30 กันยายน 2566

สมาธิ คือ การทำจิตให้ตั้งมั่น

สมาธิ คือ การทำจิตให้ตั้งมั่น รวมตัวอยู่จุดเดียวได้นาน
บางคนทำสมาธิได้ช้า บางคนทำได้ไว บางครั้งทำได้ยาก บางครั้งทำได้ง่าย ล้วนมาจากเหตุปัจจัย เมื่อสร้างเหตุได้ถูกต้อง ย่อมได้ผลตามมา

สมาธิ ต้องวางจิตให้ถูกต้องก่อนทำสมาธิ ที่เคยยากก็จะง่าย ที่เคยช้าก็จะเร็ว

พระธุดงค์กรรมฐานรูปหนึ่ง เล่าให้ฟังว่า ขณะธุดงค์ในป่า ได้นั่งสมาธิภาวนา “พุท-โธ” จิตเกิดแสงสว่างจ้า เห็นฤาษีตนหนึ่งปรากฏต่อหน้า

ฤาษีแนะนำให้ท่านกำหนดลมหายใจที่ปลายจมูก เมื่อน้อมจิตทำตามคำแนะนำ จิตก็ดิ่งลงสู่ความสงบลึกอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนในชีวิต

ลำดับการปฏิบัติสมาธิ

ลำดับการปฏิบัติสมาธิ
       คำบริกรรม พุทโธ ตามลมหายใจ หรือ กรรมฐาน 40 เช่น เพ่งกสิณ ดิน น้ำ ลม ไฟ สีแดง เป็นเครื่องล่อของจิต โดยมีสติเป็นผู้คุมให้จิตอยู่กับ กรรมฐาน ที่เราตั้งมั่น 

ระดับที่ 1 ขณิกสมาธิ สติยังไม่แข็งแรง ทำให้จิตบางครั้งอยู่กับคำบริกรรมบ้าง ออกไปเที่ยวข้างนอกบ้าง คิดถึงอดีต อนาคตบ้าง ให้มีสติให้มาก รู้ตัวแล้วรีบกลับมาที่คำ บริกรรม

ระดับที่ 2 อุปจารสมาธิ สติเริ่มแข็งแรง จิตจดจ่อตั้งมั่นกับคำบริกรรม จิตไม่หนีไปเที่ยวนอกกาย อยู่กับดายเป็นหลัก จะเริ่มเกิดอาการ ขนลุก ขนพอง น้ำตาไหลเหมือนคนร้องไห้ ตัวเบาเหมือนลอยได้ ตัวขยายใหญ่ เมื่อเกิดอาการเหล่านี้อย่าสนใจ สักแต่ว่ารู้ ให้กลับมาที่คำบริกรรม จะก้าวข้ามจะเกิดอาการบรมสุข สุขแบบไม่มีสุขใดในโลกเทียบได้ เอาสุขทั้งชีวิตมารวมกันก็ไม่อาจเทียบได้เสี้ยวเดียวของสุขนี้ สุขของกษัตริย์ มหาจักรพรรดิก็เทียบได้กับสุขนี้ สุขแบบไม่ง่วง ไม่หิว ความเครียดหายไปหมด สุขจะอยู่ 3 วัน 3 คืนแล้วจางหายไป

ระดับที่ 3 อัปนาสมาธิ มี 8 ขั้น คือ
ปฐมฌาน สติแข็งแรงมาก สติตั้งมั่น ตัวรู้เด่นชัด จิตรวมเป็นหนึ่งมีพลัง ทำให้จิตอยู่กับคำบริกรรมต่อเนื่องไม่หนีจากกายไปไหน มีทั้ง วิตก วิจารณ์ ปิติสุข และเอกกัตตา

ทุติยฌาน กาย (ตัวคิด) จะทิ้งคำบริกรรมไปเอง สติตั้งมั่นเด่นชัด อยู่กับลมหายใจ หรือฐานที่ตั้งของจิต ขั้นนี้จะเห็นลมหายใจเด่นชัดมาก จะเหลือแต่ ปิติ สุข และเอกกัตตา

ตติยฌาน ลมหายใจจะค่อยละเอียดแผ่วเบาลงเรื่อยๆ จนเหมือนจะหายไป ตัวจะตั้งตรงเหมือนหินโดยอัตโนมัติ เมื่อลมหายใจเริ่มหาย อย่าตกใจ ให้มีสติอยู่กับฐานของจิตไม่ต้องกลัวตาย สักแต่ว่ารู้จะก้าวผ่านขั้นนี้ไป เหลือ สุขและเอกกัตตา

จตุตถฌาน ลมหายใจดับสนิท ไม่รับรู้ถึงลมหายใจและไม่รับรู้ความรู้สึกของกายอีกต่อไป 
สติ ตัวรู้จะเด่นชัด เบาสบาย สักแต่ว่ารู้ ตัวรู้แยกออกจากกาย 100% ความคิดและลมหายใจไม่สามารถเข้ามาแทรกได้ เหมือนจิตตัดขาดจากกายเหลือแต่เอกกัตตาและอุเบกขารมณ์
ให้อยู่เอกกัตตา คือ ตัวรู้เด่นชัดอยู่ที่ฐานของจิต ในสมาธิขั้นนี้เหมือนไม่มีเวลา เวลาจะผ่านไปเร็วมากๆ เหมือนไม่มีกาลเวลาเหลือแต่ สภาวะรู้ลอยอยู่ โล่งๆ บางคนเห็นเป็นดวงแก้วสว่างไสว หรือเห็นเรืองแสง แล้วแต่ แต่ละคนไม่มีถูกผิด

ประคองสภาวะรู้แล้วเพิกขอบเขต รู้อากาศไม่มีที่สิ้นสุด รู้สึกเวิ้งว้างหาขอบเขตไม่ได้ มันว่างไปหมดเหมือนจิตครอบทั้งจักรวาล จักรวาล คือ เรา เรา คือ จักรวาล เรียกว่า อากาสานัญจายตนฌาน เมื่อออกจากสมาธิจะรู้สึกโล่งเบาสบายเหมือนไม่มีกาย มีความสุขมากมายมหาศาลจนนอนไม่หลับ ไม่หิว ไม่ทุกข์มีแต่สุขไป 3 วัน 3 คืน

กำหนดสภาวะรู้เป็น วิญญานธาตุล้วนๆ แผ่ไปไม่มีขอบเขต เรียกว่า วิญญาญัญจายตนฌาน

กำหนดรู้ว่าไม่มีอะไรเลย ไม่มีอะไรต้องอธิบาย ไม่มีอะไรในสภาวะนั้น เรียกว่า อากิญจัญญายตนฌาน

เลิกการกำหนดทั้งปวง ไม่กำหนดใดๆทั้งสิ้น ลมหายใจก็ไม่กำหนดรู้ ความคิดใดๆเกิดขึ้นก็ใช้สติกำหนดดับความคิดทั้งหมด จนเงียบไปเหมือนกับหายไป เมื่อจิตเป็นสมาธิจะเข้าไปสู่สภาวะเงียบ เหมือนหายไปในสภาวะนั้น มีแต่ความว่างไม่มีอะไรเลย เรียกว่า เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน เมื่อออกจากสมาธิจะรู้สึกโล่งเบาสบายเหมือนไม่มีกาย มีความสุขมากมายมหาศาลจนนอนไม่หลับ ไม่หิว ไม่ทุกข์มีแต่สุขไป 3 วัน 3 คืน สัญญาความจำได้หมายรู้จะถูกทำลายแทบหมดสิ้น เช่นเคยขับรถเป็นเมื่อออกจากสมาธิระดับนี้จะลืมวิธีขับรถไปชั่วขณะ สมาธิระดับนี้เหมาะแก่การบำเพ็ญตนในป่า ไม่เหมาะกับการใช้ชีวิตฆราวาส

ที่กล่าวมาทั้งหมด หัวใจของสมาธิ คือ อานาปานสติสามารถพาเราไปถึง ฌาน 8 จนถึงพระนิพพานได้โดยนำกำลังสมาธิมาพิจารณาข้อธรรมให้เกิดปัญญา

เมื่อออกจากสมาธิ ฌาน 4-8 ลงมาสู่ระดับ อุปจารสมาธิ จิตจะมีกำลังและปัญญามาก ถ้านำมาพิจารณาปัญญาจะสามารถฆ่ากิเลสได้ เราสามารถใช้กำลังสมาธิสอนจิตให้ฉลาดได้

ปล.รูปจากหลวงพี่ท่านหนึ่งในภาคเหนือ

26 กันยายน 2566

#สังคหวัตถุ

🙏ขอน้อมกราบบูชาคุณพระรัตนตรัยเป็นสรณะที่พึ่งของลูกตลอดชีวิต กราบบูชาพระธรรมคำสอนหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง และน้อมกราบบูชาพระคุณพ่อแม่ครูบาอาจารย์ทุก ๆ พระองค์ ด้วยความเคารพยิ่ง
            ⚜️ #สังคหวัตถุ⚜️

🔶การอยู่ร่วมกันเพื่อจะให้เป็นสุข จะเป็นพระ เณร ฆราวาส ก็ต้องอาศัย #สังคหวัตถุ๔ประการ ที่เป็น #คิหิปฏิบัติ เป็นการปฏิบัติของฆราวาส แต่พระเณรก็ควรทำ ถ้าทำอย่างฆราวาสไม่ได้ ถือว่าเป็นพระเลวที่สุด คือเป็นพระที่เลวกว่าฆราวาส ก็เลยไม่สมควรเป็นพระ 

     #สังคหวัตถุ๔ประการ คือ
๑. #ทาน การให้ การอยู่ร่วมกันจะต้องมีการสงเคราะห์กันด้วยวัตถุเป็นการผูกมิตร ผู้ให้ย่อมเป็นที่รักของผู้รับ นี่เป็นการสร้างความรักในระหว่างเพื่อนและบุคคลที่อยู่ร่วมกัน

๒. #ปิยวาจา วาจาเป็นที่รัก วาจาใดที่เราไม่ชอบใจที่คนมาพูดกับเรา เราจงอย่าใช้วาจานั้น ความสะเทือนใจหรือความชอบใจจะเกิดขึ้นส่วนใหญ่เป็นเรื่องของวาจา วาจาที่เพื่อนชอบ เราพูดวาจานั้นคือ พูดดีไว้เสมอ ถือคติโบราณ
"#เอาน้ำขุ่นไว้ข้างใน_เอาน้ำใสไว้ข้างนอก" เวลาใดที่อารมณ์ไม่ดี อย่าเพิ่งพูด นิ่งไว้ก่อน ถ้ายังทนไม่ไหวก็หลีกไปเสียก่อน ให้ใจมันสบายจึงเข้ามาพูดกัน ถ้าพูดกำลังที่มีโทสะ จะพูดดีไม่ได้ ต้องพูดเลว ก็บังเกิดความเดือดร้อน

๓. #อัตถจริยา กิจการงานของเพื่อนที่อยู่ร่วมกัน ถ้าอะไรเกินวิสัยเขาจะทำได้เพียงผู้เดียว เราจะช่วยเขาทำตามกำลังที่เราจะช่วยได้

๔. #สมานัตตตา ไม่ถือตัวถือตน เราจะมีตนเสมอ มีใจเสมอกับเพื่อน ไม่ถือว่าเขาเลวกว่าเรา เขาดีกว่าเรา เขาเสมอเรา ถือว่าเรากับเขาเป็นเพื่อนกัน

ทั้ง ๔ ประการเป็นปัจจัยแห่งความรัก ไปไหนจะมีแต่คนรัก จิตใจเราก็เป็นสุข หลับก็เป็นสุข ตื่นก็เป็นสุข นอนก็เป็นสุข

============================
📙ที่มาข้อธรรมคำสอนจากหนังสือ
📚พ่อสอนลูก เล่มสีทอง หน้าที่
๓๓๗-๓๓๘
🙏คำสอนของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดจันทาราม (ท่าซุง) จ.อุทัยธานี

🖍️👸ผู้เขียนพิมพ์เผยแพร่เป็นธรรมทานโดยApinya Wongthong 🙏
    

การปฏิบัติธรรมเน้นที่จิตใจ หาใช่เน้นที่รูปแบบของกายไม่

การปฏิบัติธรรมที่แท้จริงนั้นสำคัญต้องเน้นที่จิตใจเป็นหลัก หาได้เน้นที่รูปแบบของกายไม่ จะยืนจะเดินจะนั่งจะนอนหรือจะเดินจงกรมหรือแม้แต่นั่งสมาธิ ถ้าลองเพราะจิตใจเป็นบุญเป็นกุศลจิตใจเข้าถึงสภาวะได้แล้วจะอยู่อิริยาบถไหนก็เหมือนกัน ไม่จำเป็นว่าจะต้องเฉพาะเดินจงกรมหรือนั่งสมาธิอย่างเดียว บางคนบางท่านเดินจงกรมก่ง นั่งสมาธิเก่ง แต่พอออกจากการเดินจงกรมและนั่งสมาธิคือเพราะไม่ได้เดินจงกรมและนั่งสมาธิแล้วอยู่ในอิริยาบถธรรมดาใช้ชีวิตประจำวันกับปล่อยจิตปล่อยใจไปคิดเรื่องอกุศล ไปเอาเรื่องของชาวบ้านมาเป็นของตัว ไปคิดถึงแต่เรื่องของคนอื่น ไปจับผิดคนโน้นคนนี้ อันที่จริงแล้วคนอื่นเค้าจะดีไม่ดีมันก็เรื่องของเขาเค้าจะชะชั่วมันก็เรื่องของเขาเค้าจะพูดจริงหรือเท็จมันก็เรื่องของเขา อันที่จริงเราควรถึงแต่เรื่องของเราจะดีกว่าเพราะอย่างน้อยจิตเราเคลื่อนไปคิดถึงเขาถ้ารู้ทันดึงกลับมาก็ถือว่าดีแต่ถ้ารู้ทันปล่อยให้หลงไปตามมโนกรรมแล้วก็หลงปรุงแต่งไปเรื่อยเป็นเรื่องเป็นราว ว่าคนนี้ด่าคนโน้นอยู่ภายในจิตใจเราย่อมไม่เกิดผลดีแก่ตัวเจ้าของจิตเจ้าของเป็นแน่เพราะคนที่เราไปคิดไปว่าไปด่าเขานั้น เค้าไม่ได้มารู้อะไรกับเราหรอก ต่อให้เค้ารู้เค้าก็ไม่มาเอาเรื่องเอาราวอะไรกับเราหรอก มีแต่จิตแต่ใจเจ้าของนี่แหละที่คอยสุ่มฟืนสมไฟเข้าไปในจิตในใจเผาให้ร้อนรนอยู่ ที่ร้อนก็ไม่ใช่เพราะร้อนเรื่องของตัวเองไปร้อนรนเรื่องคนอื่นทั้งสิ้น อย่างนี้ถือว่าไม่ดีเลย ใช้ไม่ได้ เพราะว่าลองคนเรานั้นไม่รู้จักจิตจับใจเจ้าของแล้วไซร้ว่าเป็นอย่างไร จะปฏิบัติไปทางแนวไหนก็รับรองว่าเป็นไปได้ยากและเนิ่นช้าแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติเพื่อหวังผลนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ หวังผลหลุดพ้นในชาติปัจจุบันนี้ ก็ขอรับรองได้เลยตราบใดที่ท่านยังมีสภาวะจิตใจเป็นอย่างนี้อยู่คงไปถึงฝั่งฝันได้ยากแน่นอน แล้วก็เหมือนกันต่อให้ไม่ได้หวังผลนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ ไม่ได้หวังผลนิพพานเป็นปัจจัย แต่หวังผลบำเพ็ญบารมีไปในทาง อธิษฐานจิตเป็นสาวกกับภูมิในสมัยพุทธกาลหน้า หวังผลบำเพ็ญบารมีไปในทางปัจเจกกับภูมิเป็นพระปัจเจกในอนาคตกาล หวังผลบำเพ็ญบารมีไปในทางพุทธะภูมิเป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคตกาล ก็ดีก็บอกเลยว่ายังคงห่างไกล เพราะตราบใดที่ท่านยังไม่สามารถทรงสภาวะจิตไม่ให้รักสุข ไม่ให้เกลียดทุกข์ ไม่ให้หลง ไม่ให้ติดชั่ว ได้แล้วไซร้ ขอบอกเลยว่างานหนักมากๆเหนื่อยมากๆ ไม่ว่าจะหวังผลไปในทางนิพพานเป็นปัจจัยก็ดี หวังผลไปในทางสัมมาสัมโพธิญาณเป็นปัจจัยก็ดี เพราะตราบใดที่ท่านไม่สามารถทรงสภาวะจิตให้เป็นไปในทาง สังขารุเปกขาญาน ได้แล้ว จะหวังผลไปในทางไหนก็ขึ้นชื่อว่ายังห่างไกลจากความเป็นจริงอยู่

