..." จงนับถอยหลังจากชาตินี้ไปขึ้นต้นด้วย เลข ๕ แล้ว ๐ อีก ๕๐ ศูนย์ เป็นจำนวนเท่าไรกัน นับเอาเอง..
สมัยนั้นเป็นสมัยที่ฉันเกิดเป็นมนุษย์เป็นชาติที่เกิดได้พบพระพุทธเจ้าครั้งแรกในชีวิต
ฉันเป็นพ่อบ้าน ชื่อว่า.. "ปการัง"
มีแม่บ้านชื่อ.. "ปการันยา" คือแม่ศรี..
เมื่อ "สมเด็จพระพุทธสิกขี" ทรงอุบัติขึ้นในโลกแล้ว พระองค์ได้เสด็จมาโปรดถึงบ้าน ฉันจึงได้เข้าเฝ้าพระองค์บำเพ็ญกุศล แล้วทอดกายเป็นสะพานให้ทรงดำเนิน.. เพื่อปรารถนาพระโพธิญาณ..
แม่ศรีและลูก ปราถนาติดตามเป็นคู่บารมี เมื่อตายจากชาตินั้น ทุกคนไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ทั้งหมด
ส่วนฉันเป็นเทวดาชื่อ "เกษี"
สมัยต่อมา พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า.. "เวสสภู" ได้เสด็จมาเทศน์โปรด ท่านปู่และฉัน.. สมัยนั้นฉันมีชื่อว่า.. "อินทระ" และนักรบทั้งหมด ถอดอาวุธคู่มือถวายเป็นพุทธบูชา..
ส่วน ท่านย่าและแม่ศรี ชาตินี้มีชื่อว่า.. "ศิริกัลยา" และลูก ๆ ถอดเครื่องประดับกายทั้งหมด ถวายเป็นพุทธบูชา.. เมื่อตายจากชาตินั้น ทุกคนไปเกิดร่วมกันในชั้นดุสิต..."
ครั้นถึงสมัย "สมเด็จพระพุทธกัสสป" หลวงพ่อฯ ก็ได้ลงมาเกิดอีกหลายวาระ เช่นบริเวณ เขื่อนยันฮี จ.ตาก และบน ภูกระดึง จ.เลย.. สมัยเป็น พระเจ้าจักรพรรดิราช..
ส่วนใหญ่ จะเป็นกษัตริย์ และ สมัยหนึ่งท่านเคยเป็นพระเจ้าจักรพรรดิปกครองโลก นามว่า.. "พระเจ้าศรีทรงธรรม" มีพระอัครมเหสี ทรงพระนามว่า.. "พรรณวดีศรีโสภาค"
แต่การเป็นพระเจ้าจักรพรรดินั้น มิได้เป็นครั้งนี้เป็นครั้งแรก.. เมื่อสมัย "สมเด็จพระพุทธทีปังกร" คือย้อนไปเมื่อ ๔ อสงไขยกัป นั้น ท่านได้เคยเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ นามว่า.. "นวราชบรมจักรพรรดิ" ครองเมือง "มหาบรมไตรจักรภพ" มีพระราชฐานบริเวณ.. "เมืองชิคาโก้" สหรัฐอเมริกาปัจจุบันนี้..
อันมี ๓ ศรีพี่น้อง เป็นมเหสี.. พี่สาวใหญ่ มีนามว่า.. "พระนางปทุมวดี" น้องรอง มีนามว่า.. "พระนางมหารัตนนารี" เป็นพระมเหสีเอก.. ส่วนน้องเล็กมีนามว่า.. "พระนางศิริรัตนาวดี"
สมัยพุทธกาล
.. ต่อมา ในสมัยพุทธกาลนี้ ท่านได้ครอง "เมืองสาวัตถี" มีพระนามว่า.. "พระเจ้าปเสนทิโกศล"
.. หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ท่านก็ได้เกิดมาครอง.. "โยนกนคร" ซึ่งเป็นเขตแดนไทยในวาระแรก ประมาณ พ.ศ. ๑๐๐. นามว่า.. "พระเจ้ามังรายมหาราช"
ในชาติต่อมา ประมาณ พ.ศ. ๒๔๕ หลวงพ่อฯ ท่านก็ได้มาเกิดในสมัย "สุวรรณภูมิ" บริเวณราชบุรี มีพระนามว่า.. "พระเจ้าตวันอธิราช" มีพระราชโอรสคือ.. "พระเจ้าเดือนเด่นฟ้า" ซึ่งทรงมีวิสัยเป็นพระโพธิสัตว์เช่นเดียวกับพระราชบิดา.. ทั้งสองพระองค์ ก็ได้เคยทรงทำหน้าที่ร่วมกันมาแล้ว..
