31 ธันวาคม 2564

สิ่งที่ล่วงไปแล้ว ไม่ควรทำความผูกพัน

สิ่งที่ล่วงไปแล้ว ไม่ควรทำความผูกพัน
เพราะเป็นสิ่งที่ล่วงไปแล้วอย่างแท้จริง
แม้กระทำความผูกพันและหมายมั่นให้สิ่งนั้น
กลับมาเป็นปัจจุบันก็เป็นไปไม่ได้
ผู้ทำความสำคัญมั่นหมายนั้นเป็นทุกข์แต่ผู้เดียว
โดยความไม่สมหวังตลอดไป
อนาคต ที่ยังมาไม่ถึงนั้น
เป็นสิ่งไม่ควรไปยึดเหนี่ยวเกี่ยวข้องเช่นกัน
อดีต ปล่อยไว้ตามอดีต
อนาคต ปล่อยไว้ตามกาลของมัน
ปัจจุบันเท่านั้นจะสำเร็จประโยชน์ได้
เพราะอยู่ในฐานะที่ควรทำได้ไม่สุดวิสัย
.
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

คำอธิษฐานของพระอรหันต์ หลวงปู่เกษม เขมโก

“อิทัง กุศลกัมมัง มยา กะตัง”
กรรมอันเป็นกุศลนี้ อันข้าพเจ้าได้กระทำแล้ว ขอจงเป็นปัจจัย ให้ข้าพเจ้ามีความสุขกาย สบายใจ แม้นจะคิดสิ่งใด ก็ขอให้สมปรารถนาทุกประการ ขอให้ข้าพเจ้ามีอายุยืนยาว และขอให้พ้นจากโรคภัยให้เจ็บ ทุกประการด้วยเถิด

ประการหนึ่ง ด้วยเดชะบุญอันข้าพเจ้าได้กระทำนี้ ข้าพเจ้าเกิดมาภพใด ชาติใด ก็ขอให้เกิดพระพุทธศาสนา ของพระพุทธเจ้าทุกชาติ และขอให้พบนักปราชญ์เจ้า ผู้ใจบุญ ขอให้รู้คุณวิเศษ แท้ดีหลีเถิด

ประการหนึ่ง ข้าพเจ้าเกิดมาภพใดก็ดี ข้าพเจ้าขออย่าได้พบกรรมอันไม่ดีทุกชาติและขอให้ข้าพเจ้าได้เว้นจากบาป ความชั่วร้ายทุกชนิดเถิด
ประการหนึ่ง ด้วยบุญที่ข้าพเจ้าได้กระทำมานี้ ข้าพเจ้ายังท่องเที่ยวไปมาในวัฏฏสงสารหลายกำเนิด ยังไม่ได้ถึงพระนิพพานเจ้านั้น ข้าพเจ้าขอตั้งความปราถนา ได้มีใจมั่นคงทุกชนิดและข้าพเจ้าเกิดมาชาติใด มีอะไรขอให้เสมอใจทุกประการ และขอให้ข้าพเจ้าได้ฟังธรรมทุกชนิด

ขอให้ได้ทำบุญให้ทาน รักษาศีล ภาวนา ทุกชนิด และขอให้พ้นจากกิเลส บาป ความชั่วร้ายทั้งมวล เที่ยงแท้ด้วยเถิด และขอให้ข้าพเจ้า ได้ถึงนิพพาน อันเป็นสุดยอดของความสุขทั้งปวงด้วยเถิด

คำปราถนา (ผาถนา) ของข้าพเจ้ามีดังนี้แล้ว
ขอให้สมปณิธาน ที่ข้าพเจ้าได้ตั้งไว้ 
อย่าได้คลาดแคล้วสูญหาย เที่ยงแท้แด่เทอญ
นิพพานปัจจะโย โหตุ เม นิจจัง (ว่า 3 หน)

พระภิกษุเกษม เขมโก
พุทธศักราช 2506

พระพุทธองค์ เสด็จมาบอก วิธีเข้าถึงอรหันตผลก่อนตาย แบบง่าย ๆ

* หลวงพ่อฤาษีลิงดำ~พระราชพรหมยานฯ..เล่าให้ฟัง

..." เวลานั้น องค์สมเด็จพระทศพล เสด็จมาพอดี ทรงประทับยืนอยู่เหนือศีรษะด้านหน้า มีแสงสว่างมาก แล้วท่านก็ตรัส..

~ ท่านบอกว่า : " คุณ คนที่ปฏิบัติอยู่แล้วทั้งหมดนี้ กำลังใหญ่ คือ เข้าถึงนิพพานทุกคน.. แต่ทว่า เพื่อความไม่ประมาท ให้เขาทำอย่างนี้ "

" วันหนึ่ง จะใช้เวลาไหนก็ได้ เวลาที่ใจสบาย ถ้าเวลาอื่น มันติดงาน มาก ก็เอาเวลานอน "

" นอนก่อนจะหลับ หรือว่า ตื่นใหม่ ๆ ใจสบาย เอาจิตจับนึกถึงท่าน ถ้าบุคคลที่ไม่ได้ ทิพจักขุญาณ ก็นึกภาพเอาเอง "

" กำหนดภาพพระพุทธเจ้า หรือ พระพุทธรูป องค์ใดองค์หนึ่ง ให้เห็นเป็นประกาย บังคับจิต ถ้าเห็นเป็นสีเหลือง ก็บังคับให้เป็น สีแก้ว ให้ได้ ทำอย่างนี้ ไม่กี่วันหรอก ก็เป็น "

" ให้จิตมันเป็นฌาน ถ้านึกถึงเมื่อไร ก็เห็นพระพุทธเจ้าเป็นสีแก้ว เป็นประกาย ทุกวัน "

* องค์สมเด็จพระทรงธรรม์ ท่านบอกว่า : " ถ้าเขาทำอย่างนี้นะ ได้ทุกวัน อย่าได้ขาด วันหนึ่งใช้เวลา ๒ - ๓ นาที ก็ไม่เป็นไร ฉันไม่จำกัดเวลา ว่าจะใช้เวลานาน หรือ เวลาเร็ว "

" ถ้าเขาทำอย่างนี้ได้ทุกวัน แล้วก็ ทรงอารมณ์ตามที่บอกไว้ คือ..

๑. นึกถึงความตายไว้ อย่าประมาทในชีวิต

๒. เคารพในพระรัตนตรัย

๓. ทรงศีล ๕ บริสุทธิ์

๔. จิตหวังพระนิพพาน อย่างเดียว "

~ ท่านบอกว่า : " เป็นอย่างนี้ละก็ ก่อนอายุขัยของเขา ๗ วัน.. ( ท่านกำหนดให้เลยนะ ว่า ก่อนอายุขัยอีก ๗ วัน ) ต้องตายแน่ อยู่ไม่ได้ ตอนนั้นกระแสจิตของเขา จะเห็นภาพในอากาศ เต็มจักรวาล ทั้งพระพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันต์ก็ดี เทวดาก็ดี พรหมก็ดี แพรวพราวเต็มไปหมด "

~ และก็ หลังจากนั้นไป เมื่อกำลังใจของตน จะพ้นกำหนด ในการทรงสังขาร สมเด็จพระพิชิตมาร บอกว่า.. จะเข้าถึงอรหัตผลทันที..."

( จากหนังสือ *คำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง* เล่มที่ ๓๙ หน้าที่ ๑ ของวัดท่าซุง จ.อุทัยธานี..คัดลอกโดย ยุพยง พัฒนเจริญ )

29 ธันวาคม 2564

พระเจ้าตากสินมหาราชลาพุทธภูมิ โดยหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง

เมื่อไปถึงกราบพระท่านแล้วก็ถามว่า "เวลานี้เทวดาสินเป็นพระโพธิสัตว์ อยากจะทราบว่า
จะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่เท่าไหร่ หลังจากพระศรีอาริย์ไปแล้ว" 
พระท่านก็บอกว่า
"จะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ 30 หลังพระศรีอาริย์นิพพานแล้ว" 
ก็เล่นเอาเทวดาสินต้องไปนั่งยิ้มที่ชั้นดุสิตอีกถึง 30 พระพุทธเจ้า 
ก็เลยถามพระท่านว่า "ถ้าเทวดาสิน
จะลาจากพระพุทธภูมิ เมื่อไรจะไปนิพพาน" 
ท่านบอกว่า "เทวดาสินนี่ ถ้าหากลาจากพุทธภูมิเป็นสาวกภูมิ กำลังเต็มมานานแล้ว 
ก็เหลือแค่ เอหิภิกขุ เท่านั้นก็พอแล้ว
ถ้าตรัสว่า เอหิภิกขุ เทวดาสินก็เป็นพระสมบูรณ์แบบ" 
ท่านก็เลยเข้าไปกราบพระ
พระท่านก็บอกว่า "เอหิภิกขุ เจ้าจงเป็นภิกษุมาเถิด" เพียงเท่านี้
เทวดาสินก็กลับสภาพจากเทวดาเป็นวิสุทธิเทพ

สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช หรือ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี

๏ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช มีพระนามเดิมว่า “สิน” พระราชสมภพเมื่อวันที่ ๑๗ เมษายน พ.ศ. ๒๒๗๗ เป็นบุตรของ “ นายไหฮอง ” และ “ นางนกเอี้ยง ”ซึ่งพระยาจักรีได้ขอไปเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม ตั้งแต่ยังเยาว์เมื่ออายุได้ ๕ ปี พระยาจักรีได้นำไปฝากเรียนกับพระอาจารย์ทองดี วัดโกษาวาส(วัดคลัง ) โดยเรียนหนังสือขอมและหนังสือไทยจนจบบริบูรณ์ แล้วจึงเรียนพระไตรปิฎกจนแตกฉาน เมื่ออายุครบ ๑๓ ปี เจ้าพระยาจักรีได้นำตัวเด็กชายสิน ไปถวายตัวเป็นมหาดเล็กในสมเด็จพระธรรมราชาธิราชที่ ๓(สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ) พระองค์ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ทำราชการกับหลวงศักดิ์นายเวรซึ่งเป็นบุตรของพระยาจักรี เมื่อมีเวลาว่างจะไปเรียนวิชากับอาจารย์จีน อาจารย์ญวนและอาจารย์แขก จนสามารถพูดภาษาทั้งสามได้อย่างคล่องแคล่ว เมื่ออายุครบ ๒๑ ปี ได้อุปสมบท ณ วัดโกษาวาส พระภิกษุสิน อยู่ในสมณเพศได้ ๓ พรรษา ก็ลาสิกขาและกลับเข้ารับราชการตามเดิม ด้วยความฉลาดรอบรู้ขนบธรรมเนียม ภารกิจต่างๆเป็นอย่างดี จนสามารถทำงานต่างพระเนตรพระกรรณได้ จึงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้เป็นมหาดเล็กรายงานราชการทั้งหลายในกรมมหาดไทย และกรมวังศาลหลวง ครั้น พ.ศ. ๒๓๐๑ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศเสด็จสวรรคต สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอุทุมพรเสด็จเสวยราชสมบัติได้ ๓ เดือนเศษ ก็ถวายราชสมบัติให้พระเชษฐาสมเด็จพระบรมราชาที่ ๓ (สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์) สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์โปรดเกล้าฯ ให้นายสิน มหาดเล็กรายงานเป็นข้าหลวงเชิญท้องตราราชสีห์ขึ้นไปชำระความหัวเมืองฝ่ายเหนือ ซึ่งนายสินปฏิบัติราชการได้สำเร็จเรียบร้อย จนมีความชอบมาก จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้เป็นหลวงยกบัตรเมืองตาก ช่วยราชการพระยาตาก เมื่อพระยาตากถึงแก่กรรม ก็โปรดให้เลื่อนเป็นพระยาตากเพื่อปกครองเมืองตาก

 

ในปี พ.ศ. ๒๓๐๗ พม่ายกกองทัพมาตีหัวเมืองปักษ์ใต้ของไทย โดยมีมังมหานรธาเป็นแม่ทัพ ปรากฏว่าพม่าตีเมืองทางใต้ได้อย่างง่ายดาย จึงตีเรื่อยตลอดหัวเมืองทางใต้จนถึงเมืองเพชรบุรี ทางกรุงศรีอยุธยาได้ส่งกองทัพไทยซึ่งมีพระยาโกษาธิบดีกับพระยาตากไปรักษาเมืองเพชรบุรีไว้ จนตีพม่าแตกถอยไปทางด่านสิงขร ต่อมาปี พ.ศ. ๒๓๐๘ พม่ายกกองทัพมาตีไทยอีก พระยาตากได้มาช่วยรักษาพระนครไว้ได้ จึงได้บำเหน็จความดีความชอบในสงคราม จึงโปรดให้เลื่อนเป็นพระยาวชิรปราการเจ้าเมืองกำแพงเพชร แต่ยังไม่ทันได้ปกครองเมืองกำแพงเพชรก็เกิดศึกกับพม่าครั้งสำคัญขึ้น จึงถูกเรียกตัวให้เข้ารับราชการในกรุง เพื่อป้องกันพระนครจนถึงปี พ.ศ. ๒๓๐๙ ขณะที่ไทยกับพม่ากำลังรบกันอย่างดุเดือด พระยาวชิรปราการเกิดท้อแท้ใจหลายประการคือ

๑. พระยาวชิรปราการ คุมทหารออกไปรบนอกเมืองจนได้ชัยชนะยึดค่ายพม่าได้ แต่ทางผู้รักษาพระนครไม่ส่งกำลังไปหนุน ทำให้พม่าสามารถยึดค่ายกลับคืนได้

๒. ขณะที่ยกทัพเรือออกรบร่วมกับพระยาเพชรบุรีนั้น พระยาวชิรปราการเห็นว่าพม่ามีกำลังมากกว่า จึงห้ามมิให้พระยาเพชรบุรีออกรบ แต่พระยาเพชรบุรีไม่เชื่อฟัง ขืนออกรบและพ่ายแพ้แกพม่าจนตัวตายในที่รบ พระยาวชิรปราการถูกกล่าวหาว่าทอดทิ้งให้พระยาเพชรบุรีเป็นอันตราย

๓. ก่อนเสียกรุง ๓ เดือน พม่ายกทัพเข้าปล้นพระนครทางด้านที่พระยาวชิรปราการรักษาอยู่ เมื่อเห็นจวนตัวพระยาวชิรปราการ จึงยิงปืนใหญ่ขัดขวางโดยมิได้ขออนุญาตจากศาลาลูกขุน จึงถูกฟ้องชำระโทษให้ภาคทัณฑ์

     

ด้วยสาเหตุดังกล่าว พระยาวชิรปราการเห็นว่า ขืนอยู่ช่วยป้องกันพระนครต่อไปก็ไม่มีประโยชน์อันใด และเชื่อว่ากรุงศรีอยุธยาต้องเสียแก่พม่าในครั้งนี้เป็นแน่ ด้วยผู้นำอ่อนแอและไม่นำพาต่อราชการบ้านเมือง จึงรวบรวมสมัครพรรคพวกได้ประมาณ ๕๐๐ คน ตีฝ่าวงล้อมออกจากค่ายพิชัย มุ่งออกไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ในสมัยพระเจ้าเอกทัศน์ จึงนับว่าเป็นพระมหากษัตริย์องค์สุดท้ายของกรุงศรีอยุธยา หลังจากเสียกรุงศรีอยุธยาแล้วบ้านเมืองเกิดแตกแยก หัวเมืองต่างๆตั้งตัวเป็นใหญ่ ต่างคนต่างรวมสมัครพรรคพวกตั้งเป็นก๊กต่างๆ ได้แก่ก๊กสุกี้พระนายกอง ก๊กพระยาพิษณุโลก ก๊กเจ้าพระฝางก๊กเจ้าพระยานครศรีธรรมราช และก๊กเจ้าพิมาย

พระยาวชิรปราการได้จัดเตรียมกองทัพ สะสมเสบียงอาหารศาสตราวุธและกองทัพเรืออยู่เป็นเวลา ๓ เดือนก็ยกกองทัพเรือเข้ามาทางปากน้ำเจ้าพระยา ตีเมืองธนบุรีแตก จับนายทองอินประหารแล้วเลยไปตีค่ายโพธิ์สามต้นจนแตกยับเยิน สุกี้พระนายกองตายในที่รบ ขับไล่พม่าออกไปพ้นแผ่นดินไทยสำเร็จในปี พ.ศ. ๒๓๑๐ ซึ่งใช้เวลากู้อิสรภาพกลับคืนจากพม่าภายในเวลา ๗ เดือนเท่านั้น จากนั้น พระยาวชิรปราการจึงยกทัพกลับมากรุงธนบุรีและปราบดาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์ ทรงพระนามว่า “สมเด็จพระบรมราชาที่๔” แต่ประชาชนนิยมเรียกพระนามว่า “พระเจ้าตากสิน” เมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๓๑๑ และสถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานีด้วยและต่อจากนั้นพระเจ้าตากสินก็ยกกองทัพไปปราบปรามก๊กต่างๆจนราบคาบ ทรงใช้เวลารวบรวมอาณาเขตอยู่ ๓ ปี คือตั้งแต่ พ.ศ. ๒๓๑๑ - พ.ศ. ๒๓๑๓ จึงได้อาณาเขตกลับคืนมา รวมเป็นพระราชอาณาจักรเดียวกันดังเดิม สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงสวรรคตเมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๕ สิริพระชนมายุได้ ๔๘ พรรษา ทรงครองราชย์เป็นเวลา ๑๕ ปี พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงพระปรีชาสามารถ กอบกู้ประเทศชาติให้เป็นเอกราชอิสรภาพตราบเท่าทุกวันนี้ ประชาราษฎร์ผู้สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ จึงยกย่องถวายพระเกียรติพระองค์ท่านว่า “มหาราช” คณะรัฐบาล ข้าราชการ พ่อค้า ประชาชนทุกหมู่เหล่า ได้พร้อมใจกันสร้างอนุสาวรีย์เพื่อน้อมรำลึกในพระเกียรติประวัติ เกียรติยศ เกียรติคุณ ให้ปรากฏกับอนุชนตราบเท่าทุกวันนี้

