคม 2564

#หลวงปู่มั่น_ภูริทัตโต_พระบูรพาจารย์ใหญ่ฝ่ายพระกัมมัฏฐาน

#หลวงปู่มั่น_ภูริทัตโต_พระบูรพาจารย์ใหญ่ฝ่ายพระกัมมัฏฐาน

#ท่านพระอาจารย์มั่น #ภูริทัตตมหาเถระ #เป็นพระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนากรรมฐานแห่ง
อิสาน ซึ่งเป็นที่เคารพสักการะอย่างสูง ของประชาชนชาวไทยทั่วประเทศ ท่านได้มรณภาพไปตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ๒๔๙๒ แต่หลังจากการถวายเพลิงศพ ซึ่งมีขึ้นในปลายเดือนมกราคม ๒๔๙๓ ไม่นานนักก็ปรากฏว่า อัฐิของท่านได้กลายเป็นพระธาตุ
มีลักษณะดังที่ผู้รู้บรรยายไว้ว่า เป็นลักษณะพระธาตุของพระอรหันตสาวก ทำให้พุทธศาสนิกชนในไทยเรามีความปีติชื่นชมโสมนัส ที่ได้ชื่อได้ว่า พระอรหันต์นั้นมิได้ว่างเว้นจากแผ่นดินไทย ความที่คิดกันว่าพระอรหันต์ยุคนี้สมัยนี้ไม่มีอีกแล้วนั้น ไม่เป็นความจริง จริงแท้ดังที่สมเด็จพระบรมศาสดาเคยมีพุทธดำรัสไว้ว่า หากปฏิบัติจริง ทำจริง การสำเร็จอรหันตผล ย่อมเป็นไปได้ ศิษย์ของท่าน หลายต่อหลายท่านที่บำเพ็ญเพียรภาวนา รับการอบรมจากท่าน มีความเคารพ รัก เลื่อมใส สืบต่อระเบียบปฏิบัติ และปฏิปทาของท่านอย่างเคร่งครัด เมื่อมีชีวิตอยู่ก็เป็นที่เคารพสักการะ เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของประชาชนชาวไทยโดยทั่วไป และเมื่อมรณภาพแล้ว อัฐิของท่านเหล่านั้นก็ได้แปรสภาพไปเป็นพระธาตุ เฉกเช่นอัฐิธาตุขององค์บูรพาจารย์ของท่าน เช่นเดียวกัน 

#สำหรับเรื่องอัฐิของท่านพระอาจารย์มั่น_ภูริทัตโต กลายเป็นพระธาตุ ปรากฏเป็นที่ทราบแพร่หลายครั้งแรกนั้น ข้าพเจ้าใคร่ขออัญเชิญข้อความจากหนังสือ “ ประวัติท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ ” ซึ่งท่านพระอาจารย์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ท่านได้เขียนไว้ จะนำมาเฉพาะตอนที่เกี่ยวกับพระธาตุ มาลงไว้ให้อ่าน ด้วยความเคารพอย่างสูงสุด ดังนี้...

