ในหนังสือชื่อ Invisible worlds Exploring The Unseen ของ Piers bizony ซึ่งแปลเป็นภาพภาษาไทยโดย รอฮีท ปรามาท โดยสำนักพิมพ์มติชน เมื่อต้นเดือนมีนาคม 2548 ที่ผ่านมา ได้กล่าวว่า การถ่ายภาพรังสีออร่าของสิ่งมีชีวิต กับจิตวิญญาณและพลังจิตว่า
เทคนิคการถ่ายภาพชนิดนี้ ซึ่งในปัจจุบันเรียกกันว่า “การถ่ายภาพเคอร์เลียน ( kirlian photography ) มีกรรมวิธีที่ไม่ซับซ้อน” เพียงใช้แผ่นพิมพ์วางบนแผ่นโลหะ แล้ววางวัตถุและอินทรีย์ลงบนแผ่นฟิล์ม จากนั้นก็ส่งกระแสไฟไปยังแผ่นโลหะ ภาพของวัตถุจะถูกบันทึกลงบนแผ่นฟิล์ม ซึ่งเมื่อผ่านกรรมวิธีล้างฟิล์ม ก็จะได้ภาพที่ปรากฏเป็นเงาของวัตถุเรืองแสงล้อมรอบด้วยกลุ่มไอหมอกจางๆ หรือรัศมี
ทำให้คนส่วนใหญ่รวมทั้งนักวิทยาศาสตร์ทางจิตเชื่อว่า ภาพถ่ายเกอร์เลี่ยนเผยให้ถึงออร่า (AURA) หรือรัศมีของสิ่งมีชีวิตซึ่งมีลักษณะเป็นสนามพลังไฟฟ้าชีวภาพชนิดหนึ่ง ( Bio-electric.energy field) ล้อมรอบในสิ่งมีชีวิตทุกชนิด
กล่าวได้ว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหลายนั้น ล้วนมีน้ำเป็นองค์ประกอบสำคัญภาพใน อาศัยพลังงานจากแสงอาทิตย์ในช่วงของคลื่นชีวภาพ ( F.I.R.) ทำให้โมเลกุล น้ำเกิดการสั่นสะเทือน (Vibrate) จนเกิดเป็นพลังงานสั่นพ้อง (Resouance) ด้วยคลื่นความถี่เดียวกัน (Wavelength 4-16 Micron)
แรงสั่นสะเทือนของคลื่นชีวภาพ (F.I.R.) ทำให้โครงสร้างอะตอมซึ่งประกอบด้วย โปรตอน อิเลคตรอน ซึ่งเคลื่อนอยู่ตลอดเวลาในร่างกาย โดยมีอิเลคตรอนที่เป็นประจุลบและโคจรอยู่รอบนิวเคลียส และโปรตอน ที่เป็นประจุบวก อยู่ใกล้กับนิวเคลียส เกิดการกระตุ้นภายในร่างกายขึ้นให้เกิดประจุพลังงานของรังสีอุลตร้าไวโอเลตขึ้น กลายเป็นรัศมีเรืองแสง หรือออร่า ซึ่งเป็นพลังงานที่ห่อหุ้มร่างกายของสิ่งมีชีวิตหรือสสาร ทั้งหลายที่มีโครงสร้างของอะตอม
พลังงานที่มีรัศมีเกิดขึ้นนี้ ชาวรัสเซียเรียกว่า ร่างไบโอพลาสมิก เป็นอนุภาคของพลังงานไฟฟ้าที่เกิดขึ้นเป็นปฎิกิริยาชีวภาพในสิ่งมีชีวิต อาจจะเรียกว่า ร่างพลาสมา (Bio logical Plasam Body)
ภาพถ่ายออร่าอาหารหรือเฟรนฟรายด์ที่ยังมีชีวิตอยู่
ภาพถ่ายออร่าอาหารหรือแมคโดนัลที่ตายแล้ว Dead foods
มีการอธิบายว่า ลักษณะของลำแสงออร่ารอบๆ รังมดเป็นชมพูอ่อนๆ และจะเข้มข้นขึ้นรอบๆ ตัวมดแต่ละตัว ส่วนนกหงส์หยก จะมีรัศมีเป็นสีฟ้าอ่อนแพร่ออกมาเป็นวงโดยรอบ มีขนาดใหญ่กว่าร่างกายของมันถึงสองเท่าตัว ส่วนลำแสงออร่า ที่ห่อหุ้มอยู่รอบมนุษย์นั้นค่อนข้างจะซับซ้อน และสับสนกว่าสัตว์อื่น มีลักษณะเป็นแถบสีสเปคตรัม 7 สี คล้ายละรอกคลื่น มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา โดยสีจะเข้มที่สุดบริเวณวงในที่ติดกับกายหยาบของมนุษย์แล้วค่อยๆ อ่อนแสงลงจนมีสีอ่อนที่สุดในบริเวณรอบนอกสุด
