**เรื่องพระใหญ่ลงอเวจี เล่าโดยหลวงพ่อฤาษีนี้ เป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกับประวัติหลวงพ่อปานตอนที่ทางบ้านหลวงพ่อฤาษีจะเริ่มนิมนต์หลวงพ่อปานมาที่บ้าน**
**ในเรื่องนี้เป็นเรื่องหลวงพ่อฤาษีตอนสมัยเด็กอายุประมาณ ๑๒ ปี**
**สมัยเด็กนั้นหลวงพ่อฤาษีมีความสามารถทางสมาธิมากสามารถไปนรกได้**
**รายละเอียดตามเรื่องจะยาวมาก**
**ในที่นี้จึงนำมาบางส่วนมาเล่าให้ฟังเท่านั้น**
**สมัยเป็นเด็กหลวงพ่อ ถูกพระท่านหาว่าใกล้บ้า เพราะชอบเอาเรื่องของคนตกนรกมาเล่าให้ท่านยายฟังทุกวัน ทั้งนี้เพราะท่านยายชอบฟังเรื่องคนตกนรก ว่าเขาทำอะไรมาจึงลงนรก**
**เพราะท่านยายชอบฟังเรื่องนรกนี่เอง ฉันก็เลยต้องลงนรกเป็นประจำวัน**
**หลวงพ่อฤาษี เล่าไว้ว่า**
**หลังจากฉันฟื้นจากตายได้ไม่ครบ ๑ ปีดี**พระที่ท่านยายกับท่านแม่ชอบนิมนต์มาเทศน์
และเป็นพระองค์เดียวกันกับที่ท่านหาว่าฉันมีอารมณ์ใกล้บ้า
เพราะชอบเอาเรื่องของคนตกนรกมาเล่าให้ท่านยายฟังทุกวัน
ทั้งนี้เพราะท่านยายชอบฟังเรื่องคนตกนรกว่า เขาทำอะไรมาจึงลงนรก
ฉันก็เลยต้องลงนรกเป็นประจำวัน
**เวลาไปนรกฉันไปไหนไม่ได้ นอกจากยืนอยู่ที่ยอดเขาที่ตาลุงแกสั่งว่าห้ามเข้า**
ความจริงมีสิทธิ์จะไปได้ แต่ทว่าตอนนั้นฉันเป็นเด็กไม่รู้เรื่องธัมมะธัมโมอะไรกับเขาเลย
ปกติก็เป็นคนเคารพในคำสั่งของท่านยายและท่านแม่เคร่งครัดอยู่แล้ว
เรื่องคำสั่งไม่เคยละเมิด เว้นไว้แต่เป็นเรื่องรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ก็เลยไม่ถูกลงโทษเพราะขัดคำสั่ง
แม้อยู่โรงเรียนเรื่องขัดคำสั่งไม่เคยถูกลงโทษเลย
**เมื่อไปเมืองนรกก็เลยไม่กล้าขัดคำสั่งตาลุง** แต่ก็ทำให้ตาลุงคนนั้นลำบากใจไม่น้อย
เพราะถ้าฉันเกิดสงสัยไม่เข้าใจอะไร ฉันก็นึกถึงตาลุงคนนั้น เมื่อนึกถึงแกๆก็มาหาทันที
ถามอะไรแกก็บอกให้ฟังละเอียดตามที่ต้องการรู้
เมื่อฉันได้ยินข่าวว่าท่านเจ้าคุณที่คุณยายนับถือมาตาย
**ท่านเจ้าคุณองค์นี้ฉันไม่ไหว้และไม่ยอมประเคนของ**
**ด้วยเกลียดท่านที่ท่านหาว่าเรื่องนรกที่ฉันเล่าให้ท่านยายฟังเป็นเรื่องโกหกพกลม**
**ตัวท่านเองท่านพูดว่า บวชมา ๓๐ ปีเศษแล้ว ไม่เคยเห็นนรกสักนิด ฉันเลยเกลียดท่าน**
**ด้วยคิดว่าพระแบบนี้หลอกลวงชาวบ้านหากิน**
เป็นความคิดของเด็กโง่ที่ยังไม่ได้ศึกษาธรรม เลยไม่ยอมเคารพ
แม้แต่นิ้ว ๑๐ นิ้ว ก็เสียดายเวลาที่จะยกมือไหว้ท่าน
เมื่อท่านมาบ้าน ท่านยายให้ประเคนของก็ไม่ยอมประเคน
โดยเรียนท่านยายต่อหน้าท่านว่า **พระที่มีความสามารถไม่เท่าเด็กไม่อยากให้อะไร**