"จนกาลล่วงไปแล้ว ๔ ปี คุณวัน คมนามูล เจ้าของร้านศิริผลพานิชและโรงแรมสุทธิผล จังหวัดนครราชศรีมา ไปถวายผ้าป่าที่จังหวัดสกลนคร ได้รับแจกอัฐิส่วนบนของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ชิ้นหนึ่ง จากเจ้าอาวาสวัดสุทธาวาส ซึ่งเป็นวัดที่ท่านพระอาจารย์มั่นมรณภาพ กลับมาถึงบ้าน ได้อัญเชิญอัฐิชิ้นนั้น รวมลงอยู่ในผอบอันเดียวกันกับที่บรรจุอัฐิท่านพระอาจารย์อยู่แล้ว ตั้งแต่สมัยได้รับแจกมาจากงานศพของท่าน พอเปิดผอบออกมาเท่านั้น สิ่งที่ไม่เคยคาดฝันก็ปรากฏขึ้นในผอบนั้น คืออัฐิชุดแรกที่ได้รับแจกไปจากงานศพของท่านนั้น ได้กลายเป็นพระธาตุเสียหมด เจ้าของเกิดความอัศจรรย์จนตัวแทบลอย เมื่อเห็นเหตุการณ์เข่นนั้น จึงให้คนไปดูอัฐิส่วนที่เก็บไว้ที่โรงแรมสุทธิผลอีก ที่นั้นก็กลายเป็นพระธาตุเช่นกันอีก รวมทั้งสองแห่ง จึงเป็นพระธาตุ ๓๔๔ องค์ ยังเหลือติดผอบอยู่บ้างเป็นผงๆ เล็กน้อย ต่อมาไม่นานนักจำนวนผงเหล่านั้น ก็ได้กลายเป็นพระธาตุเสียจนหมดอีก และนี้จึงเป็นรายแรกที่ปรากฏความอัศจรรย์ จากอัฐิกลายเป็นพระธาตุ.."

จากนั้นเรื่องก็เล่าลือไปทุกหนทุกแห่ง ผู้คนทราบถึงไหน ก็มาขอพระธาตุกับคุณวัน คมนามูล ไปสักการะบูชากันถึงนั่น คุณวันเองก็มีนิสัยใจบุญอยู่แล้ว จึงเห็นใจท่านที่มาขอ และแจกไปคนละเล็กละน้อย คือ คนละ ๑ องค์บ้าง และ ๒ – ๓ องค์บ้าง 

#พระธาตุท่านพระอาจารย์มั่น ยังเป็นที่น่าแปลกและอัศจรรย์อยู่หลายอย่างคือ พระธาตุ ๒ องค์ เจ้าของอธิฐานขอให้เป็น ๓ องค์ เพื่อให้ครบรัตนะ คือ พุทธ ธรรม สงฆ์ ก็กลายเป็น ๓ องค์ได้จริงๆ ผู้มีอยู่ ๒ องค์ อธิฐานขอให้กลายเป็น ๓ องค์ เช่นที่คนอื่นเขาเป็น แต่กลับรวมเป็นองค์เดียวก็มี เจ้าของเสียใจมาก มาเล่าให้ผู้เขียนฟังและขอคำชี้แจง ผู้เขียนได้อธิบายให้ทราบบ้างว่า พระธาตุท่านพระอาจารย์มั่น กลายเป็น ๓ องค์ก็ดี กลายเป็นองค์เดียวก็ดี หรือยังมิได้กลายเป็นพระธาตุเลยก็ดี ทั้งนี้ก็คืออัฐิธาตุที่ออกจากองค์ท่านอันเดียวกัน จึงไม่ควรเสียใจ การที่พระธาตุ ๒ องค์กลับกลายเป็นองค์เดียว ก็เป็นอภินิหารของท่านอยู่แล้ว เราจะหาความอัศจรรย์จากอะไรอีก แม้ผมที่ท่านปลงออก มีผู้เก็บไว้บูชาในที่ต่างๆ ก็กลายเป็นพระธาตุได้เช่นเดียวกับอัฐิซึ่งมีอยู่หลายแห่ง ที่เป็นดังที่เข้าใจว่า อัฐิ หรือ ผม ท่านที่เก็บไว้นานไป อาจจะกลายเป็นพระธาตุไปตามๆกัน ดังอัฐิท่านที่ค่อยๆกลายเป็นพระธาตุมาเป็นลำดับนี้แล ... 