สภาพจิตใจและอารมณ์ของมนุษย์จะทำให้สีของลำแสงออร่า รอบๆ ตัวเปลี่ยนแปลงไป และถ้าหากมีโรคภัยเบียดเบียน ลำแสงออร่าก็เปลี่ยนไปเป็นสีคล้ำหรือซีดลง หรือถ้าไม่อย่างนั้นก็อาจจะมีลำแสงออร่าสีอื่นๆ ที่ทึบๆ เข้ามาแทรกซ้อนแบบขากๆ ไม่ประติดประต่อกันได้
การถ่ายภาพเรืองแสงของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าภาพออร่า หรือวิธีการถ่ายภาพในยุคแรกที่เรียกว่าเคอร์เลียน ( Kirlian) นี้คิดค้นโดยสองสามีภรรยาชาวรัสเซียคือ ซีเมียน (Semyon) และ วาเลนตินาเกอร์เลียน (Valentina Kirlian) ตั้งแต่ปี 2482
ทั้งสองมีความเชื่อว่าร่างกายของมนุษย์ทุกคนมีแสงรัศมีล้อมรอบกายหยาบ หรือกายเนื้ออยู่ทุกทิศทุกทางในสามมิติ โดยแสงกระจายที่เรืองรองเรียกว่า ออร่า (Aura) กระจายออกมาจากพื้นภายในส่วนที่มืด
การค้นพบที่โดดเด่นเป็นพิเศษ ในปี 2507 เมื่อกล้องถ่ายภาพเกอร์เลียนรุ่นล่าสุด สามารถบันทึกภาพที่สมบูรณ์ของชิ้นส่วนสิ่งมีชีวิตได้ แม้ว่าทางกายภาพแล้วชิ้นส่วนนั้นจะถูกตัดขาดไปแล้ว เช่น เมื่อถ่ายภาพใบไม้ที่ถูกตัดแหว่งไปหนึ่งในสามภาพที่ถ่ายได้ยังคงเป็นภาพใบไม้เต็มใบ
กล้องถ่ายออร่า
รูปออร่าของผลมะเขือเทศสด
สิ่งนี้สอดคล้องกับการอธิบายกรณีที่นักวิญญาณศาสตร์อ้างว่า สามารถมองเห็นแขนขาส่วนที่ตัดขาดออกไปแล้ว ของคนไข้ได้ ซึ่งแต่เดิมเมื่อคนไข้เหล่านี้ บอกว่ายังมีความรู้สึกเกิดกับอวัยวะส่วนที่ตัดออกไปนั้น แพทย์จะพยายามอธิบายว่า เป็นเพราะสมองยังคงบันทึกรูปแบบความทรงจำของความรู้สึกผ่านระบบเส้นประสาทบริเวณนั้นเอาไว้
ในที่สุด ภาพจากกล้องถ่ายภาพเกอร์เลียนก็พิสูจน์ความจริงที่ว่า ยังมีกลุ่มพลังงานตกค้างหรือหลงเหลืออยู่ในรูปแบบของออร่านั่นเอง
นายแพทย์สตานิสลัฟ โกร๊ฟ (Stanislav Grof) มีผู้ค้นคว้าเรื่องสมองในงานชื่อ Beyond The Brain เมื่อปี 1985 ศาสตราจารย์ทางจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยแพทย์อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ที่นครนิวยอร์คอธิบายว่า การสั่นสะเทือนของความถี่ในเซลล์สมองจะโดยการกระตุ้นกลีบสมอง เท็มปอรัล (TLE) หรือการสั่นไหวทางอารมณ์จะทำให้เกิดสนามแม่เหล็กที่มีคลื่นความเข้มข้นสูงจนทำให้เกิดภาวะแสงสีหลากหลายหรือประกายรัศมีเจิดจรัส และประสบการณ์ทางจิตที่ล้ำลึกในการหยั่งรู้ภายใน
