ให้ระลึกถึงความไม่เที่ยงแท้แน่นอนของชีวิตของพวกเราว่า ชีวิตของพวกเรานี้ไม่มีใครรับประกันได้ว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อไหร่เวลาใด เพราะคนที่เกิดมานี้สิ้นชีวิตได้ทุกระยะเวลาของชีวิต บางคนเกิดมาเพียงวันเดียวตายก็มี เกิดมา ๗ วันตายก็มี เกิดมาเดือนหนึ่งตายก็มี เกิดมาปีหนึ่งตายก็มี ๑๐ ปีก็มี ๕๐ ปีก็มี ๑๐๐ ปีก็มี แต่ไม่มีใครรู้ว่าวันตายนี้จะมาเมื่อไหร่
ดังนั้น จึงต้องถือว่าอาจจะเป็นพรุ่งนี้ก็ได้ หรืออาจจะเป็นวันนี้ก็ได้ เพื่อที่จะทำให้เราจะได้ไม่ประมาทนอนใจ เพราะถ้าเราคิดว่าเราอาจจะตายวันนี้หรือพรุ่งนี้ แล้วพอถ้าเราตายแล้ว เราก็จะไม่มีโอกาสที่จะเข้าถึงพระนิพพานได้ เข้าถึงวิมุตติธรรม คือการหลุดพ้นจากกองทุกข์แห่งการเวียนว่ายตายเกิดได้ เราต้องคิดอย่างนี้คิดอยู่บ่อยๆ หรือให้ระลึกถึงความแก่ความเจ็บความตายอยู่เรื่อยๆ
เหมือนกับเจ้าชายสิทธัตถะ ที่พอไปเห็นคนแก่คนเจ็บคนตาย ก็ทำให้ท่านเกิดความกระตือรือร้นขึ้นมาทันที เกิดความกระตือรือร้นที่อยากจะแสวงหาทางออก จากการเกิดแก่เจ็บตายนี้เอง เพราะทรงเห็นว่าความแก่ความเจ็บความตายนี้ มันไม่สุขเลย มันเต็มไปด้วยความทุกข์ จึงไม่มีใครอยากจะแก่กัน ไม่มีใครอยากจะเจ็บไข้ได้ป่วยกัน ไม่มีใครอยากจะตายกัน แต่ก็ไม่มีใครสามารถที่จะยับยั้งความแก่ความเจ็บความตายได้ ถ้ามีการเกิดแล้ว ย่อมมีการแก่ การเจ็บ การตาย ตามมาอย่างแน่นอน จะช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง
บางคนก็แก่เร็ว เจ็บเร็วตายเร็ว บางคนก็แก่ช้าเจ็บช้าตายช้า แต่ไม่ว่าจะช้าหรือจะเร็วจะต้องเกิดขึ้น และเมื่อถึงเวลานั้นแล้ว ก็จะไม่สามารถที่จะปฏิบัติธรรมได้ จะศึกษาธรรมได้ จึงไม่ควรที่จะปล่อยให้เวลาในขณะนี้ผ่านไป ถ้าเรายังสามารถที่จะศึกษาปฏิบัติ พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าได้ เราควรที่จะรีบตักตวงโอกาสอันนี้ ก่อนที่มันจะหมดไป เหมือนโบราณ คำพูดที่ท่านพูดไว้ว่า “น้ำขึ้นให้รีบตัก” เพราะน้ำนี้มันก็จะลดได้ น้ำในหน้าฝนน้ำก็จะขึ้นเยอะ แต่พอในหน้าแล้ง บางทีก็หายไปหมดเลยก็มี
งั้นช่วงที่มีน้ำ ถ้าเราต้องใช้น้ำ เราก็ต้องรีบตักเก็บเอาไว้ สำรองเอาไว้ พอในช่วงที่ไม่มีน้ำ เราจะได้มีน้ำที่เราเก็บสำรองไว้มาใช้ได้ ฉันใด ชีวิตของพวกเราก็เป็นอย่างนั้น ช่วงนี้กำลังเป็นช่วงน้ำขึ้นอยู่ ช่วงที่เรายังมีกำลังวังชา มีเวลาที่จะศึกษาที่จะปฏิบัติพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ควรเอาเวลาอันมีค่านี้ไปใช้กับเรื่องอื่น เรื่องที่ไม่มีคุณมีประโยชน์กับจิตใจ แต่เป็นเรื่องที่เป็นโทษกับจิตใจโดยที่เราไม่รู้สึกตัว เช่น การหาลาภยศสรรเสริญ หาความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย
อันนี้มันไม่ได้เป็นคุณเป็นประโยชน์กับจิตใจ ในทางที่จะทำให้จิตใจหลุดพ้นจากความทุกข์ได้เลย ไม่สามารถทำให้จิตใจเข้าถึงพระนิพพานได้เลย แต่มันจะเป็นกับดักให้จิตใจนี้ ติดอยู่กับวัฏจักรแห่งการเวียนว่ายตายเกิด เพราะถ้าเราแสวงหาลาภยศสรรเสริญ แสวงหาความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกายแล้ว เราก็จะติดมันเหมือนกับติดยาเสพติด เราก็จะต้องเสพมันอยู่เรื่อยๆ ต้องคอยหาลาภยศสรรเสริญ หาความสุขจากรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ มาเสพอยู่เรื่อยๆ เสพไปจนวันตาย ตายไปแล้วก็กลับมาเกิดใหม่เพื่อมาเสพใหม่
อันนี้แหละเป็นเหตุที่ทำให้พวกเรา ติดอยู่กับการเวียนว่ายตายเกิด คือ การไม่รู้จักใช้เวลาให้เกิดคุณประโยชน์ต่อจิตใจ ต่อการหลุดพ้นจากกองทุกข์แห่งการเวียนว่ายตายเกิด ต่อการเข้าถึงพระนิพพาน เราไม่รู้เรื่องราวเหล่านี้ เราไม่รู้เรื่องพระนิพพาน ไม่รู้เรื่องการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ เรารู้แต่ว่าเราเกิดมาแล้ว ไม่ช้าก็เร็วเราก็ต้องแก่ต้องเจ็บต้องตายกัน และก่อนที่เราจะแก่ ก่อนที่เราจะเจ็บ ก่อนที่เราจะตาย เราก็ต้องพยายามหาลาภยศสรรเสริญสุขกันให้มากๆ ที่สุดเท่าที่จะหาได้ เพราะเวลาที่เราแก่ เวลาที่เราเจ็บ เวลาที่เราตาย เราจะหาไม่ได้กันนั่นเอง
ธรรมะหน้ากุฏิ
วันที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๓
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น