.. จนกระทั่งถึงประมาณ พ.ศ. ๙๐๐. ปีเศษ หลวงพ่อฯ ท่าน ก็ได้มาเป็น "พระเจ้าพรหมมหาราช" ส่วน "พระเจ้าเดือนเด่นฟ้า" ก็ได้มาเกิดเป็น "พระเจ้าเดือนแจ่มฟ้า" แต่พระองค์ก็ได้สิ้นพระชนม์ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์เสียก่อน..
* ในกาลต่อมา ประมาณ พ.ศ. ๑๒๐๐. ปีเศษ หลวงพ่อฯ ท่านก็ได้เกิดมาเป็น "พระเจ้ารามราช" ผู้เป็นพระราชสวามีของ "พระนางจามเทวี"
.. แล้วก็ได้เกิดมาอีกหลายวาระ นับตั้งแต่สมัยสุโขทัย และอยุธยา จนกระทั่งถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์..
.. ครั้นถึงสมัยสุโขทัย ก็ได้มาเป็นผู้มีวาจาสิทธิ์ คือ.. "พระร่วงโรจนฤทธิ์ แล้วกลับลงมาช่วยประสานคนไทย ไปถึงภาคใต้อีก คือ "พ่อขุนศรีเมืองมาน"
* ต่อมาสมัยกรุงศรีอยุธยาหลวงพ่อฯ ท่านได้มาเป็น.. "ขุนหลวงพะงั่ว" เพื่อรวมกรุงสุโขทัย และอยุธยา เป็นราชธานีเดียวกัน..
.. เป็น "เศรษฐีอำไพ" ผู้ใจบุญ..
.. เป็น "ขุนแผน" ผู้แสนฉลาด..
.. เป็น "พระเจ้าบรมไตรโลกนาถ" ผู้ปราดเปรื่อง..
.. เป็น "พระเจ้ามหาจักรพรรดิ" ผู้รุ่งเรืองด้วยช้างเผือก..
.. เป็น "เจ้าพระยาโกษาธิบดี-เหล็ก" ผู้เข้มแข็งเหมือนดังชื่อ..
.. สมัยต่อมาก่อนกรุงรัตนโกสินทร์ ท่านก็ได้มาเป็นนักรบคู่พระทัยของ
"พระเจ้าตากสิน"
.. สมัยรัชกาลที่ ๓ ท่านก็ได้อาสาไปปราบญวณ..
.. สมัยต่อมา ท่านก็ได้ช่วยคนไทยให้พ้นความเป็นทาส ทั้งจากคนไทยด้วยกัน และพวกนักล่าเมืองขึ้น จนได้รับสมัญญานามว่า.. "พ่อผู้เป็นที่รักยิ่ง"
คนไทยทุกสมัยจึงมีอิสรภาพมาจนกระทั่งทุกวันนี้..
ในบัดนี้ พระพรหมโพธิสัตว์พระองค์นี้ ผู้บำเพ็ญบารมีเพื่อเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล ก็ได้ตัดสินใจ ลาจากพุทธภูมิ เพื่อเข้าสู่พระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้
บันทึกพิเศษ ของหลวงพ่อฤาษี
webmaster watthasung
งานพิธีบวงสรวง ณ พระธาตุจอมกิตติ ปี พ.ศ. ๒๕๔๐
ที่มา
📸 โดยคณะสีลม 🙏🏻🙏🏻🙏🏻ขออนุญาติเผยแพร่ค่ะ. นิพพานนะสุขังเจ้าค่ะ.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น