01 กุมภาพันธ์ 2564

เคล็ดลับ การตัดวิบากกรรม

คนที่จะเกิดมรรคเกิดผลในการประพฤติปฏิบัติ ในการเจริญสมาธิภาวนานี้ มันต้องเกิดปัญญาเห็นวิเวกแห่งธรรม นั่นก็คืออะไร..คือความสงบสงัดทำให้เกิดตัวปัญญา เรียกว่าธรรมสังเวช ธรรมที่เป็นกุศล ธรรมที่เป็นอกุศล นั่นก็คือสภาวะแห่งความไม่เที่ยง เมื่อเห็นความไม่เที่ยงอยู่บ่อยๆก็พิจารณาในอารมณ์ทั้งหลายทั้งปวงที่มันเกิดขึ้น..ตั้งอยู่..และดับไปนั่นแล เรียกว่าสภาวะความไม่เที่ยง ว่ามันเป็นทุกข์ สิ่งเหล่านี้เราไม่ควรยึดมั่นถือมั่น 

เมื่อเรารู้ว่าไม่ควรยึดมั่นถือมั่น เหตุทั้งหลายทั้งปวงที่เราไปยึดที่ทำให้เราเป็นทุกข์..มันก็เกิดอยู่ที่เราไปติดอยู่ในรูป รส เสียง สัมผัสทั้งหลาย เค้าเรียกว่ารูป เวทนา สัญญา สังขารในขันธ์ ๕ ในธรรมารมณ์ที่มากระทบจิต ที่เรานั้นไม่สามารถจะตัดละวางจากอารมณ์นั้นไปได้..เหล่านี้แล

เมื่อจิตเรายังฟุ้งซ่านรำคาญใจอยู่อย่างนี้ วิบากกรรมในทุกข์ทั้งหลายมันก็บังเกิดขึ้น ดังนั้นถ้าเราจะตัดกรรมวงจรทั้งหลายทั้งปวง ลดอาฆาตพยาบาททั้งหลาย ฉันมีเคล็ดลับมาบอก..ก็ขอให้สดับฟังไว้แล้วลองไปพิจารณาตาม แล้วลองใช้ในขณะนี้เลยก็ได้ 

นั่นหมายถึงว่าบุญกุศลเหล่าใดที่เราทำมาแล้วในอดีต ในปัจจุบัน ด้วยอำนาจแห่งทาน ศีล ภาวนา บุญกุศลอันใดก็ตามที่เราพอจะนึกได้ ขอจงมารวมเป็นตบะบารมี เดชเดชาในขณะนี้ ขอบุญนี้จงสำเร็จประโยชน์กับสรรพวิญญาณ ดวงจิตวิญญาณทั้งหลายที่ข้าพเจ้าได้เคยล่วงเกินด้วยกาย วาจา ใจ ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ อย่างใดอย่างหนึ่งก็ตามทีในภพชาติใด..

ก็ขอให้บุญกุศลเหล่านั้นจงหนุนนำดวงจิตวิญญาณทั้งหลายที่เสวยทุกข์อยู่..ให้พ้นจากทุกข์ ให้มีความสุข ให้พ้นจากวิบากภัยในวัฏฏะ อาศัยอำนาจแห่งพระรัตนตรัย..แสงสว่างแห่งธรรม แห่งดวงจิตของข้าพเจ้านี้ จงนำทางเป็นสะพานเชื่อมต่อให้ดวงจิตเหล่านั้นพ้นจากทุกข์ พ้นจากภัย อย่าได้มีเวรอาฆาตพยาบาทต่อกันอีกต่อไปเลย.. 