     อีกวิธีหนึ่งที่จะทำให้การปฎิบัติก้าวหน้าขึ้นและมีกำลังจิต ในการปฎิบัติธรรม เพิ่มขึ้นก็คือ คิดสิ่งใดพูดสิ่งนั้น คิดสิ่งใดทำสิ่งนั้น พูดสิ่งใดทำสิ่งนั้น สิ่งไหนที่ไม่สามารถพูดออกไปจากปากได้ก็อย่าไปคิด สิ่งไหนที่ไม่สามารถทำได้จริงก็อย่าไปคิด สิ่งไหนที่ไม่สามารถทำได้จริงก็อย่าไปพูด ลองถ้าฝึกให้ได้อย่างนี้ตลอดทุกวันต่อเนื่องจนเป็นนิสัยวาสนาสันดานติดตัวแล้วไซร้ ผมรับรองได้เลยว่าผลการปฏิบัติและพลังพลังจิตพลังใจในการปฏิบัติของท่านจะเพิ่มขึ้นและจะก้าวหน้าขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจนแน่นอน ยกตัวอย่างเช่น คิดว่าจะเดินจงกรมภายใน 5 นาทีข้างหน้า เมื่อเวลาผ่านไป 5 นาทีก็ต้องเดินจงกรมจริงๆ คิดว่าจะนั่งสมาธิภายใน 15 นาทีข้างหน้า เมื่อเวลาผ่านไป 15 นาทีก็ต้องนั่งสมาธิจริงๆ นี่ถือเป็นการรักษาสัจจะภายในใจอย่างหนึ่ง สิ่งนี้สำคัญถ้าคิดจะปฏิบัติธรรมจริงจัง แต่ถ้าแค่ศึกษาธรรมพอรู้พอเห็นบ้างตามโอกาสตามกาล ไม่จริงไม่ต่างอะไรสักเท่าไหร่ก็ไม่เป็นไรแล้วแต่จะตามจริตนิสัยกันเลยตามสบาย  
        ก็ขออนุโมทนาสาธุการแก่ ท่าน สาธุชน คนทั้งหลาย ที่ได้เสียสละเวลาอ่านโพสต์นี้ บุญใดกุศลใดที่เกิดมีเกิดได้ จากการโพสต์นี้ ก็ขอยกให้แก่ท่านผู้อ่านทั้งหลายทั้งปวง เป็นผลให้ทุกท่านที่เข้ามาอ่าน มีผลเป็นพระนิพพานเป็นปัจจัยทั้งหมดทั้งสิ้นเทอญฯ

23 กันยายน 2566

อานาปานสติสมาธินี้แล เป็นธรรมอันเอก

อานาปานสติสมาธินี้แล เป็นธรรมอันเอกซึ่งเมื่อบุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมทำสติปัฏฐานทั้ง ๔ ให้บริบูรณ์
มีสติ ระลึกรู้ลมหายใจ เข้ายาว เข้าสั้น ออกยาว ออกสั้น กระทบกายและดับหายไป คือ ฐานกาย

มีสติ ระลึกรู้ ปีติ และสุขเกิดขึ้นและดับหายไป คือ ฐานเวทนา

มีสติ ระลึกรู้ ความตั้งมั่นของจิต และอารมณ์ที่มากระทบจิต โลภ โกรธ หลง และดับหายไป คือ ฐานจิต

มีสติ รับรู้ความว่างไร้สมมุติ สลัดออกจากกาย ความคิดและจิตล้วนไม่ใช่เรา คือ ฐานธรรม

อานาปานสติ เป็นได้ทั้งสมถสมาธิและวิปัสสนา ที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ทรงค้นพบและใช้ในการตรัสรู้ เจริญอานาปานสติให้มากทุกลมหายใจเข้าออกสามารถบรรลุพระอรหันต์ได้

พระเชียงแสนและพระประธานในโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์

เมื่อระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ ผู้คนในกรุงเทพฯ ได้อพยพออกไปอยู่บ้านนอกกันเป็นส่วนมาก ไม่ยกเว้นแม้แต่พระสงฆ์องค์เจ้า พระในวัดเทพศิรินทร์ก็อพยพ แต่ท่านธมฺมวิตกฺโก ไม่ได้ไปไหนเลย ท่านที่อยู่กุฏิของท่านตลอดระยะเวลาสงครามครั้งนี้ ท่านได้เล่าเหตุการณ์ว่าทางด้านหลังวัดซึ่งปัจจุบันเป็นบริเวณสุสานหลวงได้มีทหารญี่ปุ่นมาพักเต็มไปหมด และอาบน้ำในสระของวัดซึ่งเดี๋ยวนี้เป็นสระเต่า ที่หน้ากุฏิของท่านเดิมเป็นศาลาใหญ่ ปัจจุบันได้รื้อออกแล้วสร้างเป็นโรงเรียนปริยัติธรรม

ที่ศาลานี้ในระหว่างสงครามได้มีญี่ปุ่นเอาเครื่องรับวิทยุมาตั้ง โดยเห็นว่าเป็นวัดไม่เป็นที่สงสัย และมีเจ้าหน้าที่มาคอยควบคุมเครื่องส่งวิทยุนี้ วันหนึ่งมีผู้มาบอกท่านว่าจะมีเครื่องบินเอาระเบิดมาทิ้งเครื่องวิทยุที่ตั้งอยู่ที่ศาลาให้ท่านหลบไปเสีย ท่านเล่าว่าท่านไม่ยอมหลบ แต่กลับนั่งรอคอยอย่างสงบ เวลาประมาณหลังเที่ยงวัน มีเสียงเครื่องบินผ่านมา ท่านก็เปิดหน้าต่างออกมาดู เห็นเครื่องบินวนอยู่หลายรอบและที่สุดก็ทิ้งระเบิดลงมา

ท่านได้ร้องถามในใจว่า "Do you kill me, my friend ?" แล้วก็มองดูลูกระเบิดปรากฏว่าลูกระเบิดได้ผ่านศาลาและกุฏิท่านไป ลูกแรกไปตกข้างโบสถ์ถัดจากนั้นก็ไปตกถูกตึกโรงเรียนวัดเทพศิรินทร์ และตึกที่ทำการรถไฟแห่งประเทศไทย ผลปรากฏว่าโรงเรียนวัดเทพศิรินทร์ และตึกที่ทำการรถไฟแห่งประเทศไทย ผลปรากฏว่าโรงเรียนวัดเทพศิรินทร์ คือ ตึกแม้นนฤมิต และตึกของการรถไฟพังพินาศ ส่วนลูกที่ตกข้างโบสถ์นั้นไม่ระเบิด
ภายหลังได้ติดต่อเจ้าหน้าที่มาขุดเอาไป ท่านบอกว่าพระเชียงแสนและพระประธานในโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ ถ้าลูกระเบิดที่ตกนั้นระเบิดขึ้นมาโบสถ์ก็คงพังเสียหายมาก ท่านผู้อ่านที่นับถือท่านอาจจะคิดว่าที่ลูกระเบิดด้านไปเพราะความศักดิ์สิทธิ์ของท่านธมฺมวิตกฺโก แต่สำหรับผมไม่ขอวิจารณ์ด้วย สำหรับท่านเองท่านไม่กลัวความตาย จึงไม่อพยพหนีไปไหน ท่านบอกว่า ความตายคือมิตรที่ดีที่สุด นำความสงบมาให้และเป็นมิตรที่ซื่อตรง จะมาถึงทุกคนอย่างแน่นอนไม่ว่าจะมั่งมียากจน ดีหรือชั่ว จะต่างกันก็แต่ช้าหรือเร็วเท่านั้น นอกจากนี้การระลึกถึงความตายเป็นอนุสติอีกด้วย ถึงตอนนี้ท่านธมฺมวิตกฺโก ก็ยกเอากลอนในอุทานธรรมมากล่าวว่า
"ระลึกถึงความตายสบายนัก
มันหักรักหักหลงในสงสาร
บรรเทามืดโมหันต์อันธการ
ทำให้หาญหายสะดุ้งไม่ยุ่งใจ"

ท่านธมฺมวิตกฺโก อยู่ในวัดเทพศิรินทร์ตลอดระยะสงครามโดยปลอดภัย เวลากลางคืนท่านก็ลงจำวัดในหีบศพที่โยมพ่อเอามาให้แล้วใช้จีวรคลุมบนหีบศพต่างมุ้ง ท่านบอกว่าหากพลาดพลั้งระเบิดตกลงมาเวลาคนมาเก็บศพก็ไม่ลำบาก ท่านไม่ยอมออกจากวัดจริง ๆ การไม่ยอมออกจากวัดนี้เป็นความตั้งใจเด็ดขาดของท่าน แม้เมื่อโยมพ่อและโยมแม่เสียชีวิตท่านก็ไม่ยอมออกไปเยี่ยมศพ เพียงแต่สั่งการให้ใครทำอะไร และทำอย่างไรเท่านั้น นอกจากนี้ ท่านบอกว่าท่านได้นั่งสวดอุทิศส่วนกุศลไปให้

ความบางตอนจากหนังสือ ตามรอย ธมฺมวิตกฺโก พระอรหันต์กลางกรุง

เพจธรรมะท่านเจ้าคุณนรฯ พระภิกษุพระยานรรัตนราชมานิต ธมฺมวิตกฺโก ภิกฺขุ
https://www.facebook.com/chaokhunnor
สาธุ กราบคารวะในธรรมอันประเสริฐ เทิดไว้เหนือเศียรเกล้า สาธุ สาธุ สาธุ

จุดที่เยี่ยมยอดของโลกคือใจ

"..การบำรุงรักษาสิ่งใดๆ ในโลก การบำรุงรักษาตนคือใจเป็นเยี่ยม จุดที่เยี่ยมยอดของโลกคือใจ ควรบำรุงรักษาด้วยดี ได้ใจแล้วคือได้ธรรม เห็นใจตนแล้วคือเห็นธรรม รู้ใจแล้วคือรู้ธรรมทั้งมวล ถึงใจตนแล้วคือถึงพระนิพพาน ใจนี้คือสมบัติอันล้ำค่า จึงไม่ควรอย่างยิ่งที่จะมองข้ามไป คนพลาดใจคือไม่สนใจปฏิบัติต่อใจดวงวิเศษในร่างนี้ แม้จะเกิดสักร้อยชาติพันชาติก็คือผู้เกิดผิดพลาดอยู่นั่นเอง.."
โอวาทธรรม
พระครูวินัยธร(หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต)วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ. สกลนคร(พ.ศ.๒๔๑๓-๒๔๙๒)
        🙇🏻‍♂️สิริธมฺโม📖🖋️

22 กันยายน 2566

ผู้มีปัญญาไม่สนใจสุขของโลก

#หลวงปู่จาม_มหาปุญฺโญ
#โอวาทธรรม 

โอวาทธรรมหลวงปู่จาม มหาปุญฺโญ
ผู้มีปัญญาไม่สนใจสุขของโลก

สุขในโลกนี้มันมีเกิดดับ เป็นสุขอันมีประมาณน้อยนิดเดียว ไม่คงทนไม่ถาวร

ท่านผู้มีปัญญา ท่านไม่ประมาทแม้แต่ประการใด ๆ ท่านไม่สนใจสุขของโลก
แต่...ท่านใส่ใจในสุขอันดีมีคุณค่ามากกว่านั้น คือ...เป็นสุขที่พ้นไปได้จากเกิด - แก่ - เจ็บ - ตาย

หลวงปู่จาม มหาปุญฺโญ
วัดป่าวิเวกวัฒนาราม บ้านห้วยทราย คำชะอี จ.มุกดาหาร

19 กันยายน 2566

การป่วยเจ็บของร่างกายนำไปสู่ความหลุดพ้นทุกข์ได้ทั้งสิ้น

**สมเด็จองค์ปฐม **ทรงตรัสสอนปกิณกะธรรม ธรรมเล็กๆ น้อย ๆ ที่นำไปสู่ความหลุดพ้นทุกข์ได้ทั้งสิ้น มีความสำคัญดังนี้

**การป่วยเจ็บของร่างกาย สาเหตุมาจากกฎของกรรม ปาณาติบาตเข้ามาแทรกอย่างหนึ่ง และเป็นธรรมดาของร่างกายที่มีธาตุ ๔ มาประชุมกัน อันไม่เที่ยงอีกอย่างหนึ่ง** **เช่น โรคหิว เป็นต้น นี่แหละให้เห็นโทษของการมีร่างกาย อันมีเกิดเป็นเบื้องต้น มีเสื่อมไปในท่ามกลาง และที่สุดก็คือ อนัตตา ได้แก่ตายไปในที่สุด**ร่างกายของใครหรือแม้แต่ของเราก็เป็นอย่างนี้ **อย่ามุ่งหวังการอยู่รอดหรือทรงตัวของร่างกาย ให้เอาความจริงของร่างกายเตือนจิตของตนเองไว้ เสมอ**(เช่น วิปัสสนาญาณ ๙ ข้อที่ ๑ - ๒ - ๓ และ ๔) จิตจักได้ไม่เหลิงยึดมั่นถือมั่นในร่างกายจนเกินไป

ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้นเล่ม ๑๐ เดือนเมษายน ๒๕๔๐

รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน

#สมเด็จองค์ปฐม** **#ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น

18 กันยายน 2566

สภาวะจิตในขั้นณานต่างๆ

การกำหนดดูลมหายใจ หรือ ภาวนา พุทโธ
มิใช่การดู ลมหายใจ หรือท่อง พุทโธ 
แต่เป็นการสำนึกรู้ ลมหายใจ และสำนึกรู้ พุทโธ
เมื่อสำนึกรู้ ลมหายใจ หรือ พุทโธ จนจิตละเอียดเป็นสมาธิ ลมหายใจ หรือ พุทโธ จะแผ่วเบาแล้วหายไป
เหลือแต่ สภาวะรู้ลอยอยู่ โล่งๆ บางคนเห็นเป็นดวงแก้วสว่างไสว หรือเห็นเรืองแสง แล้วแต่ แต่ละคนไม่มีถูกผิด

ประคองสภาวะรู้แล้วเพิกขอบเขต รู้อากาศไม่มีที่สิ้นสุด รู้สึกเวิ้งว้างหาขอบเขตไม่ได้ มันว่างไปหมดเหมือนครอบทั้งจักรวาล เรียกว่า อากาสานัญจายตนฌาน

กำหนดสภาวะรู้เป็น วิญญานธาตุล้วนๆ แผ่ไปไม่มีขอบเขต เรียกว่า วิญญาญัญจายตนฌาน

กำหนดรู้ว่าไม่มีอะไรเลย ไม่มีอะไรต้องอธิบาย ไม่มีอะไรในสภาวะนั้น เรียกว่า อากิญจัญญายตนฌาน

เลิกการกำหนดทั้งปวง ไม่กำหนดใดๆทั้งสิ้น จนเงียบไปเหมือนกับหายไป เข้าไปสู่สภาวะเงียบ เหมือนหายไปในสภาวะนั้น เรียกว่า เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน

17 กันยายน 2566

#ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น


🌹 ปกิณกะธรรม 🌹
⚜️ #ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น⚜️
⚜️ #สมเด็จองค์ปฐมตรัสสอนเรื่องความสำคัญของศีล🙏🙏🙏