นอกจากท่านพระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน จะได้กรุณาเล่าเรื่องอัฐิของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต กลายเป็นพระธาตุดังกล่าวข้างต้นแล้ว ท่านยังได้อธิบายเหตุผลด้วย ถึงข้อที่มีคนสงสัยกันมากว่า “ อัฐิของพระอรหันต์ก็ดี ของสามัญชนก็ดี ต่างก็เป็นธาตุดินชนิดเดียวกัน ส่วนอัฐิของสามัญชน ทำไมจึงกลายเป็นพระธาตุไม่ได้ เฉพาะอัฐิของพระอรหันต์ ทำไมจึงกลายเป็นพระธาตุได้ ทั้งสองนี้ มีความแปลกแตกต่างกัน ... อย่างไรบ้าง ” 

ในประเด็นนี้ ท่านพระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน ได้เขียนไว้ในหนังสือเล่มเดียวกัน ... นั้นว่า 

"ก็ได้อธิบายให้ฟัง เท่าที่สามารถแต่เพียงโดยย่อว่า เรื่องอัฐินั้นปัญหาส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับใจเป็นสำคัญ คำว่าจิต แม้เป็นจิตเช่นเดียวกัน แต่มีอำนาจและคุณสมบัติต่างกันอยู่มาก คือ จิตของพระอรหันต์ท่านเป็น “ อริยจิต ” เป็นจิตที่บริสุทธิ์ ส่วนจิตของสามัญชนเป็นเพียง" สามัญจิต” เป็นจิตที่มีกิเลสโสมมต่างๆ เมื่อจิตผู้เป็นเจ้าของเข้าครองอยู่ในร่างใด และจิตเป็นจิตประเภทใด ร่างนั้นอาจกลายไปตามสภาพของจิตผู้เป็นใหญ่พาให้เป็นไป เช่น จิตพระอรหันต์เป็นจิตที่บริสุทธิ์ อาจมีอำนาจซักฟอกธาตุขันธ์ให้เป็นธาตุที่บริสุทธิ์ไปตามส่วนของตน อัฐิท่านจึงกลายเป็นพระธาตุได้ แต่อัฐิของสามัญชนทั่วๆไป แม้จะเป็นธาตุดินเช่นเดียวกัน แต่จิตผู้เป็นเจ้าของเต็มไปด้วยกิเลส และไม่มีอำนาจซักฟอกธาตุขันธ์ ให้เป็นธาตุขันธ์ที่บริสุทธิ์ได้ อัฐิจึงกลายเป็นธาตุขันธ์ที่บริสุทธิ์ไม่ได้ จำต้องเป็นสามัญธาตุไปตามจิตของคนที่มีกิเลสอยู่โดยดี หรือจะเรียกไปตามภูมิของจิต ภูมิของธาตุว่า อริยจิตหรืออริยธาตุ และสามัญจิตหรือสามัญธาตุ ก็คงจะไม่ผิด เพราะคุณสมบัติของจิตของธาตุ ระหว่างพระอรหันต์กับสามัญชนนั้นต่างกัน อัฐิก็จำต้องต่างกันโดยดี ” 

“ ผู้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ขึ้นมานั้น ทุกท่านเวลานิพพาน และอัฐิต้องกลายเป็นพระธาตุด้วยกันทั้งสิ้น ... ดังนี้ ? ข้อนี้ผู้เขียนยังไม่แน่ใจว่าจะเป็นไปได้อย่างนั้นทุกๆองค์ เฉพาะจิตท่านที่สำเร็จอรหันตตภูมิ เป็นจิตที่บริสุทธิ์เต็มภูมินับแต่ขณะที่สำเร็จ ส่วนร่างกายที่เกี่ยวโยงไปถึงอัฐิเวลาถูกเผา แล้วจะกลายเป็นพระธาตุได้เช่นเดียวกันทุกองค์หรือไม่ ยังเป็นปัญหาอยู่บ้างระหว่างกาลเวลาที่บรรลุจนถึงวันที่ท่านนิพพานนั้น มีเวลาสั้นยาวต่างกัน องค์ที่บรรลุแล้วมีเวลาทรงขันธ์อยู่นาน เวลานิพพานแล้ว อัฐิย่อมมีทางกลายเป็นพระธาตุได้โดยไม่มีปัญหา เพราะเวลาที่ทรงขันธ์อยู่ จิตที่บริสุทธิ์ก็ย่อมทรงขันธ์เช่นเดียวกับความสืบต่อแห่งชีวิต ด้วยการทำงานของระบบต่างๆภายในร่างกาย มีลมหายใจเป็นต้น และมีการเข้าสมาบัติประจำอริยบถ ซึ่งเป็นการซักฟอกธาตุขันธ์ให้บริสุทธิ์ไปตามส่วนของตนโดยลำดับด้วย ในขณะเดียวกันเวลานิพพานแล้วอัฐิจึงกลายเป็นพระธาตุดังที่เห็นๆกันอยู่ 