"..เมื่อพ.ศ. 2500 อาตมาป่วยหนัก ไปนอนพักรักษาตัวที่กรมแพทย์ทหารเรือ
(ปัจจุบันเป็นโรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า) ไปนอนอยู่ที่ตึก 1 เป็นห้องพิเศษ
เวลาประมาณ 4 ทุ่มเศษๆ ไฟฟ้าในห้องยังไม่ดับและประตูก็ใส่กลอนแล้ว
ถึงเวลานอน นอนคนเดียวยังไม่หลับ ปรากฎว่ามีคนๆหนึ่งมายืนอยู่ข้างเตียง
เป็นชายลักษณะเป็นคนล่ำๆ ท่าทางแข็งแรงทะมัดทะแมงปราดเปรียวมาก
เป็นคนผิวขาว หน้าค่อนข้างจะสี่เหลี่ยมนิดๆ แต่มีเนื้อเต็ม นุ่งกางเกงขาสั้นสีขาว
เหนือเข่านิดหนึ่ง ใส่เสื้อแขนสั้นสีขาวเหนือศอกหน่อย

ก่อนที่อาตมาจะเห็นท่านผู้นี้ ก็เพราะขณะที่ไปนอนป่วยอยู่ที่นั่นก็มีความรู้สึกว่า
บรรดาผีทั้งหลายอาจจะแกล้งได้ง่าย เนื่องจากกำลังใจของคนป่วยความเข้มแข็งน้อย
ก็นึกว่าในที่นี้เป็นเขตพระราชฐานของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช จึงขอพึ่งบารมีท่าน
ให้คุ้มครอง พอท่านมายืนก็มองเห็นไม่ต้องหลับตาไม่ต้องเข้าฌาน ในเมื่อผีแสดงตัว
ให้ปรากฏ แต่ความกลัวไม่มีเพราะเรื่องนี้ชินมาตั้งแต่บวชพรรษาที่ 1 ก็เลยถามท่านว่า
"ท่านเป็นใคร" ท่านผู้นั้นก็ถามว่า "เมื่อกี้ท่านนึกถึงใคร" ก็ตอบท่านว่า "นึกถึงสมเด็จ
พระเจ้าตากสินมหาราช"

ท่านก็บอกว่า "ผมนี่แหละ พระเจ้าตากสินมหาราช" ก็เลยมองไปมองมา
ดูลักษณะการแต่งตัวของท่าน ท่านก็ถามว่า "มองอะไร" ก็บอกว่า "มองดูลักษณะ
พระเจ้าตากสินมหาราช" ท่านถามว่า "เชื่อหรือยังว่าเป็นพระเจ้าตากสินมหาราช"
ตอบว่า "ยังไม่เชื่อ ที่มองนี่เพราะยังไม่เชื่อ" ท่นถามว่า "ไม่เชื่อตรงไหน"
ก็บอกว่า "ไม่เชื่อตรงกางเกงกับเสื้อเพราะพระมหากษัตริย์ไม่น่าจะนุ่งแบบนี้"
ท่านถามว่า "กษัตริย์ต้องทรงเครื่องกษัตริย์นอนเชียวหรือ นี่มัน 4 ทุ่มกว่าแล้วนะ"
ก็บอกว่า "จะรู้ได้อย่างไรในเมื่อเป็นกษัตริย์ เวลาเป็นผีมาแสดงตนให้ปรากฎ
ก็ต้องใช้เครื่องทรงแบบกษัตริย์" ท่านบอกว่า "ใช้เครื่องทรงกษัตริย์ก็ได้" พอพูดจบ
เครื่องทรงก็เป็นกษัตริย์ ท่านถามว่า "เชื่อหรือยัง" ตอบว่า "ตอนนี้เชื่อแล้ว"

ต่อมาก็คุยกันตั้งแต่ 4 ทุ่มเศษๆ ถึงตี 5 ครึ่ง คุยกันในเรื่องอดีต ความเป็นมา
ของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชตั้งแต่เป็นเด็กชายสินไว้หางเปีย จนกระทั่งถึงขั้น
วางแผนให้รัชกาลที่ 1 เป็นพระมหากษัตริย์ เป็นการยืนยันว่าพระองค์ไม่ได้ถูก
รัชกาลที่ 1 ประหาร เมื่อรัชกาลที่ 1 ขึ้นเถลิงราชสมบัติแล้ว ก็นำสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
ท่านบวชเป็นพระแล้วนั่งคานหามไปส่ง ออกทางปากท่อตอนกลางคืน
ไปส่งที่ถ้ำในจังหวัดนครศรีธรรมราช ลูกชายของท่านมีสองคน คนพี่ให้เป็นเจ้าเมือง
นครศรีธรรมราช จะได้บำรุงพ่อ คนน้องก็ให้ทุนเป็นพ่อค้าสำเภาเป็นการหาทรัพย์สิน
เข้าเมือง เป็นการยืนยันว่าสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชก่อนสวรรคตเป็นพระสงฆ์
ไม่ได้ถูกฆ่าตาย พระองค์สวรรคตที่นครศรีธรรมราช ถ้ำที่ท่านพักก็ยังอยู่กุฏิหลังนั้น
เขาทำเลียนแบบไว้ แต่ความจริงกุฏิที่อยู่จริงๆ ดีกว่านั้น เขาทำให้มีความผาสุกกว่านั้น
ออกจากถ้ำท่านก็มีที่พัก มีห้องพักแบบสบายๆ ความจริงท่านไม่ได้สั่ง
แต่ลูกชายเป็นคนสร้างให้ ท่านอยู่ด้วยความสงบ คนที่เป็นกษัตริย์มาแล้ว
เป็นทุกอย่างมาแล้ว มันก็หมดความโลภ ความโกรธ ความหลง
และก็เป็นคนแก่ด้วยก็หมดความรัก
ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมของท่านก็เป็นไปด้วยความเคร่งครัดแต่ไม่ได้เคร่งเครียด
คำว่า "เคร่งครัด" คือ "ปฏิบัติตรงไปตรงมาในมัชฌิมาปฏิปทา"

ก่อนท่านจะลากลับ อาตมาถามว่า "ขอหวยสัก 2 ตัวได้ไหม" ท่านก็บอกว่า
"สมัยผมมีแต่หวยจับยี่กี หวยแบบเลขท้าย 3 ตัว 2 ตัว แบบนี้ไม่มี เรื่องหวยนี่
ผมไม่รู้จักหรอก แต่เวลานี้ผมมีสตางค์ติดกระเป๋ามาเพียงแค่ 25 สตางค์ ผมขอถวายหมด"
พูดแล้วท่านก็หยิบเหรียญโยนไปใต้เตียงเห็นเลข 25 ใสแจ๋ว
พอตอนเช้าบรรดาพยาบาลและนายทหารประจำตึกมาถามว่า "เมื่อคืนมีอะไรบ้างครับ"
ก็เลยเล่าให้ฟังว่าเมื่อคืนสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชมาเยี่ยม ขอหวยท่าน ท่านบอกว่า
ไม่มี มีแต่เงินเหรียญ 25 สตางค์ แล้วท่านก็โยนไปใต้เตียง ปรากฏว่าภายในวันนั้น
ข่าวกระจายไปทั่วกรมอู่ ทุกคนเล่นเลขท้าย 2 ตัว ถูกกันมาก

ต่อมาวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2533 วันนั้น พ.อ.สถาพร ได้นำดาบเล่มหนึ่ง
มาจากเมืองตาก เขาบอกว่าเป็นดาบของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เพื่อมาให้
เจ้ากรมสัตว์ทหารบกที่จังหวัดนครปฐม คืนนั้นก็นำดาบตั้งไว้ในที่มีเครื่องสักการะ
พอตอนดึกเวลาประมาณสัก 6 ทุ่ม เวลาจะนอนก็ทำจิตเป็นสมาธิตามปกติของพระ
ก็เห็นภาพสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ สวยงามมากมาที่ดาบ ถามท่านว่า "มาทำไม"
ท่านบอกว่า "ก็เขาว่าดาบของผมนี่ครับ ผมก็มาทำให้มันหน่อย"
ถามว่า "ทำแล้วจะมีประโยชนอะไรบ้าง" ท่านก็บอกว่า "ประโยชน์มี"

หลังจากนั้นก็คุยกันถามว่า "เวลานี้ลาจากพุทธภูมิหรือยัง" ท่านบอกว่า "ยังไม่ได้ลา"
จึงถามว่า "ตั้งใจจะเป็นพระพุทธเจ้าจริงๆหรือ" ท่านก็บอกว่า "เวลานี้พระโพธิสัตว์
ที่มีบารมีเต็มรอคิวกันยาวเหยียด ผมก็อยากจะลาพุทธภูมิเหมือนกัน แต่ก็ไม่แน่ใจว่า
ถ้าลาแล้วจะมีผลเป็นประการใด" ก็เลยบอกว่า "ถ้าอย่างนั้นไปคุยกับพระกันดีกว่า
ไปด้วยกันไหม" ท่านก็บอกว่า "ไปซิ ที่มานี่ก็จะมาชวนไปหาพระด้วยกัน"

เมื่อไปถึงกราบพระท่านแล้วก็ถามว่า "เวลานี้เทวดาสินเป็นพระโพธิสัตว์ อยากจะทราบว่า
จะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่เท่าไหร่ หลังจากพระศรีอาริย์ไปแล้ว" พระท่านก็บอกว่า
"จะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ 30 หลังพระศรีอาริย์นิพพานแล้ว" ก็เล่นเอาเทวดาสิน
ต้องไปนั่งยิ้มที่ชั้นดุสิตอีกถึง 30 พระพุทธเจ้า ก็เลยถามพระท่านว่า "ถ้าเทวดาสิน
จะลาจากพระพุทธภูมิ เมื่อไรจะไปนิพพาน" ท่านบอกว่า "เทวดาสินนี่ ถ้าหากลา
จากพุทธภูมิเป็นสาวกภูมิ กำลังเต็มมานานแล้ว ก็เหลือแค่ เอหิภิกขุ เท่านั้นก็พอแล้ว
ถ้าตรัสว่า เอหิภิกขุ เทวดาสินก็เป็นพระสมบูรณ์แบบ" ท่านก็เลยเข้าไปกราบพระ
พระท่านก็บอกว่า "เอหิภิกขุ เจ้าจงเป็นภิกษุมาเถิด" เพียงเท่านี้
เทวดาสินก็กลับสภาพจากเทวดาเป็นวิสุทธิเทพ

นี่เป็นเรื่องของนิมิตลืมตา ไม่ใช่นิมิตหลับตา ไม่ได้เข้าฌานสมาบัติ ถ้าถามว่า
"ถ้าไม่เข้าฌานสมาบัติ แล้วรู้ได้อย่างไร" ก็บอกว่า "ท่านแสดงภาพให้รู้
มันก็รู้ด้วยกันทุกคนแหละ ไม่ว่าใคร" คนที่เห็นผีเข้าฌานหรือเปล่า
เดินไปแล้วก็ถูกผีหลอก ต้องเข้าฌานหรือเปล่า สภาพนี้ก็เหมือนกัน
ผีไม่ได้หลอกแต่ว่าผีมาชวนคุยผีมาบอกตามความเป็นจริง
ก็ไม่จำเป็นต้องเข้าฌานสมาบัติ..

โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน จากหนังสือ "ตายไม่สูญ...แล้วไปไหน"
#รวมคำสอนพ่อแม่ครูอาจารย์2 #หลวงพ่อฤาษี

คำอธิษฐานปีใหม่

หลวงพ่อบอกว่า ปีใหม่นี้ขอให้อธิษฐานไว้เสมอๆว่า "ขอคำว่าไม่มี จงอย่าได้มีแก่ข้าพเจ้า" แล้วจะมีผลจริงๆ
ก่อนวันขึ้นปีใหม่ หลวงพ่อยังแนะนำให้อธิษฐานอย่างนี้เลยว่า "ขอความซวยจงหายไปกับปีเก่า และความรวย ความโชคดี จงมากับปีใหม่"

ที่มาของคำอธิษฐานเป็นอย่างนี้.....

คำอธิษฐานปีใหม่

ผู้ถาม : ที่หลวงพ่อบอกว่า ให้นั่งหน้าพระพุทธรูปแล้วอธิษฐานว่า ความรวยจงปรากฏ มันเป็นอย่างไรครับ ?

หลวงพ่อ : ล้อ "เจ้าขวัญ" มันว่า ถ้าอยากรวยก็เอาแบบนี้ซิ 5 ทุ่ม 45 นาทีใกล้ๆจะ 6 ทุ่มใช่ไหมเล่า ก็ไปนั่งหน้าพระพุทธรูป บูชาพระ นึกถึงพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอริยสงฆ์ เทวดา และพรหมทั้งหมด ครูบาอาจารย์ ผู้มีคุณทั้งหมด บูชาท่านขอลาภ

''ขอให้ความซวยทั้งหมด ความยากจน จงไปกับปีเก่า แล้วความรวย ความดี ความโชคดี จงมากับปีใหม่''

หลังจากนั้นก็ภาวนา "คาถาเงินล้าน" เรื่อยๆไป พอนาฬิกาตีเป๊งขึ้นปีใหม่

"ขอให้ความซวย จงหายไปพร้อมกับปีเก่า ฉันต้องการความรวย จากปีใหม่"

ผู้ถาม : อ๋อ....หลวงพ่อพูดกับ "ขวัญ" เหรอ ?

หลวงพ่อ : ใช่

ผู้ถาม : แล้ว ลูกๆหลานๆที่ไม่ใช่ขวัญ จะได้ไหมครับ ?

หลวงพ่อ : ก็มีขวัญนี่ ลองก้มหัวดู คนไหนไม่มีขวัญทำไม่ได้ ความจริงไม่ต้องรอดึกก็ได้ ถึงวัด ถึงบ้าน อาบน้ำ สวดมนต์ไหว้พระ ก็อธิษฐานก่อนนอนเลยก็ได้ ไม่ต้องรอถึงเวลานั้น

***ได้คำอธิษฐานปีใหม่แล้ว พร้อมกับคาถาเงินล้านอีกด้วย ช่วยให้รวยกันใหญ่แต่ก็มีผลเห็นทันตา มีคนนำไปใช้เพียงวันเดียว ก็มารายงานให้หลวงพ่อทราบดังนี้***

คำอธิษฐานได้ผล

ผู้ถาม : กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง เมื่อคืนวันที่ 31 ธันวาคม 2531 นี้ ลูกได้ทำตามคำแนะนำของหลวงพ่อที่อธิษฐานว่า "ความซวยจงหมดไปพร้อมกับปีเก่า และขอความร่ำรวย จงมาพร้อมกับปีใหม่ 2532 นี้"

ปรากฏว่าวันนี้การค้าของลูกคล่องตัว ลูกอยู่ในโอวาท (แหม..นี่แกคงจะดีใจว่า ลูกอยู่ในโอวาทนะ) หากลูกจะอธิษฐานอย่างนี้ทุกคืนๆไป จะผิดกฏที่เทวดาเขาสงเคราะห์อยู่ในเวลานี้หรือเปล่าเจ้าคะ ?

หลวงพ่อ : ดีมาก ถ้าทำตามนั้นนะ จะดีมากเลย จะมีการทรงตัว เงินจะเหลือใช้ เอาทุกวันดีกว่า ไม่ใช่ทำวันเดียว

ผู้ถาม : อ๋อ..ยิ่งว่าบ่อยๆ ยิ่งดีหรือครับ

หลวงพ่อ : ใช่ ทำเป็นสมาธิแบบนั้น ก็ไม่ต้องใช้เวลาใกล้ 2 ยาม เวลาไหนก็ได้ที่เราเห็นสมควร

ที่ว่าใกล้ 2 ยาม เพราะปีเก่าจะไป ปีใหม่จะมา เวลานี้เป็นเวลาของปีใหม่ ก็ใช้ได้ทุกเวลาตามที่ชอบใจ นั่นดีมากนะ ต่อไปจะรวยใหญ่ เมื่อทุกคนรวยใหญ่ ฉันก็สบายใจ สร้างวัดอีก 10 วัด (หัวเราะ)

ผู้ถาม : นี่ก็เป็นผลดีแก่แม่บ้านนะ มีผัวอยู่ในโอวาท เอ..ถ้าผู้ชายว่าบ้าง ลูกเมียจะอยู่ในโอวาท หรือเปล่าครับ ?

หลวงพ่อ : เราอยู่ในโอวาทเขา เขาก็อยู่ในโอวาทเรา

"วันทโก ปฏิวันทนัง" ผู้ไหว้ย่อมได้รับการไหว้ตอบ

"ปูชา ลภเตปูชัง" ผู้บูชาย่อมได้รับการบูชาตอบ ในเมื่อเราอยู่ในโอวาทเขา เขาก็อยู่ในโอวาทเรา

(จากคอลัมภ์ "หลวงพ่อตอบปัญหา" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 96 เดือนกุมภาพันธ์ 2532 หน้า 6-7)

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสในงานปีใหม่พุทธศักราช ๒๔๓๔

ในงานปีใหม่พุทธศักราช ๒๔๓๔
เมื่อพระบรมวงศานุวงศ์ถวายพระพรชัยมงคลเสร็จแล้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสตอบ ความว่า
“...การที่กระทำความรื่นเริงในปีใหม่ดังนี้เป็นการจำอย่างฝรั่ง แลเปนการไม่สู้ดีแท้ เพราะเป็นการเล่นก็จริงอยู่ แต่เป็นความแสดงรื่นเริงในสมัยปีใหม่คราวหนึ่งๆ นับว่าไม่สู้เปนการเสียประโยชน์อันใด แลธรรมเนียมฝรั่งที่เขาประพฤติกันนั้น สิ่งที่ชอบควรก็มีมาก เราควรจะเลือกจำเอาแต่ธรรมเนียมที่ดีมีประโยชน์ ส่วนประเพณีของเราแต่โบราณที่เปนคุณเปนประโยชน์ เราก็ควรจะประพฤติให้มั่นคงต่อไป...”