✴️๑. #ศีลเป็นแม่ของพระธรรม #ศีลเป็นมารดาของพระพุทธศาสนา #ศีลเป็นฐานรองรับพระธรรมในพุทธศาสนา #ทุกคนที่ศรัทธาเข้ามาในพระพุทธศาสนาก็ต้องมีศีลก่อนทุกคน พิธีการต่าง ๆ ทางพุทธ ก็เริ่มด้วยศีลก่อนทั้งสิ้น #แต่ในสมัยปัจจุบันมักลืมความสำคัญของศีลมุ่งแต่จะเอาแต่สมาธิเป็นหลักใหญ่ การเข้ามาฝึก #มโนมยิทธิ กันก็ต้องใช้กำลังของสมาธิเป็น ฌานสมาบัติ ซึ่งเพียงแค่ระงับนิวรณ์ ๕ ได้ จิตก็เป็นฌานสมาบัติได้ชั่วคราว 🙏#หลวงพ่อฤาษีท่านเน้นให้รักษาศีลให้มั่นคง #มโนมยิทธิก็จะแจ่มใสไม่เสื่อม

✴️๒.🙏#สมเด็จสมเด็จองค์ปฐมทรงตรัสสอนเกี่ยวกับรูป_นาม
"พิจารณารูป-นาม แล้ว ให้พิจารณาจิตของตนเองที่เกาะติดรูป-นามด้วย (รูป-นามก็คือขันธ์ ๕ ประกอบด้วยรูป ๑ กับนามอีก ๔ มีเวทนา-สัญญา-สังขาร-วิญญาณ หรือสักกายทิฏฐิ นั่นเอง) ดูให้รู้ว่า เหตุใดจึงไปเกาะติดรูป-นามนั้น" #กาม_กิน_นอน ๓ ตัวนี้ยังติดกันมาก #ซึ่งล้วนเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดขันธ์๕ หรือ รูป-นาม ทั้งสิ้น อันเป็นโทษของการเกาะติด หากละวางการเกาะติดใน กาม-กินและนอนได้ อันนี้เป็นคุณซึ่งมีอยู่ในศีล ๘ ทั้งสิ้นให้พิจารณาจุดนี้ให้ดี ๆ

✴️๓.#อย่าสนใจในจริยาของผู้อื่นให้หันมาดูจิตของตนเอง ให้รู้ว่าขณะนี้จิตเรากำลังทำสงครามภายใน #เพื่อชนะอารมณ์เลวของตนเอง #อย่าไปมุ่งชนะความเลวของผู้อื่น

✴️๔.#งานภายนอกเป็นงานประกอบ(งานทางโลก) #งานภายในที่จักตัดกิเลสให้เป็นสมุจเฉทปหานนั้นเป็นงานหลัก(งานทางธรรม) แล้วให้ตรวจสอบดูอารมณ์ยึดมั่นถือมั่นในตัวของตนเองเป็นระยะ ๆ ด้วย #อย่าหลงคิดว่าสักกายทิฏฐินั้นไม่มีแล้ว #เพราะหากยังไม่บรรลุเป็นพระอรหันต์เพียงใดสักกายทิฏฐิย่อมยังมีอยู่แน่ ดังนั้น ถ้าจักให้ได้ผลในการปฏิบัติ จงหมั่นตรวจตราสักกายทิฏฐิ ตัวนี้ไว้ให้เนือง ๆ ด้วย

✴️๕.#เรื่องไสยศาสตร์เกิดได้จากอำนาจของสมาธิเป็นกำลังของฌาน ๔ #แต่เป็นสมาธิที่ไม่มั่นคงเพราะไม่มีศีลเป็นพื้นฐานรองรับ จึงเสื่อมได้ง่าย ๆ เช่น ท่านเทวทัต เป็นต้น แม้ในศาสนาอื่น ๆ ก็เล่นไสยศาสตร์ โดยใช้อำนาจของสมาธิ ซึ่งไม่มีศีลรองรับ ยังเป็น #มิจฉาสมาธิอยู่และเสื่อมได้เช่นกัน

📚ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่ม ๙ หน้า๑๔-๑๖ 
🙏พระราชพรหมยานมหาเถระ หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง
🙏รวบรวมโดย : พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน

📝👸ผู้เขียนคัดลอกแบ่งปันเป็นธรรมทานโดย #Apinyawongthong🙏🙏🌺🌺🌺🌺🌺🌺🌺🌺🌺🌺🌺🌺
💖 ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ 💖

16 กันยายน 2566

#เหรียญหล่อหลวงปู่เดินหน "#ท่านเป็นครูบาอาจารย์ของเรา" หลวงพ่อกอไผ่ วัดสระมณฑล อธิษฐานจิต

#เหรียญหล่อหลวงปู่เดินหน  "#ท่านเป็นครูบาอาจารย์ของเรา" หลวงพ่อกอไผ่ วัดสระมณฑล อธิษฐานจิต
#หลวงปู่อิเกสาโรพระโบราณหนึ่งในคณะพระโลกอุดรผู้มีพุทธกิจค้ำจุนศาสนา

หลายสิบปีก่อน"คณะพระโลกอุดร"เปิดเผยตัวเองเพื่ออบรมสั่งสอนช่วยเหลือศิษย์อย่างเปิดเผย บางรูปยังทรงสังขารอยู่ก็จะไปโปรดศิษย์ด้วยกายเนื้อ เช่นหลวงปู่โลกอุดร หลวงตาดำ(หลวงพ่อจรัญถ่ายรูปคู่กับท่าน)
คณะพระโลกอุดรที่เหาะมาในรูปฤาษีที่ วัดโนนชาติ จ.สกลนครหรือ"หลวงปู่อิเกสาโรหรือหลวงปู่เดินหน" ที่มาในรูปพลังงานทางจิต เพื่ออบรมสั่งสอนศิษย์ให้ประพฤติปฏิบัติธรรม ด้วยเหตุที่มนุษย์เปรียบดังบัวสี่เหล่าต่างมาเพื่อพิสูจน์ความมหัศจรรย์เหนือกฏเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ ไม่สนใจหลักธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่รักษาศิลรักษาคำสัตย์ต่อมา"คณะพระโลกอุดร" จึงหยุดการเปิดเผยตัวเองแต่ยังดำเนินการสั่งสอนศิษย์ที่ท่านตรวจสอบว่ามีวาสนาผูกพันกับท่านในอดีต
หลวงปู่เดินหนอิเกสาโร พระโบราณที่ยังคงสั่งสอนศิษย์อย่างต่อเนื่องแต่ไม่เปิดเผยท่านมักจะสั่งสอนศิษย์ในสมาธิ ศิษย์มักจะพูดถึงท่านสั้นๆว่า "ท่านเป็นครูบาอาจารย์ของเรา" เช่นหลวงพ่อกอไผ่ วัดสระมณฑล อยุธยาศิษย์ทางโลกของหลวงปู่กอง หลวงพ่อกอไผ่เป็นพระที่ค่อนข้างดุเป็นที่เกรงกลัวของเหล่าศิษย์ทั้งท่านยังปิดตัวเองจึงมีเรื่องราวของท่านน้อยมาก อีกองค์ที่เป็นศิษย์และสร้างเป็นศูนย์ปฏิบัติธรรมอยู่ที่จ.ชลบุรีชื่อหลวงพ่อชินพัฒน์ ปัญญาวุฑโฒ วัดหนองบอนบุญญาราม อ.เกาะจันทร์ จ.ชลบุรี ที่ท่านพูดถึงหลวงปู่อิเกสาโร ว่า"ท่านเป็นครูบาอาจารย์ของเรา แต่จะพูดถึงพระอริยะเจ้าองค์หนึ่งซึ่งนักปฏิธรรมต่างรู้จักท่านดี (กำลังติดตามประวัติการปฏิบัติของท่านมาเผยแพร่)ในวันที่ ๖ พค.๒๕๖๓ ท่านจะมีพิธีทำบุญใหญ่ระลึกถึงครูบาอาจารย์ใครรู้จักท่านหรืออยู่ใกล้อย่าลืมงานบุญใหญ่นี้
   
#หลวงพ่อสนอง_กตปุญโญ พระอริยะเจ้าลูกศิษย์ของหลวงปู่สังวาลย์ เขมโก พระอรหันต์แห่งวัดทุ่งสามัคคี
ธรรม ต.หนองผักนาค อ.สามชุก จ.สุพรรณบุรี ที่กล่าวถึง"หลวงปู่อิเกสาโร" ว่าครั้งหนึ่งเราพบ"หลวงปู่โลกอุดร"ในร่างโครงกระดูกที่เราเห็นรูปกันทั่วไปและเรียกท่านว่าหลวงปู่เดินหนอิเกสาโร ท่านมาในนิมิตและสอนธรรมะขจัดข้อติดขัดในการปฏิบัติ ท่านมีพลังจิตที่สูงมากเป็น"พลังงานที่รุนแรงมหาศาล..หมุนวนเป็นวงกลมเหมือนพายุหมุน" สิ่งที่น่าสนใจคือสิ่งที่หลวงพ่อสนองพูดว่า #พบหลวงปู่โลกอุดรในร่างโครงกระดูกและพลังงานทางจิตรุนแรงมากเหมือนพายุหมุน เมื่อไม่นานมานี้ผมได้เห็นรูปพระหล่อหลวงปู่อิเกสาโร ด้านหลังเป็นวงกลมเหมือนก้นหอยรู้ได้ทันทีว่าผู้ที่สร้างพระนี้ต้องมีความสัมพันธ์กับหลวงปู่อิเกสาโรแน่นอนถึงนำรูปพลังงานที่เหมือนพายุหมุนมาใส่หลังเหรียญ
ต่อมาจึงได้รู้ว่าผู้ที่สร้างเหรียญนี้คือ"หลวงพ่อกอไผ่"
ศิษย์ของหลวงพ่ออิเกสาโรสร้างแจก ซึ่งพลังงานรูปพายุหมุน #น้อยคนที่จะรู้ว่าเป็นพลังงานจิตของหลวงปู่อิเกสาโร
อีกทั้งหลวงพ่อสนองยังเรียกหลวงปู่อิเกสาโรว่า"หลวงปู่โลกอุดร" ย่อมไม่ผิดพลาดว่าหลวงปู่อิเกสาโรพระโบราณในอดีตคือคณะพระโลกอุดรที่คอยดูแลค้ำจุนศาสนาพุทธ แต่ท่านจะเป็นพระสาวกองค์ใดในสมัยพุทธกาลคงยังไม่สามารถยืนยันได้ต่างจาก "พระอุตระที่มีความชัดเจนแล้วว่าท่านคือ..หลวงปู่โลกอุดร..ที่ปรากฏกายในรูปพระภิกษุเกษาขาวราวเงินยวงนั่งมือวางที่บนหัวเข่าบนเก้าอี้(ภาพที่ถ่ายโดยหลวงปู่วัย วัดเขาพนมยงค์ สระบุรี) อีกรูปที่มีความเชื่อว่าคือหลวงปู่โลกอุดรคือภาพที่ หลวงพ่อจรัญสิงหบุรีถ่ายรูปกับพระโบราณร่างสูงใหญ่ที่ตามประวัติหลวงพ่อจรัญเรียกท่านว่าหลวงพ่อดำ ซึ่งในศิษย์สายหลวงพ่อชาญณรงค์
อภิชิโตจะเรียกท่านว่า"หลวงตาดำ"

อีกองค์ที่มีความเชื่อว่าท่านคือหนึ่งในคณะพระโลกอุดรคือ"พระอุปคุตมหาเถระเจ้า"ที่มีความเชื่อว่าท่านยังดำรงค์สังขารอยู่จนถึงทุกวันนี้ คอยช่วยเหลือพุทธศา
สนายามศาสนามีภัย ศิษย์ของท่านหลายองค์ยืนยันความมีอยู่จริงอาทิ หลวงปู่พรหม จิรปุญโญ วัดป่าประสิทธิธรรม อุดรธานี หลวงปู่พิศดู ธัมมะจารี วัดเทพธารทอง จันทบุรี หลวงปู่ญาท่านสวน ฉันทโร วัดนาอุดม อุบลราชธานี และหลวงปู่ไม อินทสิริ วัดป่าเขาภูหลวง
นครราชสิมา ทุกท่านเป็นครูบาอาจารย์ที่มีคุณธรรมสูงยิ่งจึงน่าจะเป็นความเชื่อที่มีเหตุมีผลสนับสนุนความจริงว่า #ทุกวันนี้ท่านยังมีชีวิตอยู่

สำหรับ"หลวงพ่อสนอง กตปุญโญ" ท่านได้ละสังขารลงในวันที่๒๔ สค.๒๕๕๕ อายุ ๖๘ ปี ๔๘ พรรษาหลังท่านมรณะลงศิษย์ได้บรรจุลงในโรงแก้วรอให้ลูกศิษย์มาเคารพ หลังครบสามปีได้เปิดโลงออกพบว่าสังขารหลวงพ่อสนองไม่เน่าเปื่อย ผมและเล็บงอกยาวเหมือนคนนอนหลับผิวแห้งลงเล็กน้อย(ตามรูป)เป็นสิ่งยืนยันถึงความเป็นพระอริยะเจ้าอย่างแท้จริง สาธุ สาธุ สาธุ

**พระเจ้าอชาตศัตรูตายแล้วไปอยู่โลหะกุมภีนรก หลวงพ่อฤาษี**

**พระเจ้าอชาตศัตรูตายแล้วไปอยู่โลหะกุมภีนรก หลวงพ่อฤาษี**
 
 เรื่องที่ ๑๖๑ พระเจ้าอชาตศัตรูตายจากความเป็นคนไปอยู่โลหะกุมภีเป็นยมโลกียนรกขุมที่ ๑
 โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ
 
 "..**พระเจ้าอชาตศัตรูมีความทรยศต่อพระราชบิดาคือพระเจ้าพิมพิสาร** เป็นกบฏคิดฆ่าพ่อด้วยอำนาจของพระเทวทัตยุยงส่งเสริม เจตนาเดิมของพระองค์ไม่มี ในจิตใจของท่านนั้นไม่เต็มใจจะทำ แต่ว่าโดนพระเทวทัตยุหนักๆ เข้าก็ทนไม่ไหว ในที่สุดก็ต้องตามใจเพราะถือว่าเป็นอาจารย์ จึงคิดประหัตประหารพระราชบิดา**ซึ่งเป็น พระโสดาบัน** โดยแย่งราชสมบัติและก็ทรมานพ่อ จับขังคุก ต่อมาก็ให้อดข้าว

แต่พระเจ้าพิมพิสารท่านเดินจงกรมจึงอยู่ด้วยธรรมปีติ แม้จะอดข้าวก็ไม่ตายผิวพรรณยังผ่องใส ในที่สุดก็ถูกเฉือนเท้าไม่ให้เดิน ท่านมีความเจ็บปวดมาก แต่จิตใจของพระองค์ก็นึกถึงพระพุทธเจ้าจึงมีจิตใจชุ่มชื่น
 
 หลังจากการฆ่าพระราชบิดาตายแล้ว พระเจ้าอชาตศัตรูก็เข้าหาพระ ทำบุญเป็นการใหญ่ ต่อมาได้ขอขมาต่อพระรัตนตรัยและเป็นองค์อุปถัมภ์พระศาสนาตั้งแต่ปฐมสังคายนาเป็นต้นมา

ความจริงโทษอันนี้องค์สมเด็จพระจอมไตรตรัสว่า **"จะต้องตกอเวจีมหานรก แต่อาศัยบุญใหญ่อันนี้จึงช่วยให้พระเจ้าอชาตศัตรูไม่ต้องลงอเวจีมหานรก มาตกอยู่แค่โลหะกุมภีซึ่งเป็นยมโลกียนรกขุมที่ ๑**"

สำหรับนรกขุมนี้ไม่ได้บอกอายุไว้ ไม่เหมือนนรกขุมใหญ่บอกอายุไว้ แต่ก็นานเหลือเกินเพราะพอลงไป ๑ ขุม อย่างน้อยที่สุดพระพุทธเจ้าตรัสไป ๒-๓ องค์ ก็ยังไม่ได้โผล่ขึ้นมาเลย