ส่วนองค์ที่บรรลุแล้วมิได้ทรงขันธ์อยู่นานเท่าที่ควร แล้วนิพพานไปเสียก่อนนั้น อัฐิธาตุของท่านจะกลายเป็นพระธาตุได้เหมือนพระอรหันต์ทั้งหลายที่มีโอกาสอยู่นานหรือไม่ เป็นความไม่สนิทใจ เพราะจิตไม่มีเวลาอยู่กับธาตุขันธ์นาน และมิได้ซักฟอกด้วยสมาธิสมาบัติดังกล่าวมา ท่านที่เป็นทันทาภิญญา คือรู้ได้ช้า ค่อยเป็นค่อยไป เช่น บำเพ็ญไปถึงขั้นอนาคามีผล แล้วติดอยู่นานจนกว่าจะก้าวขึ้นสู่ขั้นอรหันตตภูมิได้ คือต้องพิจารณาท่องเที่ยวไปมาอยู่ในระหว่างอรหันตตมรรคกับอรหันตตผล จนกว่าจิตจะชำนิชำนาญและมีกำลังเต็มที่จึงจะผ่านไปได้ ในขณะที่กำลังพิจารณาอยู่ในขั้นอรหันตตมรรคเพื่ออรหันตตผล ก็เป็นอุบายวิธีซักฟอกธาตุขันธ์ไปในตัวด้วย เวลานิพพานแล้วอัฐิอาจจะกลายเป็นพระธาตุได้ ส่วนท่านที่เป็น ขิปปาภิญญา คือรู้ได้เร็ว และนิพพานไปเร็วหลังจากบรรลุแล้ว ท่านเหล่านี้ไม่แน่ใจว่า อัฐิจะกลายเป็นพระธาตุได้หรือไม่ประการใด เพราะจิตที่บริสุทธิ์ไม่มีเวลาทรงและซักฟอกธาตุขันธ์อยู่นานเท่าที่ควร ส่วนสามัญจิตของสามัญชนทั่วๆไปนั้น ไม่อยู่ในข่ายที่อัฐิจะควรแปรเป็นพระธาตุได้ด้วยกรณีใดๆ ” 

สำหรับความอัศจรรย์ที่พระธาตุท่านพระอาจารย์มั่น แสดงให้ปรากฏแก่ศิษยานุศิษย์ผู้เคารพรัก เลื่อมใส บูชา ในคุณธรรมของท่านนั้น ท่านพระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน ได้ยกมากล่าวเป็นตัวอย่างในหนังสือประวัติของท่านแต่เพียงบางราย ซึ่งจะขออัญเชิญมาในที่นี่ ดังนี้ 

