30 พฤศจิกายน 2566

#ปกิณกะธรรมอธิษฐานละความผูกพันในการเกิด

🙏
✴️ #เหมือนคนเกิดมาชาตินึงมาเจอสถานที่ในพระศาสนาดูทรุดโทรม คิดว่าถ้ามีโอกาสจะมาบูรณะ แต่ตายไปซะก่อน พอเกิดมาอีกชาตินึงก็ต้องกลับไปบูรณะอีกจนได้ เพราะมันเป็นสัญญาของใจเรา เพราะเราเปล่งวาจาว่าเราจะมาบูรณะ บุญมันก็พาให้เราต้องมาเจอ แล้วก็ต้องมาบูรณะจนได้

✴️ #ถ้าทำสำเร็จก็จบไป ถ้าไม่ได้ทำก็รอชาติต่อไป 
⚜️เอ้อ มันก็ต้องเกิดชาติต่อไปเห็นไหม 

✴️ #งั้นตกลงกับใครไว้หยุดซะนะ สัญญาเกี่ยวก้อยไว้ชาติหน้าเกิดเราจะเป็นคู่ครองต่อไปเราไม่.. ทิ้งแล้ว ตัดนิ้วก้อยทิ้งแล้ว ไม่ผูกกับใครแล้วนะ เอ้อ..เราจะไปชาตินี้นะ เธอต้องโละทิ้งให้หมดนะ ไม่รู้เนี่ยมันอยู่ในใจเธอนะ ถึงเวลาตายขึ้นมาเป็นเทวดานางฟ้าไอ้เรื่องนี้ไม่ได้ทำมันจะคาใจเธอ

✴️ #อย่างพระนางวิสาขาเห็นไหมล่ะ มันเป็นความปรารถนาของท่านมันก็ยังคาใจท่านอยู่นะ ถึงเวลาท่านก็ยังต้องไปเกิดในยุคพระศรีอริยเมตไตรย ไปอุปฐากพระศาสนาของพระองค์ต่อไป นี่คือส่วนหนึ่งที่ว่าปฏิปทาของท่าน แต่ว่าไอ้ความตั้งจิตเจตนาอย่างนี้ถ้าเธอไม่มีซะเลยจะดีเสียกว่า 

✴️ #เอาให้ตรงทางอย่างเดียวว่า ฉันจะไปนิพพานอย่างเดียว ไม่ไปไหน ไม่ว่าฉันจะเป็นเทวดา นางฟ้า อยู่สวรรค์ชั้นใดเราก็จะไม่ไปที่ไหนอีกต่อไปนอกจากจะไปนิพพานที่เดียว
✴️ #แล้วก็จะไม่ผูกพันกับใครในเรื่องใดๆ #เกี่ยวข้องมาในแต่อดีตชาติกาลก่อนว่าเคยสัญญากับใคร #เคยตั้งใจทำอะไรก็ขอกราบขอขมาพระรัตนตรัยเสียเลยนะ ทำเสีย

..............................................................

✴️ #หาดอกไม้ธูปเทียน มาตั้งไหว้พระในบ้านเราก็ได้ วันไหนก็ได้ ตั้งจิตอธิษฐานเสียให้ดีว่า บัดนี้เป็นต้นไป
 🙏#ถ้าหากว่าลูกเคยมีสัญญากับคนก็ดีกับพระก็ดี #กับในเขตพระศาสนาก็ดีในกาลก่อนที่เคยผูกมัดใจของลูกให้ต้องเวียนว่ายตายเกิดต่อไป 
🙏บัดนี้ลูกขอหยุดแล้ว หยุดความปรารถนาทั้งสิ้น ขอชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายไม่ต้องการกลับมาเกิดอีกต่อไป  
🙏#ไม่ผูกมัดใจกับคนกับสัตว์กับสิ่งของกับวัตถุธาตุทั้งหลายอีกต่อไปแล้วอย่างนี้เป็นต้น 
🙏 #แล้วก็กราบขอขมาพระรัตนตรัย #ขอขมาคนทั้งหลาย #ขอขมาทุกคนที่เคยผูกมัดสัญญากันไว้นะ ก็โละไปเสีย ทำไว้มันจะได้ไม่คาใจเรา 
🙏 แม้นคนในปัจจุบันว่าจะเกี่ยวข้องในฐานะเป็นพ่อเป็นแม่เป็นสามีเป็นภรรยาเป็นลูกเราก็ทำอย่างนั้นเหมือนกันว่าเธอกับฉันก็อยู่กันแค่อนุเคราะห์กันในชาตินี้นะ เราก็ช่วยกันเต็มที่เต็มหน่วยไม่ว่าจะเป็นใคร ดูแลกันสุดกำลังใจที่เราสามารถช่วยกันได้นะในฐานะที่เกิดมามีบุพกรรมร่วมกันมา ทั้งผู้เป็นพ่อก็ดีผู้เป็นแม่ก็ดีเป็นพี่เป็นน้องกันก็ดี เป็นสามีเป็นภรรยาเป็นลูกกัน เป็นญาติกันก็ตามทีนะ แม้จะเป็นเพื่อนที่รักกัน ช่วยเหลือกัน เกื้อกูลกันมา ....

✴️ #บุคคลผู้ใดก็ตามที่ปรากฏในโลกนี้ แม้แต่สัตว์เดรัจฉานทั้งหลายก็ตาม เราก็ขอหยุดแล้ว หยุดภาระความผูกพันใดๆทั้งสิ้น เพราะมันหาประโยชน์อะไรไม่ได้ ในความเกี่ยวเนื่องกันแบบนี้นะ ก็เท่ากับว่าผูกให้ใจเรามันทุกข์กันไปเรื่อยไป เพราะเราก็ช่วยเค้าไม่ได้ เค้าก็ช่วยเราไม่ได้ จริงมั้ย เอ้า ว่าไปตามความจริง ไม่มีใครช่วยเราได้ #นอกจากพระรัตนตรัยแล้วไม่เห็นมีสิ่งใดเสมอยิ่งกว่าพระองค์ #พระพุทธเจ้า #พระธรรม #พระอริยะเลย
...............................................................
นอกนั้นก็ทุกคนก็เพียรพยายามที่จะหนีทุกข์ด้วยตัวเองทั้งสิ้น แล้วแต่ว่าใครจะมีวาสนาบารมีสะสมกันมานะ มากหรือน้อย เราจึงพึ่งพาอาศัยใครไม่ได้ ใครก็พึ่งพาเราไม่ได้ ไม่ใช่ว่าเรารู้ได้อย่างนี้แล้วเค้าจะเพิ่งเราได้

 ✴️ #ความจริงมันก็ต่างคนต่างตายเราจะไปยั้งได้ยังไงล่ะ ใครตายก่อนตายหลังก็พยากรณ์กันไม่ได้ใช่มั้ยล่ะ เธออาจจะตายก่อนชั้นก็ได้ ชั้นอาจจะตายก่อนเธอก็ได้ มันไม่มีใครรู้หรอกนะ เรื่องนี้ไม่มีนิมิตเครื่องหมาย เราได้แต่สงเคราะห์เมื่อในยามที่มีชีวิตอยู่คือให้กันได้ อะไรที่ให้ได้ก็ให้ อะไรที่เป็นประโยชน์กับเธอจริงๆเราก็ให้ ก็ให้ทุกอย่าง เราไม่มีอะไรที่ไม่ให้เลย หมด 

📣เสียงธรรมท่านจิตโต 
⚜️หลวงพ่อสมปอง สุธัมมสันตจิตโต(บ้านสบายใจ)⚜️
วันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๑
https://m.youtube.com/watch?si=fb4k7Sr-U7igZesx&fbclid=IwAR3w4dfIJwfSPT2aIgGF20RDi0ylkXUgLW_EN0hd4s-COZ4oyM7XFuSnB6Y&v=9tmWL3QEPPg&feature=youtu.be

🖋️📚คัดลอกแบ่งปันเป็นธรรมทานโดย⚜️
🧘จิตหนึ่งประภัสสรสุดยอดคือพระนิพพาน

29 พฤศจิกายน 2566

#เรื่องการลอยกระทง🎇หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ🙏🙏🙏

#เรื่องการลอยกระทง🎇
หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ🙏🙏🙏
การลอยกระทงนี้เป็นการบูชารอยพระบาทขององค์สมเด็จพระบรมโลกนาถ ที่ทรงแสดงรอยพระบาทให้ปรากฏ
 คือทรงอธิษฐานไว้ที่แม่น้ำนัมมทานที ตามพระบาลีกล่าวไว้ว่าอย่างนั้น แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ในแม่น้ำ ถ้าในแม่น้ำพญานาคมายาก แต่ความเป็นจริงมันเป็น
ปากน้ำนัมมทานที เป็นจุดหนึ่งของทะเลหรืออยู่ในห้วงของทะเล

ที่องค์สมเด็จพระชินศรี แสดงรอยพระบาทไว้ ทั้งนี้ก็เพื่อให้เป็นไปตามอัธยาศัยของพญานาคและสัตว์น้ำทั้งหลาย
แต่การลอยกระทงนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ถ้าเราจะปรารภแต่รอยพระพุทธบาทอย่างเดียวก็เห็นว่าไม่สมเหตุสมผล

ความจริงแล้วขอให้บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนตั้งใจบูชาพระรัตนตรัย นั่นก็คือ
บูชา พระพุทธเจ้า บูชาพระธรรม คำสั่งสอนของ
องค์สมเด็จพระชินวร
 แล้วก็บูชาพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย อย่างนี้เราจะ
มีบุญใหญ่ได้รัตนะถึง ๓ ประการ 
หรือว่าอนุสสติทั้ง ๓ ประการ

การลอยกระทงนี้ ตามโบราณเขาถือว่าเป็นการขอขมาโทษต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 
สมัยเด็กๆ ท่านผู้ใหญ่เคยบอกว่า เรา
เคยถ่ายอุจจาระก็ดี ปัสสาวะก็ดี ลงในแม่น้ำ
 ถือว่าเป็นการไม่เคารพรอยพระบาทขององค์สมเด็จ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า    
แต่ความจริง

เรื่องนี้เห็นว่าจะไม่สมเหตุสมผล เพราะว่าองค์สมเด็จพระทศพลไม่ได้ทรงคิดอย่างนั้น แต่ว่าโบราณท่านตั้งใจทำก็เป็นความดี เพราะการขอขมากับองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำให้ใจเราใสบริสุทธิ์ 
หมดจากการปรามาส  
ในองค์สมเด็จพระบรมโลกนาถ แสดงความเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี

หลวงพ่อพระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ)
Cr.คำสอนพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง

27 พฤศจิกายน 2566

ข้อคิดเตือนสติ

ข้อคิดเตือนสติ
.....
1. “เวลาชีวิต”เราลดลงไปทุกวัน
ควรเลิกเสียดายอดีตได้แล้ว

2. “ความสุข”ไม่ได้เกิดจากมีเท่าไหร่
แต่ความสุขอยู่ที่เราพอเมื่อไหร่

3. “มีพบ มีพราก มีจาก มีลา”
เป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องเกิดขึ้น
กับเราทุกคน ฝึกให้ชินวันหนึ่ง
มันจะวนมาหาเราอย่างแน่นอน

4. สิ่งใดที่เรา ”ควบคุมมันไม่ได้”
สิ่งนั้นกำลังสอนให้เราปล่อยวาง

5. ใครจะอวดอะไรก็เรื่องของเขา
มัน “สิทธิ์ของเขา” แค่เรารักษาใจเรา
ไม่ให้อิจฉาใครก็พอ

6. “ไม่มีใครเก่งไปซะทุกอย่าง”
ไม่มีใครกระจอกไปซะทุกเรื่อง
เรามีทั้งเรื่องเก่งและไม่เก่ง
ปะปนกันไป

7. “อย่าไปคิดเยอะเกินวันนี้”
เพราะไม่รู้เราจะอยู่ถึงไหม
ทำให้ดีแล้วปล่อยวางก็พอ

8. “หัดช่างแม่งบ้าง” กับบางเรื่อง
ในชีวิต เพราะไม่มีอะไรที่จะ
เป็นไปตามที่เราคาดหวังไว้ได้ตลอด

9. ชีวิตเสียใจได้แต่ “อย่าเสียดาย”
เสียใจไม่นานก็หาย แต่เสียดาย
ทั้งชีวิตก็ยังคงอยู่อย่างนั้น

10. ไม่อยากเสียดายชีวิต
“ชัดเจนกับตัวเองได้แล้ว”
เจ็บก็ชัดเจน ไม่เจ็บก็ชัดเจน
แต่มันยังดีกว่าชีวิตคาราคาซัง

11. “คาดหวัง” ไว้มากเท่าไหร่
ก็อย่าลืมเตรียมความผิดหวัง
ไว้มากด้วยเท่านั้น

12. อะไรไม่ใช่ของ ๆ เรา
อยู่ไม่นานหรอก
อะไรที่เป็นของ ๆ
เราไกลแค่ไหนก็
“วนเวียนมาหาเราอยู่ดี”

13. เราและเขาเปลี่ยนแปลง
ไปทุกวันเลิกยึดติดกับ
ภาพความทรงจำเดิมได้แล้ว

14. อย่าเก็บความรู้สึกแย่ ๆ
ไว้เพียงคนเดียว
หัดระบายมันออกมาบ้าง

15. วันไหนที่เราได้ดี
อย่าไปดูถูกใคร
เพราะไม่รู้วันไหน
เราจะล้มเหมือนเขาบ้าง

16. ความผิดหวัง
ถ้าไม่ทำให้เราตาย
มองให้ดีมันก็ทำ
ให้เราโต

17. อย่าพยายามอยากรู้อดีตเลย
สังเกตตัวเองง่าย ๆ
อดีตกำหนดปัจจุบัน
ปัจจุบันกำหนดอนาคตเรา

18. พ่อ-แม่ ตายก่อนเรา
เป็นเรื่องธรรมดา หมั่นถามไถ่
ห่วงใยท่านบ้างเมื่อจากกัน
จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียดาย
เคาะบอกรักกันที่ฝาโลง

19. ชีวิตไม่มีปลายทาง
จงอยู่กับปัจจุบัน
อย่ากังวลปลายทาง
เพราะบางทีมันอาจไม่มีจริง

20. “เรามาตัวเปล่า ไปตัวเปล่า
อย่าไปคาดหวังเยอะกับชีวิต”
สักวันเราก็ต้องตาย
การมีลมหายใจในตอนนี้
และทำอะไรก็ได้ในสิ่งดี ๆ
ย่อมดีที่สุดแล้ว

ที่ใดมีพระโพธิสัตว์ปกครองแผ่นดิน ที่นั่นจะร่มเย็นเป็นสุข พ้นจากภัยสงครามพ้นจากความวิบัติ

ในขณะนี้อยู่ติดที่ว่าพิพากษาโทษ คำว่าพิพากษาโทษ..เราจะได้เห็นอะไรได้บ้าง ได้มีอะไรเกิดขึ้น วิบัติภัยอะไรเกิดขึ้นได้บ้าง..มีภัยสงคราม แล้วอะไรอีก..ภัยพิบัติ แล้วก็ภัยแห่งวัฏฏะ 
ภัยสงครามคืออะไร ยักษ์นอกศาสนาห้ำหั่นฆ่าแกงกัน ใช่หรือเปล่า ไม่มีใครได้..ไม่มีใครเสีย มีแต่เสียอย่างเดียว เข้าใจหรือเปล่าจ๊ะ เป็นไปแต่กองซากปรัก วิญญาณทั้งหลาย สัมภเวสีเร่ร่อนทั้งหมด นี่คือภัยสงคราม..

