28 กรกฎาคม 2564

#ความมหัศจรรย์ของพระแก้วมรกต เทศนาธรรมโดย หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

.
"พระแก้วมรกตประดิษฐานอยู่ในประเทศใด ประเทศนั้นจะไม่ว่างจากพระอริยบุคคล พระอริยบุคคลมีอยู่ในประเทศใด ประเทศนั้นจะไม่ฉิบหายด้วยภัยแห่งสงคราม"
.
การเสด็จไปสู่สถานที่ต่างๆ ของพระแก้วมรกตนั้นมีปัจจัย 3 อย่าง คือ เพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนา เกิดกลียุคในประเทศนั้น และด้วยความรัก
.
และท่านยังบอกอีกว่า วัดพระแก้วนี้เป็นวัดพระพุทธเจ้าโดยเฉพาะ พระสงฆ์อยู่ไม่ได้ เพราะพระสงฆ์มาจากตระกูลต่างๆ ทั้งหยาบทั้งละเอียด ไม่รู้พุทธอัธยาศัย พุทธธรรมเนียม เพราะพระพุทธเจ้าเป็นทั้งกษัตริย์ และผู้สุขุมาลชาติ เมื่อพระสงฆ์ไม่รู้พุทธธรรมเนียม ถ้าไปอยู่ก็มีแต่บาปกินหัว
.
ผู้รู้ทั้งพุทธอัธยาศัยและพุทธธรรมเนียมแล้ว มีพระมหากษัตริย์องค์เดียวเท่านั้น ครั้งพุทธกาลก็มีพระเจ้าพิมพิสารเท่านั้นทรงรู้ แต่จอมไทย คือ พระมหากษัตริย์ทรงรู้มาแล้วได้ทรงสร้างวัดถวายจำเพาะพระแก้วเท่านั้น
.
พระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์เป็นหน่อเนื้อพุทธางกูร คือ จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในกาลข้างหน้า ต่างแต่วาสนาบารมีมากน้อยต่างกันเท่านั้น ท่านจึงทรงรู้พุทธอัธยาศัยเป็นตัวแทนพระพุทธเจ้า
.
ผู้ใดย่างกรายเข้าสู่วัดพระแก้วเป็นบุญทุกขณะที่อยู่ในบริเวณวัด แม้แต่ชาวต่างชาติ มีโอกาสเข้าไปในบริเวณวัดพระแก้ว จะด้วยศรัทธาหรือไม่ก็ตาม ก็ได้เข้ามาสู่วงศ์พระพุทธศาสนาโดยปริยาย หรือจะบังเอิญก็แล้วแต่ สามารถเป็นนิสัยให้เข้ามาได้ ต่อไปจะสามารถมาเกิดเป็นคนไทย สืบต่อบุญบารมีสำเร็จมรรคผลได้
.
คัดจาก จากหนังสือ "รำลึกวันวาน" 
โดย หลวงตาทองคำ จารุวัณโณ

พระคาถารักษาโรคภัย

คาถา "ท้าวเวสสุวัณ" เชื่อว่า ศัตรูพินาศและรักษาโรคภัย 

โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ

หลวงพ่อท่านบอกคาถาบทนี้ เมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๒๐ คาถาบทนี้ ท้าวเวสสุวัณมาให้ 

ท่านบอกว่าให้สวดมนต์ไว้ทุกคืน ก่อนอื่นให้ระลึกถึงบารมีของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ อันมีสมเด็จพระพุทธกัสสปทรงเป็นประธาน เพราะท่านเป็นเจ้าของคาถานี้

"พุทธัง มัดจิต ธัมมัง มัดใจ ศัตรูทั้งหลาย วินาศสันติ

พุทธัง มัดจิต ธัมมัง มัดใจ โรคทั้งหลาย วินาศสันติ"

บทในบรรทัดที่ ๒ นี้รักษาโรค ท่านบอกว่าเสกน้ำให้กิน เสกอะไรให้กิน เสกข้าวให้

กิน ก็ได้นะ แม้แต่ยาพิษมันก็สลายตัว

อีกบทหนึ่งของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน

"ฆะเตสิ ฆะเตสิ กิงกะระณัง ฆะเตสิ อะหังปิตัง ชานามิ ชานามิ"

ทั้ง ๓ บทนี้ ท่านให้สวดพร้อมกันเลย เวลาฉันข้าวก็เสก กลางคืนก็ให้ภาวนาไว้นะ

ภาวนาไว้สักครู่ เช้าเย็นอะไรนี่นะ ท่านบอกว่าศัตรูพินาศไปเอง

สำหรับบทหลังศัตรูทำอะไรไม่ได้ จะทำอะไรแล้วเราจะต้องรู้อยู่เสมอ บทกลางนะ ทำลายโรค ไอ้ทำลายโรคนี่ดีใช่ไหม เสกข้าวนะ ข้าวที่เราจะฉัน เสกซะหมด และคนอื่นกินก็เป็นยาไปหมด ให้เป็นยาสำหรับคนอื่นด้วยนะ ดีไหม ถ้าเห็นว่าดี
ถ้าใครต้องการจะให้เรารักษา ต้องบังคับให้เขาเอาดอกบัวมา ๓ ดอกนะ ธูป ๕ เทียน ๑ เล่ม เสกน้ำมนต์ เสกอะไรให้กินก็ได้ นั่งทำก็ได้ นอนทำก็ได้ ภาวนาให้เป็นฌาน เป็นฌานในกรรมฐานภายในตัวเสร็จ อย่าลืมนะ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เกาะก็ได้ ผลเท่ากันเป็นฌาน ซึ่งเชื่อกันว่า เสกข้าว เสกน้ำ ยาพิษสลาย ศัตรูพินาศ และ รักษาโรคภัย

หลังจากสวดเสร็จแล้ว พรุ่งนี้เช้าๆ ก่อนออกจากบ้าน ขอให้ท่านกรวดน้ำ แล้วท่องตามนี้

บทกรวดน้ำแบบสั้น

อิทัง เม ญาตีนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ ญาตะโย

ขอบุญนี้ จงสำเร็จแก่ญาติทั้งหลายของข้าพเจ้าเถิด ขอญาติทั้งหลายของข้าพเจ้าจงมีความสุข สุขใจเถิดฯ

บทกรวดน้ำให้เจ้ากรรมนายเวร

ข้าพเจ้าขออุทิศบุญกุศลจากการเจริญภาวนานี้ให้แก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายของ ข้าพเจ้า ที่ข้าพเจ้าได้เคยล่วงเกินท่านไว้ ตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบันชาติ ท่านจะอยู่ภพใดหรือภูมิใดก็ตาม ขอให้ท่านได้รับผลบุญนี้ แล้วโปรดอโหสิกรรม และอนุโมทนาบุญแก่ข้าพเจ้าด้วยอำนาจบุญนี้ด้วยเทอญ

เมื่อได้รู้จักบทกรวดน้ำกันแล้ว หลังทำบุญทุกครั้งก็อย่าลืมอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลของเรา ไปให้แก่ญาติที่ล่วงลับไปแล้ว ตลอดจนเจ้ากรรมนายเวรของเราด้วยนะคะ เพราะนอกจากเป็นการให้แล้ว ยังเพื่อความสบายใจของเราอีกด้วย

พระคาถาของสมเด็จพระพุทธกัสสป (เผยแพร่โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ แห่งวัดท่าซุง)

ออร่า วิทยาศาสตร์หรือศาสตร์เร้นลับเหนือธรรมชาต

ออร่า วิทยาศาสตร์หรือศาสตร์เร้นลับเหนือธรรมชาต

                               ในหนังสือชื่อ Invisible worlds Exploring The Unseen ของ Piers bizony ซึ่งแปลเป็นภาพภาษาไทยโดย รอฮีท ปรามาท โดยสำนักพิมพ์มติชน เมื่อต้นเดือนมีนาคม 2548 ที่ผ่านมา ได้กล่าวว่า การถ่ายภาพรังสีออร่าของสิ่งมีชีวิต กับจิตวิญญาณและพลังจิตว่า
                        เทคนิคการถ่ายภาพชนิดนี้ ซึ่งในปัจจุบันเรียกกันว่า “การถ่ายภาพเคอร์เลียน ( kirlian photography ) มีกรรมวิธีที่ไม่ซับซ้อน” เพียงใช้แผ่นพิมพ์วางบนแผ่นโลหะ แล้ววางวัตถุและอินทรีย์ลงบนแผ่นฟิล์ม จากนั้นก็ส่งกระแสไฟไปยังแผ่นโลหะ ภาพของวัตถุจะถูกบันทึกลงบนแผ่นฟิล์ม ซึ่งเมื่อผ่านกรรมวิธีล้างฟิล์ม ก็จะได้ภาพที่ปรากฏเป็นเงาของวัตถุเรืองแสงล้อมรอบด้วยกลุ่มไอหมอกจางๆ หรือรัศมี
                        ทำให้คนส่วนใหญ่รวมทั้งนักวิทยาศาสตร์ทางจิตเชื่อว่า ภาพถ่ายเกอร์เลี่ยนเผยให้ถึงออร่า (AURA) หรือรัศมีของสิ่งมีชีวิตซึ่งมีลักษณะเป็นสนามพลังไฟฟ้าชีวภาพชนิดหนึ่ง ( Bio-electric.energy field) ล้อมรอบในสิ่งมีชีวิตทุกชนิด
                        กล่าวได้ว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหลายนั้น ล้วนมีน้ำเป็นองค์ประกอบสำคัญภาพใน อาศัยพลังงานจากแสงอาทิตย์ในช่วงของคลื่นชีวภาพ ( F.I.R.) ทำให้โมเลกุล น้ำเกิดการสั่นสะเทือน (Vibrate) จนเกิดเป็นพลังงานสั่นพ้อง (Resouance) ด้วยคลื่นความถี่เดียวกัน (Wavelength 4-16 Micron)
                        แรงสั่นสะเทือนของคลื่นชีวภาพ (F.I.R.) ทำให้โครงสร้างอะตอมซึ่งประกอบด้วย โปรตอน อิเลคตรอน ซึ่งเคลื่อนอยู่ตลอดเวลาในร่างกาย โดยมีอิเลคตรอนที่เป็นประจุลบและโคจรอยู่รอบนิวเคลียส และโปรตอน ที่เป็นประจุบวก อยู่ใกล้กับนิวเคลียส เกิดการกระตุ้นภายในร่างกายขึ้นให้เกิดประจุพลังงานของรังสีอุลตร้าไวโอเลตขึ้น กลายเป็นรัศมีเรืองแสง หรือออร่า ซึ่งเป็นพลังงานที่ห่อหุ้มร่างกายของสิ่งมีชีวิตหรือสสาร ทั้งหลายที่มีโครงสร้างของอะตอม
                       พลังงานที่มีรัศมีเกิดขึ้นนี้ ชาวรัสเซียเรียกว่า ร่างไบโอพลาสมิก เป็นอนุภาคของพลังงานไฟฟ้าที่เกิดขึ้นเป็นปฎิกิริยาชีวภาพในสิ่งมีชีวิต อาจจะเรียกว่า ร่างพลาสมา (Bio logical Plasam Body)


ภาพถ่ายออร่าอาหารหรือเฟรนฟรายด์ที่ยังมีชีวิตอยู่


ภาพถ่ายออร่าอาหารหรือแมคโดนัลที่ตายแล้ว Dead foods


                                มีการอธิบายว่า ลักษณะของลำแสงออร่ารอบๆ รังมดเป็นชมพูอ่อนๆ และจะเข้มข้นขึ้นรอบๆ ตัวมดแต่ละตัว ส่วนนกหงส์หยก จะมีรัศมีเป็นสีฟ้าอ่อนแพร่ออกมาเป็นวงโดยรอบ มีขนาดใหญ่กว่าร่างกายของมันถึงสองเท่าตัว ส่วนลำแสงออร่า ที่ห่อหุ้มอยู่รอบมนุษย์นั้นค่อนข้างจะซับซ้อน และสับสนกว่าสัตว์อื่น มีลักษณะเป็นแถบสีสเปคตรัม 7 สี คล้ายละรอกคลื่น มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา โดยสีจะเข้มที่สุดบริเวณวงในที่ติดกับกายหยาบของมนุษย์แล้วค่อยๆ อ่อนแสงลงจนมีสีอ่อนที่สุดในบริเวณรอบนอกสุด
                     สภาพจิตใจและอารมณ์ของมนุษย์จะทำให้สีของลำแสงออร่า รอบๆ ตัวเปลี่ยนแปลงไป และถ้าหากมีโรคภัยเบียดเบียน ลำแสงออร่าก็เปลี่ยนไปเป็นสีคล้ำหรือซีดลง หรือถ้าไม่อย่างนั้นก็อาจจะมีลำแสงออร่าสีอื่นๆ ที่ทึบๆ เข้ามาแทรกซ้อนแบบขากๆ ไม่ประติดประต่อกันได้
                       การถ่ายภาพเรืองแสงของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าภาพออร่า หรือวิธีการถ่ายภาพในยุคแรกที่เรียกว่าเคอร์เลียน ( Kirlian) นี้คิดค้นโดยสองสามีภรรยาชาวรัสเซียคือ ซีเมียน (Semyon) และ วาเลนตินาเกอร์เลียน (Valentina Kirlian) ตั้งแต่ปี 2482
                       ทั้งสองมีความเชื่อว่าร่างกายของมนุษย์ทุกคนมีแสงรัศมีล้อมรอบกายหยาบ หรือกายเนื้ออยู่ทุกทิศทุกทางในสามมิติ โดยแสงกระจายที่เรืองรองเรียกว่า ออร่า (Aura) กระจายออกมาจากพื้นภายในส่วนที่มืด
การค้นพบที่โดดเด่นเป็นพิเศษ ในปี 2507 เมื่อกล้องถ่ายภาพเกอร์เลียนรุ่นล่าสุด สามารถบันทึกภาพที่สมบูรณ์ของชิ้นส่วนสิ่งมีชีวิตได้ แม้ว่าทางกายภาพแล้วชิ้นส่วนนั้นจะถูกตัดขาดไปแล้ว เช่น เมื่อถ่ายภาพใบไม้ที่ถูกตัดแหว่งไปหนึ่งในสามภาพที่ถ่ายได้ยังคงเป็นภาพใบไม้เต็มใบ


