ตากิ่ม เป็นคนต้นคดปลายตรง คืออดีตทำความไม่ดีมามาก
พอมาพบหลวงพ่อ ก็ศรัทธาคอยอุปฐากเวลาหลวงพ่อไปชัยนาท เวลาตาย จิตเศร้าหมองถูกนำตัวไปนรก หลวงพ่อ
ไปเป็นประธานงานศพ ขอตัวมาจากนรก หลวงพ่อช่วย
ให้เป็นเทวดา ด้วยบุญกรรมฐาน
เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๔ อาตมาไปเทศน์ที่วัดศีรษะเมือง
หรือวัดมหาธาตุ อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท วันนั้นเขาทำบุญ
งานศพ สำหรับงานศพรายนี้ ก็ปรากฏว่าลูกสาวเป็นคนจัด
คือแม่ตายแล้ว จะทำศพพ่อ วันนั้นก็จะบวชน้องชายด้วย
ตอนเช้าบวชน้อง ตอนบ่ายยกศพพ่อขึ้นมา จัดการศพ
มีเทศน์ เขาก็อาราธนาอาตมาเป็นประธาน
ก็บอกเจ้าภาพว่า
“อีหนูเอ็งให้หลวงน้าเป็นประธานนี่เป็นได้ แต่ว่าให้พระ
เป็นประธานนี่ งานทั้งหมดจะให้เป็นบาปไม่ได้สักนิดหนึ่ง”
เธอก็ถามว่า “มันเป็นอย่างไร”
ก็บอกว่า “คือว่า สิ่งใดก็ตาม แม้แต่ไข่ลูกหนึ่งก็ห้ามทุบ
จะมาบอกว่าไข่ไม่มีตัวก็ไม่ได้ ใจมันไม่สบาย”
เธอก็รับคำ ก็แนะนำเธออีกว่า
“เมื่อเวลาจัดงานศพ เมื่อเวลาพระให้ศีล แขกจะมาจากไหน
ก็ช่าง ต้องรับศีลให้จบเสียก่อน และตั้งใจรับศีล ด้วยความเคารพ เวลาพระสวด แขกจะมา อย่าเพิ่งลุกไปรับแขก
ตั้งใจฟังพระสวดด้วยความเคารพ เวลาถวายทานก็
เหมือนกัน ให้ถวายทานด้วยความเคารพ เวลาพระเทศน์
ตั้งใจฟังพระเทศน์ด้วยความเคารพ อย่าให้มีสุรายาเมา
เข้ามาเจือปน”
เธอก็รับคำ แล้วก็มีผู้หญิงท่านผู้เฒ่าคนหนึ่งชื่อแฟ้ม
ก็บอกว่า “โยมต้องเป็นพี่เลี้ยงนะ” ก็ปรากฏว่าท่านรับคำ
เมื่อถึงวันงานจริงๆ วันนั้นไปเทศน์กับท่านเจ้าคุณภาวนา
ภิรามเถระ อาจารย์วิปัสนาญาณองค์หนึ่ง ตอนต้นอาตมา
ก็บอกอานิสงส์ไปสัก ๑๕ นาที เป็นการเทศน์คู่ ที่นี้ต่อมา
เจ้าคุณภาวนาท่านเป็นคนถาม องค์นี้ชอบร่ายยาว ว่า
อารัมภบทอย่างน้อยที่สุดก็ ๓๐ นาที
เมื่อแกเริ่มตั้งนะโม อาตมาก็เริ่มจับจิตเข้าสู่ความสงบ
คือ ตามแบบฉบับที่หลวงพ่อปานท่านเคยสอน ว่าก่อน
จะเทศน์ให้ทำจิตเข้าสู่พระกรรมฐานสูงสุดเท่าที่เรามีอยู่
เพราะฉะนั้นแกว่าแกร่ายยาวนี้อาตมาก็ได้กำไร ได้กำไร
ตอนไหน ตอนที่มีจิตวางอารมณ์ได้สบาย พอวางอารมณ์
ได้สัก ๕ นาที ก็มานั่งนึกถึงคนตายว่า เออ..ตากิ่มนี่แก
ไปอยู่ที่ไหน ดูไปดูมาบริเวณที่เขาทำบุญ เห็นแต่ผี
คนอื่นยืนเต็มไปหมด แต่ผีตากิ่มปรากฏว่าไม่ได้อยู่ที่นั่น
จึงได้นึกในใจว่า เอ.. ตากิ่มนี่น่ากลัวจะมีอันตราย นั่นก็