แล้วก็ภัยพิบัติ เกิดจากอะไรอีก แล้วทำไมมันต้องเกิดพร้อมกันเล่า เพราะอะไร อย่าลืมว่าถ้าถึงเวลากรรมมันให้ผล ทุกอย่างมันต้องพร้อมกันทั้งหมด เหมือนคนที่จะบรรลุธรรม..ก็ต้องพร้อมด้วยบุญกุศล บารมี วาสนา เข้าใจหรือเปล่าจ๊ะ ถ้าอะไรมันไม่เกื้อหนุนไม่พร้อมกัน..มันก็เกิดขึ้นได้ยาก 

เหมือนการที่เราจะมาประพฤติปฏิบัติ มาฟังธรรม..มันต้องเกิดพร้อมกัน เกิดมีศรัทธาก่อน เกิดอยากจะปฏิบัติก่อน วาสนาเก่ามันต้องมาหนุน เหมือนกรรมเก่ากรรมดีมันมาหนุน ไอ้ที่เกิดเวรพยาบาทอาฆาต ยักษ์นอกศาสนามันเกิดขึ้น..เพราะวิบากกรรมมันอาฆาตกันมาตั้งนานแล้ว มันกำลังหาเวลาแล้ว..

เมื่อเวลามันได้พอดีของมันในวิบากกรรม มันก็เลยจุดชนวนความอาฆาต ความพยาบาท ความโลภ ความโกรธ ความหลง..มันก็มาพร้อมกันทั้งหมด เมื่อมันมีกำลังห้ำหั่นกันแล้วทีนี้..มันก็ไม่ต้องสนหน้าอินทร์หน้าพรหมทั้งหลาย นี่เพราะว่าเค้าไม่มีสรณะเป็นที่พึ่ง เค้าก็เลยเรียกว่านอกศาสนา รู้จักนอกศาสนามั้ยจ๊ะ เค้าไม่มีศาสนาเป็นที่พึ่ง.. 

ดังนั้นเมื่อมันมีภัยพิบัติ ภัยสงครามเกิดขึ้น ภัยพิบัติเกิดจากอะไรได้บ้าง ธรณีพิโรธบ้าง ฟ้าพิโรธบ้าง มันเกิดจากดินน้ำไฟลม..มันแปรปรวน นี่คือความวิบัติ มันก็เกิดจากศีลทั้งนั้น เกิดจากความวิบัติของธรณี ของน้ำ ของดินฟ้าอากาศ..มันก็แปรปรวน ที่ไหนไม่เคยมีน้ำ ที่เป็นทะเลทรายมันก็มีน้ำได้ นั่นคือมันแปรปรวน ตอนนี้น้ำทั้งหลายก็จะไหลมาสู่รวมตัวกัน เข้าสู่เมืองหลวงบ้าง เข้าสู่ที่ตั้งที่ราบบ้าง ไหลมาจากทางเหนือบ้าง..

แล้วเมื่อมันมีธรณีเกี่ยวข้อง คำว่าธรณีเกี่ยวข้องก็คือแผ่นดินไหวบ้าง คำว่าแผ่นดินไหวนี้..เมื่อมันมีที่ตั้งของเขื่อนบ้าง อ่างเก็บน้ำบ้าง มันก็จะมีการแตกร้าว มีการสั่นสะเทือน น้ำมันก็มีมากขึ้นทีนี้ นี่เค้าเรียกว่าภัยพิบัติอย่างหนึ่ง..
 
เรามาดูภัยในวัฏฏะ ภัยในวัฏฏะคืออะไร ภัยในวัฏฏะก็คือการเกิด แก่ เจ็บ ตาย คือที่มนุษย์มันจะพ้นไปไม่ได้ นั้นมนุษย์ที่จะอยู่รอดได้ในยุคนี้ คือมนุษย์ที่มีศีลมีธรรมเป็นเครื่องอยู่ คืออาศัย ๓ ร่มโพธิ์ศรีนี้แลเป็นที่อยู่ที่อาศัย เราก็จะยกแผ่นดินสยามนี้เป็น ๓ ร่มโพธิ์ศรีขึ้นมาได้ เพราะเรามีสรณะเป็นที่พึ่งเป็นที่อาศัย..

เพราะว่าเรามีชาติ..ชาติคือแผ่นดิน ศาสนา..คือมีสรณะเป็นที่พึ่งที่อาศัย แล้วมีอะไรอีก..มีกษัตราที่เป็นประมุข เป็นพระโพธิสัตว์ กษัตริย์ทุกพระองค์นี้เค้าเรียกว่าเป็นพระโพธิสัตว์ที่มาจุติเกิด เข้าใจหรือเปล่าจ๊ะ ที่จะบำเพ็ญเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต ดังนั้นที่ใดมีพระโพธิสัตว์ปกครองแผ่นดิน ที่นั่นจะร่มเย็นเป็นสุข พ้นจากภัยสงครามพ้นจากความวิบัติ..แต่ไม่พ้นจากภัยพิบัติไปได้ เพราะมันเป็นภัยธรรมชาติ เข้าใจหรือเปล่าจ๊ะ

ดังนั้นขอให้จงรู้ว่าเรานั้นมีความโชคดี ยังมีบุญวาสนาอยู่ ตราบใดที่มีพระโพธิสัตว์เจ้าโพธิสมภารมาปกครองแผ่นดิน แผ่นดินนั้นจะสามารถอยู่ได้ด้วยความสงบสุขอยู่ได้ แล้วใครก็ตามที่คิดทรยศแผ่นดิน ผู้นั้นจะต้องถูกลงโทษด้วยวิบากกรรม เพราะอะไร..เพราะว่าพระมหาโพธิสัตว์หรือกษัตราทั้งหลายได้อธิษฐานไว้กับแผ่นดิน “หากอ้ายอีผู้ใดมันคิดทรยศต่อแผ่นดินแล้วไซร้ จะต้องมีอันเป็นไป..”

เพราะแผ่นดินนี้ไม่ได้เกิดให้ใครมาเป็นเจ้าของ แต่แผ่นดินนี้ถูกยกถวายให้เป็นพุทธบูชา เป็นธรรมบูชา สังฆบูชา..เพื่อที่จะเป็นร่มโพธิ์ศรีใหญ่ ให้มนุษย์ทั้งหลายได้มาประพฤติปฏิบัติสร้างคุณงามความดี ต่อไปจึงได้บอกว่าสยามนี้แลจะเป็นศูนย์กลางของศาสนาของโลก เพราะพระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลาย..ไม่เว้นแม้ว่าพระศรีอริยเมตไตรยก็ยังมาตรัสรู้ มาจุติเกิดในสยาม เพราะสยามก็ชื่อว่าเป็นชมพูทวีปอย่างหนึ่งในอดีต

ดังนั้นจึงขอให้รู้ว่า..ทำไมจึงเกิดอริยเจ้าอริยสงฆ์มากที่สยามนี้ แล้วยุคนี้แลจะเป็นยุคของนาค ยุคของผ้าขาวที่จะเกิดขึ้นมาบำเพ็ญศีล บำเพ็ญบารมี เป็นยุคที่สามารถเข้าถึงมรรคเข้าถึงผล เข้าถึงนิพพาน แต่พ้นจากนี้ไปที่จะเข้ากลียุคแล้วก็จะปฏิบัติลำบากนัก เมื่อมีอมนุษย์จุติเกิดขึ้น ที่ว่าจะเบียดเบียนผู้ที่ทรงศีลทรงธรรม แต่เมื่อใดผู้ทรงศีลทรงธรรมได้มารวมตัวกันเป็นกองทัพ มารก็จะมีความพ่ายแพ้ลงไป ยำเกรงลงไป..

ดังนั้นแล้วศาสนาที่มันถูกทำให้เสื่อมลงไปๆก็จะถูกฟื้นฟูอีกครั้ง..ด้วยพระยาธรรมิกราช พระยาธรรมิกราชไม่ได้มีแต่ที่เกิดขึ้นมาแต่ผู้เดียวลำพัง แต่จะเกิดขึ้นมาด้วยญาณบ้าง ด้วยบารมีบ้าง ด้วยอธิษฐานจิตมาบ้าง เพื่อมากอบกู้จิตวิญญาณ ไม่ได้กอบกู้ศาสนา เพราะศาสนาไม่ได้เคยมีวันเสื่อมเลย แต่ที่เสื่อมคือจิตวิญญาณมนุษย์..ที่มันเสื่อมจากศีลจากธรรม จากคุณงามความดี เข้าใจหรือเปล่าจ๊ะ เมื่อเรากู้จิตวิญญาณของมนุษย์ขึ้นมาได้ ศาสนาก็จะมีความรุ่งเรืองไพบูลย์อีกครั้งหนึ่ง อย่างนี้..

นั้นฉันถึงบอกว่าการที่เราได้มาประพฤติปฏิบัตินี้ถือว่าโชคดีนัก และเป็นผู้จรรโลงศาสนาโดยแท้ ดังนั้นผู้ใดเป็นผู้จรรโลงศาสนาโดยแท้ หรือเรียกว่าเป็นสมณะก็อยู่ในศีลในธรรม ปฏิบัติข้อวัตรวินัยศาสนกิจของศาสนาก็ดี เป็นเนื้อนาบุญของพุทธบริษัทก็ดี เหล่านี้แล..ชื่อว่าเทวดาทั้งหลายย่อมปกปักรักษาคุ้มครอง ไม่ว่าสถานที่ใดก็ตามที่มีการเจริญมนต์ สวดมนต์ภาวนา เจริญศีลสมาธิปัญญาในทางเดินแห่งมรรค ย่อมมีเทพเทวดา ท้าวจตุโลกบาลทั้งหลายปกปักรักษาดูแลคุ้มครอง อย่างนี้

นี่คือเป็นเหตุที่จะเกิดขึ้น คือภัยสงคราม ภัยพิบัติ ภัยแห่งวัฏฏะ คำว่าภัยแห่งวัฏฏะทั้งหลายเหล่านี้คืออะไร เพื่อจะพิจารณาให้กระจ่างกว่านี้ นั่นก็หมายถึงว่าดวงจิตวิญญาณเจ้ากรรมนายเวร วิบากกรรมทั้งหลายจะถูกพิพากษา ใครทำกรรมชั่วทั้งหลายแล้ว..กรรมชั่วนั้นย่อมให้ผลคือความเผ็ดร้อน ก่อนที่จะไปตกนรกหมกไหม้ ก็ต้องได้รับเสวยวิบากกรรมในทางโลกเสียก่อน ดังนั้นผู้ใดที่จะพ้นจากความเผ็ดร้อน พ้นจากทุกข์เหล่านี้ นั่นก็หมายถึงว่า..จะต้องอยู่ในศีลในธรรมเป็นเครื่องอยู่

คำว่า ๔ ปีเกิดมันจะเริ่มเกิด ๔ ปีดับก็จะเริ่มตายลงไป ประหัตประหารกันไป เค้าเรียกว่า ๔ ปีเกิด ๔ ปีดับ รวมเป็น ๘ ปี มันจะเป็นอย่างนี้อยู่ร่ำไปก่อน 
นี่มันแค่เริ่มต้น แล้วรู้หรือเปล่าจ๊ะ..ว่าคู่อิจฉาคู่พยาบาทมันจะมาเป็นคู่ๆ ๑ คู่ ๒ คู่ ยังไม่ใช่คู่ใหญ่ พอคู่ใหญ่ทีนี้..มันจะรวมหัวกันเป็นขั้วกัน ว่าขั้วใคร..ขั้วใคร ทีนี้แลเค้าเรียกว่ามหาสงครามโลกจะเกิดขึ้น เข้าใจหรือเปล่าจ๊ะ รู้จักมหาภัยสงครามโลกมั้ยจ๊ะ 

นี่ยังไม่ใช่มหาภัย แต่ว่ามันจะเป็นชนวนที่เกิดภัยสงครามโลก ความเป็นจริงแล้ว..สงครามโลกเกิดขึ้นแล้ว แต่ยังไม่เป็นมหาสงคราม เข้าใจหรือเปล่า แต่ตอนนี้มันจะเริ่มเป็นมหาสงครามแล้ว เพราะไม่มีการยำเกรงซึ่งกันและกัน ตราบใดไม่มีความยำเกรงซึ่งกันและกันแล้ว ความฉิบหายวายวอดทั้งหลายมันก็จะบังเกิดขึ้น เผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหลายก็จะล่มสลายหายไป.. 