**โลหะกุมภี สำหรับโทษปาณาติบาต** **ถ้าทำปาณาติบาตก็ต้องไปตกนรกขุมใหญ่ก่อนแล้วไปผ่านนรกบริวาร **เศษของกรรมยังไม่หมดต้องมาลง**โลหะกุมภี "โลหะ" แปลว่า "ของแข็ง" เช่น เหล็ก ทองแดง ทองเหลือง เป็นต้น
 **
 "กุมภี" แปลว่า "หม้อ"
 
 รวมแล้วแปลว่า "**หม้อโลหะใหญ่**" มีหม้อทองแดงใหญ่มหึมาใหญ่เท่าๆ กับปริมาณของสัตว์นรกที่จะลงนรกขุมนี้ ถ้ามีสัตว์นรกมากหม้อก็ใหญ่มาก

ถ้ามีสัตว์นรกน้อยหม้อก็ใหญ่น้อย ในหม้อทองแดงนี้มีนํ้าทองแดงเป็นนํ้าโลหะที่ถูกเคี่ยวมีความร้อนจัดและมีความรัดตัว บรรดาสัตว์นรกทั้งหลายที่มีโทษปาณาติบาตเหลือเป็นเศษของกรรม นายนิรยบาลก็เอาลงหม้อทองแดงโดยเอาหอกเสียบแล้วก็โยนลงไปในหม้อทองแดงบ้าง เอาค้อนใหญ่ตีหัวให้คะมำลงไปในหม้อบ้าง ในหม้อทองแดงมีนํ้าโลหะร้อนเดือดพล่านอยู่ตลอดเวลา สัตว์นรกถูกความร้อนเผาผลาญอยู่อย่างนั้น ขึ้นมาปากหม้อแล้วก็จมลงไปก้นหม้อ เมื่อจมลงไปก้นหม้อแล้วก็ไหลขึ้นมาปากหม้อ วนกันอยู่แบบนั้นไม่มีเวลาหยุดจนกว่าจะหมดเศษกรรมเรื่องปาณาติบาตและก็ใช้เวลานานมาก
 
 **บางท่านบอกว่าสัตว์เกิดมาเป็นอาหารของคน สำหรับคนเลวเท่านั้นที่พูดแบบนี้**

สัตว์ทุกตัวรักชีวิตจะเห็นว่า เวลาที่เราจะเข้าไปจับหรือเวลาที่เราจะฆ่ามัน มันมีอาการดิ้นรนหนีเพื่ออิสรภาพไม่ต้องการให้ใครทำร้ายมัน **การฆ่าสัตว์ที่ยังมีชีวิตทุกประเภทจะต้องลงโลหะกุมภี**

เคยมีพวกหมอมาถามว่า "พวกพยาธิที่อยู่ในท้องก็ดี บรรดาเชื้อโรคทั้งหลายก็ดี ก็มีร่างกายมีชีวิตเหมือนกัน อย่างนี้ถ้าเราฆ่ามีโทษไหม" อันนี้พระพุทธเจ้าไม่ได้บอก บอกแต่พวกเล็นพวกไรต่างๆ

**แต่ว่าการฆ่าต้องเต็มไปด้วยเจตนา ถ้าหากว่าเราเดินไปเหยียบตายโดยไม่เห็น ไม่มีเจตนาอย่างนี้ ท่านไม่จัดว่าเป็นกรรมต้องลงนรก**

เวลายุงกัดเรารำคาญเอามือไปลูบไปแตะคิดว่าจะให้ยุงหนีไป บังเอิญเป็นยุงก้นปล่องมันกินเลือดเราเข้าไปเต็มที่แล้วมันไปไม่ไหว ตัวมันอ่อน พอไปถูกเข้าตายโดยไม่มีเจตนาจะฆ่าให้ตาย อย่างนี้ไม่มีโทษต้องลงโลหะกุมภี
 
 ถ้าไม่ต้องการมายมโลกียนรกขุมที่ ๑ คือโลหะกุมภี ก็มีเมตตาปรานีเข้าไว้ หรือทรงพรหมวิหาร ๔ ทั้งหมด ก็จะไม่ปรากฏร่างของเราในอบายภูมิ.."
 
 ........................................

จากหนังสือตายแล้วไปไหน เรื่องที่ ๑๖๑ จากทั้งหมด ๑๗๙ เรื่อง
 #ตายแล้วไปไหน_หลวงพ่อฤาษี2 #หลวงพ่อฤาษี4

15 กันยายน 2566

ศีล ธรรม นี่แหละคือของดี

"..ศีล   ธรรม  นี่แหละคือของดี  ศีล คือการนำความผิดความชั่วออกจากกาย ออกจากวาจา ธรรม ก็คือความดีที่ป้องกันไม่ให้ความผิดหวังความชั่วเกิดขึ้นใน กาย วาจา ใจ ทั้งศีล ทั้งธรรม ก็อันเดียวกันนั่นแหละ แต่เราไปแยกสมมติ เรียกไปต่างหาก กาย วาจา ใจ ของเรานี้เป็นที่ตั้งของธรรม เป็นที่เกิดของธรรม เป็นที่ดับของธรรม ความดีก็เกิดจากที่นี่ ความชั่วก็เกิดจากที่นี่ สวรรค์ก็เกิดจากที่นี่ นรกก็เกิดจากที่นี่ เราจะรักษาศีล ภาวนา ให้ทาน ก็ต้องอาศัย กาย วาจา ใจ นี้เป็นเหตุ เราจะทำความผิด ความชั่ว ไปนรกอเวจีก็ต้องอาศัยกาย วาจา ใจ นี้เป็นเหตุ เราจะรักษาศีล ทำสมาธิ ภาวนา ให้เกิดปัญญา ทำมรรค ผล นิพพาน ให้แจ้ง ให้เกิดขึ้น ก็ต้องอาศัยกาย วาจา ใจ นี้แหละ.."

ธรรมโอวาทโดย
หลวงปู่แหวน สุจิณโณ
วัดดอยแม่ปั๋งอ.พร้าวจ.เชียงใหม่(พ.ศ.๒๔๓๐–๒๕๒๘)
        🙇🏻‍♂️สิริธมฺโม📖🖋️

5 สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสอน

5 สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสอน
สละเวลาอ่านสัก 1 นาที แล้วคุณจะเข้าใจชีวิตมากขึ้น พระพุทธองค์ทรงสอนพวกเราว่า…
1. ไม่ว่าเราได้พบเจอใคร เขาเหล่านั้นคือคนที่เราจะต้องได้พบเจอ ไม่มีใครเข้ามาในชีวิตเราด้วยเหตุบังเอิญ

2. ไม่ว่าจะเกิดเรื่องราวใดๆ ขึ้นในชีวิตเรา มันเป็นเรื่องที่จะต้องเกิด ไม่ว่าเรื่องนั้นจะดีหรือร้าย ไม่มีเรื่องใดที่บังเอิญ เพราะเราก็เคยทำอย่างนี้กับเขามาก่อนเมื่ออดีตชาติ

3. เรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น เกิดเมื่อไหร่ ที่ไหน เวลาใด นั่นคือเวลาที่เหมาะสมที่สุดแล้ว ไม่มีอะไรที่ไม่ควรเกิด เพราะมันต้องเกิดต่อให้คุณเตรียมตัวหรือไม่ได้เตรียมตัว เมื่อปัจจัยถึงพร้อม สิ่งเหล่านั้นก็จะเกิดขึ้นในทันที

4. เมื่อปัจจัยจบ ต้องยอมรับว่าจบ อย่าเหนี่ยวรั้ง อย่าเอาแต่อาลัยอาวรณ์ ขอให้รู้ว่าเมื่อสุดมือสอยก็ให้ปล่อยมันไป กล้าเผชิญในสิ่งที่เกิดขึ้น เรื่องดีๆกำลังรอคุณอยู่ข้างหน้า

5. ทำความดีในปัจจุบันให้มากที่สุด แล้วไม่ต้องสนใจว่า เราเคยไปทำกรรมไม่ดีอะไรมาบ้าง เพราะคิดไปก็เปล่าประโยชน์ เราทำอะไรกับกรรมเก่าไม่ได้แล้ว แต่ผู้มีปัญญาจะคิดว่า กรรมใหม่ดีๆมีอะไรที่ยังไม่ได้ทำ และควรทำได้บ้าง แล้วจึงทำ สรุป กรรมดีในปัจจุบันสำคัญที่สุด!!!

14 กันยายน 2566

คำแปลคาถาบูชาหลวงพ่อทวด

" นะโม โพธิสัตโต อาคันติมายะ อิติภะคะวา "

--- คำแปลคาถาบูชา 
" ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่เจ้าประคุณสมเด็จหลวงพ่อทวด ผู้เป็นพระโพธิสัตว์ เป็นผู้มีโชค ซึ่งเข้ามาสถิตอยู่ในตัวของข้าพเจ้านี้ "

13 กันยายน 2566

**เพราะอ่อนอานาปาจึงไม่สงบ**


**สมเด็จองค์ปฐม **ทรงมีพระเมตตาตรัสสอนเรื่องนี้ไว้ มีความสำคัญดังนี้

**เพราะอ่อนอานาปาจึงไม่สงบ จำเป็นต้องกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกเข้าไว้ให้มากๆ รู้สึกว่ายังอ่อนจุดนี้กันทุกคน ทั้งๆ ที่ลมหายใจมันก็มีอยู่ ทุกลมหายใจเข้า - ออกตลอดเวลา แต่สติ – สัมปชัญญะกลับไม่ทรงตัวที่จักตามกำหนดรู้**

ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้นเล่ม ๘ เดือนสิงหาคม ๒๕๓๘ ตอน ๑

รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน

#สมเด็จองค์ปฐม4** **#ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น4

12 กันยายน 2566

อย่าเสียเวลาชีวิต....

อย่าเสียเวลาชีวิต.....
1. “เวลาชีวิต”เราลดลงไปทุกวัน
ควรเลิกเสียดายอดีตได้แล้ว
2. “ความสุข”ไม่ได้เกิดจากมีเท่าไหร่
แต่ความสุขอยู่ที่เราพอเมื่อไหร่
3. “มีพบ มีพราก มีจาก มีลา”
เป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องเกิดขึ้น
กับเราทุกคน ฝึกให้ชินวันหนึ่ง
มันจะวนมาหาเราอย่างแน่นอน
4. สิ่งใดที่เรา ”ควบคุมมันไม่ได้”
สิ่งนั้นกำลังสอนให้เราปล่อยวาง
5. ใครจะอวดอะไรก็เรื่องของเขา
มัน “สิทธิ์ของเขา” แค่เรารักษาใจเรา
ไม่ให้อิจฉาใครก็พอ
6. “ไม่มีใครเก่งไปซะทุกอย่าง”
ไม่มีใครกระจอกไปซะทุกเรื่อง
เรามีทั้งเรื่องเก่งและไม่เก่ง
ปะปนกันไป
7. “อย่าไปคิดเยอะเกินวันนี้”
เพราะไม่รู้เราจะอยู่ถึงไหม
ทำให้ดีแล้วปล่อยวางก็พอ
8. “หัดช่างแม่งบ้าง” กับบางเรื่อง
ในชีวิต เพราะไม่มีอะไรที่จะ
เป็นไปตามที่เราคาดหวังไว้ได้ตลอด
9. ชีวิตเสียใจได้แต่ “อย่าเสียดาย”
เสียใจไม่นานก็หาย แต่เสียดาย
ทั้งชีวิตก็ยังคงอยู่อย่างนั้น
10. ไม่อยากเสียดายชีวิต
“ชัดเจนกับตัวเองได้แล้ว”
เจ็บก็ชัดเจน ไม่เจ็บก็ชัดเจน
แต่มันยังดีกว่าชีวิตคาราคาซัง
11. “คาดหวัง” ไว้มากเท่าไหร่
ก็อย่าลืมเตรียมความผิดหวัง
ไว้มากด้วยเท่านั้น
12. อะไรไม่ใช่ของ ๆ เรา
อยู่ไม่นานหรอก
อะไรที่เป็นของ ๆ
เราไกลแค่ไหนก็
“วนเวียนมาหาเราอยู่ดี”
13. เราและเขาเปลี่ยนแปลง
ไปทุกวันเลิกยึดติดกับ
ภาพความทรงจำเดิมได้แล้ว
14. อย่าเก็บความรู้สึกแย่ ๆ
ไว้เพียงคนเดียว
หัดระบายมันออกมาบ้าง
15. วันไหนที่เราได้ดี
อย่าไปดูถูกใคร
เพราะไม่รู้วันไหน
เราจะล้มเหมือนเขาบ้าง
16. ความผิดหวัง
ถ้าไม่ทำให้เราตาย
มองให้ดีมันก็ทำ
ให้เราโต
17. อย่าพยายามอยากรู้อดีตเลย
สังเกตตัวเองง่าย ๆ
อดีตกำหนดปัจจุบัน
ปัจจุบันกำหนดอนาคตเรา
18. พ่อ-แม่ ตายก่อนเรา
เป็นเรื่องธรรมดา หมั่นถามไถ่
ห่วงใยท่านบ้างเมื่อจากกัน
จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียดาย
เคาะบอกรักกันที่ฝาโลง
19. ชีวิตไม่มีปลายทาง
จงอยู่กับปัจจุบัน
อย่ากังวลปลายทาง
เพราะบางทีมันอาจไม่มีจริง
20. “เรามาตัวเปล่า ไปตัวเปล่า
อย่าไปคาดหวังเยอะกับชีวิต”
สักวันเราก็ต้องตาย
การมีลมหายใจในตอนนี้
และทำอะไรก็ได้ในสิ่งดี ๆ
ย่อมดีที่สุดแล้ว

**เห็นในอริยสัจ ๔ ตัณหา ๓ เหตุแห่งทุกข์ หลวงพ่อฤๅษี**

**เห็นในอริยสัจ ๔ ตัณหา ๓ เหตุแห่งทุกข์ หลวงพ่อฤๅษี**
 ธรรมโอวาทหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง
 
 ให้พิจารณาเห็นว่า ทุกข์ทั้งหมดที่ได้รับเป็นประจำ
 ไม่ว่างเว้นนี้ เกิดมีขึ้นได้เพราะอาศัย

**ตัณหา ความทะยานอยาก ๓ ประการ คือ
 **
-**อยากมีในสิ่งที่ไม่เคยมี
-อยากเป็นในสิ่งที่ไม่เคยเป็น
-อยากปฏิเสธในเมื่อความสลายตัวเกิดขึ้น**
 **ไม่อยากให้สลายตัว**
 
 **เจ้าความอยากทั้ง ๓ นี้แหละ เป็นผู้สร้าง
 ความทุกข์ขึ้นมา** ทุกข์นี้จะสิ้นไปได้ก็เพราะ
 เข้าถึงจุดความดับ คือ นิโรธ เสียได้
 
 จุดดับนั้นท่านวางมาตราฐานไว้ ๓ ประการ คือ
 ศีล สมาธิ ปัญญา ที่ท่านเรียกว่า มรรค ๘
 ย่อมรรค ๘ ลงเหลือ ๓ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา
 
 เพราะอาศัยศีลบริบูรณ์ สมาธิเป็นฌาน ปัญญา
 รู้เท่าทันสภาวะความเป็นจริง หมดความเมาในรูป
 เสียง กลิ่น รส สัมผัส และดับอารมณ์พอใจ
 ไม่พอใจเสียได้ ตัดอารมณ์พอใจในโลกีย์วิสัยได้
 ตัดความกำหนัดยินดีเสียได้ ด้วยปัญญาวิปัสสนาญาณ
 ชื่อว่า**เห็นในอริยสัจ ๔**
 
 ทำอย่างนี้ คิดอย่างนี้ให้คล่อง จนจิตครอบงำความรัก
 ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความเมาในชีวิต
 เสียได้ ชื่อว่าท่านได้วิปัสสนาญาณ ๙ และอริยสัจ ๔
 
 แต่อย่าเพิ่งพอ หรือคิดว่าดีแล้ว ต้องฝึกฝนพิจารณา
 เรื่อยไป จนตัดสังโยชน์ทั้ง ๑๐ ประการได้แล้ว
 นั่นแหละ ชื่อว่าเอาตัวรอดได้แล้ว

