อาจกล่าวได้ว่า หลวงพ่อพุธเป็นพระสงฆ์ที่เชี่ยวชาญการฝึกสมาธิเป็นอันดับต้นๆ ในหมู่พระสงฆ์ไทย
อันที่จริง การฝึกสมาธิก็เป็นสิ่งที่ศาสนาหลายศาสนาในประเทศอินเดียสอนกันมานานแล้ว สมาธิที่สอนกันในศาสนาเหล่านั้นมีจุดประสงค์เพื่อควบคุมจิตหรือความคิดให้แน่วแน่ เมื่อจิตของผู้ที่ฝึกสมาธิแน่วแน่จนถึงระดับหนึ่งแล้ว จิตนั้นจะสามารถแสดง “อิทธิฤทธิ์” หรือ “ปาฏิหาริย์” บางอย่างออกมาได้ ซึ่งการฝึกสมาธิเพื่อจุดประสงค์เช่นนี้ก็มีการนำมาสอนกันในศาสนาพุทธด้วยในนามของ “สมถภาวนา”
หลวงพ่อพุธก็เป็นผู้หนึ่งที่เคยได้รับการฝึกสมาธิแบบ “สมถภาวนา” มาอย่างเข้มข้น และดูเหมือนว่าจะเคยมีประสบการณ์ในการได้เห็น “สิ่งเหนือธรรมชาติ” ต่อหน้าต่อตามาไม่น้อยเลยทีเดียว ท่านเล่าว่า ...
“มโนมยิทธิได้จากเจ้าคุณอริยฯ ท่านก็เคยให้พวกเรานั่งไปดูนรกดูสวรรค์เหมือนกัน แต่ว่ามันเป็นไปไม่ได้ใช้ภาวนา การภาวนาหรือนั่งสมาธิไปดูนรกไปดูสวรรค์นั้น ตามตำรับของไสยศาสตร์มันมีแบบมีแผนให้ศึกษากัน ซึ่งมีหลักฐานปรากฏอยู่ในหนังสือ ‘กรรมฐานสิบสองยุค’ ...
(วิธีการคือ) พอจิตมันสงบเป็นอุปจารสมาธิ เกิดสว่างขึ้น ผู้ภาวนาจะมีอาการสั่นเหมือนกับผีสิง พอเสร็จแล้ว สภาพจิตของผู้นั้นจะแสดงอาการไปดูนรกไปดูสวรรค์ตามที่ต้องการ ตามแบบแผนตำรับตำราที่กล่าวไว้ที่จำได้ อันนี้ได้เคยทดสอบพิจารณาดูแล้ว ...”
“คนเราทุกคนมีฤทธิ์ มีอิทธิพล มีอำนาจอยู่ในตัว เพราะเราเวียนว่ายตายเกิดมาหลายภพหลายชาติ ในชาติก่อนๆ เราอาจจะเคยได้เป็นฤๅษีบำเพ็ญฌานบำเพ็ญตบะมาแล้ว เราก็ไม่ทราบได้ เมื่อเป็นเช่นนั้น ฤทธิ์ อิทธิพล และอำนาจที่เราเคยบำเพ็ญมาในภพก่อนชาติก่อน จิตใต้สำนึกของเราจะเป็นผู้เก็บบันทึกเอาไว้ แล้วจะติดไปกับจิตของเราทุกภพทุกชาติไม่ว่าเราจะไปเกิดในที่ใดภพใด”
หลวงพ่อพุธยืนยันมาแบบนี้ก็แปลว่า เรื่องของอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ทั้งหลายแหล่นั้น “มีจริง”
แต่ถึงจะ “มีจริง” ก็ถามได้ว่า “มีแล้วได้ประโยชน์อะไร ?”