กล้องถ่ายออร่า


รูปออร่าของผลมะเขือเทศสด


 สิ่งนี้สอดคล้องกับการอธิบายกรณีที่นักวิญญาณศาสตร์อ้างว่า สามารถมองเห็นแขนขาส่วนที่ตัดขาดออกไปแล้ว ของคนไข้ได้ ซึ่งแต่เดิมเมื่อคนไข้เหล่านี้ บอกว่ายังมีความรู้สึกเกิดกับอวัยวะส่วนที่ตัดออกไปนั้น แพทย์จะพยายามอธิบายว่า เป็นเพราะสมองยังคงบันทึกรูปแบบความทรงจำของความรู้สึกผ่านระบบเส้นประสาทบริเวณนั้นเอาไว้
ในที่สุด ภาพจากกล้องถ่ายภาพเกอร์เลียนก็พิสูจน์ความจริงที่ว่า ยังมีกลุ่มพลังงานตกค้างหรือหลงเหลืออยู่ในรูปแบบของออร่านั่นเอง
นายแพทย์สตานิสลัฟ โกร๊ฟ (Stanislav Grof) มีผู้ค้นคว้าเรื่องสมองในงานชื่อ Beyond The Brain เมื่อปี 1985 ศาสตราจารย์ทางจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยแพทย์อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ที่นครนิวยอร์คอธิบายว่า การสั่นสะเทือนของความถี่ในเซลล์สมองจะโดยการกระตุ้นกลีบสมอง เท็มปอรัล (TLE) หรือการสั่นไหวทางอารมณ์จะทำให้เกิดสนามแม่เหล็กที่มีคลื่นความเข้มข้นสูงจนทำให้เกิดภาวะแสงสีหลากหลายหรือประกายรัศมีเจิดจรัส และประสบการณ์ทางจิตที่ล้ำลึกในการหยั่งรู้ภายใน
ประสบการณ์ภาวะแสงรัศมี ออร่า จึงเป็นดัชนีที่สั่นไหวของภาวะทางสมองของมนุษย์แต่ละรูปนามทางกายภาพ และจิตวิญาณ (Vacuum potential or zeno – point potential)
ภาวะแสงรัศมีออร่าของมนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตทั้งหลายจึงเป็นชีวพลังงาน ( Vioenergy) ที่มีรังสีชีวะภาพ (Viogenic, psychotronic or Bioplesmicforce) เป็นแรงแม่เหล็กไฟฟ้าอย่างระเอียดยิ่ง ( Subtle enjoy energy field) คลอบคลุมเชื่อมโยงระหว่างจิตใจและร่างกาย (Grest chain therapy) ตามทฤษฏี แควมตัม (Quantum reality) นั่นเอง

ในบางทฤษฎีกล่าวอ้างว่า รัศมีออร่า ซึ่งเป็นแสงเรืองรองที่ห่อหุ้มร่างกายมนุษย์นั้น คือค่าต่างของกระแสไฟฟ้าที่ผิวหนัง (Skin voltage differentia) หรือสนามพลังงานที่มีอยู่รอบๆ สิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่เรียกว่า สนามพลังไฟฟ้าสถิตของร่างกาย (Static voltage field around body) โดยการหมุนเวียนของลมหายใจเข้าออก ทำให้พบโมเลกุลของออกซิเจนที่ทำให้เกิดประจุลบ ในขณะที่โมเลกุลของคาร์บอนไดออกไซด์ ทำให้เกิดประจุบวก
พลังจากการหายใจ หรือปราณ ประสานสอดคล้องกับพลังงานแม่เหล็กโลกที่มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 0 – 5 เกาส์ (Gauss) มีจังหวะการเคลื่อนไหวของพลังคลื่นแม่เหล็กความถี่ต่ำที่ต่อเนื่องตั้งแต่ 0.1 – 100 รอบ / วินาที หรือ 8 – 16 รอบ / นาที โดยค่าเฉลี่ยความถี่เฉลี่ยนี้จะเท่ากับความถี่โดยเฉลี่ยของคลื่นสมองมนุษย์พอดี เมื่อตรวจสอบกับตำราทางประสาทวิทยา โดยสมองของมนุษย์จะแผ่คลื่นความถี่ต่ำ ประมาณ 8 – 13 เฮริ์ท ในระดับคลื่นสมอง (Bran waves) แบบเบต้า (Beta wave) ทำให้การสั่นไหวของพลังหรือรังสีออร่าในระดับของแสงสีต่างๆ นั่นเอง
นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบว่าคลื่นสมองของมนุษย์นั้นประกอบด้วย เซลล์สมองนับล้านๆ เซลล์ ที่สร้างกระแสไฟฟ้าเล็กๆ ขึ้นมากมาย ตามภาวการณ์ตอบสนองจากสนามพลังงานหรือแม่เหล็กโลก ซึ่งสอดคล้องกับกลไกทางชีวิต จนทำให้เกิดการเหนี่ยวนำที่เรียกว่า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในสมอง (Electro-magnetic waves) หรือคลื่นสมอง (Brain waves) ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะทางอารมณ์ (EQ) โดยสามารถวัดคลื่นสมองในระดับต่างๆ นี้ด้วยเครื่องมือที่เรียกว่า EEG (Electro-Enceph alocram) เมื่อต่อ EEG เข้ากับศีรษะของมนุษย์แล้วนั้นและเครื่องมือนี้ก็จะแสดงคลื่นสมองของระดับต่างๆออกมาในรูปแบบของกราฟ ดังนี้




คลื่นเบต้า คลื่นอัลฟา คลื่นเตธต้า คลื่นเดลตา คลื่นคอสมิก

โดยคลื่นเบต้านั้น ( Beta Wave ) มีความถี่ประมาณ 8 – 13 หรือมากกว่า 13 รอบ / วินาที และมีจังหวะที่ไม่แน่นอน เป็นคลื่นความถี่ที่แสดงถึง ปฏิกิริยาของระบบประสาทสัมผัสทั้ง 5 ที่มีอาการกังวล สับสน วุ่นวายใจหรือการตึงเครียด




                          กราฟข้างบนนี้แสดงถึงคลื่นเบต้า ซึ่งส่วนใหญ่จะพบในบุคคลที่มีอาการตึงเครียด พักผ่อนน้อย หงุดหงิดง่าย หรือบุคคลที่มีโรคทางระบบประสาท และผู้ที่ชอบสูบบุหรี่จัดๆ กระทั่งบุคคลที่มีอาการซึมเศร้าหรือประสบอยู่ในความทุกข์โศก ซึ่งอาจจะมีคลื่นความถี่มากกว่า 13 ไซเคิลต่อวินาที
แรงสั่นสะเทือนของความถี่ของคลื่นเบต้านี้ จะมีส่วนเชื่อมที่ทำหน้าที่ให้แสงออร่าแผ่ออกมารอบๆตัว เป็นแสงสีแดง อาจจะเป็นแสงสีแดงทึบแสงสีแดงซีด หรือแสงสีแดงคลํ้า โดยลักษณะของสีแดงนั้น เป็นสัญลักษณ์ของอันตราย ( Danger ) หรือการหยุด ( Stop ) เช่น สัญลักษณ์ของไฟจราจร เมื่อเป็นแสงสีแดง หมายถึง ให้หยุด ( Stop )             
ตัวเลขสีแดงที่ปรากฏบนปฏิทินก็เช่นกัน หมายถึง วันหยุดในระดับตํ่า รองลงมาพร้อมสีแดงที่แสดงออกมาในด้านลบ คือ ความกระหาย( Anger ) ความทารุณ ( Craelty ) ความอยาก ( Last ) การทรมาน ( Spirit )
ความเครียด ( hated ) และความรู้สึกที่จะต้องระมัดระวังตลอดเวลา 
หรืออีกนัยยะ อาจจะหมายถึงเลือด ( Blood ) และจิตใจ ( Spirit ) ที่แสดงออกมาถึงความรักชาติที่ เป็นสีแดงในธงชาติต่างๆ 
แต่ในภาวะของแสงสีแดง ในคลื่นความถี่ระดับเบต้านี้ อาจจะสรุปถึงสภาวะทางอารมณ์และจิตใจภายในที่ลึกซึ้ง ซึ่งจะขยายเพิ่มเติมในภาวะแห่งรหัสนัยของสีต่อไป
ส่วนคลื่นอัลฟา ( Alpha Waves ) ซึ่งมีความถี่ประมาณ 8- 12 ไซเคิลต่อวินาที เป็นคลื่นความถี่ที่ตํ่ากว่า สามารถควบคุมหรือยับยั้งได้ ก่อให้เกิดภาวะที่ผ่อนคลายในจิตที่สงบนิ่ง ยิ่งส่งผลให้เกิดการตื่นตัวในเชิงพฤติกรรมที่มีประสิทธิภาพด้านอารมณ์คือมี ความเยือกเย็น อ่อนโยน สุขุม
และรอบคอบ 




โดยสภาวะทางจิตของบุคคลในแนวคลื่นความถี่นี้ จะเกิดขึ้นเป็นช่วงสั้นๆ และมีจังหวะที่แน่นอน มีขนาดใหญ่กว่าและมีพลังงานสูงกว่า
คลื่นเบต้า
มักจะพบคลื่นชนิดนี้ กับบุคลที่ฝึกจิตหรือฝึกสมาธิอย่างสมํ่าเสมอ และกลุ่มคนที่ใช้สมาธิในการเล่นกีฬา นักเขียน กระทั่งคนที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์ต่างๆ
ซึ่งแสงรัศมีมีความถี่ระดับอัลฟานี้ จะมีการสั่นสะเทือนออกมาในรูปรัศมีสีเขียวสว่างสดใส หรือ สีส้มหรือสีแสดที่เจิดจ้า
ทั้งสองสีออร่านี้ แสดงพฤติกรรมทางอารมณ์ที่มั่นคง ( Suggestion of the Living ) และอบอุ่น ความเป็นธรรมชาติของพืชพันธุ์ ที่มีสีเขียว เช่น ใบไม้ อันเป็น ( Nature s Colout ) ซึ่งมีความรู้สึกสดชื่นเยือกเย็น ร่มรื่น สงบและผ่อนคลายเบื้องต้น
สำหรับคลื่นเตธต้า ( Theta Wave ) เป็นคลื่นสมองที่มีความถี่ประมาณ 4 – 7 ไซเคิลต่อวินาที เป็นคลื่นความถี่ที่เกิดขึ้นในขณะที่จิตใจ กำลังจดจ่อหรือหมกมุ่นกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างแน่วแน่มั่นคง เป็นคลื่นความถี่ที่มีสมาธิสูงกว่า ความถี่อัลฟา มีความถี่ช้า สงบ และพลังงานสูง มีจังหวะการแสดงของคลื่นที่ช้าและสมํ่าเสมอ อันยังผลให้ความสงบนิ่ง เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องตามด้วย การตื่นรู้ภายในอย่างชัดเจน และอาจจะส่งผลให้เกิดความ
ปิติสุขอย่างท่วมท้น