ประสบการณ์ภาวะแสงรัศมี ออร่า จึงเป็นดัชนีที่สั่นไหวของภาวะทางสมองของมนุษย์แต่ละรูปนามทางกายภาพ และจิตวิญาณ (Vacuum potential or zeno – point potential)
ภาวะแสงรัศมีออร่าของมนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตทั้งหลายจึงเป็นชีวพลังงาน ( Vioenergy) ที่มีรังสีชีวะภาพ (Viogenic, psychotronic or Bioplesmicforce) เป็นแรงแม่เหล็กไฟฟ้าอย่างระเอียดยิ่ง ( Subtle enjoy energy field) คลอบคลุมเชื่อมโยงระหว่างจิตใจและร่างกาย (Grest chain therapy) ตามทฤษฏี แควมตัม (Quantum reality) นั่นเอง
ในบางทฤษฎีกล่าวอ้างว่า รัศมีออร่า ซึ่งเป็นแสงเรืองรองที่ห่อหุ้มร่างกายมนุษย์นั้น คือค่าต่างของกระแสไฟฟ้าที่ผิวหนัง (Skin voltage differentia) หรือสนามพลังงานที่มีอยู่รอบๆ สิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่เรียกว่า สนามพลังไฟฟ้าสถิตของร่างกาย (Static voltage field around body) โดยการหมุนเวียนของลมหายใจเข้าออก ทำให้พบโมเลกุลของออกซิเจนที่ทำให้เกิดประจุลบ ในขณะที่โมเลกุลของคาร์บอนไดออกไซด์ ทำให้เกิดประจุบวก
พลังจากการหายใจ หรือปราณ ประสานสอดคล้องกับพลังงานแม่เหล็กโลกที่มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 0 – 5 เกาส์ (Gauss) มีจังหวะการเคลื่อนไหวของพลังคลื่นแม่เหล็กความถี่ต่ำที่ต่อเนื่องตั้งแต่ 0.1 – 100 รอบ / วินาที หรือ 8 – 16 รอบ / นาที โดยค่าเฉลี่ยความถี่เฉลี่ยนี้จะเท่ากับความถี่โดยเฉลี่ยของคลื่นสมองมนุษย์พอดี เมื่อตรวจสอบกับตำราทางประสาทวิทยา โดยสมองของมนุษย์จะแผ่คลื่นความถี่ต่ำ ประมาณ 8 – 13 เฮริ์ท ในระดับคลื่นสมอง (Bran waves) แบบเบต้า (Beta wave) ทำให้การสั่นไหวของพลังหรือรังสีออร่าในระดับของแสงสีต่างๆ นั่นเอง
นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบว่าคลื่นสมองของมนุษย์นั้นประกอบด้วย เซลล์สมองนับล้านๆ เซลล์ ที่สร้างกระแสไฟฟ้าเล็กๆ ขึ้นมากมาย ตามภาวการณ์ตอบสนองจากสนามพลังงานหรือแม่เหล็กโลก ซึ่งสอดคล้องกับกลไกทางชีวิต จนทำให้เกิดการเหนี่ยวนำที่เรียกว่า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในสมอง (Electro-magnetic waves) หรือคลื่นสมอง (Brain waves) ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะทางอารมณ์ (EQ) โดยสามารถวัดคลื่นสมองในระดับต่างๆ นี้ด้วยเครื่องมือที่เรียกว่า EEG (Electro-Enceph alocram) เมื่อต่อ EEG เข้ากับศีรษะของมนุษย์แล้วนั้นและเครื่องมือนี้ก็จะแสดงคลื่นสมองของระดับต่างๆออกมาในรูปแบบของกราฟ ดังนี้