อันที่จริง การฝึกสมาธิ (แบบสมถภาวนา) เพื่อหวังผลในด้านอิทธิฤทธิ์นั้น ศาสนาพุทธก็ไม่ได้ปฏิเสธ แต่อิทธิฤทธิ์เหล่านั้นก็เป็นของชั่วครู่ชั่วยาม พูดง่ายๆ ก็คือ เป็นได้แค่ “ปาฏิหาริย์เทียม” เพราะคนเราเวลากลุ้มใจ ฤทธิ์เดชที่มีก็ช่วยอะไรไม่ได้
เมื่อผ่านประสบการณ์ในการฝึกสมาธิมาได้สักระยะหนึ่ง หลวงพ่อพุธก็เริ่มที่จะเรียนรู้ว่า “ปาฏิหาริย์ที่แท้จริง” นั้นจะต้องเป็นไปเพื่อการดับทุกข์ การฝึกสมาธิที่เป็นไปเพื่อการนี้ก็คือการฝึกสมาธิในแบบที่เป็นของศาสนาพุทธแท้ๆ ซึ่งเรียกว่า “วิปัสสนาภาวนา” (หรือ “สัมมาสมาธิ”) หลวงพ่อพุธพูดถึงเรื่องนี้เอาไว้ว่า ...
เรื่อง (อิทธิปาฏิหาริย์) ทั้งหลายที่กล่าวมานั้นมิได้เกี่ยวเนื่องด้วยการทำสมาธิภาวนาตามแบบที่ถูกต้องซึ่งเรียกว่า ‘สัมมาสมาธิ’ และขอให้ท่านทั้งหลายพึงเข้าใจว่า การทำสมาธิตั้งแต่ขั้นปฐมฌานถึงขั้นจตุตถฌานนั้นมันยังเป็นสมาธิสาธารณะทั่วไปแก่ทุกลัทธิศาสนา และแก่ลัทธิที่มีการปฏิบัติสมาธิโดยทั่วๆ ไป
เพราะฉะนั้น สมาธิของพระพุทธศาสนานั้นจึงอาศัยหลักศีลตามขั้นภูมิของแต่ละบุคคลผู้ปฏิบัติอยู่นั้นเป็นหลักตัดสินว่า สมาธิของเขาถูกต้องหรือไม่ อย่างไร
ขอให้ถือคติว่า สมาธิหรือการปฏิบัติธรรมอันใด ถ้าหากมันเป็นไปเพื่อความอยากใหญ่ เป็นไปเพื่อพอกพูนกิเลส เป็นไปเพื่ออิทธิฤทธิ์ เป็นไปเพื่อการกระทำอะไรแปลกๆ ต่างๆ เช่น อย่างการเป็นหมอดูด้วยสมาธิ เป็นต้น พึงเข้าใจเถิดว่า มันเป็น ‘มิจฉาสมาธิ’ ซึ่งออกนอกหลักพระพุทธศาสนา
สมาธิในพระพุทธศาสนาจะต้องเป็น ‘สัมมาสมาธิ’ ที่ประกอบพร้อมด้วยองค์อริยมรรค ผู้ปฏิบัติเมื่อจิตประชุมพร้อมลงสู่องค์อริยมรรคแล้ว จิตจะดำเนินไปเพื่อความหมดกิเลสเท่านั้น ไม่เป็นไปเพื่อความพอกพูนกิเลส ...”
ฟังหลวงพ่อพุธพูดแล้วก็นึกถึงเรื่องเรื่องหนึ่ง เรื่องมีอยู่ว่า ...
ฤๅษีผู้มีฤทธิ์ตนหนึ่งกำลังนั่งสมาธิอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ ฤๅษีตนนี้มีฤทธิ์มากเพราะบำเพ็ญตบะมายาวนานถึง ๒๕ ปี วันหนึ่ง พระพุทธเจ้าได้มีโอกาสเผชิญหน้ากับฤๅษีตนนั้น จึงถามฤๅษีว่า เวลา ๒๕ ปีที่เสียไป ท่านได้บรรลุมรรคผลอะไรกลับคืนมาบ้าง
ฤๅษีตอบคำถามด้วยความโอหังว่า ตนสามารถข้ามแม่น้ำด้วยการเดินบนผิวน้ำได้อย่างสบาย
พระพุทธเจ้าจึงพูดให้ฤๅษีสำนึกว่า ถ้าเช่นนั้นก็นับว่าได้กำไรไม่คุ้มค่ากับความยากลำบากตรากตรำที่อดทนมา เพราะท่านจะสามารถข้ามแม่น้ำด้วยการว่าจ้างคนแจวเรือได้ในราคาเพียงสตางค์เดียว !!
เนื้อหาจาก หนังสือวินาทีบรรลุธรรม อรหันต์มีจริง 5
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น