#รวมคำสอนพ่อแม่ครูอาจารย์6 #หลวงพ่อฤาษี4

10 กันยายน 2566

จิตร่มเย็นในหลักธรรมของศาสนา

"..คนเราถ้ายอมรับความจริงตามหลักศาสนาที่สอนไว้ ตัวย่อมได้รับความเป็นธรรม คือตัวเย็น ผู้เกี่ยวข้องมากน้อยก็เย็น โลกร่มเย็นไม่ค่อยมีการทะเลาะเบาะแว้งแย่งชิง เพื่อแข่งดิบแข่งดีกันให้เดือดร้อนไปทั้งสองฝ่าย ซึ่งสุดท้ายก็เป็นไฟไปตาม ๆ กัน ไม่มีใครได้ครองความสุขดังใจหวัง เพราะเอาใจดวงกำลังเป็นไฟทั้งกอง เข้าไปเป็นหัวหน้าว่าความในกิจการในโรงในศาล ในเรื่องต่าง ๆ ไม่มีประมาณ ด้วยเหตุนี้แลคนเราจึงหาประมาณความทรงตัวได้ยาก อยู่ที่ไหนก็ร้อนเป็นฟืนเป็นไฟไม่เป็นสุข เพราะใจแบกกองไฟไว้กับตัวตลอดเวลา ไม่คิดจะปลงวางลงบ้าง พอได้หายใจไกลทุกข์ประสบสุขเสียบ้าง.."
พระครูวินัยธร(หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต)วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ.สกลนคร(พ.ศ. ๒๔๑๓-๒๔๙๒)จากหนังสือประวัติท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ
        🙇🏻‍♂️สิริธมฺโม📖🖋️

ทำจิตให้เหมือนกระจกเงา

ทำจิตให้เหมือนดูหนังดูละคร ผ่านไปแล้วก็ผ่านเลย
ทำจิตให้เหมือนกระจกเงา อะไรผ่านเข้ามาก็เห็นหมด แต่เมื่อเลยไปแล้วกระจกเงาก็ไม่ได้ยึดภาพเหล่านั้นไว้เลย จำไว้จงเป็นเพียงผู้ดู
สมเด็จองค์ปฐมทรงตรัสสอนปกิณกะธรรมในเดือนนี้ มีความสำคัญดังนี้

ทำจิตให้เหมือนดูหนังดูละคร ผ่านไปแล้วก็ผ่านเลย หรือ ทำจิตให้เหมือนกระจกเงา อะไรผ่านเข้ามาก็เห็นหมด แต่เมื่อเลยไปแล้วกระจกเงาก็ไม่ได้ยึดภาพเหล่านั้นไว้เลย จำไว้จงเป็นเพียงผู้ดู ที่แล้วๆ มาพวกเจ้าลงไปแสดงร่วมกับเขาด้วย จึงเป็นการขาดทุนอย่างยิ่ง 

อยู่ในโลกไม่มีใครพ้นจากโลกธรรม ๘ ไปได้ พระพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันต์ทุกองค์ก็ดี ยังถูกนินทาใส่ร้ายป้ายสี แล้วพวกเจ้าเป็นใคร ทำไมจักไม่ถูกใส่ร้ายป้ายสี ให้มองเห็นว่ามันเป็นธรรมดาของชาวโลก จิตก็จักปล่อยวางโลกธรรมนี้ลงได้ และให้รู้กฎของกรรม ให้ยอมรับนับถือกฎของกรรมอย่าไปตำหนิใครว่าเลวหรือชั่ว นั้นเป็นเพราะอกุศลเข้าครอบงำ จิตเขาเห็นดีอย่างนั้น จึงทำไปตามอำนาจของกรรมที่เป็นอกุศลกฎของกรรมนั้นเที่ยงเสมอ ใครทำอย่างไรย่อมได้อย่างนั้น 

หากพวกเจ้ามิได้เคยสร้างกรรมเหล่านี้ไว้ก่อนในอดีต วิบากกรรมนั้นจักเกิดกับพวกเจ้านั้นเป็นไปไม่ได้ ขอให้อดทน ไม่ช้ากฎของกรรมก็ย่อมจักคลายตัวไปเอง โลกเสื่อมมากเท่าไหร่ ทุกข์ก็มากขึ้นเท่านั้น แต่อย่าพึงห่วงวิตกกังวลให้มาก รักษาอารมณ์จิตให้เป็นสุขอยู่ในปัจจุบันดีกว่า เตรียมพร้อมด้วยความไม่ประมาท ซ้อมตายเอาไว้เสมอ รู้ลม รู้ตาย รู้นิพพาน พลาดท่าขึ้นมาจักได้ทิ้งร่างกายไปพระนิพพานได้ทันท่วงที

ธรรมนำไปสู่ความหลุดพ้นเล่ม ๑๐เดือนมีนาคม ๒๕๔๐
รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน
#รวมคำสอนพ่อแม่ครูอาจารย์   #โอวาทธรรม  
#สมเด็จองค์ปฐม  #ธรรมนำไปสู่ความหลุดพ้น

09 กันยายน 2566

หลวงปู่ดุลย์ อตุโล สอนเรื่องจิตก่อนตาย

ธรรมะหลวงปู่ดุลย์ อตุโล สอนเรื่องจิตก่อนตาย
เรื่องจิตก่อนตายนั้น สำคัญมากหากเวลาดับจิต หากจิต"ดี" ก็ได้ไปที่ "ดีๆ"หากจิต “หมอง” จิต “ร้าย” ก็จะไปสู่ “อบายภพ” ที่ร้อนร้ายในทันใด ซึ่งจิตก่อนตายนี้ เป็นของไม่แน่นอน บังคับไม่ได้ แล้วแต่วาระหรือกรรมจะพาให้เป็นไป ด้วยเหตุนี้บางคน แม้เคยทำบุญมามากต่อมากแต่ตายไปกลับไปตกนรกทั้งนี้เป็นเพราะ"จิตหมอง"ก่อนตาย บางคน แม้จะทำบาปทำกรรมมามากมาย แต่ตายไป กลับไปอยู่บนสวรรค์ทั้งนี้เพราะเกิด"จิตใส"ตอนดับจิต 

กรณีทั้งสองแบบ ล้วนมีบันทึกไว้ในพระไตรปิฏกมาแล้วทั้งสิ้นแต่สำหรับคนที่เคย"ฝึกจิต"มาก่อนวินาทีที่รู้ตัวว่า อย่างไรเสียจะต้องตายหรือดับจิตลงไปแน่ๆหาก"ทำเป็น" ก็อาจพลิกจิตยกขึ้นสู่ภูมิสูง ไปสู่"สุคติ"หรือ"อริยะ" ไป "สุคติภพ"หรือ"อริยภูมิ" เลยก็ได้สำหรับวิธีตกกระไดพลอยกระโจน (สู่สุคติภพหรืออริยภูมิ)ของพระราชวุฒาจารย์หลวงปู่ดุลย์ อตุโล วัดบูรพาราม สุรินทร์ ก็คือ

ปล่อยวางทั้งอดีต อนาคต และปัจจุบันอยู่กับความไม่มีไม่เป็น ว่าง สว่าง บริสุทธิ์ หยุดการปรุงแต่ง หยุดการแสวงหา หยุดกิริยาจิต ไม่มีอะไรเลยไม่ยึดถืออะไรสักอย่าง

พระอริยเจ้ามีจิตไม่ส่งออกนอกจิตไม่หวั่นไหว จิตไม่กระเพื่อมมีสติอย่างสมบูรณ์เป็น วิหารธรรมมีสติอย่างสมบูรณ์ เป็นเครื่องอยู่วิธีทำหยุดคิด อย่าส่งจิตออกนอกมีสติอย่างสมบูรณ์เป็นเครื่องอยู่แต่เรื่องของการ"พลิกจิต" ช่วงสุดท้ายนี้ หลวงปู่ดุลย์ท่านว่าบุคคลนั้นๆต้องเคย"ฝึก"มาก่อน จึงจะทำได้จริง พอดี

หลวงปู่ดุลย์ อตุโล

08 กันยายน 2566

ปาฏิหาริย์พระหลวงปู่ทวด!! ทำท่านหล่นหาย

ปาฏิหาริย์พระหลวงปู่ทวด!! ทำท่านหล่นหาย 
ตกกลางคืนถึงกับฝัน ว่ามีชายแก่พาไปเก็บพระถึงที่ !
.
                เรื่องราวของความศักดิ์สิทธิ์ที่จะนำมาเล่านี้เป็นประสบการณ์ตรงของผู้เขียนนามปากกว่า “หงสา ราชวดี” ในคอลัมน์อาถรรพ์ ปาฏิหาริย์ตอน "ปาฏิหาริย์หลวงปู่ทวด" วัดช้างไห้ ในนิตยาสาร “ชีวิตต้องสู้” (สามารถเข้าไปอ่านฉบับเต็มได้ที่ : http://www.lifenewsonline.com/index.aspx?ContentID=ContentID-100129101522694 )
.
                โดยผู้เขียนได้เล่าว่า เขามีประสบการณ์ความศักดิ์สิทธิ์ของ “หลวงปู่ทวด” วัดช้างไห้ มาตั้งแต่วัยเด็ก ที่เกิดปาฏิหาริย์อยู่หลายครั้งจนทำให้เขามีความเคารพและศรัทธามาจวบจนทุกวันนี้
.
                 ว่าสมัยที่ยังเป็นเด็กคุณแม่ได้ให้พระมาคล้องคอเราเพื่อความเป็นสิริมงคล และคุ้มครองตัวเราให้พ้นภัยอันตรายทั้งปวง พระที่คุณแม่ให้มา 2 องค์นั้นเป็นพระ "หลวงปู่ทวด" องค์แรกนั้นเป็นเหรียญรูปไข่ด้านหน้าจะเป็นรูปหลวงปู่ทวด ส่วนด้านหลังจะเป็นรูป "หลวงปู่ทิม" ส่วนองค์ที่สองจะเป็นรุ่นที่เขาเรียกกันว่า "รุ่นหลังเตารีด" เป็นพิมพ์นูนทำจากทองเหลืองรูปร่างคล้ายเตารีด สร้างและปลุกเสกเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2500
.
               ปาฏิหาริย์ครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2507 ซึ่งในขณะนั้นตัวคุณหงสา ราชวดี เองกำลังเรียนอยู่ชั้นประถม เขามักจะชอบเล่นฟุตบอลกับเพื่อนๆ จนกระทั่งใกล้ค่ำจึงพากันแยกย้ายกลับบ้าน ในวันนั้นขณะที่เตรียมตัวจะกลับบ้านนั้น ผู้เขียนต้องใจหายวาบเมื่อรู้ตัวว่าพระหลวงปู่ทวดที่เราคล้องคอได้ล่วงหล่นหายไปแล้ว โดยคาดว่าจะต้องหล่นไปขณะที่กำลังเล่นฟุตบอลอยู่ที่สนาม จึงได้เดินค้นหาไปจนทั่วสนามฟุตบอลด้วยใจที่กระวนกระวายและเสียดายเป็นอย่างมาก พยายามค้นหาเท่าไรก็ไม่พบจนแสงอาทิตย์หมดจึงได้ตัดสินใจกลับบ้าน และตัดสินใจเล่าความจริงให้แม่ฟัง ซึ่งก็ผิดคาดที่คุณแม่ไม่ได้ดุว่าอะไรแล้วยังบอกอีกว่า "ไม่เป็นไรหรอกลูก...พระท่านคงไม่อยากอยู่กับเราถึงได้มีอันเป็นไป" ค่ำ
.
              แล้วคืนนั้นเขาก็ต้องฝันประหลาดขึ้นมา ในฝันนั้นเขาเดินอยู่คนเดียวในบริเวณโรงเรียน พลันก็มีชายแก่คนหนึ่งปรากฏร่างขึ้นมา ในฝันยังจำได้ว่าชายแก่คนนั้นมีรูปร่างผอมสูงนุ่งโจงกระเบนและใส่เสื้อสีขาวมีผ้าขาวพาดบ่า ผมยาวมีเคราสีขาววาววับท่าทางเป็นคนใจดี ชายคนนั้นเดินเข้ามาถามว่า
.
"หนูกำลังหาพระอยู่ใช่ไหม" ผู้เขียนพยักหน้า
.
               ชายแก่คนนั้นพูดต่อไปอีกว่า "มา...มากับลุง...ลุงจะพาหนูไปหาพระ" พูดแล้วชายแก่คนนั้นก็จูงมือไป พอมาถึงบริเวณใกล้กับเสาประตูฟุตบอล ชายแก่คนนั้นก็ชี้ไปที่กอหญ้าข้างเสาประตูแล้วพูดว่า "หนูแหวกกอหญ้านี่ดู...พระหล่นอยู่ตรงนี้"
.
               เมื่อแหวกกอหญ้าออกตามที่ชายแก่บอก ก็พบพระหลวงปู่ทวดที่หล่นหายอยู่ในกอหญ้า แล้วความฝันก็จบลงเพียงแค่นั้น พอรุ่งเช้าผู้เขียนรีบตื่นขึ้นแต่เช้าตรู่แล้วรีบแต่งตัวไปโรงเรียน
.
                    พอถึงโรงเรียนสิ่งแรกที่ผู้เขียนทำก็คือ รีบตรงดิ่งไปที่สนามฟุตบอลทันที ไม่รอช้าจึงใช้มือแหวกกอหญ้านั้นออกดู สิ่งที่ปรากฏต่อสายตา และทำให้เป็นที่แปลกประหลาดใจมากก็คือ เหรียญ "หลวงปู่ทวด" องค์ที่หล่นหายตกอยู่ตรงนี้จริงๆ ทำเอาขนลุกซู่ไปทั้งตัว ไม่นึกไม่ฝันว่าความฝันจะเป็นจริงไปได้
.
                    เย็นวันนั้นหลังเลิกเรียนพอกลับถึงบ้าน ได้นำพระหลวงปู่ทวดมาให้คุณแม่ดู แล้วบอกว่าทุกอย่างเป็นไปจริงๆ ตามที่ฝัน ซึ่งคุณแม่บอกว่า คงจะเป็นบุญของเราจึงได้พระกลับคืนมา และจากนั้นมาผู้เขียนจะเก็บพระหลวงปู่ทวดไว้บูชาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ แม้จะมีใครหลายคนมาขอเช่าให้ราคาสูงมากขนาดไหนเขาก็จะไม่ยอมปล่อยให้หลุดมือไปอย่างเด็ดขาด....!