เมื่อสภาวะของคลื่นเตธต้าเกิดขึ้นในคนปกติ ก็อาจจะอยู่ในช่วงที่ขณะนอนหลับ หรือในบุคคลที่กำลังใช้สมองคบคิดแก้ปัญหาอย่างแยลคายและ
จะพบในกลุ่มคนที่ปลีกวิเวก เงียบสงบ หรือทำอะไรในเชิงสร้างสรรค์อย่างลึกซึ้ง อาทิ เช่น ในกลุ่มนักบวช นักปฏิบัติทางจิต และนักพูด หรือนักบริหารที่กำลังทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างมุ่งมั่น จนลืมสภาวะที่แวดล้อมรอบข้างอย่างสิ้นเชิง 
ทำให้การสั่นสะเทือนของคลื่นเตธต้าที่ออกมาเป็นรัศมีสีเหลือง และสีฟ้าที่สว่างและสดใสเริงร่า ( Cheerful ) เนื้อสีแท้ๆจะ แสดงถึงวุฒิปัญญาและความสูงส่งทางจิตใจ เป็นพลังแห่งความเข้าถึง และศักดิ์สิทธิ์ ความมีชีวิตชีวา กระทั่งความเบิกบานจากภายใน
และคลื่นเดลต้า ( Delta Wave ) เป็นคลื่นสมองที่มีคลื่นความถี่ประมาณ 2- 4 ไซเคิลต่อวินาที โดยปกติแล้วคลื่นความถี่ชนิดนี้ วัดได้จากสภาวะทางจิตที่อยู่ในช่วงที่หลับสนิท ( Deep Sleep ) หรือกลุ่มที่ทำสมาธิแบบซาเซ็น ( ZAZEN ) ขั้นลึกซึ้ง หรือพวกฝึกจิตแบบ T.M ( Trans cendental Meditation ) ในภาวการณ์ลอยตัวแบบโยคี ซึ่งเป็นประสบการณ์ของจิตใต้สำนึกที่ลํ้าลึก






ช่วงนี้คลื่นสมอง จะมีความถี่ที่ตํ่ามาก คลื่นเตธต้า จะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นคลื่นที่มีจังหวะช้าลงๆ และพลังงานสูงขึ้น ในลักษณะสนามแม่ชีวภาพ เป็นการสั่นสะเทือนของคลื่นแม่เหล็กภายในที่ละเอียดอ่อน ประณีตยิ่ง ( Entitative Rhythms )
รัศมีของแสงออร่าที่ส่องประกายออกมาในระดับนี้อันเป็นแสงรัศมีสีคราม หรือสีม่วงเลื่อมพรายเหมือนแก้วผลึกหรือแก้วไพฑูรย์ซึ่งส่องสว่างจับตา จะพบในหมู่นักบวชระดับสูงหรือโยคีที่กำลังบําเพ็ญเพียร
ส่วนคลื่นคอสมิก ( Cosmic Wave ) เป็นคลื่นความถี่ระดับ 1ไซเคิลต่อวินาที เป็นคลื่นพลังระดับจักรวาลที่มีพลังงานสูงสุดไม่พบในบุคคลทั่วไป อยู่ในภาวะจิตใต้สำนึกสูงสุด ที่จะคลายจางภาวะแห่งความยึดมั่นในร่างกาย
( Physical body ) ลงอย่างสิ้นเชิง มีความรู้สึกถึงตัวตนที่แท้จริง ( Trae self ) เหมือนเป็นอันเดียวกับทุกสรรพสิ่งในจักรวาลและเป็นอิสระเสรีเหมือนนกที่ถูกปล่อยออกมาจากกรง ( Egolessness ) อันรู้สึกถึงความปิติสุขอย่างท่วมท้นจนยากจะพรรณา เป็นคำพูดได้เป็นการเข้าสู่ สภาวะทางจิตสูดสุดที่เรียกว่า นิพพาน ( Nivana ) , ( satoris ) , ความสุขขั้นนิรันดร หรือ จิตสำนึกสูงสุดระดับหลุดพ้นหรือรู้แจ้ง ที่เรียกว่า ( Enlightenment ) ในความรู้สึกถึงความรักต่อทุกสรรพสิ่งในธรรมชาติ ( universal Love ) และขั้นจักรวาลขั้นสุดยอด
( Subtle Causal mid )
รัศมีของคลื่นความถี่ของชนิดนี้จะเป็นแสงสว่างที่เจิดจ้า ตั้งแต่
ออร่าสีขาวไข่มุก หรือสีทองบริสุทธิ์ หรือกระทั่งสีรุ้งกินนํ้า ( Rainbow ) อันเป็นสีเลื่อมลายที่สว่างเฉิดฉายจากแสงภายใน ( Colour evolver from Light )
บางข้อมูลกล่าวว่า เป็นความถี่ของคลื่นสั่นสะเทือนสีรุ้งในระดับสูงสุดที่เรียกว่า ฉัพพรรณรังสี ซึ่งเป็นสีที่โอภาสจากพระวรกายของพระองค์ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ภายหลังจากที่ได้ตรัสรู้พระอนุตระสัมมาโพธิญาณ
หากเป็นผู้บรรลุในศาสนาอื่นๆ หรือในระดับที่ลดหลั่นลงมาก็จะเป็นสีขาวทองระยิบระยับงดงามยิ่งนัก
                                ผู้รู้แจ้งระดับสูงสุด อาจจะบังเกิดรัศมีเรืองรอง สุกใส เลื่อมพรายแบบโอปอล์ ( Wondrous opalescent hyes ) แลดูระยิบระยับในสภาพ “ เลื่อมรัศมี ” ไปทั่วทั้งสารพรางค์กาย ( high vibrations sending ripples of changing hues over the surface )

โดยนัยของคลื่นสมองความถี่ระดับคอสมิกนี้ คือ ภาวะการณ์เข้าไปถึงจิตใจระดับความสุขที่แท้จริงของชีวิต ( absolate bliss ) อันเป็นการสลัดคืนจากการมีอยู่ของตัวตน สู่ความเป็นอนัตตาของความไม่มีที่สิ้นสุด 
( infinite ) นั่นเอง


ที่มา

***เรียบเรียงจากงานค้นคว้าและวิจัยของ อ.สถิตธรรม เพ็ญสุข***

   www.auraphoto.info
Facebook.com/thai-littletiger

18 กรกฎาคม 2564

โครงสร้างและพลังงานในร่างกายมนุษย์.?..

ปุจฉา.มนุษย์เรามีร่างกายเพียงร่างเดียวหรือมีสองร่าง หรือมีหลายร่าง คำตอบ
หรือวิสัจนาคงขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของแต่ละคนนะ ตาของกายเนื้อส่วนใหญ่จะมองเห็นเพียงร่างเดียว

แต่จิตของผู้มีสมาธิแกร่งกล้าจะมองเห็นร่างที่สองคือกายทิพย์ แล้วกายทิพย์นั้น
ก็จะมองเห็นร่างอื่นๆ ที่ปรากฎอยู่ด้วยเป็นเหมือนเทพพิทักษ์บางคนอาจมีหลายๆ
ร่างก็ได้

เนื่องจากมีพลังศูนย์กลางอยู่ในระดับกาย ดังนั้น ร่างกายเราจึงมีศูนย์กลางพลังงานที่ปฎิบัติงานอยู่ในระดับความสั่นสะเทือนที่สูงขึ้นไปเป็นชั้นๆ ต่างหากอยู่ที่การฝึกจิตในระดับสูงจึงจะสามารถแยกแยะสิ่งเหล่านี้ได้

"ยิ่งสูงแต่ดูเหมือนตํ่า ยิ่งตํ่าแต่กลับสูงขึ้น" ดั่งคำพังเพยที่ว่าสูงสุดคืนสู่สามัญนั่น
เองลูกๆ เอาล่ะวันนี้เราจะมาเริ่มต้นด้วยการทบทวนอย่างย่อๆ ของสรีระร่างกายที่
มนุษย์เราอาศัยอยู่ว่ามีระดับชั้นอย่างไร..

กายหลักทั้ง 7 ประกอบไปด้วยอะไร.?..

1 กายเนื้อ มีแรงสั่นสะเทือนตํ่าที่สุดเป็นพาหะของการแสดงออกจากจุดประสงค์
ของจิต โดยรับพลังงานจากอาหาร ลมหายใจ และกายทิพย์

2 กายทิพย์ บางครั้งจะเรียกว่า "กายแห่งชีวิต" เพราะมันคือพาหะของพลังทิพย์
เป็นที่สะสมพลังทิพย์ไว้ให้กายเนื้อยามที่กายเนื้อต้องการ เช่น เมื่อมีเหตุอันตราย
ใกล้ตัวก็จะมีพลังมหาศาลสามารถยกตุ่มใส่นํ้าทั้งใบวิ่งตัวปลิวได้เลย กายทิพย์นี้
เป็นรูปจำลองของกายเนื้อเพียงแต่มีอัตราสั่นสะเทือนสูงกว่า เหมือนโน๊ตตัวเดียว
กันแต่ต่างระดับเสียงกัน

3 กายอารมณ์ เป็นศูนย์เก็บพลังงานไว้เพื่อการแสดงออกทางอารมณ์ เช่น นักแสดงทั้งหลายที่ตีบทลครแตกเพราะมีพลังทางกายอารมณ์มากนี่เองอยู่ที่การฝึก
ฝนน่ะลูก

4 กายจิตระดับตํ่า เป็นตัวเก็บพลังงานเพื่อแสดงออกตามหลักตรรกะวิทยา ตาม
เหตุผลที่ถูกต้องและความคิดทางด้านวัตถุ ส่วนมากจะเป็นผู้ที่รํ่าเรียนกฎหมาย
หรือสาขาวิทยาศาสตร์อื่นๆ มักจะเชื่อในสิ่งที่ตามองเห็นหรือสามารถหาหลักฐานมาพิสูจน์ได้ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองข้ามความสามารถทางจิตหรืออื่นๆ ที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยประสาทสัมผัสที่ห้า

5 กายจิตระดับสูง เก็บรักษาพลังงานเพื่อการแสดงออกทางด้านญาณสมาธิ และ
ความคิดทางด้านจิตวิญญาณ ซึ่งจะเป็นความรู้ใหม่ในอนาคตแม้แต่นักวิทยาศาสตร์ในโลกมิติใหม่ต้องหันมาสนใจในพลังของด้านจิตในบรรดาความลี้ลับมหัศจรรย์ทั้งหลายล้วนอยู่ในพลังด้านจิตแทบทั้งสิ้น

6 กายศักดิ์สิทธิ์ เป็นช่องทางพลังงานในการติดต่อระหว่างจิตวิญญาณ และ กาย
ที่อยู่ตํ่ากว่าลงไปทั้งหมด เหมือนเช่นพ่อที่ได้รับการสื่อสารต่างมิติก็เป็นรูปแบบนี้แต่มันเป็นการสื่อสารทางเดียวเมื่อรูปธรรมต่างมิติอยากจะสื่อสารก็จะใช้วิธีนี้

7 กายวิญญาณ เป็นสถานที่อาศัยของกายทิพย์ระดับสูง และเป็นตัวกำเนิดพลังงานศักดิ์สิทธ์ที่รักษาระบบการทำงานของร่างกายไว้ทุกระบบ เรียกว่า "กาย
อินทรีย์" 

เนื่องจากกายทิพย์เหล่านี้ต่างกันที่ระดับการสั่นสะเทือน จึงเป็นไปได้ที่จะซึมแทรกอยู่ระหว่างกันในที่ว่าง นั่นคือ กายจิตวิญญาณเปรียบเหมือนเป็นลางสังหรณ์หรือสัมผัสที่หก แล้วมันจะเข้าแทรกซึมอยู่กับกายสัญชาติญาณในขณะที่
กายสัญชาติญาณจะแทรกซึมอยู่กับกายจิตขั้นตํ่า และกายจิตขั้นสูง และมันจะเป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ในระหว่างกายทั้งเจ็ด

พ่อจึงอยากให้ลูกๆ เข้าใจการดำรงอยู่และการเข้าแทรกซึมของกายทิพย์เหล่านี้
เพราะจิตของมนุษย์มีความสัมพันธ์จริงๆ ก็เหมือนกับจักรวาลเป็นจุลจักรวาลแบบ
ย่อส่วนจากองค์จุลมนทินของพระเจ้า มนุษย์ก็เปรียบเสมือนเซลล์ๆ หนึ่งในจักรวาลนั้นเองพร้อมกับมีอิทธิพลต่อจักรวาลด้วยเหมือนเด็ดดอกไม้สะเทือนถึง

ดวงดาวนั่นล่ะฉะนั้นจงอย่าได้แปลกใจทำไมการเลื่อนระดับชั้นของโลกครั้งนี้
(ascension) จึงมีชาวดาวจากโลกอื่นทั่วทั้งจักรวาลลงมาช่วยกันอย่างขันแข็ง
แม้ในขณะนี้ก็ยังมีกองกำลังปกป้องโลกอยู่ในที่หนึ่งที่ใดในระบบสุริยจักรวาล..

ที่มา
Teucer Rom...

แสงสว่าง มองการไกล...