#เฉพาะองค์ท่านพระอาจารย์มั่น_ภูริทัตโต นอกจากอัฐิกลายเป็นพระธาตุให้เห็นอย่างประจักษ์แล้ว พระธาตุยังแสดงความอัศจรรย์ให้เห็นหลายอย่าง ดังที่เขียนผ่านมาแล้วว่า ผู้มีพระธาตุ ๒ องค์ อธิฐานขอให้เป็น ๓ องค์ ก็เป็น ๓ องค์มาแล้วได้ ผู้มี ๒ องค์ อธิฐานขอให้เป็น ๓ องค์ แต่กลับกลายเป็น ๑ องค์ก็ได้นั้น ซึ่งไม่น่าที่จะเป็นไปได้เลย แต่ก็ได้เป็นไปเสียแล้ว ผู้ที่ได้มา ๒ องค์ จากผู้ที่มีจิตเมตตามอบให้ พอตกเย็นมาเปิดดูกลับเป็น ๓ องค์ก็ได้ รายนี้เป็นความแปลก เพราะชั่วระยะเวลาเช้าไปถึงเย็นเท่านั้นก็มาเพิ่มได้ ท่านผู้นี้เป็นข้าราชการผู้ใหญ่ มีความศรัทธาในองค์ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต อย่างมาก และเป็นผู้ให้ความสะดวก ตลอดการช่วยเหลือเรื่องต่างๆ แทบทุกกรณีที่เกี่ยวกับงานท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต นับแต่วันแรกที่ท่านไปถึงวัดสุทธาวาส จนตลอดงาน พระผู้ใหญ่เห็นใจและสงสารมาก เมื่อคุณวัน คมนามูล ถวายพระธาตุท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต มาให้ พระผู้ใหญ่ท่านจึงมอบให้ข้าราชการผู้นี้ ตอนเช้าพอได้รับพระธาตุจากท่านแล้ว ขณะนั้นไม่มีกล่องหรือผอบที่จะใส่ มีแต่ขวดยานัตถุ์เปล่าๆติดกระเป่าเสื้ออยู่ จึงได้เอามาใส่พระธาตุไปพลาง ขณะเชิญพระธาตุเข้ากระเป่าเสื้อ ก็ปิดกระดุมเสื้อด้วยดี ขวดก็ปิดฝาดีด้วย เพราะกลัวว่าพระธาตุจะสูญหายไป 

นับแต่ขณะที่ได้รับพระธาตุจากมือพระผู้ใหญ่มาแล้ว ปรากฏว่า ใจมีความปีติยินดีล้นพ้น หลังจากลุกออกจากที่นั้นก็ไม่ทำงานเลยทีเดียว และเกิดความอิ่มเอิบตื้นตันใจตลอดทั้งวัน ประหนึ่งจิตมิได้คิดเหินห่างจากพระธาตุที่ได้รับมานั้นทั้งวันเลย พอเลิกจากงานไปถึงบ้าน ก็โฆษณาใหญ่ว่า ตนได้ของประเสริฐมา ในชีวิตไม่เคยมี คนในบ้านต่างก็รุมมาดู จากนั้นก็เอาผอบมาใส่พระธาตุทันที พอเปิดฝาขวดออก อันเชิญพระธาตุท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ออกมา โดยไม่คาดฝันว่าจะพบความอัศจรรย์ที่แสดงออกมาจากพระธาตุท่าน คือว่า พออัญเชิญพระธาตุท่านออกมาจากขวด ก็ได้เห็นกลายเป็น ๓ องค์ในขณะนั้น ยิ่งเพิ่มความอัศจรรย์ในองค์ท่าน และเกิดความปีติในพระธาตุยิ่งขึ้น แทบจะเหาะลอยไปทั้งตัว พร้อมกับประกาศความอัศจรรย์ของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ว่าเป็นองค์พระอรหันต์ ให้ภรรยาและลูกๆฟังในขณะนั้น อย่างไม่คิดว่าใครจะหาว่าเป็นบ้าเป็นบออะไรเลย ภรรยาและลูกๆยังไม่แน่ใจ เกรงว่าที่ได้รับพระธาตุมา จะจำจำนวนผิดไป ฝ่ายสามีก็เถียงใหญ่ แบบไม่ยอมฟังเสียงใครเลย ว่าพระธาตุ ๒ องค์ ที่เจ้าคุณท่านให้มาเมื่อเช้านี้จำไม่ผิดแน่ เพราะขณะรับจากท่านก็รับด้วยความสนใจ และเลื่อมใสอย่างบอกไม่ถูก แม้อยู่ที่ทำงานก็มิได้ลืมพระธาตุตลอดทั้งวัน ว่าได้พระธาตุมา ๒ องค์ จนกลายเป็นคำเหมือนคนภาวนา แล้วจะให้หลงลืมได้อย่างไร ถ้าใครๆยังไม่ลงใจว่าเป็นความจริง พรุ่งนี้เช้าเราจะไปกราบเรียนถามท่านเจ้าคุณ ท่านใหม่ เห็นจริงกันพรุ่งนี้เอง ฝ่ายคนในบ้านไม่ยอม อยากรู้วันนี้ เดี๋ยวนี้ ขอให้ไปกราบเรียนถามท่านเดี๋ยวนี้ 