คลื่นเบต้า คลื่นอัลฟา คลื่นเตธต้า คลื่นเดลตา คลื่นคอสมิก
โดยคลื่นเบต้านั้น ( Beta Wave ) มีความถี่ประมาณ 8 – 13 หรือมากกว่า 13 รอบ / วินาที และมีจังหวะที่ไม่แน่นอน เป็นคลื่นความถี่ที่แสดงถึง ปฏิกิริยาของระบบประสาทสัมผัสทั้ง 5 ที่มีอาการกังวล สับสน วุ่นวายใจหรือการตึงเครียด
กราฟข้างบนนี้แสดงถึงคลื่นเบต้า ซึ่งส่วนใหญ่จะพบในบุคคลที่มีอาการตึงเครียด พักผ่อนน้อย หงุดหงิดง่าย หรือบุคคลที่มีโรคทางระบบประสาท และผู้ที่ชอบสูบบุหรี่จัดๆ กระทั่งบุคคลที่มีอาการซึมเศร้าหรือประสบอยู่ในความทุกข์โศก ซึ่งอาจจะมีคลื่นความถี่มากกว่า 13 ไซเคิลต่อวินาที
แรงสั่นสะเทือนของความถี่ของคลื่นเบต้านี้ จะมีส่วนเชื่อมที่ทำหน้าที่ให้แสงออร่าแผ่ออกมารอบๆตัว เป็นแสงสีแดง อาจจะเป็นแสงสีแดงทึบแสงสีแดงซีด หรือแสงสีแดงคลํ้า โดยลักษณะของสีแดงนั้น เป็นสัญลักษณ์ของอันตราย ( Danger ) หรือการหยุด ( Stop ) เช่น สัญลักษณ์ของไฟจราจร เมื่อเป็นแสงสีแดง หมายถึง ให้หยุด ( Stop )
ตัวเลขสีแดงที่ปรากฏบนปฏิทินก็เช่นกัน หมายถึง วันหยุดในระดับตํ่า รองลงมาพร้อมสีแดงที่แสดงออกมาในด้านลบ คือ ความกระหาย( Anger ) ความทารุณ ( Craelty ) ความอยาก ( Last ) การทรมาน ( Spirit )
ความเครียด ( hated ) และความรู้สึกที่จะต้องระมัดระวังตลอดเวลา
หรืออีกนัยยะ อาจจะหมายถึงเลือด ( Blood ) และจิตใจ ( Spirit ) ที่แสดงออกมาถึงความรักชาติที่ เป็นสีแดงในธงชาติต่างๆ
แต่ในภาวะของแสงสีแดง ในคลื่นความถี่ระดับเบต้านี้ อาจจะสรุปถึงสภาวะทางอารมณ์และจิตใจภายในที่ลึกซึ้ง ซึ่งจะขยายเพิ่มเติมในภาวะแห่งรหัสนัยของสีต่อไป
ส่วนคลื่นอัลฟา ( Alpha Waves ) ซึ่งมีความถี่ประมาณ 8- 12 ไซเคิลต่อวินาที เป็นคลื่นความถี่ที่ตํ่ากว่า สามารถควบคุมหรือยับยั้งได้ ก่อให้เกิดภาวะที่ผ่อนคลายในจิตที่สงบนิ่ง ยิ่งส่งผลให้เกิดการตื่นตัวในเชิงพฤติกรรมที่มีประสิทธิภาพด้านอารมณ์คือมี ความเยือกเย็น อ่อนโยน สุขุม
และรอบคอบ
โดยสภาวะทางจิตของบุคคลในแนวคลื่นความถี่นี้ จะเกิดขึ้นเป็นช่วงสั้นๆ และมีจังหวะที่แน่นอน มีขนาดใหญ่กว่าและมีพลังงานสูงกว่า
คลื่นเบต้า
มักจะพบคลื่นชนิดนี้ กับบุคลที่ฝึกจิตหรือฝึกสมาธิอย่างสมํ่าเสมอ และกลุ่มคนที่ใช้สมาธิในการเล่นกีฬา นักเขียน กระทั่งคนที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์ต่างๆ