เค้าเรียกว่าเมืองจะร้าง นี่แหล่ะเค้าเรียกว่าถนนไม่มีคนเดิน บ้านไม่มีคนอยู่ ข้าวไม่มีคนกิน หมาไม่มีคนเลี้ยง มันเป็นอย่างนั้น นั้นเรายังมีสถานที่มีแผ่นดินให้รองรับอยู่ จงรู้คุณค่าของแผ่นดิน ของบรรพชนวีรชน บูรพกษัตริย์ทั้งหลายให้มาก ทุกครั้งที่เรานั้นเจริญกรรมดีเจริญกุศล..ให้ระลึกถึงอยู่บ่อยๆ 

แล้วสิ่งที่เราจะทำได้..ก็แผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ดวงจิตวิญญาณ ผู้ที่เค้ามีภัยพิบัติภัยสงคราม ให้เค้าพ้นจากภัย นั่นคือสิ่งที่เราทำได้ เข้าใจหรือเปล่าจ๊ะ แต่กรรมทั้งหลายเราไม่สามารถไปช่วยเค้าตัดกรรมได้ ใครทำกรรมสิ่งใดไว้..กรรมนั้นต้องให้ผล กรรมนั้นต้องสนอง อย่าไปเที่ยวไปรู้กรรมคนอื่นเค้าเลย แม้กรรมเราเองก็ลำบากแล้ว ที่เราจะฉุดช่วยตัวเองให้พ้นจากทุกข์..ทุกข์กายทุกข์ใจเหล่านี้ 

นั้นสิ่งที่เราทำได้..เมื่อเข้าถึงความสงบ เข้าถึงศีลสมาธิปัญญา เราก็แผ่เมตตาจิตออกไปให้กับสรรพสัตว์ทั้งหลาย พรหมโลก เทวโลก มนุษย์โลก นรกโลก มารโลก..ทุกรูปทุกนาม อย่าได้มีเวรอาฆาตพยาบาทซึ่งกันและกันเลย ขอให้ทุกรูปทุกนามจงมีความสุขกายสุขใจ รักษาตนให้พ้นจากภัยพิบัติทั้งหลายทั้งสิ้นเทอญ 

เอาเพียงว่าไม่ให้กรรมทั้งหลายมันเข้ามาสู่ใจเราได้..ใช้ได้แล้ว เข้าใจหรือเปล่า เราไม่สามารถไปช่วยใครได้ สิ่งหนึ่งที่จะช่วยได้คือตัวเราเอง ถ้าเราช่วยกู้จิตวิญญาณเราขึ้นมาได้แล้วนั่นแล เราถึงจะอธิษฐานจิตเราแผ่เมตตา คำว่าแผ่เมตตา..เค้าเรียกว่าความอนุเคราะห์ ความกรุณา นั่นคือสิ่งที่เราทำได้ อย่างอื่นเราคงทำไม่ได้.. 

เพราะไม่ว่าอะไรก็ตามที่กรรมมันให้ผลแล้ว มันมีอำนาจมาก เข้าใจหรือเปล่าจ๊ะ แม้แต่พระเจ้าก็ช่วยไม่ได้ ดังนั้นแล้ว..มันเป็นไปตามแห่งยุค เมื่อเวลามันให้ผลแล้ว กรรมมันให้ผลแล้ว ไม่มีอะไรต้านทานได้..

มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
บ้านโปร่งวิเชียร อ.หนองหญ้าปล้อง จ.เพชรบุรี

ติดตามข้อมูลข่าวสารกิจกรรมของมูลนิธิได้ทาง https://www.facebook.com/mprs.foundation
ติดตาม คลิปธรรมะได้ทาง YouTube channel : ธรรมะมหัศจรรย์ ตามรอยธรรมสมเด็จโต

21 พฤศจิกายน 2566

"กรรมฐานรู้เวลาตาย"

คนที่ได้อานาปานสติคล่องตัวสามารถรู้เวลาตายของตัวเองได้ เราจะตายเวลาไหน อาการตายจะเป็นอย่างไรเราจะทราบ ถ้ารู้การตายของตัวเองก่อนได้เราก็รู้ที่ไปได้เหมือนกัน

นั่นก็หมายความว่าถ้าเรารู้ว่าวันนั้นปีนั้น ปีนี้เดือนนั้นเดือนนี้ เวลาเท่านั้นเราจะต้องตาย ถ้ารู้อย่างนี้ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัทยังไม่ได้ฌานก็คงจะคิดว่ากำลังใจของเราอาจจะหวาดหวิวจะเสียกำลังใจ

แต่ความจริงไม่เป็นอย่างนั้น คนที่เวลาตายได้ก็รู้ที่อยู่ใหม่ได้ นั่นก็หมายความว่าถ้าเขาตายเวลานั้นเขาจะไปอยู่ที่ไหน อันนี้เขาจะทราบ ในเมื่อรู้ว่าที่อยู่ใหม่มันดีกว่าที่อยู่เดิมคือดีกว่ามนุษย์เราก็ไม่หนักใจ แทนที่กลัวความตายกลับมีความชุ่มชื่น และคิดว่าถ้าตายเวลานั้นจริง ๆ เราจะอยู่ที่อยู่ที่เป็นสุขกว่านี้มาก คือมีความสุข

โดยเฉพาะอย่างยิ่งอานาปานสติ มีวิธีปฏิบัติจริง ๆ ขอให้ญาติโยมพุทธบริษัททุกคนพยายามหายใจเข้าลมหายใจออกอันนี้ เวลาปฏิบัติจะนั่งหรือจะนอนจะยืนหรือเดินก็ได้ทั้งหมด

พระราชพรหมยาน,ธัมมวิโมกข์ 2552),340,89

Facebook : นิตยสารธัมมวิโมกข์วัดท่าซุง

#กรรมปรามาสพระพุทธเจ้า

🌟#กรรมเป็นของน่ากลัวอย่าล้อเล่นกับกรรม🌟
เรื่อง " #กรรมปรามาสพระพุทธเจ้า #ไม่มีโอกาสโมทนาบุญ #เพราะคิดว่าพระพุทธรูปเป็นตุ๊กตา "
(วิสัชนาธรรมโดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง)
       ตกเครื่องบินตาย มีคนถวายสังฆทานอุทิศส่วนกุศลให้รับไม่ได้คนเดียวเพราะปรามาสพระพุทธเจ้า

       “เมื่อหลายปีก่อนเครื่องบินตกที่ภูเก็ต มีคนตาย ๘๓ ศพ มีคนมาถวายสังฆทานกับอาตมาเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้คนตาย ตอนก่อนไม่เห็น พอปรารภเข้าก็เห็นหมด พวกนั้นมาปรากฏกายทั้งหมด เพราะมาคอยอยู่ที่นี่หมดแล้ว"

       บรรดาผีบอกว่า ถวายสังฆทานให้น่ะดี แต่เวลานี้ยังไม่เอา ขอรอให้คนมามากต่างคนต่างทำ ที่นี่เขาบำเพ็ญกุศลมีกำลังสูง พวกเขาต้องการกุศลจากคนทุกคน แกหากินถูกช่องเหมือนกัน

       ก็เป็นอันว่า เวลาอุทิศส่วนกุศลจริง ๆ รับไม่ได้อยู่คนเดียวเป็นฝรั่ง ถามเทวดาชั้นจาตุมหาราชว่า “ทำไมรับไม่ได้” ท่านบอกว่า 

       “#คนนี้ปรามาสพระพุทธเจ้า #ไม่มีโอกาสโมทนา”

       เขาอาจจะข้ามพระพุทธรูปเข้ามั้ง #ไม่มีเจตนาชั่ว #แต่ปรามาสคิดว่าเป็นตุ๊กตา

======================================
*** #ว่าด้วยเรื่องการนำรูปสัญลักษณ์พระพุทธเจ้ามาทำเป็นขนม ***

       การนำ "รูปสัญลักษณ์พระพุทธเจ้า" ซึ่งเป็นองค์แทนขององค์พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พุทธศาสนิกชนสักการะบูชา เคารพเลื่อมใสด้วยความนอบน้อม ออกมาทำเป็นขนมขาย ไม่ต่างอะไรกับการไปด้อยค่า กดให้ต่ำลง (ปรามาส) ในสิ่งที่ควรบูชาสูงสุด ซึ่งพุทธศาสนิกชนทั้งหลายที่มีความยึดมั่นในพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่ระลึกแล้ว ย่อมมีจิตพึงรู้ได้ด้วยสามัญสำนึกว่า การกระทำเช่นนี้ย่อมถือเป็นการปรามาสหาใช่การเคารพนอบน้อมด้วยจิตเลื่อมใสศรัทธาไม่ ซึ่งผู้ที่ทำกรรมอันเป็นการปรามาสพระพุทธเจ้าไว้ หรือผู้มีส่วนร่วมสนับสนุนก็ตาม ย่อมมีโทษมาก และได้รับผลกรรมตามมาเป็นความหายนะอย่างร้ายแรงที่สุด ๑๐ อย่าง คือ

   ๑.บุคคลผู้นั้นจะยังไม่บรรลุธรรมที่ยังไม่บรรลุ
   ๒.เสื่อมจากธรรมที่บรรลุแล้ว ฌาณ สมาธิ จะเสื่อมทันที
   ๓.สัทธรรมของบุคคลผู้นั้นย่อมไม่ผ่องแผ้ว
   ๔.เป็นผู้หลงคิดว่าตนเป็นผู้บรรลุสัทธรรม
   ๕.ไม่ยินดีในการประพฤติพรหมจรรย์
   ๖.ถ้าเป็นภิกษุต้องอาบัติเศร้าหมองอย่างใดอย่างนึง
   ๗.ย่อมถูกโรคเบียดเบียนอย่างหนัก
   ๘.ถึงความเป็นบ้ามีจิตฟุ้งซ่าน
   ๙.หลงตามกาละ คือตายอย่างขาดสติ
   ๑๐.เมื่อตายย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก

(อ้างอิงจาก: พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๔ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๖ อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต)

   ดังฉะนี้แล้ว เราท่านทั้งหลายจึงพึงระวังให้จงหนัก ถึงผลกรรมอันเกิดจากการปรามาสพระพุทธเจ้า ไม่ว่าจะด้วยประการใด ๆ ก็ดี รู้เท่าถึงการณ์ก็ดี รู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี เจตนาก็ดี หรือไม่เจตนาก็ดี

CR.วัดป่าพรหมยาน

20 พฤศจิกายน 2566

ไม่พึงไปกล่าวตำหนิติเตียนเรื่องฤทธิ์ให้มากนัก จะไม่ต่างกับการปรามาสพระธรรม

**ไม่พึงไปกล่าวตำหนิติเตียนเรื่องฤทธิ์ให้มากนัก เพราะตั้งแต่ เตวิชโช ฉฬภิญโญ ปฏิสัมภิทัตปัตโต เป็นหมวดของอภิญญาทั้งหมด หากพูดตำหนิไปก็ไม่ต่างกับการปรามาสพระธรรม**
**สมเด็จองค์ปฐม** ทรงมีพระเมตตา ตรัสสอนเรื่องนี้ไว้ดังนี้

๑. **เห็นคนติดฤทธิ์ จงอย่าตำหนิเขาเพราะจิตของบุคคลผู้ยังเข้าไม่ถึงพระอริยเจ้า ย่อมจักติดฤทธิ์เป็นธรรมดา** สอบสวนอารมณ์ของจิตให้ดีๆ พวกเจ้าในอดีตก็ติดฤทธิ์อยู่เช่นกัน พอหนักเข้าเห็นทุกข์ ก็เริ่มปล่อยจากการต้องการฤทธิ์ **กำลังของฤทธิ์เป็นกำลังของอภิญญา เป็นส่วนหนึ่งของพระธรรมในหลักสูตรของคำสอนของพระพุทธศาสนานี้ หากมีแล้วใช้ไปในด้าน สัมมาทิฎฐิ ก็เป็นของดี มิใช่ของทราม** แต่ถ้าใช้ไปในทางด้าน มิจฉาทิฎฐิ ก็จักเป็นโทษมากกว่าเป็นคุณ จิตมักเหลิงทะนงตนว่าเป็นผู้ประเสริฐ

๒. แต่ถ้าอภิญญาสมาบัตินั้นเป็น โลกุตรวิสัยของผู้ใช้ ก็ย่อมไม่เป็นโทษแก่ตนเองและผู้อื่น **อภิญญาเป็นของดี นี่ถ้าหากใช้ให้เป็นก็มีประโยชน์จึงไม่พึงไปกล่าวตำหนิติเตียนเรื่องฤทธิ์ให้มากนัก เพราะตั้งแต่ เตวิชโช ฉฬภิญโญ ปฏิสัมภิทัตปัตโต เป็นหมวดของอภิญญาทั้งหมด หากพูดตำหนิไปก็ไม่ต่างกับการปรามาสพระธรรม** เพราะฉะนั้นจุดนี้ตั้งใจให้ดีๆ พิจารณาคำพูดก่อนจักพูดเรื่องฤทธิ์ทุกครั้ง อย่าสักแต่ว่าพูดโดยมิได้คิด

๓. เพราะฉะนั้น การมีฤทธิ์เป็นของดี แต่ดีให้จริงคือดีใน สัมมาทิฎฐิ เป็นที่ตั้ง การฝึกฝนอภิญญา เพราะฉะนั้นคนใดที่ติดฤทธิ์ จักกล่าวว่าไม่ดีก็ไม่ได้ จักต้องคิดว่าเขาติดดี เพียงแต่เวลาคุณหมอคุย ก็พึงให้เขาติดด้วยความเป็น **สัมมาทิฎฐิ คือ มีศีลเป็นพื้นฐาน** ไม่ไปตำหนิเขา แต่พูดเสริมให้เขาไปในทางที่ถูก ยึดหลักพระตถาคตเจ้าเข้าไว้ ท่านไม่ตำหนิใคร จักกล่าวเสริมแนะนำในสิ่งที่บุคคลนั้นๆ ได้ทำอยู่แล้ว ให้ทำให้ถูกยิ่งๆ ขึ้นไป