**พระใหญ่ลงอเวจี หลวงพ่อฤาษี**

**พระใหญ่ลงอเวจี หลวงพ่อฤาษี**
**เรื่องพระใหญ่ลงอเวจี เล่าโดยหลวงพ่อฤาษีนี้ เป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกับประวัติหลวงพ่อปานตอนที่ทางบ้านหลวงพ่อฤาษีจะเริ่มนิมนต์หลวงพ่อปานมาที่บ้าน**

**ในเรื่องนี้เป็นเรื่องหลวงพ่อฤาษีตอนสมัยเด็กอายุประมาณ ๑๒ ปี**

**สมัยเด็กนั้นหลวงพ่อฤาษีมีความสามารถทางสมาธิมากสามารถไปนรกได้**

**รายละเอียดตามเรื่องจะยาวมาก**

**ในที่นี้จึงนำมาบางส่วนมาเล่าให้ฟังเท่านั้น**

**สมัยเป็นเด็กหลวงพ่อ ถูกพระท่านหาว่าใกล้บ้า เพราะชอบเอาเรื่องของคนตกนรกมาเล่าให้ท่านยายฟังทุกวัน ทั้งนี้เพราะท่านยายชอบฟังเรื่องคนตกนรก ว่าเขาทำอะไรมาจึงลงนรก**

**เพราะท่านยายชอบฟังเรื่องนรกนี่เอง ฉันก็เลยต้องลงนรกเป็นประจำวัน**

**หลวงพ่อฤาษี เล่าไว้ว่า**

**หลังจากฉันฟื้นจากตายได้ไม่ครบ ๑ ปีดี**พระที่ท่านยายกับท่านแม่ชอบนิมนต์มาเทศน์

และเป็นพระองค์เดียวกันกับที่ท่านหาว่าฉันมีอารมณ์ใกล้บ้า

เพราะชอบเอาเรื่องของคนตกนรกมาเล่าให้ท่านยายฟังทุกวัน

ทั้งนี้เพราะท่านยายชอบฟังเรื่องคนตกนรกว่า เขาทำอะไรมาจึงลงนรก

ฉันก็เลยต้องลงนรกเป็นประจำวัน

**เวลาไปนรกฉันไปไหนไม่ได้ นอกจากยืนอยู่ที่ยอดเขาที่ตาลุงแกสั่งว่าห้ามเข้า**

ความจริงมีสิทธิ์จะไปได้ แต่ทว่าตอนนั้นฉันเป็นเด็กไม่รู้เรื่องธัมมะธัมโมอะไรกับเขาเลย

ปกติก็เป็นคนเคารพในคำสั่งของท่านยายและท่านแม่เคร่งครัดอยู่แล้ว

เรื่องคำสั่งไม่เคยละเมิด เว้นไว้แต่เป็นเรื่องรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ก็เลยไม่ถูกลงโทษเพราะขัดคำสั่ง

แม้อยู่โรงเรียนเรื่องขัดคำสั่งไม่เคยถูกลงโทษเลย

**เมื่อไปเมืองนรกก็เลยไม่กล้าขัดคำสั่งตาลุง** แต่ก็ทำให้ตาลุงคนนั้นลำบากใจไม่น้อย

เพราะถ้าฉันเกิดสงสัยไม่เข้าใจอะไร ฉันก็นึกถึงตาลุงคนนั้น เมื่อนึกถึงแกๆก็มาหาทันที

ถามอะไรแกก็บอกให้ฟังละเอียดตามที่ต้องการรู้

เมื่อฉันได้ยินข่าวว่าท่านเจ้าคุณที่คุณยายนับถือมาตาย

**ท่านเจ้าคุณองค์นี้ฉันไม่ไหว้และไม่ยอมประเคนของ**

**ด้วยเกลียดท่านที่ท่านหาว่าเรื่องนรกที่ฉันเล่าให้ท่านยายฟังเป็นเรื่องโกหกพกลม**

**ตัวท่านเองท่านพูดว่า บวชมา ๓๐ ปีเศษแล้ว ไม่เคยเห็นนรกสักนิด ฉันเลยเกลียดท่าน**

**ด้วยคิดว่าพระแบบนี้หลอกลวงชาวบ้านหากิน**

เป็นความคิดของเด็กโง่ที่ยังไม่ได้ศึกษาธรรม เลยไม่ยอมเคารพ

แม้แต่นิ้ว ๑๐ นิ้ว ก็เสียดายเวลาที่จะยกมือไหว้ท่าน

เมื่อท่านมาบ้าน ท่านยายให้ประเคนของก็ไม่ยอมประเคน

โดยเรียนท่านยายต่อหน้าท่านว่า **พระที่มีความสามารถไม่เท่าเด็กไม่อยากให้อะไร**

**ท่านโกรธมาก เพราะท่านเป็นเจ้าคุณ วัดอยู่ฝั่งพระนคร ท่านมีศักดิ์ใหญ่**

แต่ท่านจะทำอะไรฉันได้ในเมื่อฉันไม่ได้เป็นลูกศิษย์ของท่าน ท่านยายไม่กล้าขัดใจฉัน

**เมื่อทราบข่าวว่าท่านเจ้าคุณตาย** ท่านยายไปเยี่ยมศพท่าน ไม่ได้ชวนฉันไป

ถ้าชวนฉันก็ ไม่ไปเพราะเกลียดมาก

เมื่อท่านยายไปเยี่ยมศพท่านเจ้าคุณ

ฉันว่างเพราะไม่มีคนสั่งงาน ฉันไปนั่งเล่นที่ชานบ้าน

บ้านอยู่ริมน้ำ มีต้นจาก ที่ปลายสะพาน ๑ ต้น

ฉันไปนั่งในต้นจาก เอากระดานพาดทางจาก ด้วยจากต้นนั้นท่านยายปลูกไว้นาน ต้นใหญ่มาก

เมื่อลมพัดเย็นสบายใจก็เลยคิดว่า

**ท่านเจ้าคุณท่านตายแล้วท่านจะไปทางไหน**

จะไปถามตาลุงดู จึงนึกถึงพระรูปสวยองค์ที่เคยมาหาฉัน

**พอภาวนาว่าพุทโธ ๓ คำ ท่านก็มาหา**

ท่านยิ้ม ก็กราบเรียนท่านว่า**ผมอยากไปดูนรก**

ท่านยิ้มอีกครั้ง **ฉันก็ปรากฏตัวอยู่บนยอดเขาลูกที่เคยไป**

**เมื่อไปถึงก็นึกถึงตาลุงๆ **ก็มาหา

แกถามว่า**หลานต้องการพบทำไม**

**บอกแกว่าได้ข่าวว่าพระตาย ๑ องค์ มีชื่อว่า....**

**เมื่อตาลุงทราบแล้วก็บอกว่า เขาตัดสินแล้ว** **ขณะนี้อยู่ในอเวจี**

ถามแกอีกว่า **พระตกนรกด้วยหรือ**

แกตอบว่า **พระตกนรกเป็นประจำ เพราะพระบวชแล้วไม่ทำตัวเป็นพระก็ต้องตกนรก**

ถามแกว่า **พระเทศน์สอนชาวบ้านเรื่องนรกสวรรค์ได้ ทำไมต้องตกนรก**

แกตอบว่า **ก็พระดีแต่สอนชาวบ้าน ตัวเองไม่ได้ปฏิบัติตนตามที่สอนเขา**

**บอกให้คนอื่นทำดี แต่ตัวไม่ทำด้วย พระอย่างนี้ลงนรกหมด และมีโทษหนักมาก**

ก็บอกตาลุงว่า **ผมอยากเห็นท่านเจ้าคุณ**

แกก็บอกว่าได้ แกยกมือขึ้นเท่านั้นเอง ก็ปรากฏว่าภาพอเวจีมาปรากฏใกล้ตัวฉัน

ฉันเห็นท่านเจ้าคุณ ฉันก็จำได้

ภาพของท่านที่ปรากฏมีดังนี้
 **๑. ยืนกางแขน มีหอกปักจากเพดานเหล็กด้านบนปักติดอยู่ที่มือทั้ง ๒ ข้าง**

**ปลายด้ามหอกติดเพดาน หัวหอกติดพื้นเหล็กด้านล่างที่เป็นพื้น**
 **๒. หอกปักด้านหน้า ด้านหลัง**

**ด้านข้าง ตรงหัวสลับกัน ส่วนหอกด้านปลายและด้าม ตรึงติดกำแพง**

**ปักยึดจนขยับเขยื้อนไม่ไหว**

ถามท่านลุงว่า **ท่านเจ้าคุณมีโทษอะไร** **มีหอกปักตรึงแล้วมีเปลวไฟละเอียดละเอียดร้อนมากกว่านรกทุกขุมพุ่งมาเผาตลอดเวลา**

ตาลุงบกว่า **ลุงจะไม่บอก จะให้ท่านบอกเอง**

แล้วตาลุงก็บอกให้แกขึ้นมาหา

พอตาลุงเรียก **ปรากฏว่าเครื่องพันธนาการหลุดหมด ไฟดับ**

ท่านเดินขึ้นมา **ท่านเห็นฉันเข้า ท่านกล่าวขออภัย**

ท่านลุงบอกว่า **การขออภัยขณะนี้ไม่มีประโยชน์**

**เพราะโทษที่เหยียดหยามผู้ทรงฌาน ถูกตัดสินแล้ว**

ฉันถามท่านลุงว่า **ใครเป็นผู้ทรงฌาน**

ท่านลุงบอกว่า **เธอนั่นแหละเป็นผู้ทรงฌาน**

เรื่องที่ท่านเจ้าคุณทำผิดตายแล้วลงอเวจี ท่านเจ้าคุณบรรยายให้ฟังดังนี้
 **๑. เมื่อบวชแล้วไม่สนใจในการรักษาศีลให้บริสุทธิ์ สมถะ วิปัสสนา ไม่เคยสนใจ** ผิดความหมายของพระ ด้วยพระเป็นสรณะที่พึ่งระดับ ๑ ใน ๓ ระดับ เมื่อทำตนไม่สมควร จัดเป็นความผิด คือ เป็นคนลวงโลกหลอกลวงชาวบ้านว่าเป็นพระ เอาเปรียบชาวบ้าน
 **๒. ศึกษาพระปริยัติธรรมแล้วไม่ยอมประพฤติตามธรรม มุ่งเอาความรู้ไปสอนชาวบ้าน** เป็นทางนำทรัพย์สินให้เกิดแก่ตน ไม่เคยนำทรัพย์นั้นๆ ไปสงเคราะห์ส่วนสาธารณะประโยชน์หรือบำรุงพระศาสนา เอาไปซื้อที่ดิน ซื้อทอง ให้กู้ อันเป็นวิสัยของฆารวาส พระท่านห้ามไม่ให้ทำ แต่ฝืนทำ
 **๓. เมื่อมีทรัพย์ก็มีความทะเยอทะยานอยากได้ยศ เมื่อมียศแล้วก็เมายศคิดว่าตัววิเศษ** แม้แต่ผู้ทรงฌานแกพูด

แล้วแกชี้มาที่ฉันก็ยังกล้าคัดค้านเหยียดหยาม เป็นการทำลายพระพุทธศาสนาโดยตรง
 **๔. ในฐานะที่ท่านเป็นพระทรงสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะ** สมัยนั้นพระราชาคณะ ไม่มีสะพรั่งเหมือนดอกเห็ดอย่างสมัยนี้

เมื่อเป็นพระมีศักดิ์ใหญ่ อำนาจมาก ใครอยากได้ยศได้ตำแหน่งก็ต้องเสียเงิน

ท่านก็เลยกลายเป็นพระมหาเศรษฐีใหญ่ คือมีเงินให้กู้ มีทองเส้นใหญ่ๆ มีกระเป๋าใส่เงินใบใหญ่ๆ

**รวมความแล้วท่านเป็นพระใหญ่ หลอกลวงใหญ่**

ได้ถามท่านว่า **ขณะนี้มีทรัพย์สินอะไรที่พอจะเป็นเครื่องยืนยันความใหญ่ของท่านบ้าง**

ท่านตอบว่า ตามที่คณะกรรมการสำรวจสิ่งของที่ได้แล้วขณะนี้ **มีเงินสดอยู่ ๗๓,๐๓๒.๗๕ บาท**

**ทองคำที่รับจำนวนไว้ ๓๕ บาท**

**ทองคำที่ซื้อไว้เองเพื่อเตรียมหมั้นแม่สาวน้อย**เจ้าของร้านขายของมีค่า**มีน้ำหนัก ๕๐ บาท**

ของที่คณะ**กรรมการตรวจพบไม่ได้ คือ เงินที่ชาวบ้านกู้ไปอีก ๔ หมื่นบาทเศษ**

**อันนี้ไม่มีหลักฐาน**

ถามท่านว่าของที่ว่ามีขณะนี้อยู่ที่ไหน

**ท่านบอกว่าคณะกรรมการควบคุมไว้**

ถามท่านอีกว่า **วันนี้คุณยายไปเยี่ยมศพท่าน คุณยายจะทราบเรื่องนี้ไหม**

ท่านตอบว่า **ทราบ เพราะกรรมการเขาเขียนทรัพย์สินที่ค้นได้ใส่แผ่นกระดาษประกาศไว้**

ดีใจที่ได้หลักฐานมายืนยันกับท่านยาย

**๕. ที่ท่านว่าเป็นกรรมหนักในฐานะที่ท่านเป็นพระปลอม คือ บวชแต่ตัว และมัวเมาในลาภ ยศ สรรเสริญ และกามสุข** มีพระที่มีศีลบริสุทธิ์บ้าง มีสมาธิตั้งมั่นบ้าง มีวิปัสสนาดีที่เป็นอริยเจ้ามาไหว้ท่าน **กรรมนี้อีกข้อหนึ่งที่ชวนท่านลงอเวจี**

**เมื่อได้เรื่องแล้วก็ดีใจมาก ลาตาลุงกลับ**

เมื่อคุณยายกลับก็เอาเรื่องทรัพย์สินของท่านเจ้าคุณออกบรรยาย

คุณยายตกใจมาก

ถามว่า พ่อเล็กรู้มาได้อย่างไร

จึงเรียนท่านว่า เมื่อคุณยายไปเยี่ยมศพท่านเจ้าคุณ ผมก็ไปสืบทางเมืองนรก

พบท่านเจ้าคุณลงอเวจี ท่านลุงเรียกมาให้เล่าความประพฤติเมื่อท่านมีชีวิต

ท่านเจ้าคุณบอกให้ฟัง ผมจึงทราบ

เมื่อพูดจบท่านยายก็เรียกน้าสมใจที่ไปด้วยให้เอากระดาษที่จดทรัพย์สินท่านเจ้าคุณที่คณะกรรมการเขียนประกาศไว้ **น้าสมใจอ่านให้ท่านฟัง เมื่ออ่านแล้วน้าสมใจก็บอกว่าตรงกันทุกอย่าง**

ท่านยายถึงกับเปล่งอุทานว่า** ไม่น่าเลย**

**พระใหญ่พระโตทำไมเลวทรามอย่างนี้**

**พ่อเล็กไม่เคารพนั้นถูกแล้ว ยายเองเสียอีกยังโง่กว่าพ่อเล็ก**

ต่อนั้นมาท่านยายพยายามหาแต่พระที่ควรบูชาเท่านั้น

เมื่อท่านยายปรึกษาจะหาพระมาเทศน์ เจ้าเล็กก็ต้องไปหาตาลุง

**ตาลุงก็ชี้พระพอที่จะพบได้ในสมัยนั้น อยู่ไม่ไกลเกินไป ก็คือ**

มี **๘ องค์ เป็นพระอริยะก็มี เป็นพระโพธิสัตว์ก็มี ในรายชื่อนั้นมีหลวงพ่อปาน วัดบางนมโคด้วย**
 **แกบอกว่ามีอีกมาก ทำบุญด้วยผลมากกว่าการลงทุน** **ท่านยายเคยรู้จักหลวงพ่อปานมาก่อน เมื่อเห็นหลวงพ่อปานติดอยู่ในบัญชีพระดีก็เลยไม่ไปไหน เกาะหลวงพ่อปานแจ คือ ยึดความรู้ที่หลวงพ่อปานสอนแบบง่าย ๆ**

**ท่านภาวนาคำว่าพุทโธจนท่านสิ้นลมปราณ คือ พอขาดเสียง ท่านก็หมดลมพอดี**

**เมื่อคุณยายตายก็เลยถือโอกาสไปหาท่านลุง**

เมื่อพบแล้วถามท่านว่า **คุณยายไปอยู่ที่ไหน**

ท่านลุงบอกว่าอยู่**ดาวดึงส์**

ถามว่า**ท่านยายจะมาเกิดอีกไหม**

ท่านลุงบอกว่า บารมีเขาดี **เขาจะนิพพานบนสวรรค์**

**ฉันฟังแล้วไม่รู้เรื่องเลยว่านิพพานเป็นอย่างไร**

ข้อมูลบางส่วนจากหนังสือ #ประวัติหลวงพ่อปาน_โดยหลวงพ่อฤาษี

หมายเหตุ

พระ **๘ องค์ เป็นพระอริยะก็มี เป็นพระโพธิสัตว์ก็มี ในรายชื่อนั้นมีดังนี้**
 **๑. ท่านพระครูพิทักษ์สุวรรณบรรพต คณะ ๑๑ วัดสระเกศ จ.พระนคร
 ๒. ท่านอาจารย์พริ้ง วัดมะกอก จ.พระนคร
 ๓. หลวงพ่อสด วัดปากน้ำภาษีเจริญ จ.ธนบุรี
 ๔. หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค อ.เสนา จ.พระนครศรีอยุธยา
 ๕. หลวงพ่อปั้น วัดพิกุล อ.บางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา
 ๖. หลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมด อ.บางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา
 ๗. หลวงพ่อโหน่ง วัดคลองมะดัน อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี
 ๘. หลวงพ่อเนียม วัดน้อย อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี**

