"...ศาสนาพุทธนั้น กล่าวว่า ความรักคือความทุกข์ รักน้อยทุกข์น้อย รักมากทุกข์มาก ไม่รักเลยไม่ทุกข์เลย ที่ใดมีรักที่นั้นมีทุกข์ หากแต่คำกล่าวนี้ แท้จริงไม่ได้สื่อความว่าไม่ให้คนเรารักกัน แต่ความรักที่ให้แก่กันจะต้องเป็นความรักที่มอบให้อย่างบริสุทธิ์ใจ อย่างมีเมตตา ไม่คิดยึดติดในอารมณ์ รูป รส กลิ่น เสียงหรือความรู้สึกต่อความรักนั้นๆ การแผ่เมตตาก็ถือเป็นความรักรูปแบบหนึ่ง
ศาสนาพุทธแบ่งความรัก เป็น ๔ อย่าง คือ
๑. สิเนหา ความรักที่เกิดจากความต้องการทางเพศ
หรือลุ่มหลงเทิดทูน
๒. ปิยะ ความรักที่เกิดจากสัญชาติญาณหรือความรักในเครือญาติ
๓. เปมัง ความรักที่เกิดจากความผูกพัน และช่วยเหลือกันมา
๔. เมตตา ความรักที่เกิดจากการฝึกให้คุณธรรมเกิดมีขึ้นในจิตใจให้รักผู้อื่นไม่เห็นแก่ตัว
พุทธศาสนา สอนเรา ให้รู้ว่า..
ความรัก เป็นอนิจจัง คือไม่เที่ยงมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ความรัก เป็นทุกข์ เพราะพอความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น เรารับการเปลี่ยนแปลงนั้นไม่ได้ ก็ทุกข์ และเราต้องพรัดพลาดจากสิ่งที่ตนรักด้วยกันทั้งสิ้น ก็ทำให้เราต้องเป็นทุกข์
ความรัก เป็นอนัตตา คือไม่มีตัวตนที่แน่นอน เพราะมีการเปลี่ยนแปลงตลอดนั่นเอง จนสามารถกล่าวได้ว่า สิ่งที่แน่นอนที่สุดในโลกนี้...คือความไม่แน่นอนนั้นเอง
รักแท้ไม่ได้มาด้วยความบังเอิญ เป็นสิ่งที่ต้องสร้างเอา ต้องอาศัยความร่วมมือทั้งสองฝ่าย ไม่ได้ลอยมาจากฟ้าเทพพรหมประทานมา ความรักของชายหญิงเกิดจากเหตุ ๒ ประการด้วยกัน คือ
๑.เคยเป็นคู่กัน ทำบุญร่วมกันมาแต่ปางก่อน (อดีตเหตุ)
๒.เอื้อเฟื้อ เกื้อกูลกันในปัจจุบัน (ปัจจุบันเหตุ)
เหตุอย่างใด อย่างหนึ่ง หรือทั้งสองอย่างประกอบกัน
รักแท้เกิดขึ้น เพราะคนสองคน..
มี ศรัทธา เสมอกัน
มี ศีล เสมอกัน
มี น้ำใจ (จาคะ) เสมอกัน
มี ปัญญา เสมอกัน
ผู้ใดมีคุณสมบัติครบ ๔ ประการ จะทำให้มีใจที่ดีต่อกัน เล็งแลกันด้วยสายตาเอ็นดู ไม่มีใจคิดอยากประทุษร้าย หรือเอาชนะคะคานกันอย่างไร้เหตุผล แต่ละวันที่อยู่ด้วยกันมีความสุข ยิ่งอยู่นานยิ่งสุขมาก เป็นคู่บุญ คู่บารมี เหมือนคู่ของพระโพธิสัตว์ เป็นต้น..."
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น