**ท่านโกรธมาก เพราะท่านเป็นเจ้าคุณ วัดอยู่ฝั่งพระนคร ท่านมีศักดิ์ใหญ่**
แต่ท่านจะทำอะไรฉันได้ในเมื่อฉันไม่ได้เป็นลูกศิษย์ของท่าน ท่านยายไม่กล้าขัดใจฉัน
**เมื่อทราบข่าวว่าท่านเจ้าคุณตาย** ท่านยายไปเยี่ยมศพท่าน ไม่ได้ชวนฉันไป
ถ้าชวนฉันก็ ไม่ไปเพราะเกลียดมาก
เมื่อท่านยายไปเยี่ยมศพท่านเจ้าคุณ
ฉันว่างเพราะไม่มีคนสั่งงาน ฉันไปนั่งเล่นที่ชานบ้าน
บ้านอยู่ริมน้ำ มีต้นจาก ที่ปลายสะพาน ๑ ต้น
ฉันไปนั่งในต้นจาก เอากระดานพาดทางจาก ด้วยจากต้นนั้นท่านยายปลูกไว้นาน ต้นใหญ่มาก
เมื่อลมพัดเย็นสบายใจก็เลยคิดว่า
**ท่านเจ้าคุณท่านตายแล้วท่านจะไปทางไหน**
จะไปถามตาลุงดู จึงนึกถึงพระรูปสวยองค์ที่เคยมาหาฉัน
**พอภาวนาว่าพุทโธ ๓ คำ ท่านก็มาหา**
ท่านยิ้ม ก็กราบเรียนท่านว่า**ผมอยากไปดูนรก**
ท่านยิ้มอีกครั้ง **ฉันก็ปรากฏตัวอยู่บนยอดเขาลูกที่เคยไป**
**เมื่อไปถึงก็นึกถึงตาลุงๆ **ก็มาหา
แกถามว่า**หลานต้องการพบทำไม**
**บอกแกว่าได้ข่าวว่าพระตาย ๑ องค์ มีชื่อว่า....**
**เมื่อตาลุงทราบแล้วก็บอกว่า เขาตัดสินแล้ว** **ขณะนี้อยู่ในอเวจี**
ถามแกอีกว่า **พระตกนรกด้วยหรือ**
แกตอบว่า **พระตกนรกเป็นประจำ เพราะพระบวชแล้วไม่ทำตัวเป็นพระก็ต้องตกนรก**
ถามแกว่า **พระเทศน์สอนชาวบ้านเรื่องนรกสวรรค์ได้ ทำไมต้องตกนรก**
แกตอบว่า **ก็พระดีแต่สอนชาวบ้าน ตัวเองไม่ได้ปฏิบัติตนตามที่สอนเขา**
**บอกให้คนอื่นทำดี แต่ตัวไม่ทำด้วย พระอย่างนี้ลงนรกหมด และมีโทษหนักมาก**
ก็บอกตาลุงว่า **ผมอยากเห็นท่านเจ้าคุณ**
แกก็บอกว่าได้ แกยกมือขึ้นเท่านั้นเอง ก็ปรากฏว่าภาพอเวจีมาปรากฏใกล้ตัวฉัน
ฉันเห็นท่านเจ้าคุณ ฉันก็จำได้
ภาพของท่านที่ปรากฏมีดังนี้
**๑. ยืนกางแขน มีหอกปักจากเพดานเหล็กด้านบนปักติดอยู่ที่มือทั้ง ๒ ข้าง**
**ปลายด้ามหอกติดเพดาน หัวหอกติดพื้นเหล็กด้านล่างที่เป็นพื้น**
**๒. หอกปักด้านหน้า ด้านหลัง**
**ด้านข้าง ตรงหัวสลับกัน ส่วนหอกด้านปลายและด้าม ตรึงติดกำแพง**
**ปักยึดจนขยับเขยื้อนไม่ไหว**
ถามท่านลุงว่า **ท่านเจ้าคุณมีโทษอะไร** **มีหอกปักตรึงแล้วมีเปลวไฟละเอียดละเอียดร้อนมากกว่านรกทุกขุมพุ่งมาเผาตลอดเวลา**
ตาลุงบกว่า **ลุงจะไม่บอก จะให้ท่านบอกเอง**
แล้วตาลุงก็บอกให้แกขึ้นมาหา
พอตาลุงเรียก **ปรากฏว่าเครื่องพันธนาการหลุดหมด ไฟดับ**
ท่านเดินขึ้นมา **ท่านเห็นฉันเข้า ท่านกล่าวขออภัย**
ท่านลุงบอกว่า **การขออภัยขณะนี้ไม่มีประโยชน์**
**เพราะโทษที่เหยียดหยามผู้ทรงฌาน ถูกตัดสินแล้ว**
ฉันถามท่านลุงว่า **ใครเป็นผู้ทรงฌาน**
