14 มิถุนายน 2564

ฌาน 4

โยม : แล้วตอนที่เรานิ่ง เป็นฌาน 4 เป็นอุเบกขา
เป็นเอกัคคตารมณ์ เราจำเป็นจะต้องถอยออกมา

พระอาจารย์ : “ไม่ถอยอยู่ตรงนั้นจนกว่ามันจะถอยออกมาเอง”

โยม :พิจารณาไป

พระอาจารย์ : “ไม่ต้องพิจารณาอะไรทั้งนั้น เวลาอยู่ในสมาธิต้องการให้มันนิ่งเฉยอย่างเดียว #เวลาจะพิจารณานี้ให้มันออกมาก่อน #ให้มันออกมาเองไม่ต้องไปดึงมันออกมา ดันมันเข้าไปแทบเป็นแทบตาย พอมันเข้าไปแล้วก็จะไปดึงมันออกมา อย่างนั้นก็ไม่ต้องเข้าไปให้มันเสียเวลา ตอนนี้คุณก็พิจารณาได้เลยนิ คุณอยากจะพิจารณาตอนนี้คุณก็พิจารณาได้เลย”

โยม : ในชีวิตประจำวัน

พระอาจารย์ : “#ถ้าคุณเห็นอะไรก็พิจารณาให้เป็นไตรลักษณ์แล้วก็ปล่อยวางมันให้ได้ #ที่มันปล่อยวางไม่ได้ก็เพราะว่ามันไม่มีอุเบกขา #เราถึงต้องไปสร้างอุเบกขาในสมาธิ แต่พอเราไปถึงอุเบกขาเราก็ดึงมันออกมาแล้ว ที่นี้มันจะมีอุเบกขาได้อย่างไร มันอุเบกขาต้องให้มันนานๆ อย่างที่คุณบอก นั่งนิ่งอยู่ 2 ชม.อย่างนี้ ถ้ามันเป็นอุเบกขาจริงนี้

#ออกมาใจจะเฉยๆใจจะเย็นจะไม่วุ่นวายกับเหตุการณ์ต่างๆที่มาสัมผัสรับรู้ 

#แล้วถ้ามันมาเราใช้ปัญญาพิจารณาได้”

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.......

ว่าด้วยจิตที่เป็นกาลของสมถะและวิปัสสนา
             [๙๘๖] คำว่า ตามกาล ในคำว่า ภิกษุนั้น เมื่อกำหนดพิจารณาธรรมโดยชอบตาม
กาล ความว่า

#เมื่อจิตไม่ฟุ้งซ่านเป็นกาลของสมถะ
#เมื่อจิตตั้งมั่นเป็นกาลของวิปัสสนา.

             #สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ว่า

                          โยคีผู้ใด ย่อมประคองจิตในกาล ย่อมข่มจิตในกาลอื่น ย่อมให้จิต
                          รื่นเริงโดยกาล ย่อมตั้งจิตไว้ในกาล ย่อมวางเฉยในกาล โยคีผู้นั้น
                          ชื่อว่าเป็นผู้ฉลาดในกาล ความประคองจิตควรมีในกาลไหน? ความข่ม
                          จิตควรมีในกาลไหน? กาลเป็นที่ให้จิตรื่นเริงควรมีในกาลไหน? และ
                          กาลของสมถะเป็นกาลเช่นไร? บัณฑิตย่อมแสดงกาลเป็นที่วางเฉย
                          แห่งจิตของโยคีบุคคลอย่างไร? เมื่อจิตของโยคีบุคคลย่อหย่อน เป็นกาล
                          ที่ควรประคองไว้ เมื่อจิตของโยคีบุคคลฟุ้งซ่านเป็นกาลที่ควรข่มไว้ โยคี
                          บุคคลพึงยังจิตที่ถึงความไม่แช่มชื่นให้รื่นเริงในกาลนั้น จิตเป็น
                          ธรรมชาติรื่นเริงไม่ย่อหย่อน ไม่ฟุ้งซ่าน ย่อมมีในกาลใด กาลนั้นเป็น
                          กาลของสมถะ ใจพึงยินดีในภายใน โดยอุบายนั้นนั่นแหละ จิตเป็น
                          ธรรมชาติตั้งมั่น ย่อมมีในกาลใด ในกาลนั้น โยคีบุคคลพึงวางเฉย
                          ไว้ซึ่งจิตที่ตั้งมั่นแล้วด้วยปัญญา ธีรชนผู้รู้แจ้งกาล ทราบกาล ฉลาด
                          ในกาลพึงกำหนดอารมณ์อันเป็นนิมิตของจิต ตลอดกาล ตามกาล อย่างนี้.

 

             เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๙ บรรทัดที่ ๑๑๗๒๑-๑๑๗๗๗ หน้าที่ ๔๙๑-๔๙๔.
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=29&A=11721&Z=11777&pagebreak=0
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/r.php?B=29&A=11721&w=วิปัสสนา&pagebreak=0

ไม่มีความคิดเห็น:

อริยสัจ 4 และมรรคแปด

ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ห่างไกลจากกิเลสตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาค ทรงตรัส...