15 กรกฎาคม 2564

ธาตุกายสิทธิ์

ลูกศิษย์ : ผมอยากถามว่า อย่างเช่นธาตุกายสิทธิ์อย่างเช่นหยก หรือว่าเหล็กน้ำพี้ หรือว่าเป็นไผ่ตันอะไรอย่างนี้ครับ ธาตุเหล่านี้มีคุณวิเศษในตัวจริงๆหรือเปล่าครับ ตามที่คนเค้าเชื่อน่ะครับ 

หลวงปู่ : อะไรที่คนเค้าเชื่อ..นั่นแหล่ะจ้ะมันจะมีคุณวิเศษ อะไรที่คนเค้าไม่เชื่อสิ่งนั้นก็ไม่วิเศษ เข้าใจมั้ยจ๊ะ คือถ้าคนเค้าเชื่อสิ่งใดศรัทธาสิ่งใด..สิ่งนั้นก็มีค่า ผ่านไป ๑,๐๐๐ ปีเปลี่ยนยุคแห่งความเชื่อ ไผ่ตันก็ดี หยกก็ดี เหล็กไหลก็ดี คนเค้าไม่ศรัทธาไม่เชื่อ สิ่งนั้นจะมีค่ามั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : ไม่มีครับ) แต่พระรัตนตรัย..ถ้าใครเชื่อและศรัทธาแล้ว ไม่ว่าอีกกี่หมื่นปีกี่แสนกัปป์ก็ดี ถ้าใครเชื่อแล้วหรือไม่เชื่อ..เค้าก็มีความศักดิ์สิทธิ์อยู่ในตัว เข้าใจมั้ยจ๊ะ

โยมเข้าใจอย่างที่ฉันกล่าวมั้ยจ๊ะ ของทุกอย่างที่โยมถามสงสัยมีพุทธคุณมีความศักดิ์สิทธิ์จริงหรือไม่..มี ถ้ามีคนเชื่อมีความศรัทธา เมื่อใดคนเค้าไม่เชื่อหมดความศรัทธาแล้ว..มันก็เป็นแค่เศษหินปูนทรายเท่านั้นเอง เข้าใจมั้ยจ๊ะ 

แต่พระรัตนตรัยนี้ถ้าใครน้อมจิตน้อมกาย วาจา ใจเข้าไปถึง ก็จะได้รับประโยชน์มหาศาล แต่แม้ใครไม่น้อมจิต กาย วาจาเข้าไป ความศักดิ์สิทธิ์ความวิเศษของพระรัตนตรัยก็ไม่ได้ลดลงหรือเสื่อมลงเลย เข้าใจมั้ยจ๊ะ

นั้นก็เหมือนกันวัตถุมงคล..ที่พระอาจารย์นั้นที่เค้าปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแล้วได้อธิษฐานจิตลงไปแล้ว แม้จะตกอยู่ที่ต่ำก็ดี ยัดอยู่ในของต่ำก็ดี ลอดราวผ้าถุงก็ดี ก็หาได้มีความเสื่อมไม่เลย ที่เสื่อมก็เพราะจิตใจมนุษย์ต่างหากที่มันเสื่อม มันจึงถืออะไรนั้นขลังไม่ได้ ทำให้เกิดคุณวิเศษไม่ได้ เข้าใจอย่างนั้นมั้ยจ๊ะ 

โยมเข้าใจหรือเปล่าจ๊ะ นั้นถ้าของวิเศษไม่มีวันเสื่อมเลยจ้ะ โอ้ย..มันผ่านมานานแล้วต้องเอาไปเสกเพิ่มขึ้นอีกหน่อย ต้องเอาไปให้หลวงพ่อเสกเพิ่มอีกหน่อยมันจะเสื่อมแล้ว อ้าว..โยมรู้ได้อย่างไรว่าเค้าเสื่อม ไม่มีเสื่อมหรอกจ้ะ ที่มันเสื่อมเพราะศรัทธาโยมมันเสื่อม เพราะศีลโยมมันเสื่อม เพราะปัญญาโยมมันเสื่อม เข้าใจมั้ยจ๊ะ

ของที่เป็นพุทธคุณแล้ว ธรรมคุณ สังฆคุณแล้ว มันครบพระรัตนตรัยแล้ว นั่นหมายถึงว่าผู้ประพฤติปฏิบัติปฏิปทาแล้ว เค้าได้วิชาสำเร็จแล้ว เมื่อคำว่าสำเร็จมันเกิดขึ้น..จะไม่มีวันเสื่อมเลย ตราบเท่าว่าคนนั้นหมดศรัทธาเสียเอง เข้าใจมั้ยจ๊ะ นี่คือสิ่งที่ฉันจะบอกโยม ขอให้โยมไปพิจารณาเอา ว่าสิ่งที่โยมถามมาความสงสัยมันเป็นอย่างไร เราต้องพิจารณาด้วยปัญญา เข้าใจมั้ยจ๊ะ

ทุกสิ่งทุกอย่างแม้ก้อนขี้หมา ถ้าโยมบูชาเสกมันทุกวันมันก็ศักดิ์สิทธิ์ขลังได้ เพราะมันเกิดจากปฐวีธาตุ เกิดจากดิน น้ำ ไฟ ลม ธาตุทั้ง ๔ เช่นเดียวกัน โยมมาบูชาต่อไปมันก็กลายเป็นหินเป็นไม้ ใช่มั้ยจ๊ะ ก็ขลังได้เหมือนกัน เกิดลัทธิบูชาขี้หมาขึ้นมา..ศักดิ์สิทธิ์มั้ยจ๊ะ แต่ถ้าคนมีปัญญาเค้าจะมอง โอ๊ย..ไอ้นี่ นี่มันของเหม็นเอามาบูชาได้ยังไง 

ก็เหมือนตัวของเรามีแต่อุจจาระมีแต่ขี้มีแต่ของสกปรกทั้งนั้น ที่เราไปหลงไปเพลินไปพอใจ เราก็บูชามันอยู่อย่างนั้น บูชาความรักอยู่อย่างนั้น นั่นก็เช่นเดียวกัน ขอให้โยมไปพิจารณา แต่พระรัตนตรัยแม้โยมจะไม่นำจิต กาย วาจาโยมไปเกี่ยวข้อง แต่อำนาจแห่งพระรัตนตรัยก็หาได้มีความเสื่อมเลย เข้าใจมั้ยจ๊ะ

ที่มา
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต

รักษาโควิด19 หายด้วยพริกไทยป่น

สุดท้ายโควิดก็พ่ายแพ้สมุนไพรที่มีอยู่ทุกบ้าน

* ข่าวดีคือ * ในที่สุด 
Ram นักศึกษาชาวอินเดียที่มหาวิทยาลัยพอนดิเชอร์รีได้พบยาสามัญประจำบ้านสำหรับ * Covid 19 * ซึ่งได้รับการอนุมัติจาก WHO เป็นครั้งแรก เขาพิสูจน์แล้วว่า * พริกไทยป่น 1 ช้อนชาน้ำผึ้ง 2 ช้อนชาน้ำขิงเล็กน้อยที่รับประทานติดต่อกัน 5 วันสามารถกำจัดผลของโคโรนาได้ถึง 100% * ทั่วโลกเริ่มรับการรักษานี้ในที่สุดก็เป็นประสบการณ์แห่งความสุขของปี 2021 * ส่งถึงทุกกลุ่มของคุณ ... *
 ไม่มีอะไรจะเสียจากการลองสิ่งนี้

วิธีเอาตัวรอดจากโรคระบาดโควิด 19

วิธีเอาตัวรอดจากโรคระบาดโควิด 19 เมื่อลูกๆ อ่านเสร็จแล้วกรุณาออกไปเดินรับแดดสัก 20 - 30 นาทีนะอย่าอุดอู้อยู่แต่ในบ้านรับวิตามิน D เสริมให้ร่างกายแข็งแรง
โดยไม่ต้องจ่ายแม้แต่บาทเดียว.?...
1 ถ้าลูกๆ มีนํ้ามูก และ เสมหะแสดงว่าลูกเป็นไข้หวัดธรรมดาอย่าได้ตกใจจนจิตตกเพราะอาการของเจ้าโควิด 19 คือไอแห้งๆ และ ไม่มีนํ้ามูก

2 ไวรัสโควิด 19 ไม่ทนความร้อน และ มันจะถูกฆ่าที่อุณหภูมิ 26 -27 องศา

3 ไวรัสโควิดไม่ชอบแสงแดด อากาศร้อนมันจะตายหากเวลานอนควรเปิดหน้าต่างเพื่อให้มีอากาศหมุนเวียนโดยใช้พัดลมระบายอากาศเข้าช่วยหากไม่จำเป็นอย่าเปิดแอร์ฯ

4 หากมีคนจามเชื้อไวรัสโควิดจะกระจายออกไปประมาณ 10 ฟุตก่อนที่จะตกลงบนพื้นผิวพื้น และ แพร่กระจายทางอากาศได้ด้วย

5 ถ้าตกลงบนพื้นผิวที่เป็นโลหะไวรัสโควิดจะมีชีวิตอยู่ได้ 12 ชั่วโมงฉะนั้นถ้าลูกๆ สัมผัสกับโลหะเช่น ราวจับบนรถประจำทาง รถรางไฟฟ้า ให้รับล้างมือทันทีด้วย
เจลหรือแอลกอฮอล โดยเร็วที่สุดหรือด้วยสบู่ล้างมือ นํ้ายาล้างจานก็ใช้ได้

6 เชื้อโควิดสามารถจะอยู่บนเสื้อผ้าของลูกได้นาน 6 - 12 ชั่วโมงนํ้ายาซักผ้าธรรมดาก็สามารถฆ่าเชื้อนี้ได้

7 การดื่มนํ้าอุ่นจะช่วยจัดการกับไวรัสทุกชนิดไม่ว่ามันจะกลายพันธ์หรือไม่ก็ตามงดการดื่มนํ้าเย็น 

8 ล้างมือบ่อยๆ เพราะไวรัสโควิดสามารถมีชีวิตอยู่ที่มือของลูกได้นาน 5 - 10 นาที และคนส่วนใหญ่มักจะเผลอขยี้ตาในช่วงเวลานั้น และ แคะจมูกโดยไม่รู้ตัวและ อื่นๆ ซึ่งการล้างมือมีความสำคัญๆ มากกว่าการสวมใส่แมสก์เสียด้วยซํ้า

9 ลูกๆ ควรกลั้วคอเพื่อเป็นการป้องกันตัววิธีง่ายๆ คือผสมเกลือลงในนํ้าอุ่นเพียงเล็กน้อยแล้วใส่บรรจุขวดติดตัวไว้ระหว่างเดินทางคอยจิบนํ้าสักเล็กน้อยเมื่อลูกรู้สึกคอแห้ง

10 ดื่มนํ้าเปล่าให้เพียงพอ 1ลิตรครึ่ง ถึง 2 ลิตรต่อวัน 

ต่อไปจะเป็นอาการระยะที่ 1 ของเชื้อโควิด ///

1 อาการในระยะเริ่มแรกจะเกิดความรู้สึกว่าเจ็บคอประมาณครึ่งค่อนวัน

2 ไวรัสจะติดไปกับเมือกที่อยู่ในโพรงจมูกแล้วเดินทางเข้าสู่หลอดลม และ ปอดในที่สุดทำให้ปอดเกิดอาการอักเสบซึ่งใช้เวลา 5 - 6 วัน หรือมากกว่านั้น ลูกๆ เมื่อรู้สึกเจ็บคอควรรีบทานสมุนไพรฟ้าทะลายโจรแบบแคปซูล วันละ 2 - 3 แคป เช้า 
กลางวัน และ เย็น แล้วแต่ปริมาณของยาที่อยู่ในนั้น ทาน 5 วันแล้วเลิกเลย

3 ระยะที่สาม เมื่อปอดอักเสบจะมีอาการไข้ขึ้นสูง และ หายใจติดขัดหายใจลำบาก

4 ระยะที่ 4 จะมีอาการคัดจมูก ซึ่งต่างจากอาการทั่วไป เมื่อเข้าสู่ระยะนี้แล้วจะมีความรู้สึกเหมือนกำลังจมนํ้าทั้งๆ ที่เรายืนอยู่บนถนน หากใครมีอาการเช่นนี้จำเป็นต้องรับการเยียวยารักษาโดยด่วนที่สุด 

 ผู้ติดเชื้อโควิต จะไม่แสดงอาการหลายวันแล้วลูกๆ จะรู้ได้อย่างไร.?..

หากบุคคลนั้นติดเชื้อแล้ว ถ้าหากมีไข้ขึ้นหรือมีอาการไอแห้งๆ ร่วมด้วยควรรีบไป
โรงพยาบาลทันที ปกติแล้วหากปอดมีพังผืดอยู่ที่ 50% มันก็อาจจะสายเกินไปนะลูก

แพทย์และผู้เชื่ยวชาญได้แนะนำว่า ลูกๆ สามารถตรวจสอบตัวเองได้ด้วยวิธีง่ายๆ
ว่าอาการของตัวเองในทุกๆ เช้า โดยการสูดหายใจลึกๆ แล้วกลั้นลมหายใจสัก 10
วินาทีถ้าสามารถทำได้โดยไม่สำลักไอเสียก่อน หรือ ติดขัดใดๆ แสดงว่าไม่มีพัง
ผืดที่ปอด และ ยังไม่มีการติดเชื้อที่ปอด

ในช่วงวิกฤตนี้ลูกสามารถทดสอบด้วยตัวตนเองในทุกๆ เช้าในที่ๆ มีอากาศบริสุทธิ์สะอาด ลูกไม่ควรให้ปาก และ ลำคอแห้งควรจิบนํ้าอย่างที่พ่อแนะนำนำขวดนํ้าขนาดเล็กติดตัวและจิบมันทุก 15 นาที ทำไมหรือ.?..