ท่านลุงบอกว่า **เธอนั่นแหละเป็นผู้ทรงฌาน**
เรื่องที่ท่านเจ้าคุณทำผิดตายแล้วลงอเวจี ท่านเจ้าคุณบรรยายให้ฟังดังนี้
**๑. เมื่อบวชแล้วไม่สนใจในการรักษาศีลให้บริสุทธิ์ สมถะ วิปัสสนา ไม่เคยสนใจ** ผิดความหมายของพระ ด้วยพระเป็นสรณะที่พึ่งระดับ ๑ ใน ๓ ระดับ เมื่อทำตนไม่สมควร จัดเป็นความผิด คือ เป็นคนลวงโลกหลอกลวงชาวบ้านว่าเป็นพระ เอาเปรียบชาวบ้าน
**๒. ศึกษาพระปริยัติธรรมแล้วไม่ยอมประพฤติตามธรรม มุ่งเอาความรู้ไปสอนชาวบ้าน** เป็นทางนำทรัพย์สินให้เกิดแก่ตน ไม่เคยนำทรัพย์นั้นๆ ไปสงเคราะห์ส่วนสาธารณะประโยชน์หรือบำรุงพระศาสนา เอาไปซื้อที่ดิน ซื้อทอง ให้กู้ อันเป็นวิสัยของฆารวาส พระท่านห้ามไม่ให้ทำ แต่ฝืนทำ
**๓. เมื่อมีทรัพย์ก็มีความทะเยอทะยานอยากได้ยศ เมื่อมียศแล้วก็เมายศคิดว่าตัววิเศษ** แม้แต่ผู้ทรงฌานแกพูด
แล้วแกชี้มาที่ฉันก็ยังกล้าคัดค้านเหยียดหยาม เป็นการทำลายพระพุทธศาสนาโดยตรง
**๔. ในฐานะที่ท่านเป็นพระทรงสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะ** สมัยนั้นพระราชาคณะ ไม่มีสะพรั่งเหมือนดอกเห็ดอย่างสมัยนี้
เมื่อเป็นพระมีศักดิ์ใหญ่ อำนาจมาก ใครอยากได้ยศได้ตำแหน่งก็ต้องเสียเงิน
ท่านก็เลยกลายเป็นพระมหาเศรษฐีใหญ่ คือมีเงินให้กู้ มีทองเส้นใหญ่ๆ มีกระเป๋าใส่เงินใบใหญ่ๆ
**รวมความแล้วท่านเป็นพระใหญ่ หลอกลวงใหญ่**
ได้ถามท่านว่า **ขณะนี้มีทรัพย์สินอะไรที่พอจะเป็นเครื่องยืนยันความใหญ่ของท่านบ้าง**
ท่านตอบว่า ตามที่คณะกรรมการสำรวจสิ่งของที่ได้แล้วขณะนี้ **มีเงินสดอยู่ ๗๓,๐๓๒.๗๕ บาท**
**ทองคำที่รับจำนวนไว้ ๓๕ บาท**
**ทองคำที่ซื้อไว้เองเพื่อเตรียมหมั้นแม่สาวน้อย**เจ้าของร้านขายของมีค่า**มีน้ำหนัก ๕๐ บาท**
ของที่คณะ**กรรมการตรวจพบไม่ได้ คือ เงินที่ชาวบ้านกู้ไปอีก ๔ หมื่นบาทเศษ**
**อันนี้ไม่มีหลักฐาน**
ถามท่านว่าของที่ว่ามีขณะนี้อยู่ที่ไหน
**ท่านบอกว่าคณะกรรมการควบคุมไว้**
ถามท่านอีกว่า **วันนี้คุณยายไปเยี่ยมศพท่าน คุณยายจะทราบเรื่องนี้ไหม**
ท่านตอบว่า **ทราบ เพราะกรรมการเขาเขียนทรัพย์สินที่ค้นได้ใส่แผ่นกระดาษประกาศไว้**
ดีใจที่ได้หลักฐานมายืนยันกับท่านยาย
**๕. ที่ท่านว่าเป็นกรรมหนักในฐานะที่ท่านเป็นพระปลอม คือ บวชแต่ตัว และมัวเมาในลาภ ยศ สรรเสริญ และกามสุข** มีพระที่มีศีลบริสุทธิ์บ้าง มีสมาธิตั้งมั่นบ้าง มีวิปัสสนาดีที่เป็นอริยเจ้ามาไหว้ท่าน **กรรมนี้อีกข้อหนึ่งที่ชวนท่านลงอเวจี**
**เมื่อได้เรื่องแล้วก็ดีใจมาก ลาตาลุงกลับ**
เมื่อคุณยายกลับก็เอาเรื่องทรัพย์สินของท่านเจ้าคุณออกบรรยาย