ซึ่งแสงรัศมีมีความถี่ระดับอัลฟานี้ จะมีการสั่นสะเทือนออกมาในรูปรัศมีสีเขียวสว่างสดใส หรือ สีส้มหรือสีแสดที่เจิดจ้า
ทั้งสองสีออร่านี้ แสดงพฤติกรรมทางอารมณ์ที่มั่นคง ( Suggestion of the Living ) และอบอุ่น ความเป็นธรรมชาติของพืชพันธุ์ ที่มีสีเขียว เช่น ใบไม้ อันเป็น ( Nature s Colout ) ซึ่งมีความรู้สึกสดชื่นเยือกเย็น ร่มรื่น สงบและผ่อนคลายเบื้องต้น
สำหรับคลื่นเตธต้า ( Theta Wave ) เป็นคลื่นสมองที่มีความถี่ประมาณ 4 – 7 ไซเคิลต่อวินาที เป็นคลื่นความถี่ที่เกิดขึ้นในขณะที่จิตใจ กำลังจดจ่อหรือหมกมุ่นกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างแน่วแน่มั่นคง เป็นคลื่นความถี่ที่มีสมาธิสูงกว่า ความถี่อัลฟา มีความถี่ช้า สงบ และพลังงานสูง มีจังหวะการแสดงของคลื่นที่ช้าและสมํ่าเสมอ อันยังผลให้ความสงบนิ่ง เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องตามด้วย การตื่นรู้ภายในอย่างชัดเจน และอาจจะส่งผลให้เกิดความ
ปิติสุขอย่างท่วมท้น
เมื่อสภาวะของคลื่นเตธต้าเกิดขึ้นในคนปกติ ก็อาจจะอยู่ในช่วงที่ขณะนอนหลับ หรือในบุคคลที่กำลังใช้สมองคบคิดแก้ปัญหาอย่างแยลคายและ
จะพบในกลุ่มคนที่ปลีกวิเวก เงียบสงบ หรือทำอะไรในเชิงสร้างสรรค์อย่างลึกซึ้ง อาทิ เช่น ในกลุ่มนักบวช นักปฏิบัติทางจิต และนักพูด หรือนักบริหารที่กำลังทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างมุ่งมั่น จนลืมสภาวะที่แวดล้อมรอบข้างอย่างสิ้นเชิง
ทำให้การสั่นสะเทือนของคลื่นเตธต้าที่ออกมาเป็นรัศมีสีเหลือง และสีฟ้าที่สว่างและสดใสเริงร่า ( Cheerful ) เนื้อสีแท้ๆจะ แสดงถึงวุฒิปัญญาและความสูงส่งทางจิตใจ เป็นพลังแห่งความเข้าถึง และศักดิ์สิทธิ์ ความมีชีวิตชีวา กระทั่งความเบิกบานจากภายใน
และคลื่นเดลต้า ( Delta Wave ) เป็นคลื่นสมองที่มีคลื่นความถี่ประมาณ 2- 4 ไซเคิลต่อวินาที โดยปกติแล้วคลื่นความถี่ชนิดนี้ วัดได้จากสภาวะทางจิตที่อยู่ในช่วงที่หลับสนิท ( Deep Sleep ) หรือกลุ่มที่ทำสมาธิแบบซาเซ็น ( ZAZEN ) ขั้นลึกซึ้ง หรือพวกฝึกจิตแบบ T.M ( Trans cendental Meditation ) ในภาวการณ์ลอยตัวแบบโยคี ซึ่งเป็นประสบการณ์ของจิตใต้สำนึกที่ลํ้าลึก
ช่วงนี้คลื่นสมอง จะมีความถี่ที่ตํ่ามาก คลื่นเตธต้า จะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นคลื่นที่มีจังหวะช้าลงๆ และพลังงานสูงขึ้น ในลักษณะสนามแม่ชีวภาพ เป็นการสั่นสะเทือนของคลื่นแม่เหล็กภายในที่ละเอียดอ่อน ประณีตยิ่ง ( Entitative Rhythms )