หากลูกเผลอได้รับเชื้อเข้าไปในปากแล้ว การดื่มนํ้าหรือของเหลวอื่นๆ จะช่วยล้าง
และ นำพาไวรัสโควิดลงกระเพาะอาหาร นํ้าย่อยจากกรดในกระเพาะจะช่วยฆ่าเชื้อไวรัสได้

ถ้าลูกๆดื่มนํ้าไปไม่มากพอ ไวรัสโควิดมันจะเข้าสู่หลอดลม และ ปอดในที่สุดแล้วนั่นมันจะอันตรายมากๆ พ่อจึงขอให้ลูกๆ พ่อทุกๆ คนโปรดปฎิบัติตามตำแนะนำนี้เพื่อความปลอดภัยในช่วงการระบาดของเจ้าโควิดนี้ทุกคน พ่อขอให้ลูกของพ่อทุกคน "ปลอดภัย" นะ...

ที่มา
Teucer Rom...

แสงสว่าง มองการไกล...

11 กรกฎาคม 2564

วิธีใช้หนี้พ่อแม่ ๑๐ วิธี

๑. จงสร้างความดีให้กับตัวเอง และนี่ก็เป็นการใช้หนี้ตัวเอง ตัวเราพ่อให้หัวใจ แม่ให้น้ำเลือดน้ำเหลืองอยู่ในตัวแล้ว จะไปแสวงหาพ่อที่ไหน จะไปแสวงหาแม่ที่ไหน บางคนรังเกียจแม่ ว่าแก่เฒ่าไม่สวยไม่งาม พอตัวเองแก่ก็เลยถูกลูกหลานรังเกียจ จึงเป็นกงกรรมกงเกวียนยืดเยื้อกันต่อไปอีก
๒. ใครที่คุณแม่ล่วงลับไปแล้ว ก็ให้หมั่นทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ท่าน และถ้าจะทำบุญด้วยการเจริญกรรมฐาน แล้วอุทิศส่วนกุศลไป การทำเช่นนี้ถือว่าได้บุญมากที่สุด ทั้งฝ่ายผู้ให้และผู้รับ
๓. ผู้ใดก็ตาม ที่คุณแม่ยังมีชีวิตอยู่ ก็ให้กลับไปหาแม่ ไปกราบเท้าขอพรจากท่าน จะได้มั่งมีศรีสุข ส่วนคนที่เคยทำไม่ดีไว้กับท่าน ก็นำเทียนแพไปกราบขออโหสิกรรม ล้างเท้าให้ท่านด้วย เป็นการขอขมาลาโทษ
๔. ขอฝากท่านไว้ไปสอนลูกหลาน อย่าคิดไม่ดีกับพ่อแม่เลย ไม่ต้องถึงกับฆ่าหรอก แค่คิดว่าพ่อแม่เราไม่ดี จะทำมาหากินไม่ขึ้น เจ๊ง ท่านต้องแก้ปัญหาก่อนคือ ถอนคำพูด ไปขอขมาลาโทษเสีย แล้วมาเจริญกรรมฐาน รับรองสำเร็จแน่ มรรคผลเกิดแน่
๕. บางคนลืมพ่อลืมแม่ อย่าลืมนะการเถียงพ่อเถียงแม่ไม่ดี ขอบิณฑบาต สอนลูกหลานอย่าเถียงพ่อเถียงแม่ อย่าคิดไม่ดีกับพ่อกับแม่ ไม่อย่างนั้นจะก้าวหน้าได้อย่างไร ก้าวถอยหลังดำน้ำไม่โผล่
๖. คนที่มีบุญวาสนา จะกตัญญูกับพ่อแม่ คนเถียงพ่อเถียงแม่เอาดีไม่ได้..คนไม่พูดกับพ่อแม่ นั่งกรรมฐานร้อยปี ก็ไม่ได้อะไร? ถ้าไม่ขออโหสิกรรม ฯขออโหสิกรรม ที่คิดไม่ดีกับพ่อแม่ คิดไม่ดีกับครูบาอาจารย์ คิดไม่ดีกับพี่ๆ น้องๆ จะไม่เอาอีกแล้ว เอาน้ำไปขันหนึ่ง เอาดอกมะลิโรย กายกัมมัง วจีกัมมัง มโนกัมมัง โยโทโส อันว่าโทษทัณฑ์ใด ความผิดอันใด ที่ข้าพเจ้าพลั้งเผลอสติไป ด้วยกายก็ดี ด้วยวาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ขอให้คุณพ่อคุณแม่ คุณปู่คุณย่า คุณตาคุณยาย คุณพี่คุณน้อง อโหสิกรรมให้ด้วย แล้วเอาน้ำรดมือรดเท้า
นี่แหละท่านทั้งหลายเอ๋ย เป็นหนี้บุญคุณพ่อแม่มากมาย ยังจะไปทวงนาทวงไร่ ทวงตึก มาเป็นของเราอีกหรือ ตัวเองก็พึ่งตัวเองไม่ได้ สอนตัวเองไม่ได้ เป็นคนอัปรีย์จัญไรในโลกมนุษย์ไปทวงหนี้พ่อแม่ พ่อแม่ให้แล้ว (ให้ชีวิต ให้…ให้… ให้….ฯลฯ) เรียนสำเร็จแล้ว ยังช่วยตัวเองไม่ได้ มีหนี้ติดค้าง รับรองทำมาหากินไม่ขึ้น
หนี้บุญคุณอันยิ่งใหญ่ เหลือจะนับประมาณ นั่นคือหนี้บุญคุณของบิดามารดา
ตัวอย่าง “หนามแหลมใครเสี้ยม มะนาวกลมเกลี้ยงใครไปกลึง” เด็กประถม ๔ พ่อเมาเหล้า เมากัญชาเล่นการพนัน แม่เล่นหวย ปัจจุบันเป็นดอกเตอร์อยู่อเมริกา หลวงพ่อสอนครั้งเดียวจำได้ บอกวันเกิด หนูซื้อขนม ๒ ห่อ เรียกพ่อแม่มานั่งคู่กัน แล้วกราบนะลูกนะ แล้วก็บอกพ่อแม่ว่า ความผิดอันใดที่ลูกพลั้งเผลอ ด้วยกาย วาจา ใจ ที่คิดไม่ดีต่อคุณพ่อคุณแม่ ขอให้คุณพ่อคุณแม่อโหสิกรรมให้ แล้วล้างเท้าให้พ่อแม่ ลูกไม่มีสตางค์ ลูกซื้อขนมมา ๒ ห่อ ให้แม่ก่อน ๑ ห่อ เพราะอุ้มท้องมา แล้วจึงให้พ่ออีก ๑ ห่อ ลูกขอปฏิญาณตนว่า ลูกขอเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ แล้วจะเป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ ลูกจะไม่ทำให้พ่อแม่ผิดหวัง…พ่อฟังแล้วน้ำตาร่วงสร่างเมา ส่วนแม่ก็ร้องไห้เลย พ่อแม่ก็ให้สัญญากับลูกเลิกอบายมุขทั้งหมด
๗. ลูกหลานโปรดจำไว้ เมื่อแยกครอบครัวไปมีสามีภรรยาแล้ว อย่าลืมไปหาพ่อแม่ ถึงวันว่างเมื่อไรต้องไปหาพ่อแม่ ถึงวันเกิดของลูกหลาน อย่าลืมเอาของไปให้พ่อแม่รับประทาน อย่ากินเหล้า เข้าโฮเต็ล
๘. ชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้เป็นมงคลนาม ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยน เพราะชื่อเป็นเพียงนามสมมุติแทนตัวเรา อย่างหลวงพ่อชื่อจรัญ ปู่ตั้งให้ หมอดูบอกเป็นกาลกิณี แต่ทำไมเจริญรุ่งเรือง ขอให้เชื่อพระพุทธเจ้าทำดีได้ดี
๙. ของดี ของ ปู่ ย่า ตา ยาย อย่าไปทำลายเลย ของพ่อแม่อย่าไปทำลายนะ หนีได้แน่นอน โยมมีกรรมฐาน มีทรัพย์ มีชื่อเสียง ความรัก บูชาทรัพย์ บูชาชื่อเสียง ความรักของพ่อแม่ได้ เงินจะไหลนองทองจะไหลมา..พ่อแม่ให้อะไรเอาไว้ก่อน อย่าไปทำลายเสีย ถึงจะเป็นถ้วยพ่อแม่ให้มา ก็ไว้เป็นที่ระลึกก็ยังดีอย่าเอาไปทิ้งขว้าง
๑๐. ถ้าต้องการเจริญก้าวหน้าขอฝากไว้ด้วย คนเรามี ๒ ก้าว จะก้าวขึ้นหรือก้าวลงดำน้ำไม่โผล่ ก้าวลงมันง่ายดี ก้าวขึ้นมันต้องยาก ของชั่วมันง่าย หลั่งไหลไปตามที่ต่ำ นี่บอกสอนลูกหลาน ต้องการจะบรรจุงานไม่ต้องไปวิ่งเต้น ดูลูกเสียก่อน กุศลเพียงพอหรือเปล่า ต้องเพิ่มกุศล ตัวอย่างเรียนจบครู สวดมนตร์เข้าเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นครู ทำงานธนาคารก็ได้ บริษัทก็ได้เดี๋ยวมีคนรับ บางรายทั้งสอบทั้งสมัครหลายแห่งไม่เคยเรียกเลย อาตมาให้นั่งกรรมฐาน พอ ๗ วันผ่านไปพวกมาตามให้เข้าไปทำงานแล้ว

ที่มา
หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม

พระคาถา รักษาได้ทุกโรค

คาถาบทหนึ่งที่พระพุทธเจ้าให้ไว้ ว่าคาถาบทนี้ถ้าทำน้ำมนต์แล้วรักษาได้ทุกโรค นั่นคือ “ทุกขา ทุกขัง ปฏิฐิตัง สัมปติจฉามิ” ก็นึกในใจว่าถ้าคาถาบทนี้ ถ้ารักษาตัวเราเองไม่หาย จะไปรักษาใคร ในเมื่อท่านให้เรา เราก็จะลองรักษาตัวดู ถ้าคาถาบทนี้รักษาเราไม่หาย ก็จะไม่เกิดประโยชน์กับใคร ก็พอดีคุณสมนึก(ไม่ชัด)สุพัตรา เธอรักษาภรรยาเธอ ให้ภรรยาเธอภาวนาคาถาบทนี้ ใช้มีดหมอแกะ เธอหายปวดจากร่างกายและหายป่วยเป็นอัศจรรย์ ก็นอนภาวนาคาถาบทนี้เป็นฌาน คิดว่านับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป การภาวนาทุกอย่างจะใช้คาถาบทนี้เรื่อยไป จนกว่าโรคจะหาย แทนคำว่า “พุทโธ”, “สัมมาอรหัง” แทนทุกอย่างที่ใช้ เว้นไว้แต่บางกรณี บางขณะเราจะไปสวรรค์ เราจะไปพรหมโลก เราจะไปนิพพาน ตอนนั้นอีกเรื่องนึงต่างหาก ถ้าอยู่ปกติจะภาวนาว่า “ทุกขา ทุกขัง ปฏิฐิตัง สัมปติจฉามิ” ว่าเรื่อยๆตามสบายๆ ก็เริ่มภาวนา พอเริ่มภาวนาอารมณ์ก็เริ่มเป็นสุข ...