ตกลงต้องไปเดี๋ยวนั้น และเรียนถามท่านว่า ที่ท่านเมตตาให้พระธาตุกระผมเมื่อเช้านี้กี่องค์ ท่านตอบว่า ให้ ๒ องค์ ทำไมถามอย่างนั้น...พระธาตุหายหรือ ข้าราชการผู้นั้นตอบด้วยความตื้นตันใจว่า พระธาตุมิได้หายแต่กลับเพิ่มขึ้นได้อีก ๑ องค์ รวมเป็น ๓ องค์ ด้วยกัน ที่กระผมกราบเรียนถามก็เพราะ ไปถึงบ้านแล้วเปิดฝาขวดออกดู เพื่อที่จะอัญเชิญพระธาตุเข้าในผอบ แทนที่จะมี ๒ องค์ ตามที่เข้าใจ แต่กลับมี ๓ องค์ เลยทำให้กระผมเกิดความดีใจจนตัวสั่น รีบบอกกับลูกและเมีย แต่กลับไม่มีใครเชื่อว่าเป็นความจริงเลย เกรงว่าผมอาจจะจำผิดก็ได้ เลยเคี่ยวเข็ญให้กระผมมาถามท่านอีกครั้งหนึ่ง ผมจึงได้มาตามคำเขา แล้วก็เป็นความจริง ยิ่งทำให้กระผมดีใจเสียใหญ่ ว่าอย่างไร...เชื่อหรือยังทีนี้ นี่เป็นคำพูดกับภรรยาที่มาด้วย ส่วนภรรยายิ้ม...แล้วพูดว่า ก็เกรงจะจำผิดและหาเรื่องไปโกหกกันเล่น ก็ต้องพูดอย่างนั้น เป็นความจริงดังที่ว่าก็ต้องเชื่อ ใครจะฝืนความจริงเพื่อประโยชน์อะไร 

ท่านเจ้าคุณก็ยิ้ม และเล่าความจริงให้ภรรยาของข้าราชการผู้นั้นฟังว่า “ อาตมาได้ให้คุณ ๒ องค์จริงเมื่อเช้านี้ เพราะเห็นว่าเป็นผู้มีคุณต่อท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต มาก ตลอดพระสงฆ์เรื่อยมา จนถึงวันที่ท่านมรณภาพและเสร็จงานไป อาตมายังไม่ลืม และเมื่อได้พระธาตุมาจากคุณวัน คมนามูล ก็เลยสงวนไว้ เพื่อที่จะมอบให้เป็นที่ระลึก ซึ่งเป็นของหายากในปัจจุบัน เพิ่งจะพบอัฐิกลายเป็นพระธาตุเฉพาะของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต เพียงท่านเดียว ส่วนนอกนั้นก็ได้ยินแต่ตามตำราที่บอกไว้ ยังไม่เห็นตัวจริงประจักษ์ตา บัดนี้ได้เห็นเป็นพยานหลักฐานอย่างแท้จริงเสียแล้ว กรุณารักษาไว้ในที่อันสมควร เดี๋ยวท่านไปก็จะยิ่งลำบากมากกว่าเป็นสุขใจในเวลาที่ท่านมาเพิ่มให้เป็นไหนๆ แล้วจะว่าอาตมาไม่บอก เพราะพระธาตุท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต เป็นของอัศจรรย์มาก ยิ่งท่านมาได้ง่ายๆอย่างนี้ บทเวลาท่านไปเพราะความเคารพของเราไม่พอ...ยิ่งไปง่ายกว่า กรุณาอัญเชิญท่านไว้ในที่สูง เคารพบูชาท่านทุกเช้าทุกเย็น ท่านอาจจะบันดาลความเป็นศิริมงคลเกินคาด ให้เวลาใดก็ได้ อาตมาเชื่อท่าน ๑๐๐ เปอร์เซ็นว่า ท่านเป็นพระผู้บริสุทธิ์มานานแล้ว แต่ไม่กล้าบอกใครได้ง่ายๆ กลัวเขาจะหาว่าเป็นบ้า เพราะคนเรามีนิสัยที่จะเชื่อในสิ่งดีได้ยาก...หาคนชั่วได้ง่าย แม้นในตัวเราเองถ้าสังเกตดูก็พอทราบได้ว่า ใจชอบคิดในทางชั่วมากกว่าทางดีเป็นประจำนิสัย พอท่านแนะจบลง ท่านข้าราชการกับภรรยาก็กราบนมัสการลาท่านกลับ ด้วยความชื่นบานหรรษาอย่างบอกไม่ถูกทั้ง ๒ คน