๔. อย่างคน ๆ หนึ่งนั้น ชอบบริโภคน้ำพริกกะปิอยู่เป็นปกติ เราจักไปเปลี่ยนแปลงเขาไม่ให้บริโภคได้อย่างนั้นหรือ แต่ถ้าแนะนำเขาให้หาผักมาแกล้มด้วยเอาอย่างนั้นมาเสริม ก็ย่อมจักดีกว่าไปบอกเขาให้เลิกกินน้ำพริกกะปิ

๕. **อย่างคนติดฤทธิ์ก็คือคนติดดี ฤทธิ์เป็นของดีในพระพุทธศาสนา**เราก็ไม่จำเป็นต้องคัดค้าน **เพียงแต่แนะนำส่งเสริมให้เขาดำเนินอยู่ในศีล** จิตเขาก็อยู่ในฌานสมาบัติได้ทรงตัว เป็นการป้อนสังโยชน์ ๓ เพิ่มให้ไม่ขัดใจใคร เชิญตามอัธยาศัย เยี่ยงนี้จักมีประโยชน์มากกว่า

๖. อนึ่ง ถ้าจักเตือนเรื่อง**พระเทวทัต ติดฤทธิ์** ก็พึงย้ำว่า เป็นอภิญญาโลกีย์ คือ **ท่านไม่มีศีล ฤทธิ์จึงเสื่อม** แต่ในที่นี้ทุกคนไม่อยากให้พบกับความเสื่อม ก็พึงต้องมีศีล อย่างต่ำคือศีล ๕ ให้เป็นปกติ รับรองว่าฤทธิ์หรืออภิญญาสมาบัติก็จักไม่เสื่อม เน้นตรงนี้ให้เข้าใจกันจักดีกว่า

ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้นเล่ม ๗ ธันวาคมตอน ๑

รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน

[#สมเด็จองค์ปฐม5 ]

19 พฤศจิกายน 2566

ประวัติ...หลวงพ่อฉุย สุขภิกขุ วัดคงคาราม อ.เมือง จ.เพชรบุรี

🔶👏🙏ประวัติ...หลวงพ่อฉุย สุขภิกขุ วัดคงคาราม อ.เมือง จ.เพชรบุรี
🔶๑ ใน ๕ เสื้อเกาะเมืองเพชรบุรี และเหรียญรุ่นแรกของท่านเป็น ๑ ใน ๕ เหรียญเบญจภาคี ที่แพงและหายากที่สุดในประเทศไทย.....
◉ ชาติภูมิ.....
หลวงพ่อฉุย สุขภิกขุ วัดคงคาราม เป็นชาวเพชรบุรีโดยกำเนิด เกิดเมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๐๑ ในสมัยรัชกาลที่ ๔ วันเสาร์ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ ปีมะเมีย ที่บ้านสะพานช้าง ต.มะม่วง อ.คลองกระแชง จ.เพชรบุรี บิดาชื่อ “นายนง” และมารดาชื่อ “นางนก ยังอยู่ดี” เป็นบุตรคนโตในจำนวน ๕ คน
◉ อุปสมบท.....
เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ พ.ศ.๒๔๒๑ โดยมี พระพิศาลสมณกิจ (สิน) เจ้าอาวาสวัดคงคาราม เป็นพระอุปัชฌาย์ พระปลัดอบ วัดคงคาราม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และ อาจารย์ครุฑ วัดมหาธาตุ เป็นอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า “สุขภิกขุ”
ท่านได้มุ่งศึกษา ทั้งด้านคันถธุระและวิปัสสนาธุระ โดยเฉพาะด้านวิปัสสนาธุระ ได้ฝากตัวเป็นศิษย์พระอาจารย์ครุฑ วัดมหาธาตุ
ต่อมา “คุณพ่อฉุย” ท่านได้มุ่งทางพุทธภูมิเป็นจุดหมายปลายทาง ท่านได้กระทำอย่างตั้งใจเต็มที่ เต็มไปด้วยความอุตสาหะวิริยะพากเพียรอย่างเเรงกล้า ตลอดเวลาติดต่อกัน ๗ พรรษาไม่ว่างเว้น แต่ในด้านวิปัสสนาธุระของท่านได้บรรลุถึงความสำเร็จสมดังที่มุ่งหมายตามที่ท่านตั้งใจ
◉ มรณภาพ.....
หลวงพ่อฉุย สุขภิกขุ วัดคงคาราม ท่านมรณภาพเมื่อปี พ.ศ.๒๔๖๖ สิริรวมอายุ ๖๕ ปี
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงนิพนธ์เป็นคำนำไว้ในหนังสือที่เเจกในงานพระราชทานเพลิงศพ “คุณพ่อฉุย” ว่า …ข้าพเจ้ามีความยินดีที่จะรับเป็นธุระ รู้สึกว่าได้มีส่วนช่วยงานศพพระสุวรรณมุนี ซึ่งเป็นผู้ที่ข้าพเจ้าคุ้นเคยชอบพอมาช้านาน ตั้งแต่ท่านเป็นพระครูอยู่ในรัชกาลก่อน เป็นอาจารย์วิปัสสนา มีศิษย์หามากกว่าใครๆทั้งเมืองเพชรบุรี และเป็นผู้มีอัชฌาศัยเรียบร้อยมั่นคงในพระธรรมวินัย แม้สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ประธานสกลมหาสงฆ์ก็ทรงยกย่องวัตรปฎิบัติของท่าน เเละ โปรดมาแต่ครั้งนั้น…
🔶👏🙏"จากข้อความที่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงไว้นี้ ย่อมมีคุณค่า เเละน้ำหนักยิ่งกว่าคำขีดเขียนใดๆที่มีอยู่ทั้งสิ้น แม้แต่พระครูญาณวิลาส (หลวงพ่อแดง วัดเขาบันไดอิฐ) เคยกล่าวไว้ว่า “อาจารย์ท่านมีองค์เดียว คือหลวงปู่ฉุย วัดคงคาราม ที่ประสาทวิชากรรมฐานให้โดยสมบูรณ์ และยังพกเหรียญหลวงปู่ฉุย ติดย่ามตลอดเวลา”
🔶👏✨เหรียญปั้มรูปเหมือนหลวงพ่อฉุย รุ่นแรก พ.ศ.๒๔๖๕ เป็นเหรียญรูปไข่ที่มีขนาดเขื่องกว่าเหรียญอื่นๆ เล็กน้อย ลักษณะหูเชื่อมด้วยน้ำประสานเงิน จัดสร้างโดยฝีมือช่างหลวง จึงมีความประณีต อ่อนช้อย และงดงาม สร้างเป็นเนื้อทองแดงเพียงเนื้อเดียว ด้านหน้า รอบเหรียญแกะลวดลายดอกไม้และโบประดับ โดยได้แบบอย่างมาจาก “เหรียญสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระวชิรญาณวโรรส” ตรงกลางเป็นรูปเหมือนหลวงพ่อฉุยครึ่งองค์ ห่มจีวรลดไหล่ พาดผ้าสังฆาฏิ ภายในโบจารึกอักษรไทยด้านบนซ้ายว่า “พ.ศ.”
ด้านบนขวาว่า “๖๕” ด้านล่างซ้ายว่า “พระสุวร” และด้านล่างขวาว่า “รณมุณี” ส่วน ด้านหลัง เป็น “ยันต์กระบองไขว้จำหลัก” บรรจุพระคาถาหัวใจพระพุทธเจ้าห้าพระองค์ “นะ โม พุท ธา ยะ” ด้านหลังจะมี ๒ บล็อก คือ “โมมีไส้” และ “โมไม่มีไส้” “โม” หมายถึง อักขระขอมภาษาบาลี ในยันต์กระบองไขว้ เป็นอักขระในแถวที่สองทางซ้ายมือของเรา ซึ่งทันท่านทั้งสองบล็อก แต่เนื่องจากสร้างถึง ๕,๐๐๐ เหรียญ จึงเกิดบล็อกด้านหลังแตก ต้องแกะเปลี่ยนบล็อก
ต่อมาเกิดมีการสร้าง “เหรียญล้อรุ่นแรก” ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง โดย อาจารย์แฉ่ง เหรียญจะมีลักษณะเหมือนกับรุ่นแรกทุกประการ แม้แต่ปี พ.ศ.ที่สร้าง เอกลักษณ์สำคัญในการดูว่าเป็นรุ่นแรกและแท้แน่นอนนั้น ให้สังเกต “ดอกไม้เหนือศีรษะท่าน” จะมีเกสรเป็นเส้นเต็มกลีบดอก กลางดอกนูนเต็ม หากเป็นรุ่นอาจารย์แฉ่ง กลางดอกจะกลวงโบ๋ เกสรไม่กระจายเต็มกลีบดอก 
นอกจากนี้ ให้ดู “ก้านรวงข้าว” ที่ยื่นออกจากโบทั้งซ้ายและขวา ตัวก้านจะมีลักษณะเหมือนเม็ดไข่ปลาเรียงติดๆ กันเป็นตัวก้าน หากเป็นรุ่นสาม (รุ่นอาจารย์แฉ่ง) ก้านจะเป็นเส้นตรงธรรมดา ไม่ปรากฏเป็นเม็ดไข่ปลา และที่ “ตัวกนก” ที่ล้อมรอบเหรียญ จะใหญ่หนาทึบแต่มีความอ่อนช้อย....🔶👏🙏✨👨🏻‍🦱น้อมกราบสาธุสาธุสาธุ#เผยแผ่บารมีหลวงพ่อฉุยวัดคงคาราม

ความจริงที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนให้ทุกคนพิจารณาเนืองๆ มี 5 ประการ คือ

ความจริงที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนให้ทุกคนพิจารณาเนืองๆ มี 5 ประการ คือ
1.เราจะต้องแก่เป็นธรรมดา จะไม่แก่ไม่ได้
2. เราจะต้องเจ็บไข้เป็นธรรมดา จะไม่เจ็บไข้ไม่ได้
3. เราจะต้องตายเป็นธรรมดา จะไม่ตายไม่ได้
4. เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น
5. เรามีกรรมเป็นของเฉพาะตน เมื่อทำกรรมใดไว้ ดีหรือชั่วก็ตาม เราจะต้องได้รับผลแห่งกรรมนั้น

18 พฤศจิกายน 2566

**ความสงบของจิตมีได้ ๒ ประการ

**

**สมเด็จองค์ปฐม **ทรงตรัสสอน มีความสำคัญดังนี้

**๑.** **มองร่างกายที่ป่วยอยู่ก็จักต้องรู้ว่าป่วยมิใช่ว่าจักไม่รู้นั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะร่างกายยังมีวิญญาณเป็นเครื่องรักษา จิตละเอียดมากขึ้นแค่ไหน ยิ่งรู้ร่างกายป่วยด้วยอาการเช่นไรมากขึ้นแค่นั้น เพียงแต่ว่าท่านรู้ก็สักเพียงแต่ว่ารู้ ไม่เดือดเนื้อร้อนใจไปกับอาการทุกขเวทนาของร่างกายนั้นๆ**

**การหาหมอการเยียวยาก็ทำไปตามหน้าที่ ทำได้เป็นปกติและมีความรู้สึกเจ็บ รู้สึกปวดตามปกติ เมื่อเป็นอย่างนี้เมื่อพวกเจ้าเจ็บป่วยขึ้นมาบ้าง การรู้สึกเจ็บรู้สึกป่วยก็เป็นธรรมดา อย่าคิดว่าผิดธรรมดา เรื่องอย่างนี้ไม่จำเป็นต้องปิดบัง หรือเก็บงำเอาไว้ ป่วยแล้วจักบอกคนอื่นว่าไม่ป่วย ก็คือว่าฝืนธรรมดา หรือแม้แต่ป่วยแล้วยังหลอกจิตตนเองว่าไม่ได้ป่วยก็ฝืนธรรมดาอีกนั่นแหละ พิจารณาอย่างไรให้ลงกฎธรรมดาเข้าไว้ แล้วจิตจักสบาย**

**๒. การดูร่างกายป่วยด้วยอารมณ์จิตที่มีความสบาย คือดูด้วยความยอมรับกฎของธรรมดาของร่างกาย ความสุข ความสงบของจิตมีได้ ๒ ประการ คือ อารมณ์เป็นสุข เนื่องจากฌานหรือสมถะภาวนานั้นประการหนึ่ง และอีกประการหนึ่งสุขด้วยกำลังของวิปัสสนาญาณแต่จักเห็นความแตกต่างกันไปว่า การกำหนดสมถะ อาทิเช่น การกำหนดจิตมุ่งสู่พระนิพพานด้วยกำลังของรูปฌานนั้น มีอารมณ์หนัก และมีความกังวลคอยควบคุมดูอยู่ว่า ภาพนั้นจักหายหรือไม่ ต่างกับกำลังของวิปัสสนาญาณ ที่ค่อยๆ พิจารณาร่างกายตามความเป็นจริง เมื่อจิตวางร่างกายจิตก็เบา และจักตัดการเกาะติดในมนุษย์โลก - เทวโลก - พรหมโลก จิตจักพุ่งตรงไปสู่พระนิพพานเองด้วยความเข้าใจเป็นอย่างมาก พึงสังเกตอารมณ์ ๒ จุดนี้ไว้ให้ดี ทำสลับกันไปสลับกันมา เพื่อให้จิตทรงตัว**

**๓. อย่าติดในขันธ์ ๕ ของบุคคลอื่น ยิ่งพระอรหันต์ท่านทิ้งแล้ว จิตของท่านหมดภาระจากขันธ์ ๕ แล้ว เอาจิตระลึกถึงความดีของท่าน ปฏิบัติตามท่านให้ได้มรรคผลตามนั้น นี่แหละจึงจักเรียกว่าเข้าถึงพระ อริยสงฆ์อย่างแท้จริง อย่าหลงในขันธ์ ๕ ของท่าน มีโอกาสไปก็ไปตามหน้าที่ เมื่อไม่มีโอกาสไปก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา เอาจิตน้อมถึงท่านได้เป็นดี (ทรงเตือนเพราะมีบุคคลจำนวนมากที่ไปติดขันธ์ ๕ ของพระอรหันต์ แต่ไม่ยอมติดความดีของท่าน จิตมีความวิตกกังวล เมื่อไม่มีโอกาสไปงานเผาศพท่านจนเกินพอดี)**