---------------------------------------------------------
ถอดเทปจาก “หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เรื่อง บันทึกความจำพิเศษ”

เหรียญเงินตราพระมหามงกุฎ - พระแสงจักร สร้างในรัชกาลที่ ๔

เหรียญเงินตราพระมหามงกุฎ - พระแสงจักร
เหรียญเงินตราพระมหามงกุฎ-พระแสงจักร
  
ด้านหน้า
ด้านหลัง
ขอบ
ราคา 2 บาท   
ราคากึ่งบาท   
ราคาสลึง   
ราคาเฟื้อง   
ราคากึ่งเฟื้อง   
 

ลักษณะ เหรียญกลมแบน ขอบเรียบ
ด้านหน้า 
เป็นรูปพระมหามงกุฏเปล่งรัศมี มีฉัตรกระหนาบสองข้าง พื้นเป็นลายกิ่งไม้ แต่ไม่มีรายละเอียดเท่ากับเหรียญบรรณาการ ปี พ.ศ. 2401 รอบวงขอบมีดาวบอกราคา โดยดาวดวงหนึ่งแทนราคา 1 เฟื้อง

ด้านหลัง เป็นรูปช้างยืนพื้น หันหน้าไปทางซ้ายอยู่กลางพระแสงจักร ริมขอบมีดาวเท่าจำนวนด้านหน้า
ปีที่สร้าง 
เหรียญนี้ผลิตออกใช้แทนเงินพดด้วง โดยผลิตจากเครื่องจักรที่สั่งซื้อจากประเทศอังกฤษ อนึ่ง เหรียญกษาปณ์ ชนิดราคากึ่งเฟื้องไม่ปรากฏในประกาศ ออกใช้ วันที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2403 เลิกใช้ บาท วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2457 กึ่งบาทและสลึง วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2456 เฟื้อง วันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2452

  ขนาด น้ำหนัก หนา
ราคา 2 บาท (เงิน) ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 3.70 เซนติเมตร 30.00 กรัม 0.25 เซนติเมตร
ราคา กึ่งบาท (เงิน) ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2.65 เซนติเมตร 7.46 กรัม 0.10 เซนติเมตร
ราคา สลึง (เงิน) ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2.00 เซนติเมตร 3.70 กรัม 0.10 เซนติเมตร
ราคา เฟื้อง (เงิน) ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1.50 เซนติเมตร 1.84 กรัม 0.10 เซนติเมตร
ราคา กึ่งเฟื้อง (เงิน) ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1.35 เซนติเมตร 1.03 กรัม 0.10 เซนติเมตร
 

ราคาประเมิน (บาท)  
ราคา 2 บาท 40,000 บาท
ราคา กึ่งบาท 7,000 บาท
ราคา สลึง 4,000 บาท
ราคา เฟื้อง 3,000 บาท
ราคา กึ่งเฟื้อง 4,000 บาท
 

 

 

 

หมายเหตุ

1. เป็นการประเมินมูลค่า ทรัพย์สินที่มีสภาพ สมบูรณ์

2. ราคาประเมิน ณ 21 พฤศจิกายน 2562 โดยคณะกรรมการ ประเมินมูลค่าทรัพย์สิน ตามคำสั่งกรมธนารักษ์ ที่ 880/2557 สั่ง ณ วัน ที่ 30 ธันวาคม 2557

ที่มา  กรมธนารักษ์
https://www.treasury.go.th/th/coin-k4-1/

อธิษฐานให้บุญมารักษาเรา

อย่าได้ประมาทในความเพียร บุญเล็กน้อยหรือว่าเราเจริญภาวนาจิตก็อย่าได้ประมาท แม้จะหลับนอนก็ขอให้มีภาวนาจิต บางคนเค้าเรียกว่าหลับนอนแล้วยังขาดสติ ยังไประลึกถึงอารมณ์ทั้งปวงที่ยังมาไม่ถึง อะไรที่ผ่านมาแล้วก็ยังไปเอามาคิดเป็นอารมณ์ปัจจุบันอยู่ แล้วสิ่งเหล่านี้มันจะพ้นจากเราไปได้อย่างไร เพราะเรายังคิดอยู่ ยึดอยู่ เมื่อเรายึดอยู่คิดอยู่มันจะจากเราไปไม่ได้ เพราะเรายังไม่ได้ปล่อย เข้าใจมั้ยจ๊ะ 

เพราะใจเรานี้เป็นประธานแห่งกรรม ดังนั้นไม่ว่าอะไรที่เราจะหลับนอนแล้วก็ถือว่าเราจะได้ตายไปแล้วจากโลกนี้ ก็ขอเจริญความเพียรเป็นครั้งสุดท้าย ให้ระลึกถึงองค์ภาวนาพุทโธ ธัมโม สังโฆ พุทธังสรณังคัจฉามิ แล้วอธิษฐานบุญกุศลเจริญภาวนาจิต ข้าพเจ้าขอเจริญภาวนาจิตนี้เพื่อเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา ต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ต่อพระรัตนตรัย ต่อผู้มีคุณทั้งหลายทั้งปวง ต่อบิดามารดา ต่อกษัตริยาธิราชเจ้าทั้งหลาย ที่ปกป้องศาสนาเพื่อชาติบ้านเมืองทั้งหลายทั้งปวงให้ข้าพเจ้าได้มีที่อยู่ ให้อธิษฐานจิต จิตนี้เมื่ออธิษฐานจะมีพลังมหาศาล 

ที่ว่ามี"พลังมหาศาล"คือจิตมันจะสงบตั้งมั่นนั่นเอง เข้าใจมั้ยจ๊ะ ระลึกถึงว่าเราต้องตายแล้ว เราก็ทำการเรียกว่าขอขมากรรม คำมั่นสัญญาใดๆในอดีตไม่ว่าต่อใครทั้งหลายทั้งปวง ข้าพเจ้าขอถอนคำสัญญาสาบานทั้งหลายทั้งปวง ขอบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้ทำมาจงอุดหนุนค้ำชูให้ตัวข้าพเจ้านั้นจงพ้นจากเวรภัยทั้งหลายทั้งปวง เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายที่มีเวรภัยต่อข้าพเจ้าจงโปรดอดโทษอดอาฆาตต่อข้าพเจ้า ขอให้อโหสิกรรม ให้โมทนาบุญกับข้าพเจ้า ในค่ำราตรีคืนนี้ที่ข้าพเจ้าจะหลับนอนไปแล้ว ขอบุญกุศลทั้งหลายทั้งปวงที่ข้าพเจ้าได้ทำมาในทาน ศีล ภาวนาทั้งหลายทั้งปวง จงอุดหนุนค้ำชูปกปักรักษาให้ข้าพเจ้าพ้นจากเวรภัยพาลทั้งหลายทั้งปวง 

เราอธิษฐานบุญมันต้องให้บุญมารักษาเรา เข้าใจมั้ยจ๊ะ ก็เรียกว่าเรานั้นจะไม่นอนสะดุ้งผวา หากมีอะไรเพทภัยใดจะรู้สึกตัวก่อน เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะเมื่อเรามีสติเมื่อเราหลับนอนไป เกิดอะไรขึ้นตัวสติมันก็จะรู้ แต่ถ้าเราไม่เคยมีสติเลย ไม่มีภาวนาเลย เค้าเรียกเทวดาจะไม่รักษา เข้าใจมั้ยจ๊ะ มันก็จะหลับเพลินเลยทีนี้ ไฟจะไหม้บ้านก็ยังหลับสบาย ดังนั้นควรมีสติ เรามีกำลังเราก็ภาวนา เรามีเวลาเราก็สาธยายมนต์ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

ที่มา
ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๖๑
ณ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี) 
      ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)

อำนาจแห่งศีล

ต่อไปในภายภาคหน้า บุคคลที่จะเข้าถึงความสำเร็จ เข้าถึงความสมบูรณ์แห่งความเป็นมนุษย์ บุคคลผู้นั้นต้องมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง เมื่อผู้ใดมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง จะพูดก็ดี จะทำก็ดี จะคิดก็ดี ก็จะได้พรวิเศษ 

ดังนั้นบุคคลจะสัมฤทธิ์ในพรในความปรารถนาใดๆก็ตาม บุคคลนั้นต้องมีบุญฤทธิ์เกิดขึ้นในตัวก่อน หรือเรียกคุณวิเศษ หากแม้ว่าไม่มีคุณวิเศษในภูมิธรรมใดแล้ว การที่เราจะไปเที่ยวขอพรหรือได้รับพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย..จะหาว่าจะประสิทธิให้เกิดความขลังความศักดิ์สิทธิ์นั้นก็เกิดขึ้นได้ยาก เพราะเรานั้นไม่มีฐานบุญที่จะไปรองรับ นั่นก็คืออำนาจแห่งศีล อย่างน้อยต้องมีพื้นฐานของศีล ๕ ในกรรมบท ๑๐ 

ขอให้โยมระลึกถึงอำนาจแห่งศีล..ระลึกถึงอย่างไร ระลึกถึงว่า..ศีลที่เรามีอยู่ในความเป็นมนุษย์นี้ เรามีความบกพร่องอย่างไรบ้าง ก็ขอให้โยมนั้นได้ขอขมาขออโหสิกรรมต่อพระรัตนตรัยให้ได้เสียก่อน เมื่อเราระลึกถึงอย่างนั้นแล้ว นั้นกรรมอันใดศีลอันใดข้อใด ที่เราได้ล่วงมาแล้วในกาย วาจา ใจ ก็ขอให้ละเสีย ณ ขณะนี้ แล้วตั้งใจที่จะรักษากาย วาจา ใจ ในทางกุศลในทางชอบ 
เมื่อเราระลึกและสำรวมสำนึกได้ในกรรมใดก็ตาม ขออโหสิกรรมขอขมากรรม ขออำนาจบุญกุศลที่เราได้มากระทำ จะเป็นการเจริญมนต์ เจริญภาวนา แผ่เมตตาก็ดี ได้สร้างอธิษฐานก่อพระเจดีย์ถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชาก็ดี เรียกว่าเป็นการชำระหนี้สงฆ์ ชำระหนี้กรรม..

ให้โยมตั้งจิตอธิษฐานแผ่บุญกุศลทั้งหลายนี้ ให้กับดวงจิตวิญญาณเจ้ากรรมนายเวร คู่อาฆาตพยาบาท คู่อิจฉาริษยา น้อมนำจิตนั้นให้ระลึกถึงพระรัตนตรัยเป็นที่ตั้ง อธิษฐานขอแสงสว่างแห่งพระรัตนตรัย แสงบุญกุศลทั้งหลายที่ข้าพเจ้าได้เคยมีมา ได้กระทำมาในอดีตถึงในปัจจุบัน ในบารมีทั้ง ๑๐ ก็ดี ในทาน ศีล ภาวนาก็ดี 

บุญอันใดกุศลอันใดพึงจะมีพึงจะเกิดแก่ข้าพเจ้าแก่เรา..ก็ขอให้บังเกิดขึ้นมา เมื่อบังเกิดแล้วขอให้เป็นแสงสว่างแห่งบุญ บุญนี้แสงสว่างนี้จงสำเร็จประโยชน์ต่อดวงจิตวิญญาณทั้งหลาย ที่ข้าพเจ้าได้เคยล่วงเกินมีความอาฆาตพยาบาท ขอให้ดวงจิตวิญญาณเหล่านั้น ไม่ว่าจะอยู่ในภพภูมิใด จะเสวยทุกข์อยู่ก็ดี เสวยสุขอยู่ก็ดี จงมาโมทนา..

หากแม้วิญญาณเหล่าใดก็ตามไม่สามารถจะรับบุญกุศลกับข้าพเจ้าได้แล้วไซร้ ขอฝากบุญกุศลนี้ไปถึงนายนิรยบาล ท้าวจตุโลกบาลก็ดี ท่านท้าวพญายมก็ดี ให้ฝากบุญกุศลไว้ เมื่อถึงคราวแล้วที่เค้าจะเสวยผลบุญกุศลได้ ก็ขอผลบุญกุศลนี้จงสำเร็จประโยชน์กับดวงจิตวิญญาณเหล่านั้น อย่าได้มีเวรอาฆาตพยาบาท ไม่ว่าจะอยู่ในภพภูมิใดชาติใด หากต้องมาเจอมาพบก็ขอให้เป็นมิตร อย่าได้เป็นศัตรูต่อกัน 

ขอบุญกุศลทั้งปวงที่ข้าพเจ้าได้กระทำ ไม่ว่าจะอยู่กี่ภพกี่ชาติก็ตามจนมาถึงปัจจุบันนี้ ขอรวมเป็นบารมีเป็นกุศล เป็นพลวปัจจัยอุดหนุนค้ำชูให้ข้าพเจ้านั้นจงมีอายุมั่นขวัญยืน ปราศจากโรคภัย แม้มีโรคแม้มีภัยก็ขอให้มียารักษา แม้มีเคราะห์แม้มีภัยขอให้ปลอดภัยแคล้วคลาด แม้มีกรรมหนักก็ขอให้เบาบาง ถึงแม้เคราะห์นั้นจะถึงแก่ชีวิตก็ขอให้กรรมนั้นลหุโทษ ให้ปลงชีวิตสังขารนั้นไว้เพื่อประโยชน์ต่อศาสนาสืบต่อไป ให้โยมทั้งหลายตั้งจิตอธิษฐาน

เมื่อโยมทั้งหลายตั้งจิตอธิษฐานอย่างนี้ได้ วาสนาดวงนั้นก็จะเปิดขึ้น เมื่อเปิดแล้วก็ขอให้โยมทั้งหลายจงระลึกถึงแต่สิ่งที่ดี สิ่งที่ไม่ดีอย่าไประลึกเลย เพราะว่ากรรมทั้งหลายนั้นที่กระทำมาแล้วไม่สามารถย้อนไปแก้ไขได้ เมื่อเราสำนึกแล้วในบาปกรรมนั้น ก็ขอให้วางเป็นธุระอย่างนั้นไว้ตามกำลังของกรรมแห่งกรรม ก็ยกจิตในขณะนี้ตั้งจิตเสียใหม่ ตั้งใจเสียใหม่ อธิษฐานบุญกุศลและบารมีใหม่ ตั้งใจที่จะสร้างคุณความดี..