28 ธันวาคม 2564

การเจริญพระกรรมฐาน

🌕  🌕
อันดับแรก ให้ทุกคนกำหนดรู้ลมหายใจเข้า ออก 
เวลาหายใจเข้า รู้อยู่หายใจเข้า 
เวลาหายใจออก รู้อยู่หายใจออก 

การภาวนาไม่จำกัด 
ใครจะภาวนาว่าอย่างไร ก็ไม่เป็นไร ตามถนัด

แต่ว่าก่อนภาวนา ให้นึกถึงพระพุทธเจ้าก่อน
ถือเป็น พุทธานุสสติ 
เวลาภาวนาจะใช้เวลาไหนบ้าง ก็ตามชอบใจ

ถ้าเวลาอื่นไม่มี ก่อนนอนอย่าลืม 
ถ้าศีรษะถึงหมอน ภาวนาพุทโธ ทันที 

นึกถึงภาพพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่ง 
ที่เราชอบคิด ว่าองค์นี้คือ พระพุทธเจ้า 

แล้วก็ภาวนา 
อาจจะภาวนา "พุทโธ"

หายใจเข้านึกว่า "พุท" 
หายใจออกนึกว่า "โธ" 
สัก ๒-๓ ครั้ง ก็ได้ตามความพอใจ 
มากก็ได้น้อยก็ได้ แล้วก็หลับไป

พอตื่นขึ้นมาใหม่ๆ 
ก็นึกถึงพระพุทธรูปองค์นั้นอีก

แล้วก็ภาวนาว่า "พุทโธ" อีก 

ทำอย่างนี้ทุกวัน 
จนกระทั่งวันไหน ถ้าเราไม่มีโอกาสจะทำ วันนั้นรำคาญ 
ต้องทำเป็นอารมณ์ชิน 

อย่างนี้ ถือว่า ทรงฌานในพุทธานุสสติกรรมฐานแล้ว
 
แม้ศีลมันจะขาดมันจะบกพร่องบ้าง 
ถึงยังไงก็ตาม ตายแล้วต้องไปสวรรค์แน่นอน

ญาติโยมพุทธบริษัท
บางท่านที่ไม่สามารถจะรักษาศีล ๕ ได้ครบถ้วน
ก็ให้จับอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง 

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง

หนึ่ง พุทธานุสสติกรรมฐาน อย่าทิ้งพระพุทธเจ้า

และประการที่สอง ให้จับอารมณ์ สังฆทาน 
มีภาพแบบไหน มีอะไรบ้าง 
ว่าเราเคยถวายสังฆทานแล้วในชีวิตนี้ 
จับอารมณ์ให้ทรงตัว

ส่วนนี้เป็นส่วนหนึ่ง ที่พาท่านไปนิพพานได้โดยง่ายเหมือนกัน

และจงอย่าลืมคิดตามความเป็นจริง 
ตามอริยสัจว่า

การเกิดมันเป็นทุกข์ 
ความแก่เป็นทุกข์ 
ความป่วยไข้ไม่สบายเป็นทุกข์ 
ความพลัดพรากจากของรัก ของชอบใจเป็นทุกข์ 
ความตายเป็นทุกข์ 

ถ้าเราจะเกิดอย่างนี้ อีกกี่ชาติ ก็จะมีทุกข์อย่างนี้

เมื่อเวลาใกล้จะตาย จิตอย่าลืมนิพพาน 
ต้องยึดไว้ทุกวัน

นิพพานนี้ นึกให้เป็นอารมณ์ไปจนชิน

ตัวนึกว่า ถ้าตายจาก โลกนี้เมื่อไหร่
ขอไปนิพพานเมื่อนั้น ให้จิตเป็นฌาน 

ที่ เรียกว่า อุปสมานุสสติกรรมฐาน 

อย่างนี้ทุกคนจะไม่พลาดนิพพาน

หลวงพ่อพระราชพรหมยาน 
(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง)

🙏🙏🙏🙏🙏🙏🙏🙏🙏🙏🙏🙏🙏🙏🙏🙏

"ตอนเช้ามืด ไม่ต้องภาวนาก็ได้ 
ตั้งจิตไปเลย 
นึกถึงพระพุทธเจ้า 
นึกถึงพระธรรม 
นึกถึงพระอริยสงฆ์ 
พรหมและเทวดาทั้งหมด ตลอดจนท่านผู้มีคุณ 
ขอจงเป็นพยานแก่ข้าพเจ้า 
ข้าพระพุทธเจ้าทำทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำมาแล้วทั้งหมด 
หรือจะทำในกาลข้างหน้าก็ตาม 
ไม่ต้องการอย่างอื่น ต้องการอย่างเดียวคือพระนิพพาน 
จิตจับพระนิพพานเป็นอารมณ์ เพียงเท่านี้แหละ"

หลวงพ่อพระราชพรหมยาน 
(หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ วัดท่าซุง)

จากหนังสือ หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๔ หน้า ๑๐๑-๑๐๔

วันที่ 28 ธันวาคม เป็นวันคล้ายวันปราบดาภิเษกสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช

ขอน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ 🙏
วันที่ 28 ธันวาคม เป็นวันคล้ายวันปราบดาภิเษกสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พระมหากษัตริย์ผู้กอบกู้เอกราชจากพม่าให้แก่ประเทศไทย และเป็นพระมหากษัตริย์แห่งกรุงธนบุรีเพียงพระองค์เดียว

สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช หรือ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ทรงมีพระนามเดิมว่า "สิน” (ชื่อจีนเรียกว่า "เซิ้นเซิ้นซิน) พระราชสมภพเมื่อวันอาทิตย์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2277 พระราชบิดาเป็นชาวจีนแต้จิ๋ว ชื่อ "นายไหฮอง” ได้สมรสกับหญิงไทยชื่อ "นางนกเอี้ยง” ในช่วงรัชสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ (สมเด็จพระธรรมราชาธิราชที่ 3) ซึ่งเจ้าพระยาจักรีได้ขอไปอุปการะเป็นบุตรบุญธรรมตั้งแต่ครั้งเยาว์วัย

ต่อมาเมื่ออายุครบ 13 ปี เจ้าพระยาจักรีได้นำตัวเด็กชายสิน ไปถวายตัวเป็นมหาดเล็ก ในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ครั้น พ.ศ. 2301 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศเสด็จสวรรคต สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอุทุมพรเสด็จขึ้นครองราชย์ได้ 3 เดือนเศษ ก็ถวายราชสมบัติแก่สมเด็จพระเชษฐาธิราช

 "สมเด็จพระบรมราชาที่ 3” (สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์)
สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ทรงโปรดเกล้าฯ ให้นายสินมหาดเล็กรายงาน เป็นข้าหลวงเชิญท้องตราพระราชสีห์ไปชำระความที่หัวเมืองฝ่ายเหนือ ซึ่งปฏิบัติราชการได้รับความดีความชอบมาก จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นหลวงยกกระบัตร เมืองตาก ช่วยราชการพระยาตาก ครั้นพระยาตากถึงแก่กรรม ก็ทรงโปรดให้เลื่อนเป็น "พระยาตาก ปกครองเมืองตาก”

พระราชกรณียกิจสำคัญของพระเจ้ากรุงธนบุรี

1.การกู้เอกราช เมื่อปี พ.ศ. 2309 พม่ายกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยา ในสมัยพระเจ้าเอกทัศ และได้เสียกรุงแก่พม่าเป็นครั้งที่ 2 ใน พ.ศ. 2310 เหตุการณ์ในกรุงศรีอยุธยาขณะนั้นเกิดความระส่ำระสาย ทหารพม่าได้ล้อมกรุงศรีอยุธยาไว้ พระยาตากเห็นว่าคงสู้พม่าไม่ได้แล้ว จึงนำทหารจำนวนหนึ่งตีฝ่าวงล้อมพม่าออกมา และได้รวบรวมกำลังอยู่ที่เมืองจันทบุรี แล้วยกทัพกลับไปตีพม่าที่กรุงศรีอยุธยา ทัพของพระยาตากสามารถตีพม่าจนแตกพ่ายไป พระยาตากสามารถรวบรวมผู้คนกอบกู้กรุงศรีอยุธยากลับคืนมาจากพม่าได้ภายในเวลา 7 เดือน

2. การสร้างและสถาปนากรุงธนบุรีเป็นเมืองหลวง หลังจากได้กอบกู้กรุงศรีอยุธยากลับคืนจากพม่าได้แล้ว พระองค์ทรงเห็นว่าทางกรุงศรีอยุธยาถูกพม่าเผาผลาญเสียหายมากและยากที่จะ ฟื้นฟูให้เจริญเหมือนเดิมได้ พระองค์จึงย้ายเมืองหลวงมาอยู่ที่กรุงธนบรี แล้วทรงปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ ทรงพระนามว่า พระบรมราชาธิราชที่ 4 ครองกรุงธนบุรีอยู่ 15 ปี นับว่าเป็นกษัตริย์พระองค์เดียวที่ปกครองกรุงธนบุรี

3. พระราชกรณียกิจอื่น ๆ นอกจากจะทรงกู้เอกราชและทรงสถาปนากรุงธนบุรีเป็นเมืองหลวงแล้ว พระองค์ยังได้ขยายอาณาเขตโดยตีเวียงจันทน์ได้และอัญเชิญพระแก้วมรกตมา ประดิษฐานไว้ที่เมืองหลวง ทรงทำนุบำรุงศาสนาและทรงส่งเสริมให้คนแต่งหนังสือต่าง ๆ ขึ้น เพราะหนังสือตำราอันมีค่าถูกพม่าเผาไปเกือบหมด ทรงเอาใจใส่ดูแลทุกข์สุขของราษฎรเป็นอย่างดีแม้ว่าจะต้องทำสงครามกับพม่า ตลอดเวลาก็ตาม

คณะรัฐมนตรี จึงประกาศให้วันที่ 28 ธันวาคมของทุกปี ซึ่งเป็นวันที่พระองค์ทรงปราบดาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์ เป็น "วันสมเด็จพระเจ้าตากสิน" และถวายพระราชสมัญญานามว่า "สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช" เพื่อยกย่องพระองค์เป็นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ของชาติไทย ผู้กอบกู้เอกราชให้ชาติไทย และได้สร้างอนุสาวรีย์พระบรมรูปทรงเครื่องขัตติยาภรณ์ ประทับเหนืออัศวราชพาหนะ พระหัตถ์ขวาทรงพระแสงดาบ ประดิษฐานบนแท่งคอนกรีตเสริมเหล็ก ณ บริเวณวงเวียนใหญ่ ฝั่งธนบุรี

ที่มา www.m-culture.go.th/phatthalung

26 ธันวาคม 2564

#หลวงปู่ปานแนะเคล็ดทำให้ร่ำรวย

พระคุณหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค พระนครศรีอยุธยาท่านได้เคยเมตตาสั่งสอนแนะนำลูกหลานไว้ว่า หากลูกหลานต้องการมีความคล่องตัวไว ร่ำรวยไว ก็ให้ปฏิบัติ ดังนี้

๑. ก่อนที่จักเดินทางไกล ให้ทำทานก่อน จักใส่บาตรพระก็ได้ มอบเงินให้พ่อแม่ก็ได้ เอาข้าวให้ลูกหมาลูกแมวก็ได้ เรียกว่าทำทานก่อนไป

๒. หากพบพระสงฆ์กำลังฉันภัตตาหารในร้าน ให้เข้าไปปวารณาถวายค่าภัตตาหารมื้อนั้นกับท่าน ฤานำปัจจัยไปจ่ายให้กับแม่ค้า แล้วจึงไปบอกกล่าวกับพระท่าน

๓. หากพบเห็นพระสงฆ์ในระหว่างที่เรากำลังเดินทาง ให้จอดรถลงไปถวายของกับท่าน เช่น​ ภัตตาหาร น้ำดื่ม เป็นต้น หากเป็นเพลาหลังเพลแล้ว​ ให้ถวายน้ำดื่ม เครื่องดื่ม ผลสมอ มะขามป้อม ฯลฯ กับท่าน

๔. ให้เป็นเจ้าภาพถวายผ้าไตร อย่างน้อย ๑ ไตร ในงานกฐินทุกปี 

หากทำได้เช่นนี้ ใครอื่นจน ใครอื่นลำบาก ลูกหลานทุกคนก็จักไม่ลำบากยากจนเหมือนคนอื่นๆ เขา

แถมอีกนิด..พระคุณหลวงปู่ปาน ยังได้เคยกล่าวไว้อีกว่า

"ข้าไม่เคยเห็นใครที่ซื้อโลงศพแจกเขา ฤาทำบุญบริจาคโลงศพแล้วจักจนลงเลย เห็นมีแต่คล่องตัว ร่ำรวยขึ้นๆ"

ผู้ใดปรารถนาความคล่องตัว ร่ำรวยขึ้น ก็ให้พากันปฏิบัติตามที่พระคุณหลวงปู่ได้เมตตาแนะนำสั่งสอนนะลูก

หลวงพ่อพระธัมมสรโณ

Cr.หลวงปู่ปาน​ โสนันโท

พระเยซู


"ฉันมีเรื่องจะเล่าให้ฟังเรื่องหนึ่ง คือเรื่อง พระเยซู ประมาณเมื่อ ๑๐ ปี เกือบ ๒๐ ปีแล้ว ได้ไปที่บางนกแขวกที่วัดคริสต์นั่นนะ คือว่าบาทหลวงบางคนเขาไปที่กรุงเทพฯ แล้วก็ชอบๆกัน เพราะสมัยนั้นฉันเรียนทั้งพุทธทั้งคริสต์ ไอ้ที่เรียนคริสต์ ไม่ใช่ไปเรียนที่โรงเรียน แต่คุยกัน ตอนนั้นพวกกุลีจีน เขามาคุยแลกเปลี่ยน แต่ความจริงนักศาสนาจริงๆ เขาไม่ทะเลาะกันนะ ต่อไปก็ไปที่โน่นไปเยี่ยมเขา คุยไปคุยมาเขาถามว่า ท่านทราบไหมว่า พระพุทธเจ้าท่านอยู่ไหน บอกว่า รู้
ถามว่า เคยคุยไหม ก็บอกฉันไปหาท่านทุกวัน ท่านอยู่ที่นิพพาน ก็ถามเขาว่า แล้วพระเจ้าของแกอยู่ที่ไหน เขาบอก ไม่รู้ ถามว่า เคยเห็นไหม บอก ไม่เคยเห็น เลยบอกว่า แหม?ไอ้คนโง่ๆ ประเภทนี้ก็มีด้วย ก็คุยสนุกๆก็บอก ไอ้นั่งอยู่ที่นี่ ๕-๖ คน มันโง่ทั้งนั้น นับถือส่งเดชไม่มีหลักฐาน เขาบอกมีคำสอน ใครสอนก็ไม่รู้ บอกต้องหาตัวคนสอนให้ได้ ก็คุยสนุกสนานไป เขาเลยถามว่าท่านเคยเห็นพระเยซูของผมไหมครับ บอกว่า ไม่เคยสนใจ แล้วก็คุยเรื่องอื่นต่อไป

แล้วต่อมาก็กลับมาที่พัก ธรรมดาของพระ พระก่อนจะนอนก็ทำงานของพระก่อน ทำจิตใจให้สะอาดสบาย ไม่งั้นนอนไม่สบาย พอเริ่มทำสมาธิจับอารมณ์ จิตมันหลุดเลยพอโผล่พลุ้บถึงดาวดึงส์ ไปโผล่ช่องระหว่างพระจุฬามณีกับบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ไปเดินป๋อที ่นั่น พอขึ้นไปเดินไปก็มีบาทหลวงคนหนึ่งเดินสวนทางมา เดินตรงมาข้างหน้า ก็เลยถามว่า พระเยซูใช่ไหม?? ตามธรรมดาอารมณ์เป็นทิพย์มันจะบอกเลยว่าใครเป็นใคร ถ้ายังสงสัยก็ยังใช้ไม่ได้ ความเป็นทิพย์มันจะบอกชัด จะไปสงสัยไม่ได้เลย ท่านก็บอกใช่ครับ ถามว่า ทำไมถึงแต่งตัวรุ่มร่ามอย่างนี้ละ บนสวรรค์เขาแต่งตัวอย่างนี้เรอะ ท่านบอกว่า เอ้า?ถ้าผมไม่แต่งตัวแบบนี้ เกรงว่าท่านจะจำไม่ได้จะสงสัย

ถ้ายังงั้นสภาพความจริงของท่านเป็นยังไง ท่านก็ทำให้ดูภาพนั้นก็หายไป กลายเป็นภาพเทวดาสวยงามมาก เครื่องประดับขาวแพล้บเรียกว่าจับตาเลย เป็นประกายแวววับ ชฎาก็แหลมเปี๊ยบ ถามว่า อยู่ที่ไหน บอกว่า อยู่ชั้นดุสิตพอบอกอยู่ชั้นดุสิตเราตกใจ ต้องเป็นพระโพธิสัตว์แหงๆ เขาไม่ใช่ต่ำนะ ก็คุยไปคุยมาบอกว่าคำสอนของท่านมันผิดอยู่ข้อหนึ่งนะ ถามว่า ผิดยังไง ก็บอกว่า ไอ้ล้างบาป ถ่ายบาป ซื้อบาป จำนำบาปนั่นนะ ไอ้คนที่มันทำความชั่วแล้ว มันทำลายได้เรอะ อย่างกับเนื้อของเราถูกตัดเฉือนไปเป็นแผลนี่ เราจะเอาเงินไปแลกเนื้อใครเขาได้ที่ไหน จ่ายเงินให้เขาแล้วแผลมันหายหรือ ท่านบอกว่าความจริงผมไม่ได้สอนอย่างนั้นนะครับ ความจริงที่ผมสอนนั้น สอนให้สารภาพบาป แบบกับพระแสดงอาบัตินะ อาการสารภาพบาปคือ ไปทำความชั่วมาจากไหน เราจะได้ไม่ทำต่อไป นี่คำสอนเขาแบบนี้นะ นี่ตอนหลังเขามาเซ็งลี้กัน พอล้างบาป สารภาพบาป พอจ่ายสตางค์แล้วบาปหายเลยบาปทั้งสองคน ไอ้คนก่อนก็ไม่หมดบาปเพราะโกหกโกงสตางค์เขาอีกด้วย ก็เลยเข้าใจ

พอกลับมาก็มานั่งคิดว่า พระเยซูนี่เป็นพระโพธิสัตว์ที่อยู่ชั้นดุสิตต้องมีบารมีเข้มแข็ งมาก ถ้าไม่เข้มแข็งเข้าชั้นนี้ไม่ได้ เพราะชั้นนี้เข้าได้ ๓ พวก คือพุทธบิดาพุทธมารดาของพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ที่มีบารมีเข้มแข็งแล้ว แล้วก็พระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป จึงจะอยู่ชั้นนี้ได้ สวรรค์ทุกชั้นไม่ใช่ว่าใครจะอยู่ได้ทุกชั้นนะ ต้องเป็นไปตามขั้น ก็เลยมานั่งนึกว่า ทำไมมาอยู่ชั้นดุสิตได้ เขาต้องเป็นพระโพธิสัตว์ มาดูอารมณ์ของท่านตอนหนึ่ง ที่เขาเรียกว่าไม้กางเขนนะ คือไม้กางแขน สระแอหายไป เหลือสระเอ มันลด คือกางแขนถูกตะปูตอก ถ้าจิตไม่ดีพอเขาจะเป็นเทวดาไม่ได้ ตามพระบาลีบอกว่าถ้าจิตเศร้าหมองก่อนจะตายไปก็ต้องลงอบายภูมิ นั่นเขาถูกเจ็บขนาดนั้น เขายังไม่โกรธ คุณลองคิดดูให้ดี ไม่ใช่เรื่องเล็กนะเขาใหญ่มาก ใช่ไหม?