ในเรื่องมูลเหตุแห่งความแปลก และอัศจรรย์ของพระธาตุ ที่จะทำให้เกิดปาฏิหาริย์เพิ่มขึ้น หรือเปลี่ยนแปลงจำนวนนั้น ท่านพระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน ได้เขียนเอาไว้ว่า 

“ ...นี่แลพระธาตุท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต เป็นความแปลกและความอัศจรรย์ดังที่นำมาลง เพื่อท่านผู้อ่านจะได้พิจารณา หามูลเหตุแห่งความอัศจรรย์ของพระธาตุดังกล่าวนี้ต่อไป ส่วนการค้นหาหลักฐาน และเหตุผลมาพิสูจน์ดังที่โลกใช้กันนั้น รู้สึกจะพิสูจน์ได้ยาก อาจมองไม่เห็นร่องรอยเลยก็ได้ สำหรับเรื่องทำนองนี้ เพราะสุดวิสัยสำหรับพวกเรา ที่มีกิเลสจะตามรู้ได้ เพียงแต่ธาตุดินที่อยู่ในส่วนร่างกายของท่านผู้บริสุทธิ์กับอยู่ในตัวพวกเรา ก็แสดงให้เห็นเป็นของแปลกแตกต่างกัน อย่างชัดเจนอยู่แล้ว ว่าอัฐิธาตุท่านกลายเป็นพระธาตุได้อย่างประจักษ์ตา ส่วนร่างกายพวกเราที่มีกิเลส แม้จะมีจำนวนเป็นล้านๆคน ก็ไม่มีรายใดเลย ที่สามารถจะเป็นไปได้อย่างท่าน จึงควรเรียกได้ว่า ท่านเป็นบุคคลที่แปลกแตกต่างจากมนุษย์ทั้งหลายอยู่มาก จนเทียบกันไม่ได้ ยิ่งใจที่บริสุทธิ์ด้วยแล้ว ก็ยิ่งเพิ่มความประเสริฐและความอัศจรรย์ จนไม่มีนิมิตเครื่องหมายใดๆมาเทียบได้เลย เป็นจิตที่โลกทั้งหลายควรเคารพบูชาจริงๆ จึงต้องยอมบูชากัน#

ที่มา
#เอกสารอ้างอิง_หนังสือ_ปิยารำลึก.. "
(ท่านคุณหญิงสุรีพันธุ์ มณีวัต)
#ภาพพระอัฐิธาตุหลวงปู่มั่น_ภูริทัตโต
#จากหนังสือ_ท่านพระอาจารย์เสาร์_กันตสีโล #พระปรมาจารย์ใหญ่ฝ่ายพระกัมมัฏฐาน.
 กราบสาธุสาธุสาธุครับผม
Sungkom Dacha

ไม่มีความคิดเห็น:

อริยสัจ 4 และมรรคแปด

ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ห่างไกลจากกิเลสตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาค ทรงตรัส...