หลวงพ่อทบ วัดช้างเผือก ชนแดน

หลวงพ่อทบ  วัดช้างเผือก  ชนแดน 
ยอดพระเถราจารย์นามกระเดื่องเมืองมะขามหวาน   จังหวัดเพชรบูรณ์  พระผู้มีตบะบารมีธรรมแก่กล้า  มีวาจาสิทธิ์  พุทธาคมเข้มขลังเลื่องชื่อลือนาม
แม้หลวงพ่อทบ ถึงแก่มรณภาพไปนานแล้ว นับถึงปัจจุบัน ได้ ๔๖ ปี  แต่ทว่าแล้ว...สรีระสังขารของหลวงพ่อ  กลับไม่เน่าเปื่อยเป็นที่อัศจรรย์  ดังคำกล่าวของหลวงพ่อที่สั่งไว้ว่า “ อย่าเผาสังขารของท่าน”   ปัจจุบันประดิษฐาน ไว้ในโลงแก้ว ตั้งให้สาธุชนเข้ากราบสักการะบูชา เพื่อน้อมระลึกถึงคุณความดีที่หลวงพ่อสร้างไว้ 

หลวงพ่อทบ  ธัมมปัญโญ
เกิด ๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๒๔
บรรพชา    พ.ศ. ๒๔๔๐
อุปสมบท    พ.ศ. ๒๔๔๕
มรณภาพ    19 มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๙
พรรษา    ๗๔
สิริอายุได้    ๙๕ 

สังฆัง นะมามิ
ตำนานเล่าขานพระผู้ทรงฌานอภิญญา ครูบาอาจารย์ผู้เรืองวิชาอาคม

หลวงพ่อบ่าย ธัมมโชโต" (วัดช่องลม)

"หลวงพ่อบ่าย ธัมมโชโต" (วัดช่องลม)
พระเกจิอาจารย์ชื่อดังแห่งลุ่มแม่น้ำแม่กลอง จังหวัดสมุทรสงคราม
ท่านเป็นพระที่เก่งแบบหาได้ยากยิ่งรูปหนึ่ง เพราะนอกจากจะได้รับการยกย่องนับถือว่าเป็นพระที่ปฏิบัติตัวตรงตามพุทธบัญญัติแล้ว ยังมีคุณสมบัติที่ควรยกย่องอีกหลายประการ นอกจากนี้ท่านยังเป็นพระนักพัฒนา ได้ก่อสร้างปฏิสังขรณ์ "วัดช่องลม" ให้เจริญขึ้นมากมาย

ท่านได้รับการถ่ายทอดพุทธาคมจาก "หลวงพ่อแก้ว" (วัดพวงมาลัย) ท่านจึงมีอำนาจพุทธาคมเข้มขลัง และเป็นหนึ่งใน "พระเกจิอาจารย์" ของแม่กลอง 

ได้รับเกียรตินิมนต์เข้าร่วมพิธีพุทธาภิเษกวัตถุมงคล ในงาน "หล่อพระรูปสมเด็จพระสังฆราชเจ้าวัดราชบพิธ" เมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๘๑
และในงานพุทธาภิเษกใหญ่ๆ แทบทุกงาน (ท่านยังเป็นสหธรรมิกกับ "หลวงพ่อคง" วัดบางกะพ้อม)

"หลวงพ่อบ่าย" ท่านได้สร้างเครื่องรางของขลังไว้หลายชนิดด้วยกัน เหรียญหล่อโบราณ พระพิมพ์ พระผง ทั้งตะกรุดโทน ตะกรุดพิศมร ผ้ายันต์ ลูกอม เสื้อยันต์ และเหรียญสตางค์รู (ซึ่งหาดูได้ยาก) ชาวบ้านที่มีก็หวงแหนกันมากจนปัจจุบัน

..ที่มา......................................
:108prageji
: ประตูสู่อดีต
: แอดมินเจเจ
: แอดมินจ๋า..🙏🍂

ความขยันหมั่นเพียรเป็นของสำคัญ

 
 "... โลกนี้เต็มไปด้วยคนขี้เกียจ เชื่อกิเลส กิเลส
 ... จึงหลอกได้ตลอดไป พระพุทธเจ้าไม่สอนให้คนขี้เกียจ
 ... ไม่ว่าหน้าที่การงานการอาชีพอะไรทั้งนั้น ต้องเป็น
 ... คนขยันหมั่นเพียร ยิ่งเข้าสู่อรรถสู่ธรรม
 ด้วยแล้ว
 ... ยิ่งเข้มแข็งยิ่งกว่าการทำงานทางโลก ไปไหนๆ..."


* #รวมคำสอนพ่อแม่ครูอาจารย์3

เกิดเป็นมนุษย์แล้ว อีกทั้งยังได้พบกับพระพุทธศาสนาอีก ไม่ใช่สิ่งที่ง่ายเลย อย่าให้เกิดมาเสียเปล่า

อย่าคิดว่าเราเกิดมาแล้วจะได้พบกับพระพุทธศาสนาตลอดทุกยุคทุกสมัยนะ ยุคไหนที่ไม่มีพระโพธิสัตว์ลงมาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายุคนั้นก็ไม่มี

พระพุทธศาสนา ลองคิดดูว่าขนาดเรามาเกิดในยุคที่มีพระพุทธศาสนาแล้วยังเผลอไปทำบาปได้ขนาดนี้ หากต่อไปเราลงมาเกิดในยุคที่ไม่มีพระพุทธศาสนาจะเป็นอย่างไร จะหลงไปทำตามกิเลสทำบาปได้ขนาดไหนบ้าง จะเอาตัวรอดจากอบายภูมิได้อย่างไร เพราะกว่าพระพุทธเจ้าองค์ต่อไปคือพระศรีอริยเมตไตรย พระพุทธเจ้าพระองค์ที่5ของภัทรกัปนี้จะลงมาตรัสรู้ก็อีกยาวนาน เมื่อได้มีโอกาสเกิดมาเป็นมนุษย์และได้พบพระพุทธศาสนาไม่ใช่เรื่องง่ายควรใช้โอกาสนี้ขวนขวายในการทำบุญทำกุศล สั่งสมอุปนิสัยแห่งการบรรลุมรรคผลไว้ เพราะการเกิดเป็นมนุษย์นั้นแสนยาก โอกาสที่เราจะมาเกิดเป็นมนุษย์นั้นน้อยมาก พระพุทธองค์ทรงตรัสอุปมาความยากของการที่จะได้เกิดเป็นมนุษย์ว่าเหมือนเต่าตาบอดตัวหนึ่ง ดำน้ำอยู่ในทะเล แล้วทุกๆ100 ปีเจ้าเต่าตาบอดตัวนี้จะโผล่หัวขึ้นมาจากทะเลครั้งหนึ่ง ในทะเลก็จะมีห่วงเล็กๆขนาดใหญ่กว่าหัวเต่าอยู่หน่อยหนึ่งลอยขึ้นมาอยู่หนึ่งห่วง โอกาสที่เต่าตาบอดตัวนั้นจะโผล่ขึ้นมาแล้วหัวสวมเข้ากับห่วงพอดียากเพียงใด แต่โอกาสที่ยากเย็นถึงเพียงนั้น ก็ยังได้ชื่อว่ามีมากกว่าการที่เหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลายจะมีโอกาสได้เกิดมาเป็นมนุษย์เสียอีก เมื่อได้มาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว อีกทั้งยังได้พบกับพระพุทธศาสนาอีก ไม่ใช่สิ่งที่ง่ายเลย อย่าให้เกิดมาเสียเปล่า

คำแนะนำ
1.เร่งความเพียรเพื่อให้บรรลุมรรคผลอย่างน้อยให้บรรลุเป็นพระโสดาบันให้ได้ เพราะเมื่อบรรลุเป็นพระโสดาบันแล้วจะปิดอบายภูมิได้ถาวรและเกิดอีกไม่เกิด7ชาติก็จะบรรลุเป็นพระอรหันต์เข้าพระนิพพาน

2.หากยังไม่สามารถบรรลุมรรคผล ก็สร้างบุญกุศลไว้ให้มาก ตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท สังสมอุปนิสัยแห่งการบรรลุมรรคผลไว้ให้มากที่สุด

3.เมื่อทำบุญกุศลแล้วก็อธิษฐานขอให้พบเจอกัลยาณมิตร เพื่อจะได้ประคับประครองกันไปได้ เพราะการไปกันเป็นกลุ่มเป็นคณะ จะทำให้พลาดน้อยลง เพราะยามเราพลาดหรือเผลอจะได้มีกัลยาณมิตรคอยตักเตือนประคับประครอง

.....เมื่อเกิดมายุคนี้ยังเป็นโอกาสดีที่ยังได้กับพบกับพระพุทธศาสนา อย่าปล่อยโอกาสนี้ไปอย่างน่าเสียดาย ควรสร้างบุญสร้างบารมี สั่งสมอุปนิสัยในการบรรลุมรรคผลไว้

อย่าเอาลูกแก้วหล่อใหม่ หลวงพ่อทวด

#ตามรอยหลวงพ่อทวด
เกี่ยวกับลูกแก้วหลวงพ่อทวด
หลวงพ่อทวดกลับจากกรุงศรีอยุธยามาบูรณปฏิสังขรณ์โบราณวัตถุต่างๆ เช่น พระสุวรรณมาลิกเจดีย์ศรีรัตนมหาธาตุ ท่านได้เอาลูกแก้วคู่บารมีไว้บนยอดเจดีย์ ครั้นต่อมาฟ้าผ่าเจดีย์ลูกแก้วพลัดตกลงมา เจ้าอาวาสได้เก็บรักษาไว้ที่วัดพะโคะจนถึงปัจจุบัน

 มีเรื่องเล่าจากอดีตเจ้าอาวาสวัดพะโคะ (พระชัย วิชโย) ว่าเมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่ ๒ (พ.ศ. ๒๔๘๔) ตอนที่เป็นภิกษุและรักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดพะโคะ จำได้ในเดือนมีนาคม ๒๔๘๔ มีพระอาคันธุกะ ๒ รูป มาพักอยู่ที่วัดตอนค่ำเวลาประมาณ ๑๙.๐๐ น. พระอาคันธุกะ คือพระลั่น และพระเคียง ขอดูลูกแก้วท่านได้นำลูกแก้วจากในห้องกุฏิออกมาให้ดู พระเคียงถามถึงประวัติความเป็นมาของลูกแก้ว ท่านก็เล่าพอเป็นสังเขป ตอนนั้นพระเคียงได้จุดธูปเทียนบูชาลูกแก้ว ท่านก็แจ้งว่าจะเอาลูกแก้วไปให้ช่างทางกรุงเทพฯ เจียระไนหรือหล่อใหม่

ขณะนั้นพระเคียงร่างกายสั่นเสียงที่พูดเหมือนคนชรา พูดว่าเราคือสมเด็จเจ้าฯต้องการมาบอกว่าอย่าเอาลูกแก้วหล่อใหม่ คนภายหลังจะไม่มีความเชื่อถือลูกแก้วถึงคราวที่จะแตกเหมือนคนเราเป็นของไม่มีเที่ยงเป็นธรรมดา ขณะนั้นท่านไม่เชื่อว่าสมเด็จเจ้าฯประทับทรง ท่านก็เลยถามความเป็นมาของลูกแก้ว ผู้ประทับทรงบอกว่าพญางูให้เมื่อเป็นทารกและได้ไว้บนยอดเจดีย์ฟ้าผ่าตกลงมาจึงอยู่ที่วัดนี้ และท่านก็ได้ถามเหตุการณ์ของประเทศไทยในภาวะสงครามที่ล่วงมาแล้ว และการข้างหน้าหลายเรื่อง

 รุ่งขึ้นพระภิกษุสามเณรในวัดรู้เรื่องสมเด็จเจ้าฯ เข้าประทับทรง ตอนค่ำเวลาประมาณ ๑๙.๐๐ น. พระบุตร (พระลูกวัดพะโคะ) อาศัยอยู่กุฏิข้างศาลาว่าความจุดธูปเทียนบูชาระลึกถึงสมเด็จฯ หากคืนก่อนสมเด็จฯ เข้าประทับจริงขอให้มาประทับทรงตนเองเพื่อความเชื่อมั่น แล้วพระบุตรก็มีร่างกายสั่น ๆ มีเสียงดังฮือ ๆ ท่านได้ยินดังนั้นก็ไปดูและถามเรามาประทับทรงจริงไม่ต้องสงสัย และบอกว่าจะกลับแล้วร่างกายและเสียงของพระบุตรก็ปกติ สำหรับปรากฎการณ์อัศจรรย์ของลูกแก้วนี้บางครั้งก็เกิดแสงสว่างขึ้นในห้องที่เก็บรักษาอยู่บ่อยครั้ง
.
--- ขอบคุณที่มา ฐานข้อมูลท้องถิ่นภาคใต้ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ https://clib.psu.ac.th/southerninfo/content/1/262707a8

06 กันยายน 2566

⚜️จิตถึงจิตนี่แหละเป็นของจริงในพระพุทธศาสนา⚜️

⚜️จิตถึงจิตนี่แหละเป็นของจริงในพระพุทธศาสนา⚜️
 #สมเด็จองค์ปฐม ทรงมีพระเมตตาตรัสสอนเรื่องนี้ไว้ดังนี้

 💫๑. เรื่องที่ท่านฤๅษีบอกกับลูกๆ หลานๆ ว่า ผู้ใดที่ไม่ทิ้งอภิญญาสมาบัติหรือมโนมยิทธิ แม้ท่านเองจะทิ้งขันธ์ ๕ ไปแล้ว ก็ยังเหมือนท่านอยู่ใกล้ๆ เพราะเมื่อท่านฤๅษีละขันธ์ ๕ ไปแล้ว กายจริงๆ ก็คือจิต หรืออาทิสมานกาย ซึ่งลูกๆ หลานๆ ศิษย์ทุกคน จักเห็นท่านได้ด้วยกำลังอภิญญาสมาบัติหรือมโนมยิทธินั้น กำหนดจิตที่ใดก็เห็นท่านอยู่ทุกที่ ดังนั้นจึงได้ชื่อว่าท่านอยู่ใกล้ๆ 

 💫๒. จิตถึงจิตนี่แหละเป็นของจริงในพระพุทธศาสนานี้ กำลังของจิตมีอำนาจมหาศาล อยู่คนละภพคนละชาติ หรืออีกฝ่ายหนึ่งอยู่ในดินแดนอมตะก็ยังสื่อสารเชื่อมโยงถึงกันได้ด้วยอำนาจแห่งจิตที่มีกำลังนั้น

 💫๓. บุคคลผู้เข้าถึงศีล - สมาธิ - ปัญญาพร้อม ความมั่นคงของจิตก็จักเกิดขึ้นได้มากยิ่งกว่าปุถุชน ที่ทรงฌานโลกีย์ อำนาจกำลังของจิตที่จักรู้ในภพต่างๆ ชาติต่างๆ หรือดินแดนอมตะ ก็จักไม่เสื่อม
รู้จริง - เห็นจริง - ทราบจริง อยู่ในจิตของบุคคลผู้นั้น มีความมั่นใจในตนเองทุกๆ เมื่อ คำว่าหลงตายไม่มีสำหรับบุคคลผู้นั้น ขอเพียงแต่อย่าติดเปลือก คือ ร่างกายของคนหรือสัตว์ ให้มองทะลุเปลือกเข้าไปถึงภายใน แล้วจิตก็จักเชื่อมโยงถึงกันและกันได้ สื่อสารเป็นความรู้ ความเข้าใจถึงกันและกันได้ด้วยภาษาของจิต นั่นแหละเป็นของจริงในพระพุทธศาสนา

 💫๔. เพื่อนของผมก็เห็นหลวงพ่อท่านนั่งยิ้มอยู่ ท่านผ่องใสเป็นสุขอย่างยิ่ง ท่านพูดว่าก็เพราะไม่มีขันธ์ ๕ น่ะซิ จึงได้สุขอย่างนี้ การไม่เกิดมีขันธ์ ๕ หรือร่างกายอีก จึงเป็นยอดของความสุขเตสังวู (สังโว) ปะสะโม สุขโข อันเดียวกัน