**๔. ให้สังเกตดูว่า การฟังธรรมแล้วลืมนั้นเป็นการฟังด้วยสัญญา มิใช่การฟังด้วยปัญญา คือ เป็นการฟังแล้วผ่านไป ไม่ได้ฟังแล้วนำมาใคร่ครวญพิจารณา ฟังก็ฟังแค่ผ่านไป ฟังโดยไม่ได้ตั้งใจจำ เหตุนั้นจึงเป็นสัญญา ต่างกับการฟังอย่างรู้เรื่องด้วย คิดตามเรื่องด้วย เห็นอริยสัจตามนั้น โดยน้อมเข้ามาในจิตแท้ๆ จิตมีความเห็นพ้องในอริยสัจนั้น นั่นแหละจิตจึงจักเข้าถึงคำว่าปัญญา เพราะจิตยอมรับนับถือเรื่องของขันธ์ ๕ อย่างจริงใจ ศึกษาเรื่องสัญญากับปัญญาให้ถ่องแท้ด้วย อย่าจำเอาแต่ตัวหนังสือว่าปัญญาคืออะไร ประเดี๋ยวจักได้แต่การติดตำรา**

ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้นเล่ม ๙** **เดือนพฤษภาคม ๒๕๓๙

รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน

#สมเด็จองค์ปฐม2** **#ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น2

ลักษณะของคนที่เข้าถึงสมาธิเต็มกำลังคือฌานที่4

#อันนี้คือลักษณะของคนที่เข้าถึงสมาธิเต็มกำลังคือฌานที่4 ถึงจะโดนอุ้มท่านที่เข้าสมาธิก็ไม่รู้สึกตัว ตัวจะแข็งเหมือนโดนมัดไว้ในท่านั้นๆ และสมาธิท่านก็จะไม่เคลื่อนเมื่อโดนอุ้ม เพราะจิตกับกายแยกกันแล้ว พูดง่ายๆคือไม่รู้สึกทางกายนั้นเอง
#ฌานที่2ฌาน3ตัวก็แข็งแล้ว แต่ยังรู้สึกทางกายอยู่แต่น้อยมาก

ที่เจ้าฟุ้งอยู่นี้ เพราะใช้จิตทำงานไปล่วงหน้า**


ในวันต่อมา พฤหัสบดีที่ ๒๒ ก.ค. ๒๕๓๖ **สมเด็จองค์ปฐม** ทรงพระเมตตา มาสอนไว้ดังนี้

งานก็เช่นกัน **ที่เจ้าฟุ้งอยู่นี้ เพราะใช้จิตทำงานไปล่วงหน้า **ซึ่งงานเหล่านี้ต้องอาศัยร่างกายเป็นตัวทำ โดยมีจิตบงการอยู่เบื้องหลัง ทำงาน**ให้มีสติอยู่กับงานเฉพาะหน้าเท่านั้น จิตจึงจักเป็นสุข ไม่เบื่องาน อย่าวาดแผนงานไปในอนาคต จงอยู่กับงานปัจจุบันจิตก็จักไม่ฟุ้งซ่าน **ตรัสมาถึงตรงนี้ เจ้าเห็นสาเหตุของอารมณ์ที่เกิดหรือยัง" (ก็รับว่าเห็นแล้ว) ทรงตรัสว่า** "อะไรเป็นสาเหตุหรือ" **ตอบ** "ความใจร้อน**

"**ใช่ ตัวนี้แหละที่ทำให้อารมณ์ของเจ้าเสีย ทั้งงานทางโลกและทางธรรม** **มรรคยังไม่ทันเดินก็ครุ่นคิดไปถึงผลเสียแล้ว เมื่อใจร้อนงานทุกอย่างย่อมมีขั้นตอน ก็เสร็จไม่ทันใจเจ้า **ทั้งงานทางโลกและงานทางธรรม อารมณ์ท้อแท้เบื่อหน่ายก็เกิดขึ้น เจ้าเห็นจุดด่างพร้อยของจิตจุดนี้หรือยัง" (ก็รับว่าเห็นแล้ว)

"**เมื่อเห็น ก็จงหมั่นแก้ไข** **กำหนดรู้ลมหายใจให้มาก ๆ อารมณ์จักได้ไม่ฟุ้งซ่านไปในธรรมอนาคตที่ยังมาไม่ถึง** **ค่อย ๆ ทำไปอย่าใจร้อน **เตือนจิตตนเองเอาไว้ให้ดี ๆ ละอารมณ์นี้ไม่ได้ ก็เอาดีไม่ได้เช่นกัน สาเหตุนี้คือต้นเหตุของอารมณ์เบื่องานทั้งทางโลกและทางธรรม เจ้าจงหมั่นแก้ไข"

ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่ม ๖

รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน

#สมเด็จองค์ปฐม5** **#ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น5

เรืองเล่าอภิญญาของหลวงพ่อ

เรื่องแรก ระหว่างปี 2514-2518 ปีไหนจำไม่ได้ แต่จำได้ว่าปีนั้นน้ำท่วมวัด ในช่วงนั้นโบสถ์ใหม่ยังไม่ใด้สร้าง ต้องใช้แพโบสถ์น้ำในการทำสังฆกรรม ตำแหน่งของแพโบสถ์น้ำก็ประมาณแพปลาในแม่น้ำสะแกกรังหน้าวัดในปัจจุบันนี้

มีอยู่วันหนึ่งหลวงพ่อเดินถือแผ่นทองแดงปึกหนึ่ง กะคร่าวๆประมาณ 10 แผ่น เดินไปแพโบสถ์น้ำ (ระหว่างนั้นยังไม่ได้สร้างหอฉัน) หมวดตระกูลก็เดินตามไป ที่แพจะมีกระดานเป็นสะพานทอดข้ามอยู่ พอหลวงพ่อขึ้นแพไปแล้วก็เดินไปลงน้ำอีกด้านหนึ่ง และในขณะที่หลวงพ่อเดินลงน้ำเหมือนมีขั้นบันไดรับเท้าหลวงพ่อลงไปทีละขั้นจนมิดศีรษะหายไป ด้วยความที่ได้ติดตามและเห็นอภินิหารของหลวงพ่อมาหลายครั้งทำให้หมวดตระกูลมั่นใจว่าหลวงพ่อคงจะลงไปทำตะกรุดใต้น้ำ

แต่คราวนี้หลวงพ่อลงไปนานมากน่าจะเกินครึ่งชั่วโมง จนหมวดตระกูลร้อนใจเป็นห่วงหลวงพ่อ เตรียมตัวจะถอดเสื้อตามลงไป ก็พอดีกับหลวงพ่อเดินขึ้นมา การเดินก็คล้ายๆกับเดินขึ้นบันไดมาทีละชั้น เมื่อขึ้นมาแล้วสังเกตว่าจีวรหลวงพ่อก็ไม่เปียก ส่วนตะกรุดนั้นม้วนเรียบร้อยแล้ว หลวงพ่อเดินถือกำขึ้นมาแล้วกลับกุฏิไป ตะกรุดชุดนั้นหมวตตระกูลบอกว่าหลวงพ่อน่าจะแจกให้กับญาติโยมที่อุปัฏฐากวัดในขณะนั้น เช่น ท่านเจ้ากรมเสริม ท่านเจ้ากรมอาทร เป็นตัน

เรื่องตะกรุดใต้น้ำนี้ได้ยินมาอีกครั้งว่าหลวงพ่อท่านเคยปรารภกับศิษย์ใกล้ชิดในช่วงประมาณปี 2533-2535 ว่าใครอยากได้ตะกรุดให้นำแผ่นทองแดงมา หลวงพ่อท่านจะไปทำในน้ำให้ ตำรวจทหารที่ดูแลหลวงพ่ออยู่ในขณะนั้น ก็รวบรวมถวายไปจำนวนหนึ่งท่านก็ทำมาให้ แต่ครั้งนี้ไม่มีใครเห็นว่าท่านไปทำที่ไหนอย่างไร

เรื่องที่สอง มีอยู่คราวหนึ่งมีขโมยเข้ามาลักของในวัด หลังจากสืบเสาะจนได้ความแล้วหมวดตระกูลก็ตามไปที่บ้าน ไปถามตรงๆขโมยยอมรับ หมวดก็ยิงเลย เสร็จแล้วก็กลับวัดทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ พอพบหลวงพ่อท่านก็ถามว่าแกไปยิงเขามาหรือ หมวดก็ยอมรับแล้วถามว่าหลวงพ่อรู้ไดัอย่างไรครับ ท่านตอบว่า มันเดินตามหลังแกมา หมวดก็ถามว่าแล้วจะทำอย่างไรดีครับ หลวงพ่อบอกให้หยิบกิ่งไม้วางข้างหลังแล้วภาวนา สัมปะติจฉามิ เดินไปข้างหน้าอย่าหันกลับไปมอง

เรื่องที่สาม ทางเข้าตีกอินทราพงษ์ที่พักของหลวงพ่อในอดีตจะมีประตู 2 ประตู คือประตูรั้ววัดและประตูเหล็กยืดท้ายศาลาหลวงพ่อ 5 พระองค์ มีกำหนดเปิด-ปิดเป็นเวลา มีอยู่วันหนึ่งตอนเย็นๆ ปิดประตูแล้ว หลวงพ่อท่านคงมีธุระไปฝั่งศาลานวราชบพิตร ท่านเดินไปหมวดตระกูลก็เดินตามไปห่างๆ เพราะมีหมาห้อมล้อมติดตามหลวงพ่ออยู่ พอไปถึงประตูเหล็กหลวงพ่อก็เดินทะลุประตูไปเฉยๆ พร้อมกับหมาอีก 1 ฝูง หมวดตระกูลต้องหยิบลูกกุญแจออกมาไขแล้วจ้ำตามหลวงพ่อไป เป็นแบบนี้ทั้ง 2 ประตู

เรื่องที่สี่ เรื่องหางพลูของหลวงพ่อ สมัยหนุ่มๆ หมวดตระกูลเป็นคนเจ้าชู้ไม่ธรรมดา มี วีรกรรมเล่าขานมากมาย มีอยู่คราวหนึ่งพบสาวงามถูกใจ พยายามเจริญสัมพันธไมตรีทุกวิถีทางแต่กลับถูกสาวพูดจาสบประมาทจนเสียหน้าอย่างรุนแรง หมวดตระกูลมาเล่าความคับแค้นใจระบายให้หลวงพ่อฟัง หลวงพ่อท่านฉันหมาก ฉันเสร็จท่านยื่นหางพลูให้หมวดตระกูล หมวดตระกูลรับมาอธิษฐานกินแล้วกลับไปใหม่ หมวดบอกว่าคราวนี้สำเร็จ (เรื่องนี้สันนิษฐานว่าหลวงพ่อท่านคงสงเคราะห์ตามกฎแห่งกรรมของแต่ละคน)

โดย ร.ต.ต. ตระกูล เปาริก
(จากธัมมวิโมกข์ ธันวาคม 2556 หน้า 128-129)

17 พฤศจิกายน 2566

#อานิสงส์ของการทอดกฐิน

🟥
..อานิสงส์กฐินนี้ การทำบุญ จะเป็นเงินก็ตาม จะเป็นของก็ตาม ถือว่า ทุกอย่างเป็น อานิสงส์กฐินบุคคลใดตั้งใจทอดกฐินแล้วในชีวิตหนึ่ง ในฐานะที่เป็นเจ้าภาพกฐินก็ดี หรือ เป็นบริวารกฐินก็ดี (แต่ถ้าเป็นกฐินสามัคคี หมายความว่า ทุกคนจะเป็นเจ้าภาพเหมือนกันหมด) จะทำบุญน้อย จะทำบุญมาก มีอานิสงส์เสมอกัน แต่ทว่าปริมาณอาจจะแตกต่างกัน

บุคคลใดเคยตั้งใจทอดกฐินไว้ในพระพุทธศาสนา แม้ครั้งหนึ่งในชีวิต ถ้าตายจากความเป็นคน ยังไม่ถึงพระนิพพานเพียงใด ท่านผู้นั้นจะได้ไปเกิดเป็นเทวดา หรือนางฟ้า ถ้าหมดอายุขัยของเทวดา หรือนางฟ้า เมื่อจุติ (ตาย) แล้ว เมื่อบุญหย่อนลงมา จะเกิดเป็นเทวดาเกิดเป็นนางฟ้าไม่ได้ ก็จะลงมาเป็นมนุษย์ จะเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ เมื่อเป็นพระเจ้าจักรพรรดิแล้ว บุญหย่อนลงมา ก็จะเป็นพระมหากษัตริย์ หลังจากนั้น จะเป็นมหาเศรษฐี 

คำว่ามหาเศรษฐีนี่ หมายถึง การมีทรัพย์สินเงินทอง ตั้งแต่ ๘๐ โกฏิขึ้นไป (หรือ มากกว่า ๘๐๐ ล้านขึ้นไป) เขาเรียกว่าเป็น มหาเศรษฐี แต่ถ้าตั้งแต่ ๔๐ โกฏิ ขึ้นไป ( หรือ มีทรัพย์ตั้งแต่ ๔๐๐ ล้านขึ้นไป) เขาเรียก อนุเศรษฐี เมื่อเป็นมหาเศรษฐี แล้ว ต่อมาจะไปเกิดเป็นอนุเศรษฐี หลังจากนั้น ก็จะเป็นคหบดี ฯลฯ

ก็รวมความว่า การตั้งใจทอดกฐินครั้งหนึ่ง นอกจากจะเป็นเทวดาเป็นนางฟ้า เป็นเศรษฐีมหาเศรษฐีแล้ว บุคคลที่ตั้งใจทอดกฐินครั้งหนึ่งในชีวิต จะปรารถนาพระโพธิญานก็ย่อมได้ นั่นหมายความว่า จะปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าก็ได้ จะปรารถนาเป็นอัครสาวกก็ได้ จะปรารถนาเป็นมหาสาวกก็ได้ จะปรารถนานิพพาน เป็นพระอรหันต์ปกติก็ได้ 