นั้นสิ่งใดที่โยมยินดีที่โยมปรารถนาไว้ โยมจงอธิษฐานมาเป็นบารมี สิ่งไหนที่เราอธิษฐานปรารถนาพึงจะได้ หากไม่เกินวิสัยในบุญกุศลและบารมีเรานั้น เมื่อเรานั้นได้อธิษฐานปัดเป่าอุปสรรค ในวิบากกรรมดวงจิตวิญญาณทั้งหลาย คู่อาฆาตพยาบาท อุปสรรคเหล่านี้เมื่อเรานั้นได้อธิษฐานบุญไป บุญกุศลนั้นก็จะผลักดันให้สิ่งเหล่านั้นไม่สามารถมากล้ำกรายเราได้ในขณะนี้ ก็เหมาะแล้วแก่การที่จะอธิษฐานจิตอธิษฐานบารมี 

การอธิษฐานบารมี..บารมีนั้นคือสิ่งที่เรานั้นปรารถนาหรือความตั้งใจให้เกิด ดังนั้นแล้วไม่มีสิ่งใดเลยที่มนุษย์นั้นจะบอกว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าสิ่งที่เราอธิษฐานหรือปรารถนาบารมีนั้น เป็นการสะสมมาแล้วหลายภพหลายชาติ หากเราไม่เกิดขึ้นอยู่ในภวังค์ของจิตที่เราปรารถนา..จิตเราจะไม่ไปเกี่ยวข้องไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง แต่หากที่เราปราถนาไว้มีความตั้งใจ แสดงว่าสิ่งนั้นเราเคยได้อธิษฐานบารมีแล้วมานับไม่ถ้วน ขอให้โยมนั้นจงอธิษฐานบุญกุศลใหญ่ให้มันเกิดขึ้น 

ดังนั้นทาน ศีล ภาวนาที่เราอบรมมา กุศลในทาน ภาวนาที่เราเคยอบรมมา ธรรมที่เราเคยฟังมา ขอให้โยมนั้นอธิษฐานบุญกุศลนั้น ให้เกิดเป็นตบะเป็นบารมี อธิษฐานที่จะสร้างบารมีใหญ่กับท่านสมเด็จโต ไม่ว่าเราจะทำได้หรือไม่ได้ก็ตาม สิ่งที่เราปรารถนา จิตที่เป็นกุศลตั้งมั่นนั่นแล มันจะมีอานิสงส์หนุนนำให้เรานั้นเกิดสภาพความคล่องในทางโลก 

อย่าได้ไปคิดว่ามันจะเป็นไปไม่ได้ อย่าได้ประมาทในบุญกุศลและบารมีของตัวเราเอง เราไม่รู้หรอกว่าในอดีตเราสร้างบุญ สร้างบารมีมามากเท่าไหร่ สร้างกรรมชั่วมามากเท่าไหร่ ในอดีตเคยเป็นพระราชา เป็นเศรษฐี สร้างกุศล สร้างบารมี สร้างวัดสร้างวามามากเท่าไหร่ เราไม่อาจรู้ได้ 
แต่จงจำไว้ในภพปัจจุบันแห่งกรรม หากเราทำอะไรอยู่แสดงว่าในอดีตเราก็เคยได้กระทำ..ไม่ว่าจะเป็นทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว ดังนั้นผลแห่งกรรมอะไรที่จะมีอานิสงส์ มีพละ มีอำนาจที่จะผลักดันให้ผล..คือการเสวยวิบากกรรมก่อน ก็คือกรรมใดก็ตามที่เราระลึกและกระทำอยู่บ่อยๆ กรรมนั้นย่อมมีอำนาจมากกว่าที่จะส่งผล

ดังนั้นอย่าได้ประมาทในบุญกุศลและกรรม จงเอาบุญกุศลและอธิษฐานติดไว้ คืออย่าได้ประมาท เราไม่รู้ได้ว่าเรานั้นจะบรรลุพระโสดาบันได้หรือไม่ที่จะมีอานิสงส์ปิดอบายภูมิ อย่างน้อยขอให้โยมนั้นตั้งมั่นอยู่ในศีล ๕ ศีล ๕ นี้แลย่อมให้สามารถเปิดทางที่จะไปโลกุตรธรรมได้ แม้จะไปแบบหยาบก็ตาม แต่บั้นปลายแล้วของจิตย่อมทำให้ละเอียดเข้าถึงพระนิพพานได้...

ที่มา
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต

โลกปรับสมดุล

ลูกศิษย์ : หลวงปู่เจ้าคะ แล้วโรคระบาดตอนนี้มันเริ่มหนักขึ้นๆ
หลวงปู่ : ทำไมเล่าจ๊ะ บ้านเมืองจะได้สงบ..นี่คือข้อดี ข้อเสียลมหายใจจะแผ่วลง คนก็จะตายมาก..หายใจไม่ค่อยออก ไม่มีอะไรจะกิน..

อ้าว..ก็ที่ฉันบอกไปแล้วว่าท่านมหาบพิตรท่านได้มีอนาคตังสญาณ..ญาณรู้ล่วงหน้าแล้ว ว่าให้เจริญเศรษฐกิจพอเพียง เข้าใจมั้ยจ๊ะ จริงๆแล้วมนุษย์เรากินมื้อสองมื้ออยู่ได้มั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : ได้ครับ) มื้อเดียวก็อยู่ได้แล้ว จะอยู่ได้เฉพาะผู้ที่มีศีล
 
พวกที่มีความโลภ ความโกรธ ความหลง มีความละโมบอยากได้มาก..ไม่มีคำว่าพอของกิเลสหรอกจ้ะ พวกนี้ก็จะดิ้นรนตายไปเอง นี่คือที่เค้าเรียกว่าเบียดเบียน เข้าใจมั้ยจ๊ะ เรียกว่าไม่รู้จักพอ นั้นคนที่รู้จักพอแล้วจะไม่เดือดร้อน จำไว้นะจ๊ะ โรคภัยที่มันเกิดขึ้น..มันกำลังปรับสมดุลของโลกธาตุ

นั้นธาตุใครที่ไม่ดีไม่มีภูมิต้านทาน นั่นก็คือเรียกว่าเป็นเจ้ากรรมนายเวร..ที่ตายจากโรคนี้เพราะโรคนี้ จึงต้องเป็นเหตุเป็นเวรเป็นกรรมกันเป็นบุพกรรมกัน หากเราไม่มีเวรมีบุพกรรมกับโรคนี้ ถามว่าโยมจะติดมั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : ไม่ครับ) ถูกต้อง..เค้าเรียกว่าเรามีภูมิต้านทานนั่นเอง

การที่โยมเจริญมนต์แม้โยมไม่มีวัตถุมงคลคล้องคอ มนต์ที่อยู่ในตัวโยมนั้นแล..เมื่อมีพวกสิ่งที่แปลกปลอมที่มันจะเข้ามา พุทธมนต์ พุทธคุณในกายของโยมนั้นมันจะมีแสงออกมา เข้าใจมั้ยจ๊ะ ฉันถึงบอกว่าจะมีแสงตอนไหน จะมีปฏิกิริยา มีพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณตอนไหน..ก็ตอนที่โยมระลึกถึงองค์ภาวนา เข้าใจมั้ยจ๊ะ

ฉันบอกว่ายุคต่อไปนี้เนี่ยะ อยากให้โยมทั้งหลายอย่าได้ขาดภาวนา ระลึกได้เราก็ภาวนา พระพุทธองค์ท่านไม่เคยเลยที่จะขาดภาวนา เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะจิตนั้นมันดิ้นรนกลับกลอกได้ไวมาก ดังนั้นเมื่อโยมสวดมนต์ภาวนา เจริญฌานภาวนาเจริญศีลอยู่เป็นนิตย์แล้ว เค้าเรียกเป็นพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณไปในตัว

แต่พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณนี้จะเกิดมีปฏิกิริยามีแสงออกมา..ก็ต่อเมื่อเราไปเปิด เปิดเครื่องทำงาน เปิดประตูแห่งจิต นั่นก็คือการภาวนา..ให้อาหาร พอให้อาหารแล้วเป็นยังไงจ๊ะ มันเกิดการย่อย มีปฏิกิริยาเกิดขึ้น มีการถ่ายเท ผลักของเสียเข้าของเสียออก ดังนั้นเราต้องมีภาวนาอยู่ตลอด..

แต่การที่โยมมีวัตถุมงคลมันก็ทำให้โยมอุ่นใจมากขึ้น ใช่มั้ยจ๊ะ นั่นก็คือกำลังใจไปเสริมบารมี มันก็เป็นการดีอย่างหนึ่ง ดังนั้นเมื่อยุคนี้มันเป็นโรคระบาด ทั้งระบาดจริงและระบาดไม่จริงก็ดี ก็กลายเป็นประโยชน์ของมนุษย์ที่มันมีความโลภ ความเห็นแก่ตัว ก็อาศัยโรคนี้เป็นเครื่องมือ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

แต่มันก็เป็นวาระเป็นจังหวะของโลกที่มันกำลังปรับสมดุลแห่งโลกธาตุ หมายถึงว่า บุคคลทั้งหลายที่มีทาน มีศีล มีภาวนาจะมารวมตัวกัน นั่นหมายถึงว่าคนที่เค้าไม่มีศีล แม้มีแต่ก็ยังไม่ตั้งมั่น ยังไม่มีสรณะเป็นที่พึ่ง เค้าก็จะไปรวมตัวกัน..ไปชุมชน ไปชุมนุม หรือไปที่อโคจรที่จิตวิญญาณพวกนี้โรคพวกนี้แพร่ได้ง่ายอย่างนี้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

อย่างพวกโยมทำไมไม่ไปเล่า (ลูกศิษย์ : เพราะมันไม่ใช่ที่ของเราค่ะ) ถูกต้อง ธรรมธาตุมันจะไม่ไป เมื่อเราปรับสมดุลธาตุเราได้แล้ว เรามีพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง มีความเชื่อศรัทธาแล้ว..เราจะไม่ไป เราจะกลัว แต่สองสิ่งที่มนุษย์นั้นจะต้องระลึกให้มากต้องตระหนัก..คืออย่าไปท้าความตาย อย่าไปอวดดีกับผี
 
ผีก็คือพวกวิญญาณ พวกโรคเหล่านี้เป็นผีทั้งนั้น เฮอะ..โยมมองเห็นเค้าเหรอจ๊ะ (ลูกศิษย์ : ไม่เห็น) ถูกต้องเรามองไม่เห็น แต่เมื่อเราเจริญภาวนาเราแผ่เมตตากับโรคร้ายทั้งหลายทั้งปวงนี้ บุคคลที่ประสบเหตุ..ให้เค้าพ้นจากโรคภัยไข้เจ็บ เราเจริญเมตตา ไอ้มนต์ที่เราเจริญเมตตาไปน่ะมีผลมั้ยจ๊ะ..มีผล มีผลกับใคร มีผลกับคนที่มีบุพกรรมกับเรา แต่จะไม่มีผลกับคนที่ไม่มีบุพกรรมกับเรา เข้าใจมั้ยจ๊ะ

ดังนั้นแล้วเค้าเรียกว่าภูมิต้านทาน กระแสแห่งบุญ กระแสแห่งจิตนี้สามารถถึงลูกถึงหลานถึงบุคคลที่มีบุพกรรมกับเรา ดังนั้นในยุคนี้จึงเรียกว่าเป็นการปรับเปลี่ยนโลกธาตุให้เกิดความสมดุล ดังนั้นแล้วยังมีอีกมากที่จะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโรคระบาดมันจะมีการพัฒนาไปเรื่อยๆ

โรคระบาดก็ดี ภัยพิบัติก็ดี ภัยธรรมชาติก็ดี ภัยจากมนุษย์ก็ดี ภัยจากสงครามก็ดี ยังไงก็หนีไม่พ้น..ต้องเจอ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ต่อไปประเทศสยามจะเป็นอู่ข้าวอู่น้ำ ทำไมถึงเป็นอู่ข้าวอู่น้ำ ก็คือประเทศอื่นเค้าจะมาพึ่งพาใบบุญ เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่ก็มีทั้งประโยชน์และก็มีโทษ

ดังนั้นแล้วขอให้โยมอยู่ด้วยมีสติ ตอนนี้บ้านเมืองแม้มันจะไม่ถึงขั้นวิกฤตนัก เรายังพอมีเวลา ยังมีสถานที่ให้เราได้พำนักได้ประพฤติปฏิบัติสร้างกุศลบารมี ก็ให้ถือโอกาสเหล่านี้แลบำเพ็ญบารมีให้มาก เข้าใจมั้ยจ๊ะ

ที่มา : มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต

01 กรกฎาคม 2564

การทำสมาธิ กับจินตนาการ

จุดเริ่มต้นของความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ในการทำสมาธิ คือ เราจะต้องจินตนาการในจิตหรือ
การวาดฝันให้ใหญ่ ลงรายละเอียดในจิต และ ให้มันอยู่ในวิสัยที่จะทำให้มันเกิดเป็นความจริงได้ เหมือนกับคำกล่าวของ คุรุผู้ยิงใหญ่ในอดีตที่กล่าวไว้ว่า "เจ้าต้องฝันให้ใหญ่ เพราะมีเพียงฝันใหญ่เท่านั้นที่จะทำให้จิตใจของมนุษย์เคลื่อนที่ได้ จนนำไปสู่ความสำเร็จ"

เทคนิคในการทำสมาธิหลายๆ วิธี ?..

