เมื่อตัดสังโยชน์ ๕ ข้อได้แล้ว ก็ว่ากันตามแบบต่อพระอรหันต์ก็มาตัดอีก ๕ คือ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา
🔸️รูปราคะ ได้แก่ รูปฌาน
🔹️อรูปราคะ คือ อรูปฌาน
คำว่า "ตัด" หมายความว่า ไม่หลงใหลในรูปฌานและอรูปฌาน
คำว่า "#ฌานโลกีย์" ไม่มีการทรงตัว มันขึ้นอยู่กับร่างกาย ร่างกายดีฌานก็หนักแน่น ร่างกายไม่ดีฌานก็ไม่หนักแน่น ฌานก็สลายตัวบ้าง เสื่อมไปบ้าง ทั้งรูปฌานและอรูปฌานทั้งสองประการนี้เรามีไว้ ไม่ใช่ทิ้ง แต่ไม่หลงไม่คิดว่าเราเลิศแล้ว รูปฌานและอรูปฌาน เป็นกำลังช่วยปัญญา ห้ำหั่นกิเลส ถ้าไม่ได้อรูปฌานก็ใช้แค่รูปฌานก็พอ เพราะเราสอนกันขั้นสุกขวิปัสสโก ไม่ต้องเป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ
ขั้นสุกขวิปัสสโกแค่รูปฌานก็พอ เมื่อกำลังของฌานทรงตัว เราใช้กำลังของฌานเข้าไประงับตัดกิเลสตัวต่อไป คือมานะ การถือตัวถือตน การตัดกิเลสนี่ใช้กำลังมโนมยิทธิช่วยจะตัดง่ายมาก
❇️ มานะ การถือตัวถือตน ไม่ควรมีในเรา ถือไปก็ไร้ประโยชน์ คนเกิดมาในฐานะเช่นไรก็ตายเหมือนกันหมดร่างกายสกปรกเหมือนกันหมด ตามหลักของ #พระอนาคามี ร่างกายทรุดโทรมแก่เฒ่าเหมือนกันหมด ตามหลักของอนิจจัง ร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเราตามหลักของ
#พระอรหันต์ ในเมื่อร่างกายมันต้องพัง จะถือตัวถือตนถือร่างกายไม่มีประโยชน์ วางทิ้งไปเลย กับคนกับหมูกับหมา คบได้หมดไม่รังเกียจ คือไม่รังเกียจในฐานะที่ร่างกายมีธาตุ ๔ เหมือนกัน
✴️ ต่อไปก็ "#อุทธัจจะ " อารมณ์ฟุ้งซ่าน ตอนนี้เป็นอรหัตมรรค ตามหลักวิชาการ อารมณ์อรหัตมรรคยังมีอารมณ์ฟุ้งซ่านอยู่บ้าง แต่ไม่ฟังในด้านอกุศล เช่น คิดว่า "แค่นี้ก็พอว่ะ มันตายตอนนี้เราก็ไปนิพพานได้แล้ว ทำให้เหนื่อยทำไม มันยังไม่ไปนิพพาน ก็ไปอยู่โน่น...สหัมบดีพรหม ไปอยู่พรหมชั้น ๑๖แล้วก็ไปนิพพานเองๆ
🔺️ ต่อมาก็ตัดตัวสุดท้ายคือ "อวิชชา"
ตัวนี้ตัดไม่ยาก เพราะทุกอย่างมีความเข้าใจหมด แต่ว่าสุกขวิปัสสโกจะรู้สึกหนักๆ ไปนิดหนึ่ง เพราะมองไม่เห็นของจริง ยังไม่มีความเป็นทิพย์ ยังไม่รู้จักเทวดา ไม่รู้จักพรหม รู้ตามบอก ขาดทิพจักขุญาณ ก็ต้องใช้ปัญญาหนักหน่อยว่า เกิดเป็นมนุษย์ เป็นเทวดา เป็นพรหม มันไม่ดี มันมีทุกข์อย่างนี้ เวลานี้เราเข้าถึงธรรมะ มันก็มีทุกข์ ทุกข์ประจำก็คือหิว มันหิวทุกวัน หนาวทุกวัน ร้อนทุกวัน ปวดอุจจาระ ปวดปัสสาวะ มันทุกข์ ร่างกายมันป่วยไข้ไม่สบายมันเป็นทุกข์ ถ้าเราเผลอไปเกิดอีกชาติหนึ่งมันก็มีทุกข์อีก ไปเกิดเป็นเทวดาและพรหมก็ต้องมีงานของเทวดาหรือพรหม ไม่เกิดประโยชน์ เราลัดไปหาพระนิพพานเลยคือ #ตัดอวิชชา เห็นว่ามนุษยโลก เทวโลก พรหมโลก ไม่มีอะไรดี หมดดี น่ารักก็ไม่น่ารัก ชอบใจก็ไม่ชอบใจ จิตใจมีอารมณ์เป็นสุข
ตอนถึงอรหันต์นี่ตัวนิพพิทาญาณหายไป ตอนนี้เป็น #สังขารุเปกญาณ อารมณ์มันเฉยทุกอย่าง ความรู้สึกน่ะมีไม่ใช่ไม่คิด แต่อารมณ์มันเฉย คิดเหมือนกัน คิดแบบคนเฉย นั่นก็หมายความว่า เห็นคนก็เฉย ความรักในเพศไม่เกิดขึ้น ความเกลียดไม่เกิดขึ้น ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาของร่างกาย มีธาตุ ๔ เข้ามาประชุมกันแบบนี้ มีอาการ ๓๒ มีความสกปรกโสโครก เป็นอนิจจังไม่เที่ยง ทุกขังเป็นทุกข์ อนัตตาสลายตัว เมื่อมีความรู้สึกอย่างนี้มันก็เฉย จะเป็นยังไงก็ช่างมัน ร่างกายเป็นหน้าที่ของร่างกาย จิตใจเป็นหน้าที่ของจิตใจ ร่างกายจะป่วยก็เป็นหน้าที่ของร่างกายไม่ใช่ใจไปช่วยให้มันป่วย ร่างกายจะตายก็เป็นหน้าที่ของร่างกาย ไม่ใช่หน้าที่ของใจ
⭕️ รวมความว่า อารมณ์อยากผิดปกติไม่มีในพระอรหันต์ มีอารมณ์เป็นสุข มีความเยือกเย็น เพราะสังขารุเปกขาญาณ คำว่าดีพิเศษในโลกไม่มี สำหรับพระอรหันต์ ทุกอย่างท่านถือเป็นกฎของธรรมดา เมื่อธรรมดาเป็นยังไง จิตใจยอมรับนับถือธรรมดา จิตใจก็ไม่วุ่นวาย ร่างกายแก่ก็เรื่องของมัน ร่างกายป่วยก็เรื่องของมัน ร่างกายตายก็เรื่องของมันไม่ใช่หน้าที่ของเรา
เรา คือ จิต หรือ #อทิสสมานกาย กำลังใจพระอรหันต์มีอยู่จุดเดียวคือ พระนิพพาน และก็มีพรหมวิหาร ๔ ครบถ้วน แต่ว่าจะเมตตาควรแก่การเมตตา กรุณาควรแก่การกรุณา ไม่ใช่เมตตาส่งเดช สิ่งใดถ้าผิดธรรมผิดวินัยอรหันต์ก็เมตตาไม่ได้ ต้องวางเฉย ใช้สังขารุเปกขาญาณ หรือ อุเบกขา
รวมความว่า #ตอนนี้เข้าเขตอรหันต์ก็จบกัน ขอทุกท่านจงปฏิบัติตามอัธยาศัย การปฏิบัติจริงๆไม่ต้องเอาไกล เริ่มจับตั้งแต่พระโสดาบันมาเลยดีกว่า ไม่ต้องอ้อม เข้ามาใกล้เข้ามาหาจุดแล้วก็จะรู้จุดจบ
=====================
จากหนังสือพ่อสอนลูก หน้า ๒๘๕-๒๘๗
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น