ฉะนั้น การทอดกฐินแต่ละคราว ขอให้บรรดาท่านพุทธบริษัทโปรดทราบถึงอานิสงส์ และ มีความตั้งใจในการทอดกฐิน คนที่เคยตั้งใจทอดกฐินแล้วแต่ละครั้ง รวมความว่า ถ้ายังไม่ถึงพระนิพพานเพียงใด คำว่า ยากจนเข็ญใจจะไม่มีแก่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทในชาติต่อ ๆ ไป

โดยสรุป อานิสงส์จากการทำบุญทอดกฐิน ถ้าจะมาเกิดเป็นมนุษย์

๑. จะได้เกิดมาในตระกูลที่ดี มีสัมมาทิฐิ มีเกียรติยศ มีชื่อเสียงที่ดีงาม
๒. จะเกิดมาโดยมีร่างกายที่ได้คุณลักษณะที่งดงามสมส่วน
๓. จะเกิดมามีผิวพรรณงดงาม จิตใจแจ่มใส ร่าเริงเบิกบาน
๔. จะเกิดมามีทรัพย์สมบัติมาก ไม่ลำบากในการแสวงหาทรัพย์
๕. เมื่อละโลกแล้ว อย่างน้อยได้ไปบังเกิดในสวรรค์ 

#เทศน์โดยหลวงปู่ปาน แห่งวัดบางนมโค อ.เสนา จ.พระนครศรีอยุธยา 🌷🌷🌷

#วิธีปฏิบัติศีล๕และกรรมบถ๑๐แบบง่ายๆ

🙏ขอน้อมกราบบูชาคุณพระรัตนตรัยเป็นสรณะที่พึ่งของลูกตลอดชีวิต กราบบูชาพระธรรมคำสอนหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง และน้อมกราบบูชาพระคุณพ่อแม่ครูบาอาจารย์ทุก ๆ พระองค์ ด้วยความเคารพยิ่ง
🪷 #วิธีปฏิบัติศีล๕และกรรมบถ๑๐แบบง่ายๆ

⚜️ท่านที่มีอาชีพหนัก มีเวลาน้อย จะไปรักษาศีลที่วัดวาหรือจำศีลภาวนานาน ๆ ที่ไหนนั้นไม่ได้แน่ เพราะท้องมันหิว ต้องหากินประจำวันให้ทำอย่างนี้ คือ ตั้งใจไว้ว่า #เราจะรักษาศีลและประพฤติกรรมบถ๑๐ให้บริบูรณ์ วันละ ๑ หรือ ๒ หรือ ๓ ชั่วโมง จะเอาเวลาเท่าไร เมื่อไร จัดเวลาเอาเองแล้วก็ตั้งใจรักษาตามเวลานั้นให้เคร่งครัด ทำอย่างนี้ไม่เกิน ๓ เดือน อารมณ์จิตจะชิน จะสามารถรักษาศีล ๕ ประพฤติในกรรมบถ ๑๐ ได้ครบถ้วนตลอดเวลา อย่างนี้มีผลไม่ลงนรกทุกชาติจนกว่าจะเข้าถึงพระนิพพาน

⚜️มีหลายท่านมาบอกว่า "การรักษาศีล หรือกรรมบถ ๑๐ นั้นอยากทำ แต่โอกาสไม่มี เพราะทำนาทำไร่ ต้องใช้ยาฆ่าแมลง" อย่างนี้ก็เห็นใจ เอาอย่างนี้ #ปฏิบัติทุกอย่างในอนุสสติ (#พุทธานุสสติ, #ธัมมานุสสติ, #สังฆานุสสติ, #จาคานุสสติ)ให้ครบถ้วน #เวลาที่ไม่ฉีดยาฆ่าแมลงก็ขอให้ทรงศีลและกรรมบถ ๑๐ ให้ครบเป็นประจำ วันใดมีความจำเป็นต้องฆ่าแมลงก็ต้องทำ เพราะไม่ทำท้องมันหิว ทางอื่นก็ไม่มีทางเลือก แต่เมื่อไปฉีดยากลับมาแล้ว #รีบสมาทานศีลทันที คำว่า "ทันที" ก็คือรอให้หายเหนื่อยใจสบายเสียก่อน แล้วบูชาพระ ตั้งใจอุทิศส่วนกุศลที่ตนทำประจำวันให้แก่แมลงที่ต้องตายเพราะยาฉีด และกล่าวคำ #ขออโหสิกรรม แก่แมลงทั้งหลายที่ต้องตายนั้น ขอให้อดโทษแก่ตน จนกว่าจะเข้าถึงพระนิพพาน

⚜️ #เมื่อทำบุญอะไรก็ตามหรือบูชาพระทำกรรมฐานเสร็จ #ให้อุทิศกุศลให้พวกเธอทุกครั้งที่ทำบุญ #และขอให้แมลงทั้งหลายเหล่านั้นอดโทษให้ อย่างนี้เป็นประจำวันกำลังใจจะเบา คิดไว้เสมอว่าเธอให้อภัยเราแล้ว #จิตจะเป็นสุข เมื่อถึงวาระจะตาย ใจจะไม่มีอกุศลมารบกวน

⚜️ #อำนาจพระพุทธานุภาพ #ธัมมานุภาพ #สังฆานุภาพ #ผลของศีลและกรรมบถ๑๐และผลของทาน จะเข้าครอบงำจิตท่านก่อนตาย เพราะผลของความดีที่ท่านทำทุกวันจะกีดกันอารมณ์ที่เป็นบาปให้ห่างออกไป เมื่อตายจะไม่พบกับนรกแน่นอน ถ้ามีอารมณ์หวังพระนิพพานเป็นปกติประจำวัน เมื่อพระศรีอาริยเมตไตรยตรัสเมื่อไร เราเป็นเทวดาหรือพรหม ได้ฟังเทศน์จบเดียวก็เป็นพระโสดาบัน ตัดกำลังบาปหมดแล้ว

⚜️คนที่มีอนุสสติ และทาน เป็นประจำ มีศีลและกรรมบถเป็นปกติ พร่องบ้างตามความจำเป็น ดังปรากฏในพระสูตร เมื่อไปเป็นเทวดาหรือพรหม ฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้าจบเดียวเป็นพระอรหันต์ ไปนิพพานกันหมด

============================
📙ที่มาข้อธรรมคำสอนจากหนังสือ
📚พ่อสอนลูก เล่มสีทอง หน้าที่ ๓๒๐-๓๒๑
🙏คำสอนของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดจันทาราม (ท่าซุง) จ.อุทัยธานี

🖍️👸ผู้เขียนพิมพ์เผยแพร่เป็นธรรมทานโดย 
Apinya Wongthong 🙏
     💚๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๖💚

พระอาจารย์ของรัชกาลที่ ๕..

พระภาวนาโกศลเถร (เอี่ยม สุวณฺณสโร) หรือ "หลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง" อดีตเจ้าอาวาส "วัดหนังราชวรวิหาร" กรุงเทพมหานคร

"คาถาอิติปิโสเรือนเตี้ย"
(หรือ คาถามงกุฏพระพุทธเจ้า) เป็นคาถาที่ "หลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง" กรุงเทพฯ ถวายล้นเกล้า ร.๕ ก่อนเสด็จประพาสยุโรป จนกลายเป็นตำนานเล่าขานที่สืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบัน
(ซึ่ง "คำทำนาย" ของหลวงปู่เอี่ยมนั้นแม่นยำมาก จนเป็นกล่าวขานจากรุ่นสู่รุ่น)

"คาถาหลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง" แคล้วคลาด ป้องกันภยันตราย

(กล่าว "นะโม" ๓ จบ) แล้วว่า..
"..อิติปิโส วิเสเสอิ อิเสเส พุทธะนาเมอิ อิเมนา พุทธะตังโสอิอิโสตัง พุทธะปิติอิ สาธุ.."

เมื่อล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕ เข้านมัสการเพื่อขอให้ท่านได้ช่วยตรวจดูเหตุการณ์ว่า การที่ท่านจะเสด็จไปยุโรปเพื่อเจริญสัมพันธไมตรีกับราชสำนักในยุโรปนั้น จักเป็นอย่างไรบ้าง ด้วยหนทางไกลและอันตราย

"..มหาบพิตร อาตมาจักตรวจสอบให้ อย่าได้ทรงมีพระหทัยกังวล ทั้งนี้ด้วยพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นสมมติเทพแบบพระองค์นั้น มีบุญญาธิการ สามารถผ่านพ้นความทุกข์ได้อย่างมั่นคง.."

"..มหาบพิตร การเสด็จพระราชดำเนินสู่ยุโรปครั้งนี้ จะต้องประสบภัยสองครั้ง

ครั้งแรกในทะเลที่วังวน อาตมาจะถวายผ้ายันต์พิเศษและคาถากำกับ เมื่อเข้าที่คับขันขอให้ทรงเสด็จไปยืนที่หัวเรือ แล้วภาวนาคาถากำกับผ้ายันต์ แล้วโบกผ้านั้น จะเกิดลมมหาวาตะ พัดให้เรือหลุดจากการเข้าสู่วังวนได้

ภัยครั้งที่สอง เกิดจากสัตว์จตุบท (สี่เท้า) คืออัศดรชาติ (ม้า) อันดุร้าย ที่ฝ่ายตรงข้ามจะทดลองพระองค์ อาตมาจะถวายคาถาพิเศษสำหรับภาวนา เวลาถอนหญ้าให้อัศดรอันดุร้ายนั้นกิน จะคลายพยศ และสามารถประทับบังคับให้ทำตามพระราชหฤทัยได้.."

เมื่อล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕ เสด็จประพาสยุโรป ก็ได้เกิดเหตุการณ์ดังข้างต้นขึ้นจริง ซึ่งพระองค์ได้ผ่านเหตุการณ์นั้นมาได้อย่างปลอดภัย

.......................................
: pinterest com
: intrend.trueid net
: ประตูสู่อดีต
: แอดมินเจเจ
: แอดมินจ๋า..🙏🍂

16 พฤศจิกายน 2566

🟥#จับภาพพระพุทธเจ้า_สมาธิเต็มอัตรา

เมื่อตอนที่ องค์ปฐม ท่านมา ท่านบอกใช้อย่างนี้ ให้จับ ภาพพระพุทธเจ้าเป็นปกติ ให้จิตทรงกำลัง ฌาน ๔ เป็น ปกติ 

ไอ้ทรงฌาน ๔ เป็นปกติ ฌาน ๔ นี่ เวลาเราออกจากร่างกายนี่เราเป็นฌาน ๔ แล้ว แต่นั่นเป็นฌาน ๔ เบื้องต้นที่มีกำลังอ่อน ต้องใช้ให้มีกำลัง"#เข้มข้น"

นั่นก็คือนึกถึงภาพพระพุทธรูปเมื่อไร นึกพับเห็นทันที นึก จับพระรูปพระโฉมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 

ให้ชัดเจนแจ่มใสตามกำลังให้ได้ทุกวันทุกวันและทุก เวลาที่เราต้องการ ไม่ใช่นั่งรอเวลา เงียบสงัด ไม่ใช่อย่าง นั้น

เดินไปเดินมา ทำงานอยู่นึกพับให้เห็นเลย เห็นแล้ว อธิษฐานพระพุทธเจ้า ขอพระองค์ทรงโตขึ้น ใหญ่ขึ้น สว่างกว่านี้ เล็กลง อยู่ข้างบน สูงมาก สูงน้อย เราทำ อย่างนั้นอย่าคิดว่าเป็นการปรามาสพระรัตนตรัย "

คำสอน พระราชพรหมยาน - หลวงพ่อฤๅษี (วัดท่าซุง) ที่มา : เพจ คำสอนหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง
____________
*#สมาธิเต็มอัตราของการจับภาพพระ*

"สมาธิเต็มอัตรา" คือ สำหรับคนจับภาพพระ ควรเห็น สว่างสดใสเป็นแก้วประกายพรึกเท่าที่สุดที่จะทำได้ (สว่างให้ตาบอดไปเลย).

____________
คำสอน #พระครูวิลาศกาญจนธรรม ดร. (เล็ก สุ ธมฺมปญฺโญ)
จากเรื่อง : ยันต์ทำน้ำมนต์ (ฉ. ตำราพระบูรพาจารย์)

15 พฤศจิกายน 2566

**การพูดอย่างมีสติกับการพูดอย่างไม่มีสติ

**การพูดอย่างมีสติกับการพูดอย่างไม่มีสตินั้นต่างกัน**
**สมเด็จองค์ปฐม** ทรงมีพระเมตตาตรัสสอนเรื่องนี้ไว้ มีความสำคัญดังนี้

หมั่นดูกรรมบถ ๑๐ ให้มากด้วย **อย่าเพ้อเจ้อเหลวไหล การพูดอย่างมีสติกับการพูดอย่างไม่มีสตินั้นต่างกัน ตรงที่จักต้องคิดไว้ก่อนแล้วจึงพูด พูดอย่างนี้มีประโยชน์หรือไม่มีประโยชน์ เป็นกุศลหรืออกุศล เป็นบุญหรือบาป เป็นคุณหรือเป็นโทษ เป็นสุขหรือเกิดทุกข์ หากใคร่ครวญเสียก่อนแล้วจึงพูด** (นิสัมมะกรณังเสยโย) ก็จักเพิ่มกุศลให้กับตนเอง และผู้รับฟังธรรม)

การทำหน้าที่เพื่อส่วนรวมนั้น ย่อมต้องเสียสละหมดทุกอย่างแม้แต่สละร่างกายก็ยอมด้วยเห็นผลในการทำหน้าที่เพื่อส่วนรวมนั้นๆ นี้เป็นวิสัยของพุทธสาวกพึงมีมาแล้วในทุกๆ พุทธันดร (แต่จงดูบารมีหรือกำลังใจของตนเองด้วยว่ามีระดับไหน อย่าเห็นช้างขี้ แล้วจะขี้ตามช้างโดยขาดปัญญาจะทำอะไรให้อยู่ในขอบเขตบารมีของตน)