1 วิธีการทำสมาธิ โดยใช้ลมหายใจเข้า - ออกลึกๆ ช้าๆ 
ผู้นั่งสมาธิเมื่ออยู่ในท่าที่สบายแล้ว หลับตา หายใจเข้า ออก ลึก ให้ช้าๆ โดยกำหนดจิต 
ตามลมหายใจทั้งเข้า และ ออก ไปตลอด จนจิตสำนึกเข้าสู่สมาธิ

2 วิธีการกำหนดจิตไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกายให้ผ่อนคลาย ในการทำสมาธิ
วิธีนี้ เมื่อนั่งในท่าสมาธิเรียบร้อยแล้ว หลับตากำหนดจิต ไปในแต่ละจุดของร่างกายให้
ผ่อนคลาย เพื่อให้จิตสำนึกเข้าสู่สมาธิ โดยเริ่มแต่ละจุดดังนี้...

1 กลางศีรษะ

2 ต้นคอ

3 ไหล่ทั้งสองข้าง

4 แขนทีละข้าง ข้างไหนก่อนก็ได้ จะซ้าย หรือ ขวา แล้วแต่เราจะจินตนาการก็ได้

5 ขาทีละข้าง ข้างไหนก่อนก็ได้ จะซ้าย หรือ ขวา แล้วแต่เราจะจินตนาการก็ได้

3 วิธีการเกร็งร่างกายทั้งหมดในการเข้าสมาธิ
เริ่มปฎิบัติการเกร็งในท่ายืนก่อน ให้พวกเรากระทำดังนี้

ยืนหลับตา หายใจเข้าช้าๆ ให้ลึกสุดถึงศูนย์กลางกายแล้วกั้นลมหายใจไว้ พร้อมกับการ
เกร็งร่างกายทุกส่วนทั้งหมดตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า

ช่วงที่กลั้นลมหายใจและเกร็งนี้ ให้นับในใจ 1 ถึง 6 

หลังจากนั้นหายใจออกให้ช้าๆ กว่าที่เราหายใจเข้า ช้าเท่าไรยิ่งดี จนเรารู้สึกว่าลมหายใจออกหมดแล้ว แล้วจึงเริ่มปฎิบัติการเช่นนี้อีก 4 - 5 ครั้ง เมื่อร่างกายผ่อนคลายดีแล้ว 

เมื่อทำถึง 5 ครั้งแล้ว ให้นั่งลงบนเก้าอี้ หรือ กับพื้นก็ได้ แล้วพร้อมเข้าสู่สมาธิ
(วิธีนี้ โยคีอินเดียนิยมใช้ในการเข้าสู่สมาธิ)

4 วิธีการจินตนาการเข้าสู่สมาธิ (วิธีนี้คือ วิธีที่พ่อปฎิบัติเป็นประจำ)

ความจริงเรื่องการจินตนาการนี้ ต้องแล้วแต่ความถนัดแต่ละคนของผู้นั่งสมาธิ เลือกวิธีนั่ง
ที่ถูกจริตกับตัวเองดีที่สุด นั่งกับพื้นหรือบนเก้าอี้ ในท่าที่เราสะดวกสบายที่สุด หลับตา
แล้วจินตนาการถึงสถานที่ๆ พวกเราชื่นชอบ เช่น สวนสาธารณะ ป่า เขา ชายทะเล หรือ เรากำลังนอนเปลญวน หรือ นอนบนก้อนเมฆ หรือ การลอยเรือไปในลำนํ้า หรือ จินตนาการถึงความฝันในอนาคตของเราว่าอยากเป็นอะไร อยากมีอะไร และ อย่าเปลี่ยน
ความฝันนั้นบ่อยๆ เพราะจักรวาลจะจัดสรรค์ให้ไม่ถูก อยากมี อยากทำ อยากเป็น ได้ทั้งนั้น

และ ในช่วงที่จินตนาการ จิตสำนึก และ ร่างกายเริ่มผ่อนคลาย ก็ปล่อยให้จิตสำนึกเข้าสู่
ฌาณสมาธิที่ สงบนิ่ง เบาสบาย 

เวลาทำสมาธิ เริ่มจากน้อยไปหามากก่อน 15 - 20 - 30 - 60 -นาที เมื่อครบเวลาแล้ว ให้จิตสำนึกออกจากสมาธิทันที จะใช้เสียงเพลงธรรมชาติกล่อมเวลาเข้าสู่ฌาณก็ได้

5 วิธีการสั่งจิตสำนึกเข้าสู่ฌาณสมาธิ..

วิธีนี้ผู้ที่ฝึกพลังจิตใต้สำนึกมาก่อนแล้วย่อมเข้าใจวิธีการนี้ดี และ เริ่มปฎิบัติดังนี้..

เมื่อเลือกที่นั่งได้แล้ว หลับตา

หายใจ เข้า - ออก ให้ช้าๆ ลึกๆ 5 นาที 10 ครั้ง โดยประมาณนะ

สั่งจิตผ่อนคลายกล้ามเนื้อทั่วร่างกาย เพื่อให้จิตสำนึกสงบ 

สั่งจิตใต้สำนึก ให้นำจิตสำนึกสู่สมาธิที่ลึก เมื่อสั่งจิตสำนึก เข้าสมาธิครั้งใด ให้จิตสำนึก
เข้าสมาธิจะทำได้เร็วทุกครั้งไป และ เข้าสมาธิอย่างง่ายดาย (เป็นวิธีที่ผู้ชำนาญสมาธิ
นิยมใช้กัน) สำหรับพวกเราควรฝึกวิธีอื่นๆ ไปก่อนจนชำนาญแล้วค่อยมาฝึกวิธีนี้...

ที่มา
แสงสว่าง มองการไกล...

นิวรณ์ 5 ประการ

สำหรับด้านภาวนานี่เป็นการเดินตรงพระนิพพาน จุดใหญ่คือการตัดกิเลส อันดับแรกถึงแม้เราจะตัดกิเลสไม่ได้จริงๆ แต่กิเลสหยาบที่มีความสำคัญมากคือ นิวรณ์ 5 ประการ 

   ⚜นิวรณ์ 5 ประการได้แก่⚜

   1.#ความพอใจในรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสระหว่างเพศ ที่เรียกว่า กามฉันทะ

   2.#อารมณ์ไม่พอใจ คือความโกรธ

   3.#ความง่วง

   4.#อารมณ์ฟุ้งซ่านเกินไป

   5.#สงสัยในผลของความดี

   ⚜ นิวรณ์ 5 ประการนี่ #พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นกิเลสหยาบ #ที่ทำให้ปัญญาถอยหลัง ถ้าจะตัดได้จริงๆ 2 ข้อแรก ต้องเป็นพระอนาคามี ถ้ายังไม่ถึงพระอนาคามีเพียงใด สองข้อแรกตัดไม่ได้ ถ้าจะตัดได้หมดต้องเป็นพระอรหันต์

     ในระยะต้นเราไม่ตัด เราระงับ เพียงแค่ระงับยับยั้ง ให้จิตว่างจากนิวรณ์ 5 ประการ โดยที่จิตนึกถึงลมหายใจเข้าออก ขณะใดจิตรู้ลมหายใจเข้าออก แล้วไม่มีอารมณ์อื่นเข้ามาแทรก เวลานั้นถือว่าจิตว่างจากนิวรณ์ มีสมาธิ อารมณ์ฌาน ทำอารมณ์ว่างจากนิวรณ์วันละนิด วันละหน่อย นิดกับหน่อยนี่มันเท่ากันไหม หน่อยมากกว่านิดใช่ไหม ถ้าเราระงับนิวรณ์ได้วันละ 2 นาที ระงับได้จริงๆ เวลานั้นความรักในระหว่างเพศก็ดี ความโกรธก็ดี ความง่วงก็ดี ความฟุ้งซ่านก็ดี ความสงสัยก็ดี ไม่มีในใจเรา ในช่วงระยะเวลา 2-3 นาที ก็ถือว่าจิตว่างจากกิเลส ถ้าได้มากกว่านั้น จิตก็ว่างมากกว่านั้น ขณะใดที่จิตว่างจากกิเลส ถือว่าขณะนั้นการก้าวเข้าสู่นิพพพาน ค่อยๆก้าวเข้าไป

    ถ้าสมาธิดีในบางขณะปัญญาเกิด ในเมื่อปัญญาเกิด ปัญญาจะรู้เท่าทันตามความเป็นจริง ในชั่วขณะเล็กน้อยก็ใช้ได้ ถ้าปัญญามีความรู้สึกตามความเป็นจริง ว่าโลกนี้แสนจะทุกข์ การเกิดของเราไม่มี
#ความสุข #ความหิวก็ทุกข์ #ความกระหายก็ทุกข์ #ความป่วยไข้ไม่สบายก็ทุกข์ #ปวดอุจจาระปัสสาวะก็ทุกข์ #ความปรารถนาไม่สมหวังก็ทุกข์ #ประกอบกิจการงานต่างๆมีความเหนื่อยยากก็ทุกข์ #การพลัดพรากจากของรักของชอบใจก็ทุกข์ #ความตายจะเข้ามาถึงก็ทุกข์

    รวมความว่า ความทุกข์ประเภทนี้มีตลอดชีวิตไม่มีบุคคลใดจะพ้นความทุกข์นี้ไปได้เลยแม้แต่วันเดียว วันไหนที่ไม่มีหิวข้าวมีไหม บางทีฉันก็มีนะ หิวแต่ก๋วยเตี๋ยว ไม่มีวันไหนที่เราไม่หิวข้าว ไม่มีวันไหนที่เราจะไม่ประกอบกิจการงาน ไม่มีการทำงาน มันเหนื่อยก็ทุกข์ ความหิวก็ทุกข์ รวมความว่าชีวิตของเราที่เกิดมาเป็นคนตลอดชีวิต เราไม่มีความสุขจริง มีแต่ความทุกข์ ถ้าตัวปัญญามันเกิด มันจะเห็นทุกข์ในอริยสัจแบบนี้

    ต่อมาเมื่อเห็นทุกข์แล้วเกิดปัญญา ก็คิดต่อไปว่าการเกิดเป็นคนมันก็ทุกข์ต่อไปแบบนี้ เราจะเกิดเป็นอะไรดี ต้องการเป็นเทวดาหรือพรหมซึ่งมีความสุขจริง แต่ว่าเทวดาหรือพรหมมีความสุขไม่นาน หมดบุญวาสนาก็ตกลงมาใหม่ ลงมาค้างแค่มนุษย์ก็ยังดี ส่วนใหญ่จากเทวดาหรือพรหม ไม่ค้างมนุษย์ ลงไปอบายภูมิเป็นส่วนใหญ่นะ

    รวมความว่า ดินแดน 3 ประการ คือ มนุษยโลกก็ดี เทวโลกก็ดี พรหมโลกก็ดี ไม่ดีจริง จุดที่ดีจริงๆคือ #นิพพาน ไปถึงแล้วไม่ต้องไปไหน มีแต่ความสุขอย่างเดียว ไม่ต้องเคลื่อนจากที่ นี่ ถ้าจิตเป็นสมาธิว่างจากนิวรณ์ ปัญญามันก็เกิดแบบนี้ ถ้าปัญญาเกิดแบบนี้ก็ใกล้นิพพานไปถึงที่สุด รวมความว่าการที่ บรรดาท่านพุทธบริษัท ทำความดีทุกอย่าง การให้ทานก็ดี การรักษาศีลก็ดี การเจริญภาวนาก็ดี เป็นการตัดกิเลสตัวสำคัญ คือ ตัดรากเหง้าของกิเลส

 ⚜ รากเหง้าของกิเลสมี 3 อย่างคือ⚜

   1.โลภะ ความโลภ

   2.โทสะ ความโกรธ

   3.โมหะ ความหลง

   การให้ทานเป็นการตัดความโลภ การรักษาศีลเป็นการตัดความโกรธ การเจริญภาวนาเป็นการตัดความหลง ในเมื่อความโลภ ความโกรธ ความหลง มันใหญ่เหมือนภูเขา การจะทำลายครั้งเดียว หนเดียว มันทำลายทั้งหมดไม่ได้ ต้องค่อยๆเคาะ ค่อยๆทำ เคาะหลุดมาชิ้นหนึ่งมันไม่เกิดอีก เพราะมันเคาะหลุดแล้ว เคาะหนักๆเข้าในที่สุดมันก็หมดไป ข้อนี้ฉันใด การบำเพ็ญกุศลของบรรดาท่านพุทธบริษัททุกรูปแบบ ไม่ว่าจะอะไรทั้งหมด ถือว่าเป็นการก้าวเข้าไปสู่พระนิพพาน

ที่มา
📖คัดลอกจากหนังสือ ธรรมปฏิบัติ ๔๒​ หน้าทีี​ ๘๒~๘๕
🙏โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดจันทาราม(ท่าซุง)​ ต.น้ำซึม​ อ.เมือง​ จ.อุทัยธานี
📍เพจ:คำสอนหลวงพ่อพระราชพรหมยาน

🖊️นภา​ อิน🙏🙏

อริยสัจ 4 และมรรคแปด

ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ห่างไกลจากกิเลสตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาค ทรงตรัส...