คุณยายตกใจมาก
ถามว่า พ่อเล็กรู้มาได้อย่างไร
จึงเรียนท่านว่า เมื่อคุณยายไปเยี่ยมศพท่านเจ้าคุณ ผมก็ไปสืบทางเมืองนรก
พบท่านเจ้าคุณลงอเวจี ท่านลุงเรียกมาให้เล่าความประพฤติเมื่อท่านมีชีวิต
ท่านเจ้าคุณบอกให้ฟัง ผมจึงทราบ
เมื่อพูดจบท่านยายก็เรียกน้าสมใจที่ไปด้วยให้เอากระดาษที่จดทรัพย์สินท่านเจ้าคุณที่คณะกรรมการเขียนประกาศไว้ **น้าสมใจอ่านให้ท่านฟัง เมื่ออ่านแล้วน้าสมใจก็บอกว่าตรงกันทุกอย่าง**
ท่านยายถึงกับเปล่งอุทานว่า** ไม่น่าเลย**
**พระใหญ่พระโตทำไมเลวทรามอย่างนี้**
**พ่อเล็กไม่เคารพนั้นถูกแล้ว ยายเองเสียอีกยังโง่กว่าพ่อเล็ก**
ต่อนั้นมาท่านยายพยายามหาแต่พระที่ควรบูชาเท่านั้น
เมื่อท่านยายปรึกษาจะหาพระมาเทศน์ เจ้าเล็กก็ต้องไปหาตาลุง
**ตาลุงก็ชี้พระพอที่จะพบได้ในสมัยนั้น อยู่ไม่ไกลเกินไป ก็คือ**
มี **๘ องค์ เป็นพระอริยะก็มี เป็นพระโพธิสัตว์ก็มี ในรายชื่อนั้นมีหลวงพ่อปาน วัดบางนมโคด้วย**
**แกบอกว่ามีอีกมาก ทำบุญด้วยผลมากกว่าการลงทุน** **ท่านยายเคยรู้จักหลวงพ่อปานมาก่อน เมื่อเห็นหลวงพ่อปานติดอยู่ในบัญชีพระดีก็เลยไม่ไปไหน เกาะหลวงพ่อปานแจ คือ ยึดความรู้ที่หลวงพ่อปานสอนแบบง่าย ๆ**
**ท่านภาวนาคำว่าพุทโธจนท่านสิ้นลมปราณ คือ พอขาดเสียง ท่านก็หมดลมพอดี**
**เมื่อคุณยายตายก็เลยถือโอกาสไปหาท่านลุง**
เมื่อพบแล้วถามท่านว่า **คุณยายไปอยู่ที่ไหน**
ท่านลุงบอกว่าอยู่**ดาวดึงส์**
ถามว่า**ท่านยายจะมาเกิดอีกไหม**
ท่านลุงบอกว่า บารมีเขาดี **เขาจะนิพพานบนสวรรค์**
**ฉันฟังแล้วไม่รู้เรื่องเลยว่านิพพานเป็นอย่างไร**
ข้อมูลบางส่วนจากหนังสือ #ประวัติหลวงพ่อปาน_โดยหลวงพ่อฤาษี
หมายเหตุ
พระ **๘ องค์ เป็นพระอริยะก็มี เป็นพระโพธิสัตว์ก็มี ในรายชื่อนั้นมีดังนี้**
**๑. ท่านพระครูพิทักษ์สุวรรณบรรพต คณะ ๑๑ วัดสระเกศ จ.พระนคร
๒. ท่านอาจารย์พริ้ง วัดมะกอก จ.พระนคร
๓. หลวงพ่อสด วัดปากน้ำภาษีเจริญ จ.ธนบุรี
๔. หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค อ.เสนา จ.พระนครศรีอยุธยา
๕. หลวงพ่อปั้น วัดพิกุล อ.บางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา
๖. หลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมด อ.บางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา
๗. หลวงพ่อโหน่ง วัดคลองมะดัน อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี
๘. หลวงพ่อเนียม วัดน้อย อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี**
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น