ไอ้จิตเศร้าหมองนิดเดียว ทำความดีไว้มากตลอดชีวิต แต่เวลาตายจิตเศร้าหมองหน่อยก็ต้องลงนรกหน่อย อย่างพระนางมัลลิกาเทวี นั่นคนดีตลอดชาติ เวลาตายจิตคิดถึงที่เคยไปสะดุดเท้าของสามีนิดเดียว ความจริงโทษแกไม่มี ถ้าจิตไม่เศร้าหมองก็ไม่ลง แต่งตัวเป็นนางฟ้า เท้าแหย่ในนรก ๗ วันในมนุษย์ต้องคิด ถ้า ๗ วันแรกนรกก็ซวยเลย"

จาก : หนังสือหลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๓ โดย...หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

24 ธันวาคม 2564

วาจาสิทธิ์หลวงปู่หมุน ฐิตสีโล 1 บ่มี 2

คำสอนหลวงปู่หมุน ฐิตสีโล🙏
   จะทำกิจสิ่งใดลงไปก็ตาม ให้ท่องจำไว้ให้ขึ้นใจ 
อย่าไปยุ่งกับวัดกับวาให้มาก ตายไปจะเป็นเปรต แก้ยาก อย่าโลภอยากได้ของคนอื่น ให้มีความละอายแก่ใจ ให้มีความเกรงกลัวต่อบาป ยามเจ้าละจากโลกนี้ไป มีเพียงสองสิ่งเท่านั้นที่จะติดตามเจ้าไป คือบุญกับบาป หนีไม่พ้น เจ้าอยู่เจ้าได้กินข้าว เจ้าตายไปเจ้าได้กินบุญ ภพชาติมีจริงไม่ใช่เรื่องเหลวไหล จงอย่าเกียจคร้านหมั่นทำบุญทำทาน ผีมีจริง เทวดามีจริง พระพุทธเจ้ามีจริง 

ฉันหลวงปู่หมุนไม่ใช่ผู้วิเศษ ฉันเสกให้เจ้าได้เพียง
ดึงเอากิ่งไม้ ขอนไม้ที่ขวางทางชีวิตเจ้าออกให้ 
ที่เหลืออยู่ที่บุญวาสนาเก่าก่อนของเจ้า

“ โชคลาภสมควรแก่บารมีของเจ้าของ “

 🙏 วาจาสิทธิ์หลวงปู่หมุน ฐิตสีโล 🙏 1 บ่มี 2

19 ธันวาคม 2564

โอกาสที่จะบรรลุธรรมมี ๕ ประการโดยสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี

โอกาสที่จะบรรลุธรรมมี ๕ ประการ
โดยสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี
การสวดมนต์มีประโยชน์มากเพราะการสวดมนต์
เป็นการกล่าวถึงคุณงามความดี ขององค์สมเด็จ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าพระองค์ท่านมีคุณวิเศษ
อย่างไร พระธรรมคำสอน ของพระองค์มีคุณอย่างไร
และพระสงฆ์อรหันต์อริยะเจ้า มีคุณเช่นไร

การสวดมนต์ด้วยความตั้งใจจนจิตเป็นสมาธิ
แล้วใช้สติพิจารณาจนเกิดปัญญาและความรู้
ความเข้าใจ ประโยชน์สูงสุดของการสวดมนต์
นั่นคือ จะทำให้ท่านเจริญในธรรม จนสำเร็จ
เป็นพระอรหันต์

ที่อาตมากล่าวเช่นนี้ มีหลักฐานปรากฏใน
พระธรรมคำสอนที่กล่าวไว้ว่า โอกาสที่จะ
บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์มี 5 โอกาสด้วยกันคือ

• เมื่อฟังธรรม
• เมื่อแสดงธรรม
• เมื่อสาธยายธรรม นั่นคือ การสวดมนต์
• เมื่อตรึกตรองธรรม หรือเพ่งธรรมอยู่ในขณะนั้น
• เมื่อเจริญวิปัสสนาญาณ

18 ธันวาคม 2564

โจรมันพูดไพเราะก็เป็นพระอรหันต์พูดดุพูดด่าก็เป็น

“โจรมันพูดไพเราะก็เป็น
พระอรหันต์พูดดุพูดด่าก็เป็น”
โอวาทธรรม หลวงปู่ชา สุภัทโท

✨ จากชีวิตไฮคลาสสุดหรูสู่พระป่า ⁉

✨ จากชีวิตไฮคลาสสุดหรูสู่พระป่า ⁉
ทุกๆ เย็น จะต้องนั่งรถลีมูซีนคันหรู 
เพื่อไปสวดมนต์ที่วัด ก่อนจะตัดสินใจนุ่งขาวห่มขาวอยู่นานถึง 3 ปี 

เป็นระยะเวลา 30 กว่าปีแล้วที่พระอาจารย์ สุมโน ภิกขุ พระฝรั่ง อดีตชาวเมืองชิคาโก ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้สละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยสุขสบายในชีวิตฆราวาส 

แล้วหันเหตัวเองสู่เส้นทางแห่งจิตวิญญาณ เพื่อดำเนินชีวิตในวิถีทางที่สันโดษและเรียบง่าย ภายใต้ร่มเงาของพระพุทธศาสนา 

สิ่งที่ทำให้อดีตนักศึกษาด้านกฎหมายและนักธุรกิจด้านตีราคาที่ดินทั้งของรัฐและเอกชน ผู้เคยใช้ชีวิตระดับไฮคลาส เดินทางไปต่างประเทศด้วยเครื่องบินชั้นธุรกิจ (Business Class) พักแต่โรงแรมระดับห้าดาว และมีเงินเหลือเฟือพอที่จะเที่ยวรอบโลก ได้ตัดสินใจทิ้งชีวิตที่หลายคนพยายามตะเกียกตะกายเพื่อจะไปให้ถึง 

เหตุเพราะเช้าวันหนึ่งเขาลืมตาตื่นขึ้นพร้อมกับความรู้สึกที่ว่าชีวิตช่างน่าเบื่อ ไม่มีอะไรที่ทำให้ต้องตื่นเต้นอีกต่อไปแล้ว 

พระอาจารย์ สุมโน ซึ่งอดีตเคยนับถือ ศาสนายิว บอกเล่าว่า รู้จักพระพุทธศาสนาครั้งแรกเมื่อตอนที่กำลังศึกษา อยู่ในชั้นมัธยมปลาย 

ด้วยความที่มีนิสัยเป็นคนชอบอ่านหนังสือและแสวงหาความรู้อยู่ตลอดเวลา กระทั่งวันหนึ่งจึงได้ไปเจอหนังสือบางเล่มที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาวางอยู่บนโต๊ะในห้องสมุด 

แรกเริ่มพระอาจารย์ให้ความสนใจเรื่องการนำหลักการฝึกสมาธิของทางพระพุทธศาสนามาใช้ในการปรับปรุงและพัฒนาตัวเองมากกว่า 

ขณะเดียวกันก็ใช้เวลาศึกษาศาสนาหลายศาสนาและหลายนิกาย โดยเคยเข้าคอร์สที่มีการอบรมด้านพระพุทธศาสนาอยู่หลายคอร์ส และใช้เวลาปลีกวิเวกอยู่แต่ในห้องโดยไม่ไปไหนเลย เป็นเวลานาน 2-3 ปี 

ในวัย 32 ปี เมื่อได้ทิ้งชีวิตการเป็นนักธุรกิจแล้ว และเริ่มมีใจลึกซึ้งในพระพุทธศาสนา พระอาจารย์เห็นว่า การฝึกสมาธิอย่างเดียวช่วยอะไรได้น้อยมาก จึงมีความสนใจ อยากจะศึกษาพระพุทธศาสนาให้มากขึ้น แต่เวลานั้นยังไม่ได้มีความคิดที่จะบวช 

ช่วงเวลาที่ท่านกำลังจะเดินทางไปศึกษาพระพุทธศาสนาที่ประเทศอินเดียนั้น ระหว่างทางได้ไปแวะที่เมืองลอนดอน ประเทศอังกฤษ เพราะเพื่อนของพระอาจารย์ได้แนะนำให้รู้จักวัดแห่งหนึ่งที่นี่ 

ซึ่งเมื่อสมัยที่ท่านไปเยือนครั้งแรกนั้นยังไม่ได้เป็นวัด แต่ต่อมาได้กลายมาเป็น วัดจิตตวิเวก (วัดป่าสาขาวัดป่าหนองป่าพงแห่งแรกในประเทศอังกฤษ) ที่ช่วงเวลานั้นมี พระสุเมธาจารย์ หรือท่านสุเมโธภิกขุ เป็นเจ้าอาวาสรูปแรก เมื่อเริ่มแรกตั้ง วัดในพ.ศ. 2522 

พระอาจารย์ยังจำได้ว่า ทุกๆ เย็น จะต้องนั่งรถลีมูซีนคันหรู พื่อไปสวดมนต์ที่วัด ก่อนจะตัดสินใจนุ่งขาวห่มขาวอยู่นานถึง 3 ปี จึงทำให้ความตั้งใจที่จะไปอินเดียในครั้งนั้นเป็นอันต้องล้มเลิก และในที่สุดจึงตัดสินใจบวชเมื่ออายุได้ 35 ปี

นอกจากวัดจิตตวิเวก พระอาจารย์ได้มีส่วนร่วมในการสร้างวัดอีกแห่ง คือ วัดอมราวดี แต่ด้วยสเกลที่มีขนาดใหญ่ ต้องใช้เวลาในการสร้างนาน จึงไม่อยากใช้เวลาให้หมดไปกับการเป็นช่าง แต่อยากศึกษาหลักคำสอนทางพระพุทธศาสนามากกว่า 

วันหนึ่งเมื่อเดินทางสู่ประเทศไทย ทำให้พระอาจารย์มีได้มีโอกาสแวะเวียนไปกราบไหว้ และเรียนรู้ธรรมะจากพระชื่อดังหลายรูปในประเทศไทย อาทิ
- ท่านพุทธทาสภิกขุ 
- หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
- หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
- และ หลวงพ่อชา สุภัทโท 

โดยเฉพาะหลวงพ่อชา สุภัทโท แห่งวัดหนองป่าพง อำเภอวารินชำราบ จ.อุบลราชธานี ที่พระอาจารย์รู้สึกเลื่อมใสศรัทธามากเป็นพิเศษอยู่แล้ว เพราะเคยบวชและจำพรรษาอยู่ที่วัดสาขาของท่านที่อังกฤษ พระอาจารย์จึงไม่รีรอที่จะเดินทางสู่ภาคอีสาน ไปยังที่พำนักของหลวงพ่อชา เพื่อฝากตัวเป็นลูกศิษย์ 

สิ่งที่พระอาจารย์ได้เรียนรู้จากหลวงพ่อชาและรู้สึกประทับใจคือ 

“ในทัศนะของหลวงพ่อ พระอาจารย์ชาเป็นพระที่มีจิตบริสุทธิ์มาก และสามารถระลึกรู้ในสิ่งต่างๆได้โดยไม่ต้องคิด ทำให้หลวงพ่อรู้สึกว่าทึ่ง 

มันจะมีคำว่าดี ถูกต้อง และความเหมาะสมใช่ไหม เวลาที่เราต้องเผชิญกับอะไรสักอย่าง เรามักจะคิดก่อนว่าต้องทำอย่างไรดี ทำอย่างไรถึงจะถูก พอเป็นอย่างนั้นมันจะเกิดการคิด เพราะเราต้องคิดถึงว่า ค่านิยม กาลเทศะ กับบุคคลเหล่านี้เราต้องทำอย่างไร 

พอมันเกิดการคิด มันต้องคำนึงถึงอดีต ไม่ใช่ปัจจุบันขณะแล้ว เราจึงคิดตัดสิน ว่าเราต้องทำอย่างไรจากสิ่งที่เราเคยได้ยินเคยได้เห็น 

แต่พระอาจารย์ชาท่านไม่ได้เป็นอย่างนั้น การแก้ปัญหาของท่านเป็นการรู้จากปัจจุบันขณะและใช้คำว่าเหมาะสม” 

เมื่อหลวงพ่อชามรณภาพ พระอาจารย์จึงออกธุดงค์ไปตามพื้นที่ต่างๆทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ กระทั่งสุดท้ายได้เลือกพำนักอยู่ที่ สำนักปฏิบัติธรรมถ้ำสองตา ในเขตพื้นที่เขาใหญ่ 

หลังจากที่เคยธุดงค์ไปพบเพียงแค่คืนเดียว ด้วยเห็นว่าเป็นสถานที่ที่เหมาะต่อการปฏิบัติ การเดินทางเข้าออกค่อนข้างลำบาก แม้แต่รถยนต์ ก็เข้าไม่ได้ จึงทำให้ปลอดความวุ่นวายจากสิ่งต่างๆ นับ จากวันนั้นจนถึงวันนี้ เวลาก็ได้ล่วงเลยมากว่า 20 ปีแล้ว 

“ตอนนี้แก่แล้ว ไปที่ไหนไม่ได้แล้ว” พระอาจารย์บอก เล่าด้วยอารมณ์ขันเมื่อถูกตั้งคำถามว่าทำไมจึงเลิกธุดงค์และเลือกสำนักปฏิบัติธรรมถ้ำสองตาเป็นที่พำนักสุดท้ายของชีวิต 

วัตรปฏิบัติของพระอาจารย์ที่สำนักปฏิบัติธรรมแห่งนี้ 
ทุกวันจะต้องตื่นจากจำวัดตอนตีสี่ เพื่อ
- นั่งสมาธิ
- อ่านหนังสือ
- เดินจงกรม
- และฟังธรรมะ 

แม้แต่ในยามที่ย่ำเท้าไปบนถนนสายเล็กๆ ที่ทุรกันดารสู่หมู่บ้าน เพื่อไปบิณฑบาต ระหว่างทางก็ยังต้องอาศัยฟังธรรมบรรยายผ่านเครื่องเล่น MP3 

ลูกศิษย์บางคนที่ใกล้ชิดพระอาจารย์บอกเล่าว่า 

“แม้หลวงพ่อจะมีความลึกซึ้งในหลักธรรมจนสามารถนำมาสอนผู้อื่นได้แล้ว แต่หลวงพ่อก็ยังต้องฟังธรรมบรรยายจากพระรูปต่างๆ เพื่อนำมาสอนผู้คนอยู่ และน้อยครั้งมากที่หลวงพ่อจะเดินทางเข้าเมือง ขนาดหมอนิมนต์ให้มาทำฟัน ท่านก็ยังไม่มา” 

แต่พระอาจารย์สุมโนได้ใช้เวลาส่วนหนึ่งไปกับการเขียนหนังสือ เพราะเห็นว่า หน้าที่หนึ่งของพระคือการสืบทอดพระพุทธศาสนาและเผยแพร่หลักธรรมไปสู่ผู้คนให้มากที่สุด 

ที่ผ่านมานอกจากท่านจะมีผลงานแปลธรรมเทศนาของ
- หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
- หลวงพ่อพุธ ฐานิโย 
- และหลวงพ่อชา สุภัทโท แล้ว 

ยังมีผลงานเขียนชื่อ 
- ธรรมะจากพระภูเขา (Monk in the Mountain) 
- จิตที่สว่างไสว (The Brightened Mind)
- และ พบลิงแค่ครึ่งทาง (Meeting the Monkey Halfway) 

โดยเป้าหมายที่เหมือนกันของผลงานเขียนทั้ง 3 เล่มคือ ต้องการสอนให้ผู้คนรู้จักการเจริญสติ รู้จักการใช้ปัญญา เพราะถ้าคนเราไม่มีปัญญา มีแต่ตัวตนเกิดขึ้น ก็จะเกิดความเห็นแก่ตัว 