รัศมีของแสงออร่าที่ส่องประกายออกมาในระดับนี้อันเป็นแสงรัศมีสีคราม หรือสีม่วงเลื่อมพรายเหมือนแก้วผลึกหรือแก้วไพฑูรย์ซึ่งส่องสว่างจับตา จะพบในหมู่นักบวชระดับสูงหรือโยคีที่กำลังบําเพ็ญเพียร
ส่วนคลื่นคอสมิก ( Cosmic Wave ) เป็นคลื่นความถี่ระดับ 1ไซเคิลต่อวินาที เป็นคลื่นพลังระดับจักรวาลที่มีพลังงานสูงสุดไม่พบในบุคคลทั่วไป อยู่ในภาวะจิตใต้สำนึกสูงสุด ที่จะคลายจางภาวะแห่งความยึดมั่นในร่างกาย
( Physical body ) ลงอย่างสิ้นเชิง มีความรู้สึกถึงตัวตนที่แท้จริง ( Trae self ) เหมือนเป็นอันเดียวกับทุกสรรพสิ่งในจักรวาลและเป็นอิสระเสรีเหมือนนกที่ถูกปล่อยออกมาจากกรง ( Egolessness ) อันรู้สึกถึงความปิติสุขอย่างท่วมท้นจนยากจะพรรณา เป็นคำพูดได้เป็นการเข้าสู่ สภาวะทางจิตสูดสุดที่เรียกว่า นิพพาน ( Nivana ) , ( satoris ) , ความสุขขั้นนิรันดร หรือ จิตสำนึกสูงสุดระดับหลุดพ้นหรือรู้แจ้ง ที่เรียกว่า ( Enlightenment ) ในความรู้สึกถึงความรักต่อทุกสรรพสิ่งในธรรมชาติ ( universal Love ) และขั้นจักรวาลขั้นสุดยอด
( Subtle Causal mid )
รัศมีของคลื่นความถี่ของชนิดนี้จะเป็นแสงสว่างที่เจิดจ้า ตั้งแต่
ออร่าสีขาวไข่มุก หรือสีทองบริสุทธิ์ หรือกระทั่งสีรุ้งกินนํ้า ( Rainbow ) อันเป็นสีเลื่อมลายที่สว่างเฉิดฉายจากแสงภายใน ( Colour evolver from Light )
บางข้อมูลกล่าวว่า เป็นความถี่ของคลื่นสั่นสะเทือนสีรุ้งในระดับสูงสุดที่เรียกว่า ฉัพพรรณรังสี ซึ่งเป็นสีที่โอภาสจากพระวรกายของพระองค์ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ภายหลังจากที่ได้ตรัสรู้พระอนุตระสัมมาโพธิญาณ
หากเป็นผู้บรรลุในศาสนาอื่นๆ หรือในระดับที่ลดหลั่นลงมาก็จะเป็นสีขาวทองระยิบระยับงดงามยิ่งนัก
ผู้รู้แจ้งระดับสูงสุด อาจจะบังเกิดรัศมีเรืองรอง สุกใส เลื่อมพรายแบบโอปอล์ ( Wondrous opalescent hyes ) แลดูระยิบระยับในสภาพ “ เลื่อมรัศมี ” ไปทั่วทั้งสารพรางค์กาย ( high vibrations sending ripples of changing hues over the surface )
โดยนัยของคลื่นสมองความถี่ระดับคอสมิกนี้ คือ ภาวะการณ์เข้าไปถึงจิตใจระดับความสุขที่แท้จริงของชีวิต ( absolate bliss ) อันเป็นการสลัดคืนจากการมีอยู่ของตัวตน สู่ความเป็นอนัตตาของความไม่มีที่สิ้นสุด
( infinite ) นั่นเอง
ที่มา
***เรียบเรียงจากงานค้นคว้าและวิจัยของ อ.สถิตธรรม เพ็ญสุข***
www.auraphoto.info
Facebook.com/thai-littletiger
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น