การปฏิบัติธรรมที่แท้จริงนั้นสำคัญต้องเน้นที่จิตใจเป็นหลัก หาได้เน้นที่รูปแบบของกายไม่ จะยืนจะเดินจะนั่งจะนอนหรือจะเดินจงกรมหรือแม้แต่นั่งสมาธิ ถ้าลองเพราะจิตใจเป็นบุญเป็นกุศลจิตใจเข้าถึงสภาวะได้แล้วจะอยู่อิริยาบถไหนก็เหมือนกัน ไม่จำเป็นว่าจะต้องเฉพาะเดินจงกรมหรือนั่งสมาธิอย่างเดียว บางคนบางท่านเดินจงกรมก่ง นั่งสมาธิเก่ง แต่พอออกจากการเดินจงกรมและนั่งสมาธิคือเพราะไม่ได้เดินจงกรมและนั่งสมาธิแล้วอยู่ในอิริยาบถธรรมดาใช้ชีวิตประจำวันกับปล่อยจิตปล่อยใจไปคิดเรื่องอกุศล ไปเอาเรื่องของชาวบ้านมาเป็นของตัว ไปคิดถึงแต่เรื่องของคนอื่น ไปจับผิดคนโน้นคนนี้ อันที่จริงแล้วคนอื่นเค้าจะดีไม่ดีมันก็เรื่องของเขาเค้าจะชะชั่วมันก็เรื่องของเขาเค้าจะพูดจริงหรือเท็จมันก็เรื่องของเขา อันที่จริงเราควรถึงแต่เรื่องของเราจะดีกว่าเพราะอย่างน้อยจิตเราเคลื่อนไปคิดถึงเขาถ้ารู้ทันดึงกลับมาก็ถือว่าดีแต่ถ้ารู้ทันปล่อยให้หลงไปตามมโนกรรมแล้วก็หลงปรุงแต่งไปเรื่อยเป็นเรื่องเป็นราว ว่าคนนี้ด่าคนโน้นอยู่ภายในจิตใจเราย่อมไม่เกิดผลดีแก่ตัวเจ้าของจิตเจ้าของเป็นแน่เพราะคนที่เราไปคิดไปว่าไปด่าเขานั้น เค้าไม่ได้มารู้อะไรกับเราหรอก ต่อให้เค้ารู้เค้าก็ไม่มาเอาเรื่องเอาราวอะไรกับเราหรอก มีแต่จิตแต่ใจเจ้าของนี่แหละที่คอยสุ่มฟืนสมไฟเข้าไปในจิตในใจเผาให้ร้อนรนอยู่ ที่ร้อนก็ไม่ใช่เพราะร้อนเรื่องของตัวเองไปร้อนรนเรื่องคนอื่นทั้งสิ้น อย่างนี้ถือว่าไม่ดีเลย ใช้ไม่ได้ เพราะว่าลองคนเรานั้นไม่รู้จักจิตจับใจเจ้าของแล้วไซร้ว่าเป็นอย่างไร จะปฏิบัติไปทางแนวไหนก็รับรองว่าเป็นไปได้ยากและเนิ่นช้าแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติเพื่อหวังผลนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ หวังผลหลุดพ้นในชาติปัจจุบันนี้ ก็ขอรับรองได้เลยตราบใดที่ท่านยังมีสภาวะจิตใจเป็นอย่างนี้อยู่คงไปถึงฝั่งฝันได้ยากแน่นอน แล้วก็เหมือนกันต่อให้ไม่ได้หวังผลนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ ไม่ได้หวังผลนิพพานเป็นปัจจัย แต่หวังผลบำเพ็ญบารมีไปในทาง อธิษฐานจิตเป็นสาวกกับภูมิในสมัยพุทธกาลหน้า หวังผลบำเพ็ญบารมีไปในทางปัจเจกกับภูมิเป็นพระปัจเจกในอนาคตกาล หวังผลบำเพ็ญบารมีไปในทางพุทธะภูมิเป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคตกาล ก็ดีก็บอกเลยว่ายังคงห่างไกล เพราะตราบใดที่ท่านยังไม่สามารถทรงสภาวะจิตไม่ให้รักสุข ไม่ให้เกลียดทุกข์ ไม่ให้หลง ไม่ให้ติดชั่ว ได้แล้วไซร้ ขอบอกเลยว่างานหนักมากๆเหนื่อยมากๆ ไม่ว่าจะหวังผลไปในทางนิพพานเป็นปัจจัยก็ดี หวังผลไปในทางสัมมาสัมโพธิญาณเป็นปัจจัยก็ดี เพราะตราบใดที่ท่านไม่สามารถทรงสภาวะจิตให้เป็นไปในทาง สังขารุเปกขาญาน ได้แล้ว จะหวังผลไปในทางไหนก็ขึ้นชื่อว่ายังห่างไกลจากความเป็นจริงอยู่
อีกวิธีหนึ่งที่จะทำให้การปฎิบัติก้าวหน้าขึ้นและมีกำลังจิต ในการปฎิบัติธรรม เพิ่มขึ้นก็คือ คิดสิ่งใดพูดสิ่งนั้น คิดสิ่งใดทำสิ่งนั้น พูดสิ่งใดทำสิ่งนั้น สิ่งไหนที่ไม่สามารถพูดออกไปจากปากได้ก็อย่าไปคิด สิ่งไหนที่ไม่สามารถทำได้จริงก็อย่าไปคิด สิ่งไหนที่ไม่สามารถทำได้จริงก็อย่าไปพูด ลองถ้าฝึกให้ได้อย่างนี้ตลอดทุกวันต่อเนื่องจนเป็นนิสัยวาสนาสันดานติดตัวแล้วไซร้ ผมรับรองได้เลยว่าผลการปฏิบัติและพลังพลังจิตพลังใจในการปฏิบัติของท่านจะเพิ่มขึ้นและจะก้าวหน้าขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจนแน่นอน ยกตัวอย่างเช่น คิดว่าจะเดินจงกรมภายใน 5 นาทีข้างหน้า เมื่อเวลาผ่านไป 5 นาทีก็ต้องเดินจงกรมจริงๆ คิดว่าจะนั่งสมาธิภายใน 15 นาทีข้างหน้า เมื่อเวลาผ่านไป 15 นาทีก็ต้องนั่งสมาธิจริงๆ นี่ถือเป็นการรักษาสัจจะภายในใจอย่างหนึ่ง สิ่งนี้สำคัญถ้าคิดจะปฏิบัติธรรมจริงจัง แต่ถ้าแค่ศึกษาธรรมพอรู้พอเห็นบ้างตามโอกาสตามกาล ไม่จริงไม่ต่างอะไรสักเท่าไหร่ก็ไม่เป็นไรแล้วแต่จะตามจริตนิสัยกันเลยตามสบาย
ก็ขออนุโมทนาสาธุการแก่ ท่าน สาธุชน คนทั้งหลาย ที่ได้เสียสละเวลาอ่านโพสต์นี้ บุญใดกุศลใดที่เกิดมีเกิดได้ จากการโพสต์นี้ ก็ขอยกให้แก่ท่านผู้อ่านทั้งหลายทั้งปวง เป็นผลให้ทุกท่านที่เข้ามาอ่าน มีผลเป็นพระนิพพานเป็นปัจจัยทั้งหมดทั้งสิ้นเทอญฯ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น