ส่วนเหตุที่ควรต้อง “พบลิงแค่ครึ่งทาง” ผลงานเขียนเล่มล่าสุดของพระอาจารย์ ซึ่งแปลและเรียบเรียงโดย อานุภาพ ทัดพิทักษ์กุล และจัดพิมพ์โดย บริษัท ฟรีมายด์ พับลิชชิ่ง จำกัด ได้บอกเอาไว้ว่า 

ในปรัชญาธรรมอันเก่าแก่ของเอเชียตะวันออก ลิงถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของจิตที่มีลักษณะ
- ไม่อยู่นิ่ง
- ยุกยิก 
- คอยกระโดดจากสิ่งหนึ่งไปสู่อีกสิ่งหนึ่ง
- ไม่เชื่อฟัง
- ผันแปรเปลี่ยนแปลงง่าย 

และด้วย “จิตที่เหมือนลิง” นี้ แนวทางการฝึกฝนจิตของโลกตะวันออก อาทิ 
- การปฏิบัติกรรมฐาน 
- โยคะ
- และการสวดท่องมนต์ 

ก็เป็นวิธีการต่างๆที่พยายาม จัดการกับจิตที่ซุกซน 

“ครึ่งทาง” หมายถึงอุบายอันชาญฉลาดในการบริหารจิต เป็นวิธีที่ไม่ตึงหรือแข็งกระด้างจนเกินไป และก็ไม่หย่อนยานจนเกินไป 

“ครึ่งทาง” เป็นทัศนคติที่ตั้งอยู่บนหลักการของความสมดุลเป็นกลาง ไม่ถูกกระทบโดยอาการไม่อยู่นิ่งของจิตที่กระโดดไปกระโดดมา 

“การพบ” แสดงออกถึงความอุตสาหะที่จะบรรลุเป้าหมาย มันหมายถึงความตั้งใจและความกระตือรือร้นในการทำจิตซึ่งเป็นสิ่งที่สงบได้ยาก ให้เกิดความตั้งมั่นและเป็นกลาง 

และด้วยความพยายามที่มุ่งมั่นนี้ ประกอบกับความพากเพียร ซื่อตรง ภายใต้การกำกับดูแลของปัญญา ทำให้เราสามารถเข้าถึงการเจริญในธรรมที่นำไปสู่หนทางอันถูกต้อง เพื่อที่เราจะได้ “พบลิงที่ครึ่งทาง” นั่นเอง 

ในวันที่พระอาจารย์สุมโน ภิกขุ เดินทางออกจากสำนักปฏิบัติธรรมถ้ำสองตา เพื่อมาบรรยายธรรมและเปิดตัวผลงานเขียน “พบลิงแค่ครึ่งทาง” ณ สวนโมกข์ กรุงเทพฯ หลังจากที่ละทิ้งความสุขทางโลกมา 30 กว่าปี 

พระอาจารย์ซึ่งตอนนี้พูดภาษาไทยภาคกลางได้มากแล้ว (แต่เว้าอีสานได้ชัดกว่า) ได้บอกถึงความแท้จริงในทัศนะของพระอาจารย์ให้ผู้คนได้ฟังว่า 

“ถ้าไม่มีความอยาก จะได้รับความสุขทันทีเลย” 

แล้วเราจะระงับซึ่งความอยาก ด้วยวิธีการอย่างไรบ้าง ? พระอาจารย์ได้กล่าวต่อไปว่า 

“ให้รู้ว่าความอยากมีแต่ความทุกข์ มากกว่าความสุข เพราะถ้าเรามีความอยาก เราก็ต้องไปดิ้นรนไปหาไปทำมา 

ตอนที่เรากำลังหากำลังทำอยู่ เรามีความสุข อย่างเช่นการ สะสมเงิน เพราะอยากจะได้แหวนเพชรสักวง ตอนที่ใกล้จะได้มา เรารู้สึกดีใจ พอไปที่ร้านถอยมันมาได้ ความสุขก็จบแล้ว เพราะช่วงเวลาที่เราอยากได้มันหมดไปแล้ว ทีนี้ก็จะดิ้นรนไปอยากได้อย่างอื่นต่อ” 

และเมื่อถูกถามว่า ถ้าโลกนี้ไม่มีความอยาก มีแต่การปล่อยวาง โลกจะไม่หยุดพัฒนา หยุดการเจริญรุดหน้าหรืออย่างไร พระอาจารย์ตอบว่า 

“เคยมีคนถามหลวงพ่อว่า ถ้าทุกคนบวชเป็นพระกันหมด โลกนี้จะพัฒนาไปอย่างไร หลวงพ่อบอกว่าไม่ต้องห่วง มีคนที่สมัครใจบวชเป็นพระ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคน เหมือนกับที่ไม่ใช่ทุกคนที่อยากเป็นช่างเสริมสวย (หัวเราะ) 

และในความเห็นของหลวงพ่อ โลกนี้ไม่ต้องเจริญ อีสานที่หลวงพ่อเคยอยู่ มีคนบอกว่าความเจริญเป็นสิ่งดี 

โอ้.. อยากให้เมืองนี้เจริญ วารินชำราบเจริญ อุบลฯ เจริญ แต่หลวงพ่อคิดว่า ความเจริญไม่ใช่สิ่งดีเสมอไป เพราะถ้าเจริญแบบไม่มีปัญญาก็จะมีปัญหามากขึ้น 

อย่างเมืองไทยเจริญขึ้น แต่ความสุขกลับน้อยลงตลอด ไม่เหมือนประเทศภูฏาน ประเทศเขาไม่เจริญ แต่มีความสุข” 

แม้พระอาจารย์จะเป็นตัวอย่างหนึ่งของชาวต่างชาติจากประเทศตะวันตก ที่เดินทางมาใช้ชีวิตอยู่ในประเทศตะวันออก เรียนรู้และศึกษาจิตวิญญาณตะวันออก โดยเฉพาะพระพุทธศาสนา 

แต่พระอาจารย์ก็ไม่สามารถกล่าวได้ว่า ตนเองเป็น 1 ในคนตะวันตกจำนวนมากที่หันมาสนใจจิตวิญญาณตะวันออก 

เพราะอาจจะเป็น 1 ในคนจำนวนน้อยก็ได้ หรือแม้แต่เวลานี้ก็ตาม ถามว่าคนตะวันตกสนใจจิตวิญญาณตะวันออกมากขึ้นหรือไม่ พระอาจารย์ก็ไม่อาจทราบได้ เพราะไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในประเทศตะวันตกมานานแล้ว 

“หลวงพ่อไม่ได้อยู่ในประเทศตะวันตกมา 30 กว่าปีแล้ว หลวงพ่อรู้แต่ว่าเมื่อก่อนคนตะวันตกอยากมาเมืองไทยเพราะสนใจในประเพณีวัฒนธรรม เป็นแบ็คแพ็คเกอร์มาเที่ยว หรือนั่งเครื่องบินไปเที่ยวทะเล เที่ยวเกาะสมุยโน่น แต่ไม่ค่อยมีใครมาวัด มาอีสาน มีแต่มาเอาอย่างเดียว ไม่มีใครอยากให้อะไร” 

หลายปีที่ผ่านมา อาจทำให้พระอาจารย์รู้จักประเทศไทย และเห็นความเป็นไปของประเทศไทยในหลายๆ ด้าน 

แต่พระอาจารย์ก็ออกตัวว่า ไม่อยากจะวิพากษ์วิจารณ์ประเทศไทยหรือคนไทยมากเท่าใดนัก มีเพียงบางสิ่งที่ทำให้รู้สึกเป็นห่วงคนไทยคือ มีคนไทยจำนวนไม่น้อยที่กำลังตกอยู่ในวังวนของความอยากและการโฆษณา ชวนเชื่อ ที่ทำให้รู้สึกว่าชีวิตนี้ยังไม่พอ และยังไม่ดีพอเสียที 

“ทุกคนอยากมีรถคันใหม่ อยากมีโทรศัพท์ อยากมีโน่นอยากมีนี่ มีความอยากไปในทางโลกเสียมากกว่า และการโฆษณาก็ทำให้พวกเขาคิดว่าชีวิตฉันยังไม่พอ และรู้สึกว่าฉันยังไม่ดีพอ 

ฉันต้องรวยให้มากกว่านี้ หรือฉันต้องสวย ต้องขาวให้มากกว่านี้” 

ปี พ.ศ.2553 ที่เพิ่งผ่านพ้นไป ประเทศไทยต้องประสบ กับปัญหาภัยธรรมชาติเป็นอย่างมาก 

ส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่าเป็นเพราะมนุษย์นี่เองที่เป็นฝ่ายเบียดเบียนธรรมชาติ ซึ่งพระอาจารย์ได้แนะวิธีที่จะช่วยให้เราเบียดเบียนธรรมชาติให้น้อยที่สุดว่า 

“ต้องรักษาศีล 5 ก่อน เพราะถ้าไม่รักษาศีล 5 เราก็จะเป็นฝ่ายเบียดเบียนธรรมชาติ ปัญหาที่อยากแก้ก็จะไม่สามารถแก้ได้ และอยากให้ทุกคนมีสมาธิ เพราะสิ่งเหล่านี้มันจะทำให้จิตใจของเราสบาย มีความอยากน้อยลง มีสติ แล้วปัญญาก็จะเกิดขึ้น 

ถ้าเราไม่มีปัญญา เราก็จะไม่เข้าใจอดีต และทำในสิ่งที่ ผิดพลาดเหมือนเดิมไปตลอด เหมือนเราเคยเสียใจ เพราะอกหักจากผู้ชายคนนี้ 

ถ้าเราไม่ใช้ปัญญาทำความเข้าใจว่าทำไม เราก็จะอกหักได้อีกเรื่อยๆ ดังนั้น ปัญญาช่วยให้เรา สามารถพิจารณาได้ว่าอะไรดี อะไรชั่ว 

จริงๆ แล้วจิตเดิมของมนุษย์นั้นประภัสสร นั่นคือ
- บริสุทธิ์
- รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด 

แต่เพราะว่าจิตของเรารับอะไรเข้ามาเยอะ กิเลสมันเลยเข้ามาทำให้จิตใจเราขุ่นมัว เราก็เลยไม่มีปัญญาพอที่จะมองเห็นเหตุของปัญหา แต่ไปหลงและยึดเอาค่านิยมภายนอกมากกว่า 

ภัยธรรมชาติ ที่มันเกิด มันเป็นเพราะความอยากของเราที่มันไปเป็นตัวเบียดเบียนธรรมชาติ ถ้าเราไม่อยากเบียดเบียนธรรมชาติ เราต้องถามตัวเราเองก่อนว่า เราพร้อมที่จะเสียสละไหม เช่น ถ้าเราไม่มีโรงงานนิวเคลียร์ เราก็จะไม่มีไฟฟ้าที่ผลิตจากโรงานนิวเคลียร์มาใช้นะ 

ทุกวันนี้เราพึ่งพาไฟฟ้าเพราะอะไร เพราะเราต้องการความสะดวกสบาย เวลาเราเบื่อ แทนที่เราจะนั่งสมาธิ เราต้องเปิดไฟ ดูทีวี หรือ อ่านหนังสือ ตอบสนองตัวเองด้วย สิ่งบันเทิง 

แต่ถ้าเราพยายามอยู่กับตัวเองให้ได้บ้าง บางครั้ง สิ่งบันเทิงเหล่านี้ก็ไม่ใช่สิ่งจำเป็น เมื่อเราไม่ได้เปิดไฟ ใช้ มันน้อยลง เราก็จะเบียดเบียนธรรมชาติน้อยลงไปด้วย” 

ดังนั้นพรปีใหม่ที่พระอาจารย์อยากมอบคนไทย ไม่มีอะไรที่มากกว่าการลดความอยาก เพื่อความสุขที่แท้และใช้ปัญญาแก้ไขปัญหา 

“เพราะปัญญาเท่านั้นที่จะทำให้เราหลุดพ้นจากตัวเราเอง”

16 ธันวาคม 2564

เทวดาอนุโมทนาบุญกับมนุษย์มีจริง

เทวดาอนุโมทนาบุญกับมนุษย์มีจริง
เพราะในสภาพอันเป็นทิพย์
พวกท่านมีทุกสิ่ง
อยากได้อะไรไม่ต้องใช้กำลังใจ
ขณะที่มนุษย์นั้น จะทำอะไรดีๆแต่ละที
ต้องใช้กำลังกายกำลังใจ สวนกระแสกิเลส
ซึ่งกำลังกายกำลังใจนั่นแหละ คือพลังบุญ
ยิ่งพลังบุญมาก 
เทวดายิ่งอนุโมทนามาก
และยิ่งบุญนั้น
เป็นไปในทางพ้นทุกข์ พ้นอุปาทาน
พลังบุญนั้นยิ่งสว่าง
ยิ่งจับใจเทพยดาผู้เป็นสัมมาทิฏฐิ
เรียกเทพยดาผู้เป็นสัมมาทิฏฐิ
มาอนุโมทนาได้มหาศาล
และเมื่อพวกท่านมาอนุโมทนาบ่อยๆ
ก็ย่อมเกิดความผูกพัน
อยากช่วยเหลือ อยากอำนวยสุขให้เอง โดยไม่ต้องร้องขอ

.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..  

เทวดาอยากฟังมนุษย์
ที่มีศีลมีสัตย์สวดมนต์เสมอครับ 
เพราะพลังของศีลสัตย์
จะทำให้บทสวดเปล่งประกายศักดิ์สิทธิ์ สว่าง และเย็น

ถ้าคนสวดไม่มีศีลสัตย์
ต่อให้เอาบทสวดที่ร่ำลืออย่างไรมาสวด
เปล่งเสียงสวดอย่างไร
ก็ไม่ศักดิ์สิทธิ์จริง 
ไม่สว่างจริง ไม่เย็นจริง 
อาจเกิดบุญพอจะช่วยส่งกำลังให้เปรตได้
แต่เทวดาเขาจะเมินๆ 
อนุโมทนาแล้วไม่ค่อยอิ่มทิพย์นัก 

คงคล้ายกับที่เราเห็นคนโกงกินหนักๆ 
มานั่งสอนว่า วิธีทำดี ทำอย่างไร 
รักษาศีล ๕ ให้สะอาด ต้องห้ามใจท่าไหน 
ลองคิดถึงตอนที่คุณต้องจำใจ
นั่งฟังเขาพล่ามพูดเรื่องความดีต่างๆนานา 
ก็ประมาณนั้นแหละครับที่เทวดาจะรู้สึก
เพราะในโลกวิญญาณ 
เขาเห็นไส้เห็นพุงหมดแหละว่า
มนุษย์คนหนึ่งๆมีจิตวิญญาณที่สุกสว่างผ่องใส
หรือแปดเปื้อนมลทินบาปประมาณใด!

15 ธันวาคม 2564

ก่อนจะหลับให้นึกถึง..พระนิพพาน

"ก่อนจะหลับให้นึกถึง..พระนิพพาน"
..อีกจุดหนึ่งที่มีความสำคัญคือ เตือนใจมันไว้ว่า
ก่อนจะหลับ นึกถึงพระนิพพานก่อน ตัดสินใจว่า
ถ้าข้าพเจ้าตายคราวนี้ ขอไปนิพพานจุดเดียว
พอตื่นขึ้นมาใหม่ๆ นึกถึงนิพพานก่อน หรือหลัง
จากนั้น ภาวนาไปบ้าง เผลอบ้าง ก็ไม่เป็นไร
ทำได้เล็กๆ น้อยๆ อย่างนี้ ทำทุกวันไม่ต้องมากนะ
มันทำทั้งวันไม่ได้ เพราะว่าจะรู้ตัวจริงๆ เมื่อขณะ
ที่เราจะตาย เมื่อเวลาที่มันป่วยไข้ไม่สบาย ใกล้จะ
ตายจริงๆ อารมณ์ที่เป็นกุศลทั้งหมดมันจะรวมตัว
การรวมตัวหมายความว่า มันเข้าถึง
สังขารุเปกขาญาณ อารมณ์มันจะวางเฉยทุกอย่าง
มันไม่ห่วงทรัพย์สมบัติ ไม่ห่วงคน ไม่ห่วงสัตว์
ไม่ห่วงแม้แต่ร่างกาย จิตมันเฉยๆ นะ ไม่แสดงอาการ
รังเกียจ แล้วก็ไม่ดิ้นรน ทั้งหมดมันเฉยๆ ทุกอย่าง
มีความรู้สึกว่า แม้ร่างกายก็ยังจะตาย เราจะสนใจ
อะไรกับเรื่องอื่น จิตมันเป็นสุข มันสว่างมาก จิต มันมี
ความสบายมาก รู้สึกว่าถ้าร่างกายตายเมื่อไร เราก็
ไปนิพพานเมื่อนั้น”

จาก..รวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม ๑๕ หน้า ๑๗ โดย…หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

14 ธันวาคม 2564

#ถือศีล๘อยากไปนิพพาน

 

🔹️ผู้ถาม : "กราบนมัสการพระเดชพระคุณหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ขณะนี้ลูกตั้งจิตอธิษฐานว่า.. 

๑.ลูกจะถือศีล ๘ เป็นเวลา ๗ วัน 

๒.งดบริโภคอาหารเนื้อสัตว์เป็นเวลา ๗ วัน 

๓.เจริญกรรมฐานให้ครบทั้ง ๗ วัน 

    ลูกตั้งจิตอธิษฐานและจะทำในลักษณะอย่างนี้ การกระทำอย่างนี้ จะเป็นบุญเป็นกุศลเป็นผลให้ลูกมีโอกาสได้ไปเกิดบนนิพพาน ได้หรือเปล่าเจ้าคะ..?" 

🔸️หลวงพ่อ : "ไม่ได้" 

🔹️ผู้ถาม : "แหม...นี่ก็ ๗ วัน..นี่ก็ ๗ วัน ไปไม่ได้หรือครับ..?" 

🔸️หลวงพ่อ : "แค่ ๗ วัน ปีมีกี่วัน....เราเกิดกี่ปี...อารมณ์ไม่ทรงตัว" 

🔹️ผู้ถาม : "ความจริงนะ ไอ้ ๗ วันน่ะ เอาซ้อมมโนมยิทธิแป๊บเดียว! ก็จะ...." 