**ที่ตรัสนี้เป็นปฏิปทาของพระอรหันต์ส่วนใหญ่ แต่ไม่ใช่ทุกองค์หรอกนะ** เพราะทุกองค์เมื่อจบกิจแล้ว ก็จักรู้หน้าที่แห่งตน และรู้หน้าที่ควรและไม่ควรในกิจที่ต้องกระทำ หรือไม่กระทำแห่งตนอีกด้วย องค์ไหนรับหน้าที่อย่างไร ก็พึงเป็นไปตามนั้น

**ชาติ - ศาสนา - พระมหากษัตริย์ ๓ สถาบันนี้ขาดกันไม่ได้** ต้องพึ่งพากันอยู่ตลอดและจงอย่าลืม **พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไทย เพราะสมเด็จองค์ปัจจุบันทรงตรัสไว้ชัดว่า พระพุทธศาสนาจักเจริญอยู่กับประเทศไทยจบครบ ๕,๐๐๐ ปี** 

ท่านฤๅษีก็ดี - หลวงปู่วัย ก็ดี ตอนมีชีวิตอยู่ ปฏิปทาของท่านช่วยคน ช่วยชาติอย่างไร พวกเจ้าจึงพึงศึกษากันไว้(ให้ทุกคนศึกษาได้ในธรรมะ เล่ม ๒ รำลึกถึงความดีของหลวงพ่อในอดีต หลวงพ่อฤๅษีวัดท่าซุง หรือพระราชพรหมยานมหาเถระ)

ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้นเล่ม ๘ เดือนมิถุนายน ๒๕๓๘ ตอน ๑

รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน

#สมเด็จองค์ปฐม4** **#ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น4

14 พฤศจิกายน 2566

การเกิดเป็นมนุษย์ยาก

**การเกิดเป็นมนุษย์ยาก อุปมาเหมือนคนโยนแอกซึ่งมีช่องเดียวลงไปในมหาสมุทร เต่าตาบอดที่อยู่ในมหาสมุทรนั้นล่วง ๑๐๐ ปี**
ข้อความในสังยุตตนิกาย มหาวารรรค ปฐมฉิคฬวรรคสูตรที่ ๗ แสดงว่า**การเกิดเป็นมนุษย์ยาก อุปมาเหมือนคนโยนแอกซึ่งมีช่องเดียวลงไปในมหาสมุทร เต่าตาบอดที่อยู่ในมหาสมุทรนั้นล่วง ๑๐๐ ปี** ถึงจะโผล่ขึ้นคราวหนึ่ง แล้วเมื่อล่วง ๑๐๐ ๆ ปีจึงจะโผล่ขึ้นมาคราวหนึ่งนั้น การที่เต่าจะสอดคอให้เข้าไปในแอกซึ่งมีช่องเดียวนั้นได้บ้าง ก็เฉพาะในบางครั้งบางคราวเท่านั้น **นี่คือความยากของการเกิดเป็นมนุษย์**

ส่วนข้อความในทุติยฉิคฬสูตรที่ ๘ ยิ่งแสดงความยากกว่านั้น โดยอุปมาว่าไม่ใช่แต่มหาสมุทรเท่านั้น แต่มหาปฐพี คือ แผ่นดินระหว่างจักรวาลก็ยังมีน้ำเต็มหมด เมื่อโยนแอกซึ่งมีช่องเดียวลงแล้ว ลมทิศตะวันออกยังพัดแอกนั้นไปทางทิศตะวันตก ลมทิศ ตะวันตกก็พัดแอกนั้นไปทางทิศตะวันออก ส่วนลมทิศเหนือก็พัดแอกนั้นไปทางทิศใต้ และลมทิศใต้ก็พัดแอกนั้นไปทางทิศเหนือ ล่วงร้อยๆ ปี เต่าถึงจะโผล่ขึ้นมาคราวหนึ่ง ถ้าแอกนั้นยังไม่เน่าและน้ำในทะเลยังไม่แห้ง **การที่เต่านั้นจะโผล่ขึ้นมาสอดคอเข้าไปในแอกซึ่งมีช่องเดียวได้นั้น เป็นการยากยิ่ง**

ซึ่งข้อความตอนท้ายของพระสูตรนี้ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

ฉะนั้นภิกษุทั้งหลาย**การได้ความเป็นมนุษย์เป็นของยาก**พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะอุบัติในโลกเป็นของยาก ธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้วจะรุ่งเรืองในโลกก็เป็นของยาก

#พระไตรปิฎก #กฎแห่งกรรม

#อารมณ์พระอรหันต์ธรรมทาน #คำสอนหลวงพ่อ

✨️

  เมื่อตัดสังโยชน์ ๕ ข้อได้แล้ว ก็ว่ากันตามแบบต่อพระอรหันต์ก็มาตัดอีก ๕ คือ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา

🔸️รูปราคะ ได้แก่ รูปฌาน 
🔹️อรูปราคะ คือ อรูปฌาน 

   คำว่า "ตัด" หมายความว่า ไม่หลงใหลในรูปฌานและอรูปฌาน 

   คำว่า "#ฌานโลกีย์" ไม่มีการทรงตัว มันขึ้นอยู่กับร่างกาย ร่างกายดีฌานก็หนักแน่น ร่างกายไม่ดีฌานก็ไม่หนักแน่น ฌานก็สลายตัวบ้าง เสื่อมไปบ้าง ทั้งรูปฌานและอรูปฌานทั้งสองประการนี้เรามีไว้ ไม่ใช่ทิ้ง แต่ไม่หลงไม่คิดว่าเราเลิศแล้ว รูปฌานและอรูปฌาน เป็นกำลังช่วยปัญญา ห้ำหั่นกิเลส ถ้าไม่ได้อรูปฌานก็ใช้แค่รูปฌานก็พอ เพราะเราสอนกันขั้นสุกขวิปัสสโก ไม่ต้องเป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ

   ขั้นสุกขวิปัสสโกแค่รูปฌานก็พอ เมื่อกำลังของฌานทรงตัว เราใช้กำลังของฌานเข้าไประงับตัดกิเลสตัวต่อไป คือมานะ การถือตัวถือตน การตัดกิเลสนี่ใช้กำลังมโนมยิทธิช่วยจะตัดง่ายมาก

❇️ มานะ การถือตัวถือตน ไม่ควรมีในเรา ถือไปก็ไร้ประโยชน์ คนเกิดมาในฐานะเช่นไรก็ตายเหมือนกันหมดร่างกายสกปรกเหมือนกันหมด ตามหลักของ #พระอนาคามี ร่างกายทรุดโทรมแก่เฒ่าเหมือนกันหมด ตามหลักของอนิจจัง ร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเราตามหลักของ 
#พระอรหันต์ ในเมื่อร่างกายมันต้องพัง จะถือตัวถือตนถือร่างกายไม่มีประโยชน์ วางทิ้งไปเลย กับคนกับหมูกับหมา คบได้หมดไม่รังเกียจ คือไม่รังเกียจในฐานะที่ร่างกายมีธาตุ ๔ เหมือนกัน

✴️ ต่อไปก็ "#อุทธัจจะ " อารมณ์ฟุ้งซ่าน ตอนนี้เป็นอรหัตมรรค ตามหลักวิชาการ อารมณ์อรหัตมรรคยังมีอารมณ์ฟุ้งซ่านอยู่บ้าง แต่ไม่ฟังในด้านอกุศล เช่น คิดว่า "แค่นี้ก็พอว่ะ มันตายตอนนี้เราก็ไปนิพพานได้แล้ว ทำให้เหนื่อยทำไม มันยังไม่ไปนิพพาน ก็ไปอยู่โน่น...สหัมบดีพรหม ไปอยู่พรหมชั้น ๑๖แล้วก็ไปนิพพานเองๆ

🔺️ ต่อมาก็ตัดตัวสุดท้ายคือ "อวิชชา" 
   ตัวนี้ตัดไม่ยาก เพราะทุกอย่างมีความเข้าใจหมด แต่ว่าสุกขวิปัสสโกจะรู้สึกหนักๆ ไปนิดหนึ่ง เพราะมองไม่เห็นของจริง ยังไม่มีความเป็นทิพย์ ยังไม่รู้จักเทวดา ไม่รู้จักพรหม รู้ตามบอก ขาดทิพจักขุญาณ ก็ต้องใช้ปัญญาหนักหน่อยว่า เกิดเป็นมนุษย์ เป็นเทวดา เป็นพรหม มันไม่ดี มันมีทุกข์อย่างนี้ เวลานี้เราเข้าถึงธรรมะ มันก็มีทุกข์ ทุกข์ประจำก็คือหิว มันหิวทุกวัน หนาวทุกวัน ร้อนทุกวัน ปวดอุจจาระ ปวดปัสสาวะ มันทุกข์ ร่างกายมันป่วยไข้ไม่สบายมันเป็นทุกข์ ถ้าเราเผลอไปเกิดอีกชาติหนึ่งมันก็มีทุกข์อีก ไปเกิดเป็นเทวดาและพรหมก็ต้องมีงานของเทวดาหรือพรหม ไม่เกิดประโยชน์ เราลัดไปหาพระนิพพานเลยคือ #ตัดอวิชชา เห็นว่ามนุษยโลก เทวโลก พรหมโลก ไม่มีอะไรดี หมดดี น่ารักก็ไม่น่ารัก ชอบใจก็ไม่ชอบใจ จิตใจมีอารมณ์เป็นสุข

   ตอนถึงอรหันต์นี่ตัวนิพพิทาญาณหายไป ตอนนี้เป็น #สังขารุเปกญาณ อารมณ์มันเฉยทุกอย่าง ความรู้สึกน่ะมีไม่ใช่ไม่คิด แต่อารมณ์มันเฉย คิดเหมือนกัน คิดแบบคนเฉย นั่นก็หมายความว่า เห็นคนก็เฉย ความรักในเพศไม่เกิดขึ้น ความเกลียดไม่เกิดขึ้น ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาของร่างกาย มีธาตุ ๔ เข้ามาประชุมกันแบบนี้ มีอาการ ๓๒ มีความสกปรกโสโครก เป็นอนิจจังไม่เที่ยง ทุกขังเป็นทุกข์ อนัตตาสลายตัว เมื่อมีความรู้สึกอย่างนี้มันก็เฉย จะเป็นยังไงก็ช่างมัน ร่างกายเป็นหน้าที่ของร่างกาย จิตใจเป็นหน้าที่ของจิตใจ ร่างกายจะป่วยก็เป็นหน้าที่ของร่างกายไม่ใช่ใจไปช่วยให้มันป่วย ร่างกายจะตายก็เป็นหน้าที่ของร่างกาย ไม่ใช่หน้าที่ของใจ

  ⭕️ รวมความว่า อารมณ์อยากผิดปกติไม่มีในพระอรหันต์ มีอารมณ์เป็นสุข มีความเยือกเย็น เพราะสังขารุเปกขาญาณ คำว่าดีพิเศษในโลกไม่มี สำหรับพระอรหันต์ ทุกอย่างท่านถือเป็นกฎของธรรมดา เมื่อธรรมดาเป็นยังไง จิตใจยอมรับนับถือธรรมดา จิตใจก็ไม่วุ่นวาย ร่างกายแก่ก็เรื่องของมัน ร่างกายป่วยก็เรื่องของมัน ร่างกายตายก็เรื่องของมันไม่ใช่หน้าที่ของเรา

    เรา คือ จิต หรือ #อทิสสมานกาย กำลังใจพระอรหันต์มีอยู่จุดเดียวคือ พระนิพพาน และก็มีพรหมวิหาร ๔ ครบถ้วน แต่ว่าจะเมตตาควรแก่การเมตตา กรุณาควรแก่การกรุณา ไม่ใช่เมตตาส่งเดช สิ่งใดถ้าผิดธรรมผิดวินัยอรหันต์ก็เมตตาไม่ได้ ต้องวางเฉย ใช้สังขารุเปกขาญาณ หรือ อุเบกขา

   รวมความว่า #ตอนนี้เข้าเขตอรหันต์ก็จบกัน ขอทุกท่านจงปฏิบัติตามอัธยาศัย การปฏิบัติจริงๆไม่ต้องเอาไกล เริ่มจับตั้งแต่พระโสดาบันมาเลยดีกว่า ไม่ต้องอ้อม เข้ามาใกล้เข้ามาหาจุดแล้วก็จะรู้จุดจบ 

=====================
จากหนังสือพ่อสอนลูก หน้า ๒๘๕-๒๘๗

07 พฤศจิกายน 2566

ผู้ประมาทไม่ระลึกนึกถึงความตาย ย่อมเตรียมจิตไม่ทัน**

**
ในคืน**วันที่ ๑๗ มิ.ย. ๒๕๓๖** **สมเด็จองค์ปฐม**ทรงพระเมตตามาตรัสสอนว่า

๑. **การระลึกนึกถึงความตาย จงอย่าทำจิตให้เศร้าหมอง** **เพราะนั่นเป็นความจริงของร่างกาย การควบอุปสมานุสสติให้ทรงตัวก็เพื่อระลึกไว้เสมอถึงความสุขที่จักได้รับ เมื่อจิตผละไปจากร่างกายที่เต็มไปด้วยความทุกข์นี้แล้ว**

๒. **เห็นความจริงในกายคตานุสสติ ควบอสุภะของร่างกายไว้เนือง ๆ** **เพื่อทำลายความหลงของร่างกาย** **ซึ่งเต็มไปด้วยความไม่เที่ยง และสกปรกนี้** **จิตก็จักยอมรับและคลายความกำหนัดในร่างกายนี้ลงได้**

๓. เมื่อพิจารณาอยู่อย่างนี้ ก็กำหนดรู้ว่า ร่างกายทั้งภายนอกและภายในมีสภาพเหมือนกันหมด** การทรงชีวิตอยู่เต็มไปด้วยความทุกข์มีหิว - กระหาย - ร้อน - หนาวเกินไป ปวดอุจจาระ และปัสสาวะ เป็นต้น ให้รู้อยู่อย่างนี้เป็นปกติ**

๔. **เจ้าอย่าได้ละกรรมฐานกองสำคัญเหล่านี้ออกไปจากจิตเป็นอันขาด เพราะเป็นตัวตัดสักกายทิฎฐิตรง** **หมั่นศึกษา พิจารณา เรียนรู้ นำมาปฏิบัติเข้าไว้ให้จิตมันชิน** **โดยควบคู่กับอานาปานัสสติกรรมฐานทุกกอง** **เพื่อความไม่ประมาทในชีวิต ร่างกายมันไม่เที่ยง** **แต่ความตายเป็นของเที่ยง**