เมื่อเราทำอย่างนี้อยู่บ่อยๆ วิญญาณหรือเจ้ากรรมนายเวรที่เคยอาฆาตพยาบาทเรา เมื่อเค้ามีสุขแล้ว..คนที่มีสุขอยู่อุปมาว่าเค้าจะไม่มีความเดือดร้อนใจ ที่จะมาคิดอาฆาตพยาบาทกับใคร แล้วเมื่อเราแผ่เมตตาอย่างนี้อยู่บ่อยๆ มันเป็นการตัดกระแสกรรมวิบากกรรมคือความอาฆาตพยาบาท เหล่านี้แลเรียกว่าตัดอุปสรรคในทางโลก ตัดอุปสรรคทางธรรม ทำให้เรานั้นมีเวลามาประพฤติปฏิบัติธรรมเมื่อทางโลกเราคล่องตัวนี้แล..นี่ก็เป็นเคล็ดลับอย่างหนึ่ง

ขอให้โยมนั้นจงได้สดับและพิจารณา นำไปประพฤติปฏิบัติให้บ่อยๆ คือการเจริญเมตตาภาวนา แผ่เมตตาจิตออกไปให้สรรพวิญญาณดวงจิตวิญญาณทั้งหลายที่มีอาฆาตพยาบาท ที่เรานั้นยังมีโทสะจริต โมหะจริต ราคะจริตทั้งหลายทั้งปวง ที่เรานั้นรู้เท่าไม่ถึงอารมณ์ทั้งหลายทั้งปวงนี้.. 

ก็ขอให้กำหนดรู้ให้เท่าทัน ที่ธรรมารมณ์มาผัสสะมากระทบ เป็นการได้ยิน..ในทวาร ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจเหล่านี้ ยิ่งเป็นตัวบ่อเกิดแห่งวิญญาณที่มาผัสสะเข้ามาสิง ดังนั้นแล้วเราต้องมีสติเท่าทันทวารหรือช่องประตู หรือช่องกรรมที่มันจะเข้ามา แต่ถ้าเมื่อมันเข้ามาแล้วทำให้จิตเราหดหู่เศร้าหมองใจ ก็ขอให้กำหนดรู้ว่าจิตในขณะนี้เราเป็นอย่างไร เมื่อกำหนดรู้แล้วแล้วเพ่งดูในอารมณ์นั้น ขณะที่เราเพ่งกำหนดดูนั้นแล เมื่อเราเท่าทันในอารมณ์นั้น..อารมณ์นั้นมันจะดับของมันไปเอง 

แต่ว่าอารมณ์ทั้งหลายที่มันจะดับลงไปได้ มันก็ต้องอยู่ที่ว่า..ในวิบากกรรมที่เรานั้นไปติดไปพอใจมาเนิ่นนาน เสพมันมานานเท่าไร ถ้ามันมีไม่มากกำลัง..ไม่นานนักมันก็คลายจางหายไป แต่ถ้าหากมันมีกำลังมากมันก็จะเข้ามามีอำนาจบ่อยๆ เราก็ต้องมีสติเท่าทันมันอยู่บ่อยๆ ให้รู้เท่าทันในอารมณ์ที่เกิดขึ้น..จนละวางอารมณ์นั้นได้ 

แล้วเราไม่ไปสนใจ ไม่ไปติด ไม่ไปพอใจ เมื่อเราไม่ไปติดใจเค้าเรียกว่ากรรมนั้นทั้งหลายก็ยุติลงได้ ดังนั้นแล้วด้วยการเราเจริญอธิษฐานแผ่เมตตาจิตอยู่บ่อยๆ เมื่อพวกนั้นเค้ามีสุขแล้ว ความสุขความเพลิดเพลินอันยาวนานของจิตวิญญาณนั้น เค้าก็จะไม่มาจองเวรจองกรรมกับเรา เพราะว่าเหมือนคนเรามีสุขอยู่ เวลาเราสุขนั้นจิตเรานั้นไม่ปรารถนาร้ายกับใคร อุปมาก็เป็นเช่นนั้นแล..ก็อยากให้โยมทั้งหลายได้ใช้วิชาเคล็ดลับนี้

มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒

ไม่มีความคิดเห็น:

อริยสัจ 4 และมรรคแปด

ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ห่างไกลจากกิเลสตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาค ทรงตรัส...