🔸️หลวงพ่อ : "ดีกว่าเยอะ..."
.
.
.
🙏โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง
✍จากหนังสือหลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๑๐ หน้า ๕๓

10 ธันวาคม 2564

หลวงพ่อฤาษีลิงดำ~พระราชพรหมยานฯ ให้พร ตลอดชีวิต *

* หลวงพ่อฤาษีลิงดำ~พระราชพรหมยานฯ ให้พร ตลอดชีวิต *
..." ขอทุกท่านโปรดทราบว่า.. พรอันนี้เป็นพรตลอดชีวิต ฟังเมื่อไร ได้พรนี้ เมื่อนั้น.. 

.. หรือว่า อ่านเมื่อไร ก็เป็นอันว่าท่านได้พรนี้เมื่อนั้น เช่นเดียวกัน 

.. ในฐานะที่อาตมาเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ สัมมาสัมพุทธเจ้า ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย มีพระพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ และสังฆรัตนะ ทั้ง ๓ ประการ ขอจงอภิบาล บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน ที่กล่าวนามมาแล้วทั้งหมด ให้มีแต่ความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล

.. และ จงเจริญไปด้วยจตุรพิธพรชัยทั้ง ๔ ประการ มีอายุ วรรณะ สุขะ พละ และปฏิภาณ ปรารถนาสิ่งใดขอให้ได้สิ่งนั้นสมความปรารถนา

.. แต่สิ่งที่ลืมไม่ได้ ขอบรรดาท่านทั้งหลาย ทุกคน จงเป็นคนมีความปลอดภัยด้วยประการทั้งปวง และจงมีความร่ำรวย ทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรารถนา ให้ปรารถนาสมหวัง ด้วยประการทั้งปวง เทอญ

.. ก็ต้องขออนุโมทนาในด้านความดีของบรรดาท่านทั้งหลาย คือว่า..

.. พรนี้ขอให้สำเร็จแก่บรรดาท่านพุทธบริษัททุกคน จะอยู่ที่ไหน จะฟังที่ไหน จะอ่านเมื่อไร ขอให้มีความปรารถนาสมหวังตามพร จงทุกประการ เมื่อนั้น เทอญ..."

# หลวงพ่อพระราชพรหมยานฯ~หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ให้พร ลูกศิษย์ ที่มาแสดงมุทิตาจิต ในโอกาส พระสุธรรมยานเถระ ได้เลื่อนสมณศักดิ์เป็น พระราชพรหมยาน ไพศาลภาวนานุสิฐ มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี.

( จาก *หนังสืออ่านเล่น* โดย ส. สังข์สุวรรณ เล่มที่ ๑๑ ของวัดท่าซุง จ.อุทัยธานี..คัดลอกโดย ยุพยง พัฒนเจริญ )
🙏❤ขอเชิญเข้าห้องฝึกปฏิบัติธรรม
🍄โดยกดเข้ากลุ่มฯ ในภาพไลน์ ด้านล่างนี้..
🍊ห้องฝึกปฏิบัติธรรม เพื่อก้าวเข้าสู่พระอริยบุคคล ตั้งแต่พระโสดาบัน และ ฝึกมโนมยิทธิ ทางออนไลน์ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย..
💝
http://line.me/ti/g/Fe_UVBCA3a

สมเด็จองค์ปฐม ทรงพระเมตตาตรัสสอนไว้ดังนี้

สมเด็จองค์ปฐม ทรงพระเมตตาตรัสสอนไว้ดังนี้
อย่าไปห่วงชาติบ้านเมืองให้มากนัก เพราะมันเป็นของมันอยู่อย่างนั้นเอง แม้จักมีการโกงบ้าน - กินเมืองอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ขายกิจการรัฐวิสาหกิจ เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวไปจนหมดสิ้น ก็จงอย่ากังวลว่าไทยจักสิ้นชาติ จงอย่าเพิ่งเบื่อหน่าย - ท้อใจ กับพฤติกรรมของคนบางคน ให้เห็นเป็นธรรมดาของโลกว่ามันเป็นปกติธรรมของมันอยู่อย่างนั้นเอง

การมีสติกำหนดรู้อารมณ์ตนเองอยู่เสมอ คือผู้ไม่ประมาท หากมีอานาปาเข้มแข็ง จิตย่อมมีกำลัง และพร้อมด้วยสติ - สัมปชัญญะ ทำให้ขณะนั้นจะมีสมาธิ - ปัญญามั่นคง สู้กับกิเลสได้ โดยใช้หลักกรรมทั้งปลายมาแต่เหตุ เป็นหลักสำคัญในการแก้ปัญหา ซึ่งก็คืออริยสัจ อันเป็นปัญญาสูงสุดในพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ต่างก็บรรลุเป็นพระพุทธเจ้าได้ด้วยอริยสัจ และพระอรหันต์ทุกองค์ก็บรรลุเป็นพระอรหันต์ได้ด้วยอริยสัจด้วยกันทั้งสิ้น มีทางนี้ทางเดียว ทางอื่นไม่มี

จงรักษาศีลให้บริสุทธิ์ตามกำลังของตน ไม่ว่าจักเป็นศีล ๕ - ศีล ๘ หรือศีล ๒๒๗ เพราะศีลเป็นแม่ของพระธรรม-เป็นมารดาของพระพุทธศาสนา-เป็นรากฐานของการปฏิบัติธรรมในพุทธศาสนา ทุกคนที่เข้ามาในพุทธศาสนาต่างเข้ามาด้วยความศรัทธา เมื่อเข้ามาแล้วก็ต้องเริ่มต้นด้วยการมีศีลก่อนทั้งสิ้น ศีลป้องกันอบายภูมิทั้ง ๔ ได้อย่างถาวร คุณของศีลมีมากสุดจะบรรยายให้หมดได้ คนฉลาดจึงรีบรักษาศีล ๕ ให้ครบ กันนรกไว้ก่อน เพราะความตายเป็นของเที่ยง แต่ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง

ทำจิตให้ว่างจากกิเลสทุกครั้งก่อนจักนอน วางภาระทั้งปวงของจิตลงเสีย และมองพระนิพพานให้ชัดเจน ด้วยจิตอันผ่องใสนั้น แล้วจึงนอน

ทำใจให้สบาย อย่าไปกังวล อันใดจักเกิดมันก็ต้องเกิด ผลดีหรือผลเสียย่อมไม่เกิดแก่ผู้ไม่ยึดติด การทำจิตเพื่อพระนิพาน คือการปล่อยวางทุกอย่าง ให้เป็นไปตามกฎของกรรม ไม่ฝืนกฎของกรรม

กำลังใจเท่านั้นที่จักสำคัญมากที่สุดในการปฏิบัติให้ดำรงอยู่ในธรรม หากกำลังใจตก ให้ดูบารมี ๑๐ พร่องข้อไหนรีบแก้ไข ทำเสียให้เต็ม และดูเทวธรรม และพรหมธรรม หรือพรหมวิหาร ๔ ด้วย อาทิ - ตัวเมตตา จะต้องเมตตาตนเองก่อนเสมอ เพราะสิ่งที่เรารักที่สุดในโลกก็คือ ตัวเรา หากเราขาดเมตตา ก็จะเผลอทำร้ายตัวเองอยู่เสมอ ตัวเราคือจิต วันหนึ่งๆ จึงไม่มีใครมาทำร้ายเราได้มากเท่ากับ อารมณ์จิตของเราเองทำร้ายจิตเราเอง จากอารมณ์ ๒ พอใจกับไม่พอใจ เมื่อถูกกระทบด้วยอายตนะสัมผัสทั้งหก จิตก็หวั่นไหวไปกับสิ่งกระทบนั้น ๆ ทำให้เกิดอารมณ์พอใจ กับไม่พอใจ นักปฏิบัติธรรมจึงต้องรู้อารมณ์จิตตนเองอยู่เสมอ และสามารถปรับอารมณ์ - แก้ไขอารมณ์ของตนเองอยู่เสมอตลอดเวลา

- ตัวกรุณา จะต้องกรุณาจิตตนก่อน แต่ส่วนมากมักเผลอจุดไฟเผาใจตนเอง ตัวกรุณาจึงเกิดยาก เพราะไม่สำรวมอายตนะใจ - ขาดสติ - สัมปชัญญะ

- ตัวมุฑิตาจิต หรือจิตอ่อนโยน และเยือกเย็น จะต้องทำให้เกิดมีกับเราก่อนจึงจะเป็นของจริง แล้วส่งออกไปยินดีกับผู้อื่นที่เขาได้ดี มิฉะนั้นก็เหมือนหลอกเขาและหลอกตนเอง ขาดเทว ธรรม

- ตัวอุเบกขา จึงเป็นธรรมที่ทำได้ยากยิ่ง หาก ๓ ตัวแรกก็ยังทำไม่ได้ ก็จงอย่าพึงหวังว่าธรรมอุเบกขา หรืออุเบกขาธรรมจะเกิดขึ้น

สรุป พระธรรมในพุทธศาสนาพูดง่าย แต่ทำยาก จึงเสี่ยงต่ออบายภูมิ ๔ เพราะจำมาผิด - ตีความหมายผิดและเข้าใจผิด บางคนศีล ๕ ข้อยังไม่มีในตน ก็ออกมาแสดงธรรม
ที่มา
จากหนังสือ ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่มที่ ๑๗ รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน คัดลอกโดย ด.ญ.ปุณยนุช ขจรนิธิพร

กำหนดจิตผู้เห็น(หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)

กำหนดจิตผู้เห็น
(หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)
บางคนยังเอาแสงสว่าง 

หรือรูปภาพอะไรต่างๆ เป็นต้นว่า 

รูปพระพุทธรูปหรือรูปกสิณต่างๆ มาเป็นอารมณ์จิต

ปล่อยวางไม่ได้จะอยู่ในอิริยาบถไหนก็ปรากฏอยู่อย่างนั้นไม่ลืม นั่นเป็นมโนภาพ จิตเพ่งอย่างนั้นเมื่อจิตรวมลงไป ก็เกิดภาพเช่นนั้น จิตถึงไม่พ้นจากภาพนั้น 

#ถ้าหากกำหนดเอาผู้เห็นภาพนั้นคือจิต 

แล้วปล่อยวางภาพนั้นเสีย 

#ก็จะเห็นจิตของตนแล้วสมาธิก็จะสูงขึ้นกว่าเก่า

ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม

ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม คือ 
ผู้ประพฤติย่อมมีความดีรักษา 
ย่อมเป็นผู้ที่รักษาตนได้ 
ดังนั้น สิ่งซึ่งต้องทำที่เป็นความสำคัญ 
สำหรับทุกคนที่ต้องการรักษาตน 
คือ ความดี

สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร
#สมเด็จพระญาณสังวร
#กรมหลวงวชิรญาณสังวร

ผู้ที่เป็นคนดี

ผู้ที่เป็นคนดี 
ย่อมสามารถนำตนไปสู่ความดีงามต่าง ๆ ได้ 
นำตนไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองได้  
และสามารถนำผู้อื่นไปสู่ความดีงามต่าง ๆ ได้ 
นำผู้อื่นไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองได้ด้วย 

สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร
#สมเด็จพระญาณสังวร
#กรมหลวงวชิรญาณสังวร

ใช้เวลาให้เกิดประโยชน์

“ใช้เวลาให้เกิดประโยชน์”
ให้ระลึกถึงความไม่เที่ยงแท้แน่นอนของชีวิตของพวกเราว่า ชีวิตของพวกเรานี้ไม่มีใครรับประกันได้ว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อไหร่เวลาใด เพราะคนที่เกิดมานี้สิ้นชีวิตได้ทุกระยะเวลาของชีวิต บางคนเกิดมาเพียงวันเดียวตายก็มี เกิดมา ๗ วันตายก็มี เกิดมาเดือนหนึ่งตายก็มี เกิดมาปีหนึ่งตายก็มี ๑๐ ปีก็มี ๕๐ ปีก็มี ๑๐๐ ปีก็มี แต่ไม่มีใครรู้ว่าวันตายนี้จะมาเมื่อไหร่
        
ดังนั้น จึงต้องถือว่าอาจจะเป็นพรุ่งนี้ก็ได้ หรืออาจจะเป็นวันนี้ก็ได้ เพื่อที่จะทำให้เราจะได้ไม่ประมาทนอนใจ เพราะถ้าเราคิดว่าเราอาจจะตายวันนี้หรือพรุ่งนี้ แล้วพอถ้าเราตายแล้ว เราก็จะไม่มีโอกาสที่จะเข้าถึงพระนิพพานได้ เข้าถึงวิมุตติธรรม คือการหลุดพ้นจากกองทุกข์แห่งการเวียนว่ายตายเกิดได้ เราต้องคิดอย่างนี้คิดอยู่บ่อยๆ หรือให้ระลึกถึงความแก่ความเจ็บความตายอยู่เรื่อยๆ
      
เหมือนกับเจ้าชายสิทธัตถะ ที่พอไปเห็นคนแก่คนเจ็บคนตาย ก็ทำให้ท่านเกิดความกระตือรือร้นขึ้นมาทันที เกิดความกระตือรือร้นที่อยากจะแสวงหาทางออก จากการเกิดแก่เจ็บตายนี้เอง เพราะทรงเห็นว่าความแก่ความเจ็บความตายนี้ มันไม่สุขเลย มันเต็มไปด้วยความทุกข์ จึงไม่มีใครอยากจะแก่กัน ไม่มีใครอยากจะเจ็บไข้ได้ป่วยกัน ไม่มีใครอยากจะตายกัน แต่ก็ไม่มีใครสามารถที่จะยับยั้งความแก่ความเจ็บความตายได้ ถ้ามีการเกิดแล้ว ย่อมมีการแก่ การเจ็บ การตาย ตามมาอย่างแน่นอน จะช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง 

บางคนก็แก่เร็ว เจ็บเร็วตายเร็ว บางคนก็แก่ช้าเจ็บช้าตายช้า แต่ไม่ว่าจะช้าหรือจะเร็วจะต้องเกิดขึ้น และเมื่อถึงเวลานั้นแล้ว ก็จะไม่สามารถที่จะปฏิบัติธรรมได้ จะศึกษาธรรมได้ จึงไม่ควรที่จะปล่อยให้เวลาในขณะนี้ผ่านไป ถ้าเรายังสามารถที่จะศึกษาปฏิบัติ พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าได้ เราควรที่จะรีบตักตวงโอกาสอันนี้ ก่อนที่มันจะหมดไป เหมือนโบราณ คำพูดที่ท่านพูดไว้ว่า “น้ำขึ้นให้รีบตัก” เพราะน้ำนี้มันก็จะลดได้ น้ำในหน้าฝนน้ำก็จะขึ้นเยอะ แต่พอในหน้าแล้ง บางทีก็หายไปหมดเลยก็มี
       
งั้นช่วงที่มีน้ำ ถ้าเราต้องใช้น้ำ เราก็ต้องรีบตักเก็บเอาไว้ สำรองเอาไว้ พอในช่วงที่ไม่มีน้ำ เราจะได้มีน้ำที่เราเก็บสำรองไว้มาใช้ได้ ฉันใด ชีวิตของพวกเราก็เป็นอย่างนั้น ช่วงนี้กำลังเป็นช่วงน้ำขึ้นอยู่ ช่วงที่เรายังมีกำลังวังชา มีเวลาที่จะศึกษาที่จะปฏิบัติพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ควรเอาเวลาอันมีค่านี้ไปใช้กับเรื่องอื่น เรื่องที่ไม่มีคุณมีประโยชน์กับจิตใจ แต่เป็นเรื่องที่เป็นโทษกับจิตใจโดยที่เราไม่รู้สึกตัว เช่น การหาลาภยศสรรเสริญ หาความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย
       
อันนี้มันไม่ได้เป็นคุณเป็นประโยชน์กับจิตใจ ในทางที่จะทำให้จิตใจหลุดพ้นจากความทุกข์ได้เลย ไม่สามารถทำให้จิตใจเข้าถึงพระนิพพานได้เลย แต่มันจะเป็นกับดักให้จิตใจนี้ ติดอยู่กับวัฏจักรแห่งการเวียนว่ายตายเกิด เพราะถ้าเราแสวงหาลาภยศสรรเสริญ แสวงหาความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกายแล้ว เราก็จะติดมันเหมือนกับติดยาเสพติด เราก็จะต้องเสพมันอยู่เรื่อยๆ ต้องคอยหาลาภยศสรรเสริญ หาความสุขจากรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ มาเสพอยู่เรื่อยๆ เสพไปจนวันตาย ตายไปแล้วก็กลับมาเกิดใหม่เพื่อมาเสพใหม่
    
อันนี้แหละเป็นเหตุที่ทำให้พวกเรา ติดอยู่กับการเวียนว่ายตายเกิด คือ การไม่รู้จักใช้เวลาให้เกิดคุณประโยชน์ต่อจิตใจ ต่อการหลุดพ้นจากกองทุกข์แห่งการเวียนว่ายตายเกิด ต่อการเข้าถึงพระนิพพาน เราไม่รู้เรื่องราวเหล่านี้ เราไม่รู้เรื่องพระนิพพาน ไม่รู้เรื่องการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ เรารู้แต่ว่าเราเกิดมาแล้ว ไม่ช้าก็เร็วเราก็ต้องแก่ต้องเจ็บต้องตายกัน และก่อนที่เราจะแก่ ก่อนที่เราจะเจ็บ ก่อนที่เราจะตาย เราก็ต้องพยายามหาลาภยศสรรเสริญสุขกันให้มากๆ ที่สุดเท่าที่จะหาได้ เพราะเวลาที่เราแก่ เวลาที่เราเจ็บ เวลาที่เราตาย เราจะหาไม่ได้กันนั่นเอง 

ธรรมะหน้ากุฏิ 
วันที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๓

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี

เลี้ยงลูกให้เป็นทรพี (โดยไม่เจตนา)


โดย ศ.นพ. วิทยา นาควัชระ 
เรื่องที่จะเล่านี้เป็นเรื่องจริง

ตั้งใจจะยกให้ดูเป็นตัวอย่าง ไม่อยากจะโทษใคร เพราะตัวละครแต่ละคนในเรื่องก็เจ็บปวดอยู่แล้ว ถือว่าเป็นกรณีศึกษา และเป็นตัวอย่างประกอบก็แล้วกัน

📌 ตัวอย่างที่ 1 พ่อมีการศึกษาจบปริญญาเอก แม่จบปริญญาโท ทั้งพ่อและแม่มีการงานทำดีมาก การเงินก็ดี แต่ก็ทำงานหนักทั้งคู่

ทั้งสามีภรรยามีลูกชาย 2 คน คนโตอายุ 14 ปี คนเล็กอายุ 9 ปี

ลูกทั้งคู่ แลดูน่ารักตลอดมา การเรียนไม่เก่ง แต่การสังคมเก่ง พูดเก่ง กีฬาเก่ง กำลังเรียนในโรงเรียนที่มีชื่อมากแห่งหนึ่ง

พ่อแม่เริ่มปวดหัวที่ลูกไม่เชื่อฟังคำสั่งสอน ลูกคนโตเริ่มก้าวร้าว พ่อแม่ว่าอะไรก็เถียง หรือไม่สนใจ
ครั้งล่าสุดนี้ ลูกฃายพูดจายอกย้อนพ่อ เถียงพ่อ จนพ่อทนไม่ได้ เอามือไปตีลูกชายเข้า 1 ที ลูกชายลุกขึ้นเตะพ่อ 1 ที แล้วผลักพ่อกระเด็น แถมเดินหนีออกจากบ้านไป

พ่อมาเล่าให้ผมฟังด้วยหัวใจปวดร้าว
ผมถามว่าแล้วทำอย่างไรต่อ
เขาบอกว่า ไม่รู้จะทำอย่างไร ไม่เคยลงโทษลูกมาก่อนเลย เพราะคิดว่าจะเลี้ยงลูกด้วยการไม่ลงโทษเลย ครั้นโตแล้วจึงเห็นว่าลูกทำผิดเรื่อยๆ ไม่อยู่ในโอวาท ถ้าจะลงโทษตอนนี้ ลูกก็ไม่ยอมรับ แถมสู้ และหนีไปเฉยๆ จะสู้กับลูกก็สู้ไม่ได้ อายเขาด้วย เขาถามผมว่า
ทำไงดี……หมอครับ?