 💫๕. ทรงตรัสว่า ถ้าต้องการจะเป็นสุขอย่างท่านฤๅษี ก็จงตั้งจิตให้มั่นคงเข้าไว้ เพียรละสังโยชน์ทั้ง ๗ ประการที่คั่งค้างอยู่ในจิต อย่าท้อแท้ กำหนดรู้ทั้งวิธีตัดสังโยชน์ ใช้กรรมฐานให้ถูกกอง แก้จริตที่ยังละไม่ได้อย่างไม่หยุดยั้ง วันหนึ่งข้างหน้าคำนี้ก็จักเกิดแก่เจ้าเอง "นิพพานังปรมัง สุขัง" หรือ "เตสังวู ปะสะโม สุโข" นั่นแหละเหมือนกัน

#ธรรมนำไปสู่ความหลุดพ้น(เล่ม ๗ ธันวาคม ตอน ๒)
รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน

04 กันยายน 2566

วัฏสงสาร 31 ภูมิ

**วัฏสงสาร 31 ภูมิ ชั้นแห่งจิต, ระดับจิตใจ, ระดับชีวิต ที่เวียนว่ายตายเกิด**
 
 **พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลายเป็นพระผู้หลุดพ้นออกไปจากภูมิ 31 อย่างสิ้นเชิงแล้ว สถิตเสถียรอยู่ในโลกุตตรภูมิ นิพพาน**

**ภูมิ 31** ที่พวกเราท่านยังจะต้องท่องเที่ยวอยู่ต่อไปอีกนานเท่าไหร่ไม่อาจทราบได้ มีดังต่อไปนี้

**อบายภูมิ 4 พวกที่สะสมสภาพจิตเป็นบาปคือ โลภโกรธ หลง แบบหนาแน่นและนำเกิด**
1.นิรยะ คือ**นรก** ยังแยกออกเป็นขุม ๆ อีกมากมายหลายขุม
 
2.ดิรัจฉานโยนิ กำเนิด**ดิรัจฉาน** คือสัตว์เดรัจฉานทั้งหลาย
 
3.ปิตติวิสัย คือแดน**เปรต** ก็มีอีกมากมายหลายจำพวก
 
4.**อสุรกาย** พวกอสูร คือไม่ใช่เทพเทวดาหรือพรหม
 **กามสุคติภูมิ 7 มนุษย์1 เทวดา 6**
5.มนุษย์ คือชาวมนุษย์เช่นเราเช่นท่าน 
 **เทวดา สวรรค์ 6**
6.สวรรค์ชั้นที่ 1 คือ **จาตุมหาราชิกา**มี 4 เทพ**ท้าวมหาราช**ปกครองในสี่ทิศ

· ท้าวธตรฐ ประจำทางทิศตะวันออก ปกครองคนธรรพ์

· ท้าววิรุฬหก ประจำทางทิศใต้ ปกครองกุมภัณฑ์

· ท้าววิรูปักษ์ ประจำทางทิศตะวันตก ปกครองนาค

· ท้าวเวสสุวรรณ ประจำทางทิศเหนือ ปกครองยักษ์ เป็นประธานของทั้งสี่ท่าน
 
7.สวรรค์ชั้นที่ 2 คือ **ดาวดึงส์** มีท้าวสักกะหรือพระอินทร์ เป็นใหญ่
 
8.สวรรค์ชั้นที่ 3 คือ **ยามา**เป็นเทพที่มีจิตรักษาศีลบริสุทธิ์เช่นพวกรักษาอุโบสถศีล
 
9.สวรรค์ชั้นที่ 4 คือ **ดุสิต** อันเป็น**ที่อยู่ของพระโพธิสัตว์ที่มีบารมีเข้ม **และ**พระอริยเจ้าระดับพระโสดาบันกับพระสกิทาคามี**เป็นหลัก
 
10.สวรรค์ชั้นที่ 5 คือ นิมมานรดี แดนแห่งเทพผู้ยินดีในการเนรมิต เป็นที่อยู่ของพวกที่ให้ทานไว้มาก ประสงค์สิ่งใดก็เนรมิตเอาได้
 
11.สวรรค์ชั้นที่ 6 คือ ปรนิมมิตวสวัสตี แดนแห่งเทพที่มีเทพอื่นเนรมิตให้ ซึ่งเป็นที่อยู่ของพวกที่ได้ช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่นไว้มาก เมื่อประสงค์สิ่งใดก็จะมีผู้คอยเนรมิตให้เสมอ
 **รูปพรหม**16

**ระดับจิตมีสมาธิตั้งแต่ฌาน1ถึง4**
12.รูปพรหมชั้นที่ 1 คือ พรหมปาริสัชชา เป็นพวกบริษัทบริวารมหาพรหม
 
13.รูปพรหมชั้นที่ 2 คือ พรหมปุโรหิตา พวกปุโรหิตมหาพรหม(ที่ปรึกษาของมหาพรหม)
 
14.รูปพรหมชั้นที่ 3 คือ มหาพรหม พวกท้าวมหาพรหม
 
15.รูปพรหมชั้นที่ 4 คือ ปริตตาภา พวกพรหมมีรัศมีน้อย
 
16.รูปพรหมชั้นที่ 5 คือ อัปปมาณาภา พวกพรหมมีรัศมีประมาณไม่ได้
 
17.รูปพรหมชั้นที่ 6 คือ อาภัสสรา คือ พวกพรหมมีรัศมีสุกเปล่งปลั่งซ่านไป
 
18.รูปพรหมชั้นที่ 7 คือ ปริตตสุภา คือ พวกพรหมมีลำรัศมีงามน้อย
 
19.รูปพรหมชั้นที่ 8 คือ อัปปมาณสุภา คือ พวกพรหมมีลำรัศมีงามประมาณมิได้
 
20.รูปพรหมชั้นที่ 9 คือ สุภกิณหา คือ พวกพรหมมีลำรัศมีงามกระจ่างจ้า
 
21.รูปพรหมชั้นที่ 10 คือ เวหัปผลา คือ พวกพรหมมีผลบริบูรณ์
 
22.รูปพรหมชั้นที่ 11 คือ อสัญญีสัตว์ คือ พวกพรหมเป็นสัตว์ซึ่งไม่มีสัญญา(มีรูปแต่ไม่มีชีวิต ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงเรียกว่า อายตนะ)
 **พรหมสุทธาวาส 5 (ที่เกิดของพระอนาคามีละสังโยชน์5ได้ ไม่มีความโกรธแล้วปฏิบัติต่อจนไปนิพพานเลย)**
23.รูปพรหมชั้นที่ 12 คือ อวิหา คือ พวกพรหมผู้ไม่เสื่อมจากสมบัติของตน หรือผู้ไม่ละไปเร็ว ผู้คงอยู่นาน
 
24.รูปพรหมชั้นที่ 13 คือ อตัปปา คือ พวกพรหมผู้ไม่ทำความเดือดร้อนแก่ใคร ๆ หรือผู้ไม่เดือดร้อนกับใคร
 
25.รูปพรหมชั้นที่ 14 คือ สุทัสสา คือ พวกพรหมเหล่าผู้งดงามน่าทัศนา
 
26.รูปพรหมชั้นที่ 15 คือ สุทัสสี คือ พวกพรหมผู้ที่เห็นได้ชัด
 
27.รูปพรหมชั้นที่ 16 คือ อกนิฏฐา คือ พวกพรหมผู้สูงสุด
 
 **อรูปพรหม4 **พรหมที่ไม่มีรูป

28.อรูปพรหมชั้นที่ 1 
 
29.อรูปพรหมชั้นที่ 2 
 
30.อรูปพรหมชั้นที่ 3 
 
31.อรูปพรหมชั้นที่ 4

ที่มาข้อมูล

พระไตรปิฏก

พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม พิมพ์ครั้งที่ ๑๒ พ.ศ. ๒๕๔๖

03 กันยายน 2566

๔ วิชาอันตราย..สอนไม่ได้เด็ดขาด.!!

๔ วิชาอันตราย..สอนไม่ได้เด็ดขาด.!! "หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า" สอนวิชาให้ "เสด็จเตี่ย" จนหมดไส้หมดพุง ยกเว้นที่อาจารย์สั่งห้ามไว้.!! #คาถา
หลวงปู่ศุขแปลงเป็นเสือมาทดสอบจิต : เรื่องนี้หลวงพ่อเจริญ ธมมถิโร ได้เล่าให้ฟังว่า ครั้งหนึ่งกรมหลวงชุมพรฯ เสด็จมาที่วัดปากคลองมะขามเฒ่าพร้อมด้วยหม่อมของท่านหลายคน ในครั้งนั้นเสด็จในกรมได้เดินเข้าไปชมภายในพระอุโบสถ ซึ่งพระองค์ได้เขียนภาพไว้ที่ผนังด้านใน ทางด้านทิศตะวันตก (เป็นภาพพระแม่อุมา) หลังจากที่พระองค์ได้เข้าไปชมเรียบร้อยแล้วจึงเดินออกมาข้างนอก พระอุโบสถ

ทันใดนั้นเอง พอพระองค์เดินเลี้ยวพ้นมุมพระอุโบสถเท่านั้นก็ปรากฏร่างของเสือตัวใหญ่ตัวหนึ่ง ยืนผงาดแยกเขี้ยวคำรามเข้าใส่พระองค์ด้วยเสียงอันดังแห่งเจ้าป่า ในวินาทีแรกเสด็จในกรมทรงตกพระทัย ชะงักงัน บรรดาหม่อมน้อย ๆ ของพระองค์ต่างร้องวี้ดว้ายด้วยความกลัวพากันกระถดถอยหนีจ้าละหวั่น แต่พระองค์ก็ชายชาติเชื้อทหาร เป็นศิษย์มีครู เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าแผ่นดิน เมื่อทรงระลึกได้เช่นนี้จึงบอกเดินต่อไปท่ามกลางสายตาของเหล่าหม่อม เสือตัวนั้นได้ก้าวถอย พอพ้นพระอุโบสถเสือใหญ่ตัวนั้นก็หายลับไป

กรมหลวงชุมพรฯ เดินตามทางต่อไปด้วยอิริยาบถปกติจนถึงถาน (ส้วม) ของหลวงปู่ศุข ก็พบจีวรหลวงปู่พาดอยู่ข้างฝาถานอันทำด้วยไม้ ทันใดนั้นหลวงปู่ได้เดินออกมาพร้อมกับยิ้มให้ กรมหลวงชุมพรฯ ก็ทรงยิ้มตอบพร้อมกับยกมือขึ้นนมัสการ

กรมหลวงชุมพรฯ ได้รับการถ่ายทอดวิชาทุกชนิดที่ท่านสนพระทัย มียกเว้น ๔ อย่างเท่านั้น ที่หลวงปู่ไม่สามารถถ่ายทอดให้ได้เพราะอาจารย์ของท่านสั่งห้าม วิชาดังกล่าวประกอบด้วย

๑. ทางคด บางแห่งเรียกกระสุนคด วิชานี้นับว่ามีอันตรายอย่างสูง ถ้าตกอยู่กับคนไม่ดี เพราะวิชานี้เสกลูกปืนเพียงลูกเดียวยิงเข้าไปในกองทัพข้าศึก ทหารจะล้มตายทั้งกองทัพ วิชานี้หลวงปู่ศุขเคยทำให้พระองค์เห็นเมื่อครั้งหลวงปู่รับนิมนต์ไปพักที่วังนางเลิ้ง โดยหลวงปู่เสกลูกปืนลูกเดียวยิงใบบัวในสระทะลุทุกใบ (คันกระสุนวิเศษที่ใช้ยิง “ทางคด” นี้ทำจากไม้ที่ถูกฟ้าผ่า โดยหลวงปู่ทำขึ้นด้วยมือท่านเอง ปัจจุบันอยู่ที่วัดศรีวิชัยวัฒนาราม จ.ชัยนาท)

๒. วิชาเสกขี้เถ้าเป็นไฟประลัยกัลป์ เมื่อนำขี้เถ้าไฟมาปลุกเสกแล้วสาดออกไปทางทิศใดจะบังเกิดไฟอาคมดวงใหญ่ไหม้ลุกลามใหญ่โตทางทิศนั้น ข้าศึกศัตรูไม่อาจผ่านและดับไฟได้ หากขี้เถ้าอาคมตกลงในเมืองไหน บ้านเมืองนั้นจะพินาศเป็นจุณ

๓. เสกข้าวสารให้เป็นภูเขา เมื่อนำข้าวสารมาบริกรรมปลุกเสกแล้วขว้างไปทางทิศใดจะเกิดเป็นภูเขาใหญ่ขึ้นในทิศทางนั้น ซึ่งวิชานี้จะทำให้บังเกิดแผ่นดินไหว กระแสน้ำไหลบ่าท่วมฉับพลัน บังเกิดภูเขาไฟระเบิด และมีพายุร้ายต่าง ๆ พูดง่าย ๆ ธรรมชาติจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง ผู้คนในทิศทางนั้นจะเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า

๔. เสกทรายให้เป็นน้ำ วิชานี้เมื่อบริกรรมเสกทรายแล้วสาดซัดออกไปจะปรากฏเป็นน้ำ เป็นห้วยหนองคลองบึงจนถึงแม่น้ำใหญ่ (จะบังเกิดฝนตกหนัก ฟ้าผ่า และอุทกภัยต่าง ๆ ในบริเวณนั้นได้) วิชานี้หลวงปู่ศุขกล่าวว่าสามารถทำให้เมืองทั้งเมืองจมอยู่ใต้น้ำได้

@@@@@@

วิชาพิเศษทั้ง ๔ อย่างนี้ สอนให้ใครไม่ได้ นอกนั้นหลวงปู่ศุขสามารถสอนให้กรมหลวงชุมพรฯ ได้ทั้งสิ้น การฝึกสอนนี้กระทำกันทั้งที่วัดปากคลองมะขามเฒ่าและที่วังกรมหลวงชุมพรฯ เองที่กรงเทพฯ
------------------------------------------------------------------
                  👉จดหมายเหตุพระเกจิ👈
    🙏❀🙏❀🙏❀🙏❀🙏❀🙏❀🙏❀🙏❀🙏

01 กันยายน 2566

การรับเป็นศิษย์ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

"พระราชพรหมยาน" (วีระ ถาวโร) หรือ "หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ"

..การรับเป็นศิษย์..
"..คนที่ต้องการเป็นศิษย์ ไม่ต้องขออนุญาต ขอให้ปฏิบัติตามนี้ อยู่ที่ไหน ไม่เคยเห็นหน้ากันเลย ก็รับเป็นศิษย์ คือ

๑. "ศิษย์ชั้น ๓"
พยายามรักษา "ศีล ๕" เสมอ อาจจะขาดตกบกพร่องบ้าง แต่ก็พยายามรักษาให้ครบถ้วนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
อย่างนี้..ขอรับไว้เป็นศิษย์ชั้น ๓ คือ "ศิษย์ขนาดจิ๋ว"

๒. "ศิษย์รุ่นกลาง" มีปฏิปทาดังนี้..
- มีศีลบริสุทธิ์เป็นปกติ
- พยายามรักษาอารมณ์ให้ทรงสมาธิเสมอ ตามสมควร ไม่ละเมิดศีลเป็นปกติ
อย่างนี้..ขอรับไว้เป็น "ศิษย์รุ่นกลาง"

๓. "ศิษย์เอก" มีปฏิปทา ดังนี้..
- รักษา "ศีล ๕" ครบถ้วนเป็นปกติ
- เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ไม่สงสัยในความดีของท่าน
มีอารมณ์ตั้งมั่นว่า ถ้าตายไปจากคนชาตินี้ ขอไปนิพพานจุดเดียว พยายามละความโลภ ความโกรธ ความหลงเป็นปกติ.."
อย่างนี้..ขอรับไว้เป็น "ศิษย์เอก"

............................................
: ประตูสู่อดีต
: ประตูย้อนเวลา
: แอดมินจ๋า..🙏🍂

อริยสัจ 4 และมรรคแปด

ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ห่างไกลจากกิเลสตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาค ทรงตรัส...