**ดั่งองค์สมเด็จองค์ปัจจุบันได้ตรัสไว้แล้วในเรื่อง** **เปสการีธิดา ขอให้เจ้านำมาคิดและพิจารณาให้ดี ๆ จักได้มีปัญญาเรียนรู้ปฏิบัติธรรมให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป** (ก็ติดตามที่พระองค์ทรงแนะ ก็พบว่านางขาดใจตายอย่างกะทันหันจากกระสวยเหล็กพุ่งมากระทบอก ขาดใจตายในชั่วขณะจิตเท่านั้น)

๕. **ทรงตรัสว่า** **ผู้ประมาทไม่ระลึกนึกถึงความตาย ย่อมเตรียมจิตไม่ทัน** **แต่ผู้ที่ระลึกนึกถึงความตาย หมั่นแสวงหาอริยทรัพย์ไว้ด้วยจิตมั่นคง** **กำหนดรู้อยู่เสมอว่า** **จิตนี้จักต้องโคจรจากร่างกายเมื่อตายแล้ว จักตรงไปยังสถานที่ใด** **บุคคลผู้นั้นจึงได้ชื่อว่าถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทในชีวิต**

๖. **หมั่นตรวจสอบอารมณ์จิตให้ดี ๆ อย่าให้มีความเศร้าหมองค้างอยู่ในใจ** **ไม่ว่าอารมณ์รัก โลภ โกรธ หลง พอใจหรือไม่พอใจ จัดว่าเป็นกิเลสที่ทำจิตให้เศร้าหมอง ถ้าหากเจ้าไม่อยากสู่ภพสู่ชาติอีกต่อไป** **มองอารมณ์ของจิตเอาไว้ให้ดี ๆ และจงหมั่นทบทวนจุดหมายปลายทางของจิต คือ กำหนดอารมณ์พระนิพพานไว้เสมอรู้หนทางโคจรของจิต หนทางใด ซึ่งไม่ใช่มรรคผลนิพพาน ก็จงหมั่นตัดอารมณ์นั้นให้หลุดออกไปจากใจ**

๗. **ทุกอย่างสำเร็จได้ด้วยความเพียร** **ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา เอาอิทธิบาท ๔ ทบทวนธรรมที่เกิดกับจิตอยู่เสมอ แล้วมรรคผลนิพพานจักได้แน่**

ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น** **เล่ม ๕ เดือนมิถุนายน ๒๕๓๖ ตอน** **๒

รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน

#สมเด็จองค์ปฐม5** **#ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น5

05 พฤศจิกายน 2566

ขันธ์ ๕ ก็คือร่างกายของเรา

   🚩เมื่อคืนวันที่ ๒๘ ฉันฝันอีก คราวนี้ฝันว่าฉันออกจากตัวไปที่ "พระจุฬามณี" ที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เมื่อไปถึงเชิงจุฬามณี ที่ตรงนั้นฉันเคยพบพรหมและเทวดามากมาย แต่วันนี้เงียบเชียบเหลือเกินหาใครสักคนก็ไม่ได้ ฉันเดินเข้าไปใกล้ประตูด้านทิศตะวันตกของพระจุฬามณี เห็น "ท่านมเหสักขา" ท่านเป็นเทวดายามอยู่ที่หน้าประตู ท่านยกมือไหว้แล้วท่านรายงานว่า

  🌻 วันนี้พระพุทธเจ้ากำลังเทศน์จึงไม่มีใครเดินหรือยืนให้เห็น ฉันรีบเข้าไป เห็นพรหม เทวดา พระ นั่งกันสงัดเต็มจุฬามณี แยกเป็นพวกๆ พรหมแยกออกเป็น ๒ ฝ่าย คือพรหมโลกีย์นั่งอยู่พวกหนึ่ง พรหมอริยะนั่งอยู่พวกหนึ่ง เทวดาก็เหมือนกัน พวกที่ได้ญาณแต่ยังไม่ตายเห็นไปนั่งอยู่พวกหนึ่ง ฉันเดินหลังต่ำ(ก้มหลัง) เข้าไปนั่งรวมกับพระที่ไม่อยากเกิด ได้ยินเสียงท่านเทศน์ว่า คนที่ละขันธ์ ๕ ได้แล้วมีความสุขกว่าพวกทรงขันธ์ ๕ มาก เช่นเทวดาหรือพรหมก็ตามที่นั่งอยู่ในที่นี้ ต่างก็ละขันธ์ ๕ มาแล้ว ลูกหลานก็คงจะเข้าใจแล้วว่าขันธ์ ๕ คืออะไร เพื่อความแน่ใจ หลวงตาคือฉันจะย้ำสักหน่อยเพื่อความมั่นใจ

   🏵คำว่า "ขันธ์ ๕" พวกนักธรรมที่ชอบคุย เขาชอบโม้เป็นคุ้งเป็นแควว่ามันมีรูปกับนาม ฟังแล้วน่าเบื่อหู แล้วเขาว่าต่อไปอีกว่า รูปได้แก่รูป คือสิ่งที่เห็นด้วยตาและมีการสัมผัสรู้สึก มีตัวตน เนื้อหนัง เป็นรูป ส่วนนามนั้นได้แก่ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เขาว่าอย่างนี้ ลูกหลานฟังรู้เรื่องไหม ฟังได้ก็ฟังไป ฟังไม่ได้เขาก็พยายามพูดให้ฟัง น่ารำคาญ ฉันว่าพูดอย่างนี้ดีกว่า เอาภาษาชาวบ้านมาใช้ดีกว่า ฉันแม้จะบวชเป็นหลวงตาแก่ แต่ฉันก็เป็นลูกชาวบ้าน ฉันชอบภาษาชาวบ้าน รู้เรื่องง่ายไม่ต้องแปล ไม่ต้องขยายความ "ฉันว่าขันธ์ ๕ ก็คือร่างกายของเรา"

   ⚘มันจะมีอะไรบ้างก็ช่างหัวมัน ไม่ต้องแยกเพราะเราไม่ต้องโม้ เมื่อเรามีร่างกาย ท่านว่าอย่างนั้น "มันก็ปวดเมื่อย หนาว ร้อน หิว มีความป่วยไข้ไม่สบาย" และมีเรื่องยุ่งจิปาถะ อยากสวย อยากดี อยากรวย อยากมีอำนาจ อยากเก่ง อยากเด่น ไม่อยากหนาว ไม่อยากร้อน ไม่อยากหิว ไม่อยากกระหาย ไม่อยากป่วย ไม่อยากตาย ดังนี้เป็นต้น ดูขันธ์ ๕ แล้วเหมือนคนบ้าที่มันบ้าฝืนอารมณ์เราทุกอย่าง หรือว่าเราบ้าฝืนกฎที่มันต้องเดินไป ช่วยกันคิดดูก็แล้วกัน เราบ้าหรือขันธ์ ๕ มันบ้า เรื่องนี้ปล่อยไป

ที่มา
✴หลวงพ่อพระราชพรหมยานมหาเถระ วัดท่าซุง อุทัยธานี
📎จากหนังสือ "ธรรมปฏิบัติ" เล่ม ๓๕ มกราคม ๒๕๕๖ หน้าที่ ๓๐-๓๒
🖊คัดลอกโดย ธัมม สุขโข

01 พฤศจิกายน 2566

*เมื่อหลวงพ่อฤาษีสนทนากับเทวดากบ

**เมื่อหลวงพ่อฤาษีสนทนากับเทวดากบในพระไตรปิฎก**
**ถามท่านว่า "เป็นพระโสดาบันหรือยัง"**

**ท่านบอกว่า "เวลานี้ผมเป็นพระสกิทาคามีผลขอรับ"**

**เพราะกรรมอะไรจึงเกิดเป็นกบ**

เรื่องที่ ๑๔๖ ตายจากกบไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก
 
 "..เมื่อคืนวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๓๑ อาตมาได้อ่านหนังสือพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ หน้า ๗๔ ไปพบเรื่องที่ถูกใจเรื่องหนึ่งคือเรื่อง **"มัณฑุเทพบุตรวิมาน"**

แต่อาตมาขอให้นามว่า **"เทวดากบ"** ตามบาลีท่านว่า

พระพุทธเจ้าตรัสถามเทวดากบว่า "นั่นใครมีผิวพรรณสวยงามมาก รุ่งเรืองด้วยฤทธิ์และยศสว่างทั่วจักรวาล ไหว้เท้าทั้งสองของตถาคตอยู่"

เทวดากบกราบทูลว่า "เมื่อชาติก่อนข้าพระองค์เป็นกบ เที่ยวหาอาหารอยู่ในถํ้า เมื่อข้าพระองค์ฟังธรรมของพระองค์อยู่ คนเลี้ยงโคได้ฆ่าข้าพระองค์ ข้าพระองค์ตายจากความเป็นกบไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีวรรณะ ยศ ฤทธิ์ เช่นนี้เพราะมีจิตเลื่อมใส ฟังธรรมะของพระองค์เพียงครู่เดียว สำหรับท่านที่มีโอกาสฟังนานๆ มีหวังไปพระนิพพานสิ้นทุกข์ เป็นดินแดนสิ้นโศก สิ้นความเร่าร้อนพระเจ้าข้า"
 
 **เป็นอันว่าเรื่องนี้ยืนยันว่า สัตว์เดรัจฉานก็ทำบุญได้ ตามที่นักเทศน์ชอบเทศน์กันว่า เทวดา พรหม สัตว์ ทำบุญไม่ได้ เป็นอันว่าท่านลืมอ่านพระไตรปิฎก**
 
 วันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๓๑ หลังจากอาตมาฉันเพลแล้ว ก็เข้าที่พักนอนคอยเวลาเพื่อลงรับแขกตามปกติ จึงนึกถึงท่านเทวดากบ คิดว่าท่านเป็นกบ ท่านเป็นเทวดาได้ เราเป็นคนลำบากเกือบตายสู้กบไม่ได้

**อยากจะทราบว่าท่านนิพพานแล้วหรือยัง ถ้ายังท่านมีวิมานและทิพยสมบัติเป็นอย่างไร เมื่อนึกถึงท่านก็ปรากฏทั้งกายทั้งวิมาน**

ท่านทำให้เห็นชัดเท่าเห็นคนธรรมดา ท่านสวยแสงสว่างก็มากแต่ท่านไม่สวมชฎา วิมานก็สวย

จึงถามท่านว่า "**ทำไมจึงไม่สวมชฎา**"

ท่านบอกว่า "**ท่านมาหาพระ ท่านไม่รีบกลับจึงไม่สวมชฎา**"

ขอให้ท่านสวมชฎา เมื่อชฎาปรากฏบนศีรษะ ไม่ได้หยิบสวมเหมือนคนปรากฏขึ้นเอง ดูสวยไปอีกแบบหนึ่ง แล้วชฎาก็สลายไป
 
 ถามท่านว่า "**เมื่อถูกคนเลี้ยงโคแทงแล้วตายทันทีหรือเปล่า**"

ท่านบอกว่า "**ยังไม่ตาย เขาเอาเหล็กแทงเอาเชือกร้อยแล้วลากไปกับพื้นดิน เพราะเขาหากบต่อไป มันเจ็บปวดที่สุด เมื่อถึงบ้านเขาวางตากแดดไว้ที่ชานบ้าน มันเจ็บปวดและร้อนแดดเพิ่มเข้าอีก ในที่สุดก็ตาย ทุกข์มากเหลือเกิน**

ถามท่านว่า "**เมื่อมาเป็นเทวดาแล้ว คิดอยากเกิดเป็นกบหรืออยากเกิดเป็นมนุษย์อีกไหม"**

ท่านยิ้มแล้วตอบว่า "**ไม่อยากเกิดเป็นอะไรเลยครับ มนุษย์ก็ทุกข์ สัตว์ก็ทุกข์ แม้เทวดาผมก็ไม่อยากเป็นอีก อยากไปนิพพาน"**

ถามท่านว่า "ท่านฟังเทศน์สมัยพระพุทธเจ้า เมื่อเป็นเทวดาแล้วได้ฟังต่ออีกไหม" ท่านบอกว่า "ฟังอีกหลายครั้ง"

ถามท่านว่า **"เป็นพระโสดาบันหรือยัง"**

ท่านบอกว่า "**เวลานี้ผมเป็นพระสกิทาคามีผลขอรับ**" คนถามหน้าแหงเลย

เมื่อถามว่า "**เพราะกรรมอะไรจึงเกิดเป็นกบ"**
 
 ภาพที่ปรากฏก็คือ ท่านเองเป็นชายสูงโปร่ง ผิวดำ เป็นลูกชาวนา เมื่อไถนาเสร็จแล้วก็เที่ยวหากบ ได้แล้วก็เอาเหล็กแหลมแทง ร้อยเชือกลากกบไปเหมือนที่เขาทำกับท่าน ท่านบอกว่าเศษบาปผมยังชำระไม่หมด ถ้าไปเกิดใหม่ต้องชำระหนี้อีกมาก จึงอยากจะไปพระนิพพานเลย

เมื่อคุยกับเทวดากบสักครู่หนึ่ง ท่านย่ากับท่านแม่ศรีก็มา ท่านทั้งสองรู้จักกับเทวดากบดี ท่านเทวดากบเคารพท่านย่าและท่านแม่ศรีมาก ท่านแม่ศรีบอกว่า "เทวดากบเคยเกิดเป็นลูกมาหลายชาติ" ท่านนึกกันออกรู้ได้เหมือนกันทั้งสองฝ่าย.."

ข้อมูลจาก หนังสือตายแล้วไปไหน_หลวงพ่อฤาษี

#ตายแล้วไปไหน_หลวงพ่อฤาษี2

#รวมคำสอนพ่อแม่ครูอาจารย์14 #หลวงพ่อฤาษี7

อริยสัจ 4 และมรรคแปด

ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ห่างไกลจากกิเลสตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาค ทรงตรัส...