🩸 ตัวอย่างที่ 2 พ่อเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ แม่เป็นหมอ ก็ทำงานหนักทั้งคู่ ลูกชายคนโตอายุ 13 ปี ไม่เชื่อฟังพ่อแม่

ครั้งล่าสุดนี้ แม่เผลอไปเอ็ดลูกเข้ามากๆ ลูกชายเลยเอาไม้ตีหัวแม่แตก และหนีออกจากบ้านไป
พ่อแม่ก็ไม่รู้จะทำอะไร ทั้งคู่ไม่เคยลงโทษลูก
แม่โทรศัพท์มาหาและบอกว่า ไม่กล้าเล่าให้ใครฟัง กลัวเขาจะหาว่าเป็นลูกทรพี
เธอถามผมว่า….
หมอ….ทำไงดี?…..อยากฆ่าตัวตายอยู่แล้ว !!!

⭕ จากทั้งสองกรณีนี้ แสดงให้เห็นว่าเด็กเติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่ #ไม่ได้สร้างวินัยให้แก่เด็กตั้งแต่เล็กๆ เด็กจึงเติบโตขึ้นมา มีร่างกายสมบูรณ์ แข็งแรง สังคมดี พูดเก่ง กีฬาเก่ง อาจจะเรียนเก่งด้วยก็ได้ แต่ขาดวินัยกับตัวเอง ไม่มีการยอมรับกติกาของสังคม ของครอบครัว ของพ่อแม่ ซึ่งถ้าเติบโตต่อไปก็จะไม่ยอมรับกติกาของสถาบันการศึกษา ของที่ทำงาน และแม้แต่กฏหมายบ้านเมือง เรียกว่าเติบโตต่อไป ทำงานก็ยาก อยู่ก็ยาก มีครอบครัวก็ยาก มีลูกก็ยาก…..ยากไปหมดทุกอย่าง แม้แต่อยู่คนเดียวก็ยาก เผลอๆก็ทำผิดกฏหมายบ่อยๆโดยอ้างว่า…..ไม่เจตนา ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ #ก็เป็นเพราะพ่อแม่ไม่ลงโทษเมื่อเด็กทำผิดตั้งแต่เล็กๆ #และไม่ชมเชยหรือให้รางวัลเมื่อเขาทำความดี

🧑‍⚕️ผมจำได้แม่นว่า เมื่อ 10 กว่าปีมาแล้ว มีการเชื่อกันมากเรื่องการเลี้ยงลูกโดยไม่มีการลงโทษทางกาย ซึ่งก็คือการตีลูกนั่นเอง พวกมีความรู้ระดับปริญญาโทขึ้นไป ครูบาอาจารย์ แพทย์ เชื่อถือกันมากและเลี้ยงลูกโดยไม่ลงโทษโดยการตีเลย แต่จะบอกให้เด็กคิดเอง ให้เด็กมีอิสระในการแสดงออก ซึ่งแลดูก็น่ารักดีหรอกในตอนเด็กๆ ในช่วงนั้นๆ ผมเคยถูกเชิญไปบรรยายพิเศษให้สมาคมผู้ปกครองของโรงเรียนสาธิตที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งฟัง และผมก็ถูกถามเรื่องนี้ ซึ่งผมก็ตอบในที่ประชุมเลยว่า ผมไม่เห็นด้วยหรอกที่ไม่มีการลงโทษเด็กทางฝ่ายกายเมื่อทำผิด ถ้าเป็นผม ผมจะตีเด็ก ใช้มือตีก้นเขาจะดีที่สุด ผมถูกหาว่า…..แหมหมอเหี้ยมจัง

แต่ผมเชื่อว่า การถูกตี หรือการถูกลงโทษทางฝ่ายกายตั้งแต่เด็กๆนั้น เด็กจะตระหนักและรับรู้ถึงบทบาทของการลงโทษได้ดีกว่าและเร็วกว่าการลงโทษทางจิตใจและทางสังคม เพราะเด็กนั้นเล็กเกินไปที่จะเข้าใจ และจะได้ใจด้วย

⚠️ ผมยังพูดอีกด้วยว่า…"จำไว้ ถ้าคุณไม่ลงโทษลูกของคุณเมื่อทำผิด สักวันหนึ่งสังคมจะลงโทษลูกของคุณ ซึ่งจะเจ็บยิ่งกว่าที่คุณลงโทษเขาเสียอีก"

สิบกว่าปีผ่านไป เด็กๆยุคนั้นก็คงเติบโตเป็นวัยรุ่นกันในขณะนี้พอดี 

ปัญหาเรื่องลูกวัยรุ่นนี้ ทำความปวดหัวมาให้กับพ่อแม่มาก มีพ่อแม่นำลูกวัยรุ่นมาปรึกษาผมที่คลินิกมากมาย ทั้งที่เจ้าตัวยอมมาหาเอง และจ้างกันมา
มีวัยรุ่นรายหนึ่งมาจากเยอรมัน พ่อแม่ต้องจ้างให้มาหาผมด้วยการซื้อเสื้อผ้าให้ 30 ชุด ซึ่งหลังจากมาหาพูดคุยกับผมแล้ว เขาบอกว่า ไม่ต้องจ้างก็ได้เพราะมาหาแล้วคุยกับผมได้สนุกดี อยากมาคุยบ่อยๆ

โดยส่วนตัวผมเองแล้ว ผมสนใจเรื่องของวัยรุ่นและกิจกรรมวัยรุ่นตลอดมาในทุกๆรูปแบบ และต้องเข้าใจหรือตามให้ทันอยู่เสมอๆ

สมัยที่รับราชการอยู่ในโรงพยาบาลสังกัดกรมการแพทย์ ผมก็เป็นผู้ริเริ่มตั้งแผนกจิตเวชวัยรุ่นขึ้นมาเป็นครั้งแรกในประเทศไทย เพราะมองเห็นความสำคัญของบุคคลในวัยนี้ ที่จะต้องได้รับการดูแล ช่วยเหลือแนะนำหรือแก้ไขโดยจิตแพทย์ หรือบุคลากรที่พร้อมจะเข้าใจจิตใจของพวกเขาโดยแท้จริง และต้องทันสมัย ทันเหตุการณ์ด้วย

ในอเมริกาก็จะมีแผนกจิตเวชวัยรุ่นนี้อยู่ตามโรงเรียนแพทย์ใหญ่ๆที่ผมเคยได้ไปศึกษามาวัยรุ่นที่มีปัญหาหลายๆราย ก็ช่วยเหลือได้ทั้งในแง่เกเร ไม่เรียนหนังสือ ชอบหนีเที่ยว ติดยา สำส่อนทางเพศ แปรปรวนทางเพศ ก้าวร้าว แยกตัว ขาดความเชื่อมั่นตัวเอง กังวล ฯลฯ

บางรายก็ช่วยเหลือได้ยากมาก เพราะเขาไม่อยากให้แพทย์ช่วย และที่แน่นอนคือ พ่อแม่ต้องให้ความร่วมมือด้วย แต่ไม่อยากจะรอให้ถึงขั้นนี้หรอก จะเจ็บด้วยกันทั้ง พ่อ แม่ ลูก 

จงมาตั้งใจอบรมลูกให้มีวินัยตั้งแต่เด็กๆดีกว่าครับ
จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจว่า เลี้ยงลูกผิด ซึ่งถือว่าเป็นบาปบริสุทธิ์ชนิดหนึ่งก็ได้ หรือ อย่างที่ชาวบ้านเขาเรียกกันว่า เป็นการเลี้ยงลูกให้เป็นทรพีโดยไม่เจตนาก็ได้ ผมหนาวในหัวใจจังครับ ....จบ

  -------------------------------------------------------------------

อันนี้ผม(พ่อโต้ง) ขอย้ำอีกรอบนึงนะครับ 

ถ้าวันนี้เราไม่ลงโทษเมื่อลูกเราทำผิด
วันนึงสังคมจะลงโทษลูกเราเอง
ซึ่งจะเจ็บปวดยิ่งกว่าเราลงโทษ ... ✔

ส่วนจะลงโทษกันแบบไหนนั้น
ก็คงต้องแล้วแต่ความเชื่อของแต่ละบ้านนะครับ 

#ดีต่อลูก #family #parenting #children

#รวยเหมือนพระพุทธเจ้า

 

🔹️ผู้ถาม : "ดิฉันและน้องๆได้สร้างพระพุทธรูป ปิดทองฝังเพชรขนาด ๓๐ นิ้ว ถวายเป็นพุทธบูชา ไปไว้ที่วัดท่าซุง ถวายแล้ว...หลวงพ่อให้พรว่า "ขอให้รวยทุกคน.. รวยเท่าพระพุทธเจ้านะลูก" กราบเรียนถามหลวงพ่อว่า รวยเท่าพระพุทธเจ้าเขารวยแบบไหนเจ้าคะ..?" 

🔸️ หลวงพ่อ : "จะเอาแบบไหนล่ะ.... จะเอาแบบทรัพย์มาก หรือจะเอาแบบกิเลสหมด..?" 

🔹️ผู้ถาม : "ตอนนี้เอาทรัพย์ก่อนก็แล้วกันค่ะ เพราะเศรษฐกิจไม่ค่อยดี" 

🔸️หลวงพ่อ : "พระพุทธเจ้านี่รวยมากเพราะที่กิเลสหมดนะ คือว่าพระพุทธเจ้าใครบอกไม่มีทรัพย์สินน่ะไม่ถูกหรอก ที่นั่งอยู่ที่นี่ทรัพย์ที่นำมาให้เป็นของพระพุทธเจ้าทั้งหมดนะ ฉันไม่คิดว่าเป็นของฉัน พระพุทธเจ้าเสด็จไปที่ไหน...ไม่เคยจน อย่างวิหารของนางวิสาขาเขาสร้างราคาเท่าไร ก็รวมความว่าพระพุทธเจ้ามีทรัพย์สินมาก ราคาเป็นล้านๆโกฏิ เอารวยแบบนั้นก็แล้วกันนะ..." 

❤❤ หลวงพ่อมักให้พรอย่างนี้เสมอว่า "รวย รวย รวย" ❤❤
.
.
.
🙏โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง 
✍คัดจากหนังสือ หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม เล่ม ๑ หน้า ๗-๘

#การตายของเทวดานางฟ้า

....ท่านพระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโปเล่าว่า ปกติเวลาเทพบุตร เทพธิดาจะจุติลงมาเป็นมนุษย์ ทุกองค์มีความตั้งใจจะลงมา สร้างคุณงามความดีเพื่อยกภูมิ ....ของตนให้สูงขึ้น แต่พอมาเป็น...มนุษย์จะลืม และหลงไปใน ..อบายมุขในโลก.. ไม่สร้างกรรมดีตามที่ตั้งใจ. ..ซ้ำกลับต้องตกต่ำลงกว่า ที่ตนเคยเสวยสุขอยู่เสียอีก..!! บนสวรรค์เมืองแมนแดนสวรรค์ท่านว่าสุขทุกขณะจิต .. ส่วนผู้เสวยบาปต้องลงนรก ลำพังความเดือดร้อนจากไฟนรก ก็แสนสาหัส.ไม่ต้องถูกลงทัณฑ์ ทรมาน ชาวนรกก็พูดไม่ออกบอกไม่ถูกกันอยู่แล้ว ... ในนรกท่านก็ว่าเป็นทุกข์ไม่มีเวลาสุข ทุกขณะจิตเช่นกัน..!!

"..พวกเราเองเป็นอย่างไร สว่างมา สว่างไป หรือ สว่างมา มืดไป หรือ มืดมา สว่างไป หรือ มืดมา มืดไป ทรัพย์สมบัติทุกชิ้นที่หามาจากโลกนี้ ยศตำแหน่งหน้าที่การงาน คำสรรเสริญติชมทุกสรรพเสียง ความสุขรื่นรมณ์ทุกประการ คนรักสัตว์เลี้ยงสิ่งของที่สะสมห่วงหาอาลัย สุดท้ายคืนโลกหมด เหมือนฝันไปจำต้องตื่น เหมือนอายุงานที่จำต้องเกษียณ ประกันชีวิตที่ทำชาตินี้ ควรเป็นศีล สมาธิ ปัญญา เพื่อเอาไปใช้ในชาติหน้าได้จริง..."

--------------------------------------------------------------------

คติธรรมคำสอน : พระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป
วัดอรัญญวิเวก อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่

"คนสวย คนซวย"

ลืมอารมณ์หลังที่เรามีความหลง เห็นคนสวยพยายามไปดูถึงบ้าน ในเวลาที่เขาไม่แต่งตัว ไปดูเวลาที่เขาถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ มันน่ากินน่าดื่มไหม นั่นแหละคนสวยที่เราคิดว่าสวย ก็คือคนซวย มันจะสวยตรงไหน เต็มไปด้วยความสกปรก จะเอาคำว่าสวยมาจากไหน ถ้าจะถามว่าคนซวยคือใคร ก็คือเรา เรามันซวย เพราะว่าเห็นคนที่สกปรกหาว่าเป็นคนสวย เห็นคนที่มีสภาวะร่างกายไม่ทรงไว้ซึ่งความจีรังยั่งยืน หาว่ายั่งยืน เขาเป็นเช่นใด เราก็เป็นเช่นนั้น  

เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว เรายังจะโง่เข้าไปรักร่างกายที่มีความสวยสดงดงามตามที่เราคิดด้วยความโง่อีกหรือ เราจะหลงในวัตถุที่เขาแต่งด้วยสีสันวรรณะ เห็นว่าสวยสดงดงาม แต่เนื้อแท้จริง ๆ มันเต็มไปด้วยความผุพัง เก่าคร่ำคร่าภายใน มันเดินทางเข้าไปหาความสลายตัวของมัน เรายังพอใจหรือยังไง เป็นอันว่าทรงอารมณ์ใจคิดไว้อย่างนี้ว่า ร่างกายของเราก็ดี ของเขาก็ดี มันเต็มไปด้วยความสกปรก และก็ยังไม่มีการจีรังยั่งยืน มันทรุดโทรม มันจะสลายตัวไปทุกวัน ในที่สุดเราก็กลายเป็นผีที่ไม่มีใครปรารถนา เมื่อ
อานาปานุสสติกรรมฐานคือลมปราณสิ้นไป ใครเล่าเขาจะต้องการ

ดูตัวอย่างนางสิริมา สวยแสนสวย แต่ทว่าพอตายแล้ว ๓ วัน องค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดาทรงนำพระไปเยี่ยม ไปเยี่ยมศพ คำว่าการเยี่ยมศพของพระพุทธเจ้ามีความหมายที่ให้บรรดาพระทั้งหลายมีความเข้าใจในขันธ์ ๕ ว่ามันสกปรก ในที่สุดประกาศขายนางสิริมาพันกหาปณะ ไม่มีใครซื้อ ยกให้เปล่า ๆ นางเน่าแล้วไม่มีใครซื้อ นั่นเพราะอะไร ตอนที่
นางสิริมามีลมปราณ เธอเป็นหญิงที่มีความสวยงามมาก เป็นที่ต้องตาต้องใจ

สำหรับการพิจารณาแบบนี้ ขอให้ท่านทั้งหลายทำใจสลับกันระหว่างสมาธิกับการพิจารณา ถ้าพิจารณาไปอารมณ์มันซ่าน เราก็ถอยหลังเข้ามาจับอารมณ์ให้ทรงตัว คือทิ้งการพิจารณาเสียมาจับ
อานาปานุสสติกับพุทธานุสสติควบกัน สลับกันไปสลับกันมาแบบนี้ ในที่สุดจิตใจของทุกท่านก็จะเกาะติดอยู่ในอารมณ์ของอสุภกรรมฐานกับ
กายคตานุสสติ และสักกายทิฏฐิ เป็นตัวตัดกิเลสในด้านราคะจริต คือกามราคะจะค่อย ๆ สลายตัวไป

และขอให้ท่านทั้งหลายจงลืมความหลังที่เราเห็นว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกมีความจีรังยั่งยืน มีความสวยสดงดงาม ที่น่ารักน่าปรารถนา น่าใคร่น่าพอใจ จงทำกำลังใจของท่านยอมรับนับถือกฎของความเป็นจริงตามที่กล่าวมา มองดูเวลาก็หมดเสียแล้วสำหรับวันนี้ สำหรับ อสุภสัญญากับกายคตานุสสติ กับสักกายทิฏฐิ วันนี้ก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้

จาก : หนังสือคำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่มที่๒๓ หน้าที่๑๑๑ โดย...หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

เมื่อก่อนไม่เคยรู้เลย.......

เมื่อก่อนไม่เคยรู้เลย.......
๑. มัดตราสังสามเปลาะ 
มัดที่คอ หมายถึง บ่วงรักลูก 
มัดที่มือ หมายถึง บ่วงรักสามี - ภรรยา 
มัดตรงข้อเท้า หมายถึง บ่วงรักทรัพย์สมบัติ ติดอยู่สามบ่วงนี้ ไปนิพพานไม่ได้
ต้องเวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏไม่มีจบสิ้น

๒. เคาะโลงรับศีล 
ไม่ใช่ให้คนตายมารับศีลแต่ เพื่อเป็นการบอกคนที่มาร่วมงานว่า อย่าเอาแต่มัวประมาทขาดสติ ไม่สนใจในหลักธรรมคำสอน เมื่อตายไปหมดโอกาสทำความดี จะเคาะจนโลงแตกก็ลุกขึ้นมาไม่ได้

๓. สวดอภิธรรม 
มักสวดเป็นภาษาบาลี คนเป็นฟังไม่รู้เรื่อง จึงนึกว่าสวดให้คนตาย แต่จริงๆ แล้วเป็นการสวด เพื่อสอนคนที่ยังมีชีวิตอยู่เพื่อที่จะได้นำหลักธรรมไปปฏิบัติให้เกิดผลดีในชีวิตประจำวันดังนั้นแม้จะฟังไม่เข้าใจแต่เพื่อให้การฟังสวดอภิธรรมเกิดผล ควรสำรวมส่งจิตไปอยู่กับเสียงพระสวด ให้จิตสงบนิ่งอยู่กับเสียงพระสวดก็จะเกิดสมาธิจิตได้

๔. บวชหน้าไฟ 
มักเข้าใจกันว่า เป็นการบวชจูงผู้ตายขึ้นสวรรค์ ความจริงนั้น ไม่ใช่ เพราะการบวชหน้าไฟ เป็นการปลงธรรมสังเวชต่อการเกิด แก่ เจ็บ และตายในที่สุด มนุษย์ก็มีเท่านี้ ทำให้เกิดการเบื่อหน่ายต่อชีวิตในโลกียวิสัย ไม่ประสงค์จะอยู่ในเพศฆราวาส แล้วพอใจในสมณะเพศ มุ่งปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้น เข้าสู่มรรคผลนิพพาน

๕. การนิมนต์พระจูงออกหน้าศพ
เพื่อจะสอนคนที่ยังอยู่ให้ได้สำนึกว่าตอนที่ยังอยู่ ต้องเดินตามหลังพระ หมายความว่าให้ดำเนินชีวิตตามพระธรรมคำสั่งสอนพระพุทธเจ้านั่นเอง จึงจะอยู่ดีมีสุข มีความเจริญก้าวหน้า

๖. การเวียนซ้าย ๓ รอบ 
หมายถึง การเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพทั้งสามอันมี กามภพ รูปภพ อรูปภพ ด้วยอำนาจกิเลสตัณหาอุปทาน ก็จะเป็นทุกข์ไม่จบสิ้น ฉะนั้นต้องทวนกระแสกิเลส เป็นการสอนธรรมชั้นสูง จึงได้พาศพเวียนซ้าย

๗. การใช้น้ำมะพร้าวล้างหน้าศพ เพื่อชี้ให้เห็นว่าน้ำมะพร้าวเป็นน้ำสะอาด บริสุทธิ์ ผู้เข้าสู่มรรคผลนิพพาน ต้องชำระจิตให้สะอาดด้วยน้ำทิพย์จากพระธรรม

๘. การแปรรูป หลังจากเผาแล้ว มีการเก็บอัฐิและมีการเขี่ยขี้เถ้าผู้ตายให้เป็นรูปร่างกลับไปกลับมาเพื่อจะบอกว่าได้กลับชาติใหม่แล้วตามวิบากของกรรมต่อไป
                    ..................

"อย่ามัวแต่หลง ลาภ ยศ สรรเสริญ หลงตำแหน่งหน้าที่การงานอยู่ สิ่งทั้งหลายเอาไปตอนตายไม่ได้"

08 ธันวาคม 2564

ทุกวันนี้ เรา "รักตัวเองหรือหลงตัวเอง" ??

🌺ทุกวันนี้ เรา "รักตัวเอง" เป็นหรือเปล่า ??🌺
คนที่ "รักตัวเอง" เป็นคือ

1. มีความหวังดีต่อตนเอง พยายามพัฒนาตนเองให้เก่งขึ้น ดีขึ้น ไม่ทำตัวในทางเสื่อมเสีย

2. มีความยับยั้งชั่งใจ ไม่ประพฤติสิ่งผิด ไม่ทำให้ตัวเองและผู้อื่นเดือดร้อน

3. รู้จักการปล่อยวาง คือยอมรับผลที่เกิดขึ้นหลังจากที่เราทำดีสุดความสามารถแล้ว

4. ให้อภัยตนเองได้ เมื่อดำเนินชีวิตผิดพลาดและเรียนรู้ที่จะไม่ทำผิดในครั้งต่อไป

การรักตัวเอง ไม่ใช่การปรนเปรอตัวเองด้วยการเสพวัตถุ ไม่ใช่การช่วงชิงทรัพยากรจากคนอื่นเพื่อประโยชน์ของตน

การรักตัวเอง เป็นการพัฒนาคุณค่าจากภายใน มองดูตัวเองแล้วชื่นใจ พูดจายกย่องตัวเองได้ เพราะเห็นว่าตัวเราเองมี "ดีและเก่ง" อะไรบ้าง

ที่สำคัญต้องก่อประโยชน์แก่ผู้อื่นด้วย ความนับถือและความศรัทธาจึงจะตามมา ท่านพุทธทาสใช้คำว่า "ยกมือไหว้ตัวเองได้"

คำว่า "รักตัวเอง" กับ "หลงตัวเอง" แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

1. คนรักตัวเองรู้มาก แต่พูดน้อยเท่าที่จำเป็น
คนหลงตัวเองรู้น้อย แต่ชอบคุยโม้โอ้อวดเพื่อกลบเกลื่อนความไร้สามารถในเรื่องอื่นๆ

2. คนรักตัวเองเห็นความดีและความสามารถทั้งของตัวเองและผู้อื่น พูดชื่นชมคนอื่นทั้งต่อหน้าลับหลัง
คนหลงตัวเองชอบนินทาว่าร้ายผู้อื่น หยิบยกความผิดของคนอื่นมาบดบังความชั่วร้ายของตนเอง

3. คนรักตัวเองเห็นความบกพร่องของตนเอง และพร้อมที่จะปรับปรุงแก้ไข
คนหลงตัวเองมองข้ามความบกพร่องของตัวเอง แต่เชี่ยวชาญในการจับผิดเรื่องของคนอื่น

4. คนรักตัวเองมีความเห็นอกเห็นใจคนที่ด้อยกว่า อยากช่วยเหลือ
คนหลงตัวเองถนัดในการซ้ำเติมความผิดของผู้อื่น ชอบเอาปมด้อยคนอื่นมาล้อเลียน

5. คนรักตัวเองมีมุทิตาจิต เมื่อเห็นผู้อื่นประสบความสำเร็จก็ชื่นชมยินดี
คนหลงตัวเองช่างอิจฉาริษยา เห็นคนอื่นได้ดีแล้วตัวเองเจ็บปวด

6. คนรักตัวเองอ่อนน้อมถ่อมตน สุภาพ ให้เกียรติผู้อื่น
คนหลงตัวเองมักก้าวร้าว เย่อหยิง ยโสโอหัง พูดจาขวานผ่าซาก ไม่รักษาน้ำใจคน

7. คนรักตัวเองอยากเรียนรู้จากคนอื่นในเรื่องที่ตนเองยังไม่รู้ เปิดใจรับฟัง
คนหลงตัวเองชอบทำตัวเหนือกว่าคนอื่น รับไม่ได้ว่าคนอื่นเก่งกว่าเราในบางเรื่อง

8. คนรักตัวเองจะแก้ไขปัญหาอย่างสันติและสร้างสรรค์
คนหลงตัวเองมักใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา

9. คนรักตัวเองมีความเสียสละ คิดถึงประโยชน์ของคนส่วนใหญ่เป็นหลัก
คนหลงตัวเองเห็นแก่ตัว ชอบเอาเปรียบผู้อื่นเมื่อมีโอกาส

10. คนรักตัวเองเป็นแหล่งกำเนิดของความสุขแก่ผู้ใกล้ชิด ได้ฟังมธุรสวาจา
คนหลงตัวเองเป็นมลพิษของคนรอบข้าง ใครอยู่ใกล้มักอึดอัด รำคาญ ได้ยินแต่เรื่องร้ายๆ

11. คนรักตัวเองมีรัศมีแห่งความเมตตา
คนหลงตัวเองมีรังสีอำมหิต

ไม่ควรรู้สึกด้อยเมื่อเจอคนเก่งกว่า ควรจะมองว่าคนเราเก่งคนละด้าน มีความสามารถแตกต่างหลากหลาย

การรู้สึกว่าตัวเองแย่ เลยต้องคอยหา "ข้อลบ" ของคนอื่น เพื่อให้รู้สึกว่าตัวเอง "เหนือกว่า" ไม่เคยมองเห็น "ข้อบกพร่อง" ของตนเอง ที่สุดแล้วก็ไม่มีการพัฒนา... มีแต่ปัญหาทะเลาะกัน เพราะการรักตัวเองไม่เป็นทั้งนั้น

ที่มา
🍁บทความจาก : นพ.สุกมล วิภาวีพลกุล🍁

#ข้อคิดรายวัน

#ถอดรหัสความคิด

07 ธันวาคม 2564

อนิสงส์การแผ่เมตตา

อนิสงส์การแผ่เมตตา
ผู้ปฏิบัติธรรมนั้น ต้องรู้จักคำว่า แผ่เมตตา คือต้องเข้าใจว่า ความวิเวกวังเวงแห่งการคิดนึกของเราแต่ละบุคคลนั้น มีกระแสแห่งธาตุไฟผสมอยู่ในจิตและวิญญาณกระจายออกไป เมื่อจิตของเรามีเจตนาบริสุทธิ์ เมื่อจิตของเราเป็นมิตรกับทุกคน เมื่อนั้นเขาก็ย่อมเป็นมิตรกับเรา เสมือนหนึ่งเราให้เขากินอาหาร คนที่กินอาหารนั้นย่อมคิดถึงคุณของเรา หรืออีกนัยหนึ่งว่าเราผูกมิตรกับเขาๆก็ย่อมเป็นมิตรกับเรา แม้แต่คนอันธพาล เราแผ่เมตตาจิตให้ทุกๆวัน สักวันหนึ่งเขาก็ต้องเป็นมิตรกับเราจนได้ เมื่อจิตเรามีเจตนาดีต่อดวงวิญญาณทุกๆดวง ดวงวิญญาณทุกๆดวงย่อมรู้กระแสแห่งจิตของเรา เรียกว่ามนุษย์เรานี้มีกระแสธาตุไฟออกจากสังขาร เพราะเป็นพลังแห่งการนั่งสมาธิจิต วิญญาณจะสงบ ธาตุทั้ง 4 นั้น จะเสมอแล้วจะเปล่งเป็นพลังงานออกไป ฉะนั้น ผู้ที่นั่งสมาธิปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ จิตแน่วแน่แล้ว โรคที่เป็นอยู่มันจะหายไป ถ้าสังขารนั้นไม่ใช่จะพังเต็มทีแล้ว คือไม่ถึงวาระสิ้นอายุขัย หรือว่าสังขารนั้นร่วงโรยเกินไปแล้ว ก็จะรักษาให้มันกระชุ่มกระชวยได้หรือจะให้มันสบายหายเป็นปกติดั่งเดิมได้

คติธรรมคำสอน ของ สมเด็จพระพุฒาจารย์ ( โต พรหมรังสี )

#มหาบุญใหญ่ที่สุดในหมวดของการให้ทานคือธรรมะ

#มหาบุญใหญ่ที่สุดในหมวดของการให้ทานคือธรรมะ
พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า 
“...ดูกรสุภูติ หากชายคนหนึ่งทำทานโดยการ
ถวายทานด้วยสมบัติกองสูงเท่ากับภูเขาพระสุเมรุทั้ง
จักรวาลมารวมกัน ส่วนอีกคนหนึ่ง รับฟังคำสอนไว้
ในใจ อ่าน เรียนรู้ จดจำ แล้วสั่งสอนผู้อื่น
บุญกุศลของชายคนแรกยังไม่มากเท่าหนึ่งใน
ร้อย หนึ่งในพัน หนึ่งในแสน ของบุญกุศลที่ชายคน
ที่สองได้รับ เพราะไม่สามารถจะเปรียบกันได้เลย

#ครั้งหนึ่ง 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จประทับ
อยู่ในเชตวันมหาวิหาร ณ กรุงสาวัตถี
ในเวลานั้นพระสารีบุตรเถระเจ้า มีความประสงค์
จักทูลถามพระพุทธเจ้าให้ทรงแสดงธรรม
ประกาศอานิสงส์การสร้างพระไตรปิฎก ให้ทราบทั่วถึงกัน
แก่พุทธบริษัทพระเถระเจ้าก็เข้าเฝ้าทูลถาม 
แก่พระผู้มีพระภาคเจ้า ว่า

"ว่าข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าชนทั้งหลายให้พุทธศาสนายืนยาวถึง ๕ พันวัสสา จะมีอานิสงส์เป็นประการใด พระพุทธเจ้าข้า "

พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า 
"ดูกรท่านสารีบุตร ถ้าชนทั้งหลายมีจิตรศรัทธาเลื่อมใสเช่นนั้นแล้ว

เมื่อตายไปแล้วก็จักรได้เสวยราชสมบัติเป็นพระเจ้าจักรพรรดิราชถึง ๘ หมื่น ๔ พันกัลป์ ใช่แต่เท่านั้น
เมื่อเคลื่อนจากความเป็นพระเจ้าจักรพรรดิแล้ว ก็จะได้เป็นพระราชา มีอนุภาพอีก ๙ อสงไขย
ต่อจากนั้นก็ได้เสวยสมบัติในตระกูลต่าง ๆ เป็นลำดับไป 
คือตระกูลพราหมณ์มหาศาล ตระกูลเศรษฐีคฤหบดี 
และเป็นภูมิเทวดาอากาศเทวดา อย่างละ ๙ อสงไขย 
ต่อแต่นั้นก็จะได้เสวยในสวรรค์ทั้ง ๖ ชั้น เป็นลำดับไป
ชั้นละ ๘ อสงไขย 

เมื่อ จุติจากชั้นเทวโลกแล้ว มาถือกำเนิดเกิดเป็นมนุษย์ ก็จะมีร่างกายบริสุทธิ์ผุดผ่อง เป็นที่รักใคร่แก่คนทั้งหลายที่ได้พบเห็นทั้งน้ำใจก็บริสุทธิ์ สุจริตปราศจากบาปธรรมอกุศลทั้งปวง และเป็นผู้มีปัญญาเฉลียวฉลาดรอบรู้ทั้งทางโลกและทางธรรม ดังนี้เป็นต้น 

#และได้ตรัสต่อไปอีกว่า 

ดูกรท่านสารีบุตร เมื่อตถาคตสร้างบารมีอยู่ได้เกิดเป็นอำมาตย์ของพุทธบิดา แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า ปุราณโคดม ได้สร้างพระไตรปิฎกไว้ให้สืบองค์ ได้ตั้งความปรารถนา ขอตรัสเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งเถิดในอนาคตกาล 
สมเด็จพระปุราณโคดมบรมศาสดาทรงพยากรณ์ไว้ว่า อำมาตย์ผู้นี้ต่อไปภายภาคหน้า จะได้ตรัสเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง มีพระนามว่า พระสมณโคดมก็คือพระตถาคตเรานี้เองดังนี้แล"

ก็สิ้นสุดพระกระแสธรรมเทศนา ที่พระบรมศาสดาทรงแสดงแก่พระสารีบุตรเถระเจ้าแต่เพียงเท่านี้

“สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ’’
การให้ธรรมเป็นทาน ย่อมชนะการให้ทั้งปวง”

( ในยุคสมัยนี้เรามีโอกาศในการทำความดีได้ง่ายแค่ปลายนิ้ว เผยแพร่สิ่งที่เป็นธรรมในทางที่ถูกต้อง ก็จะเป็นบุญย้อนกลับมาหาเรา ตรงกันข้ามเผยแพร่สิ่งที่ทำให้คนหลงผิด เศร้าหมอง มีความเห็นผิด ก็จะได้ผลของสิ่งนั้นกลับมาเช่นกัน ผู้มีปัญญาจะมีสติ ใช้ตรงนี้ให้เกิดประโยชน์ )

อริยสัจ 4 และมรรคแปด

ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ห่างไกลจากกิเลสตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาค ทรงตรัส...