หมายความว่า แกอาจจะต้องถูกลงโทษ อาจจะกรรม
อย่างใดอย่างหนึ่ง จึงได้กำหนดจิตถามว่า
“เวลานี้นายกิ่มอยู่ที่ไหน ใครควบคุมอยู่ ขอได้โปรด
นำมาก่อนด้วย ขอโอกาสนิดหนึ่ง”
ภาพก็ปรากฏเห็นแกเดินมา แกเศร้าสร้อยเหลือเกิน มีโซ่
ล่ามคอมา ๒ เส้น คนจูงหางโซ่มาข้างละคน มาถึงก็มานั่ง
ก้มหน้าแสดงความทุกข์ ถามแกก็ไม่พูด
จึงถามคนคุมมา บอกว่า
“วันนี้ลูกสาวเขาบวชลูกชายแก และทำบุญถวายสังฆทาน
มีพระมากนี่และก็มีพระเทศน์ บุญนี้เป็นมหากุศล ทำไม
บุญขนาดนี้ นายกิ่มจะไม่มีโอกาสได้บ้างเชียวหรือ”
เขาก็ตอบว่า ไม่มีโอกาส เขาก็เลยเล่าประวัติของนายกิ่ม
ที่ทำความไม่ดีมามาก แต่ตอนที่ตากิ่มแกพบอาตมานี่แก
ทำดี เมื่อตอนนั้นยังอยู่กรุงเทพฯ ขึ้นมาชัยนาททีไรพัก
๕ วัน ๗ วัน ตากิ่มมานอนอยู่ทุกวันไม่ยอมกลับ ตอนเช้า
ไปเอาข้าวต้มมาจากบ้าน ตอนกลางวันเอาข้าวสวยมา
ตอนเย็นตอนบ่ายก็เอาเภสัชมาถวาย ทำดีทุกอย่าง
แต่อดีตของแกไม่ดี เขาเรียกว่า ต้นคดปลายตรง
ตอนปลายนี่ดีมาก
เมื่อเขาเล่าประวัติจบก็เลยถามว่า
“ความดีเขามีอยู่ แต่เวลาตายจิตมัวหมอง อันนี้
ทำอย่างไร จึงจะให้เขามีโอกาสโมทนาบุญได้”
คนที่คุมมาเขาก็เลยบอกว่า
“เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน บุญที่ลูกทำให้ก็ดี หรือที่นายกิ่ม
ทำมาแล้วก็ดี เวลานี้กำลังไม่พอ”
จึงได้ถามว่า “กำลังบุญอะไรมันถึงจะพอ”
แกก็บอกว่า “กำลังของบุญกรรมฐาน”
บุญกรรมฐานมีกำลังใหญ่มาก สามารถจะแหวกวงล้อม
เข้าไปได้ ถ้าไม่หนักจนเกินไป คือยังไม่ลงนรกละก็
ช่วยได้ ก็เลยบอกว่า “ถ้าอย่างนั้น ฉันจะอุทิศส่วนกุศล
ให้ตากิ่มจะได้ไหม เพราะแกมีบุญคุณกับฉันมาก”
คนคุมเขาก็บอกว่า “ก็ดีเลย บุญของท่านมีกำลังเยอะ”
ก็บอกว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว ฉันจะให้นายกิ่ม”
ก็เลยตั้งใจอธิษฐานว่า
“ด้วยอำนาจบุญกุศลบุญบารมีที่บำเพ็ญมา ตั้งแต่ต้น
จนกระทั่งถึงบัดนี้ จะพึงมีประโยชน์และความสุข
แก่ข้าพเจ้าเพียงใด ขอให้นายกิ่มจงโมทนาผลบุญนี้
และมีประโยชน์และความสุขเช่นเดียวกับข้าพเจ้า
จะพึงได้รับ”
เพียงเท่านี้ละ บรรดาท่านพุทธบริษัท ปรากฏว่า โซ่ล่าม
รัดคอมาทั้ง ๒ เส้น มันหลุดลงไปทันที แล้วนายกิ่มก็
ก้มลงกราบครั้งที่ ๑ ครั้งที่ ๒ ยังมีสภาพเดิม พอครั้งที่ ๓
แหม สวยอร่ามเป็นเทวดา มีความสวยผิดปกติ
จึงได้ถามคนคุมว่า ทำไมเขาถึงสวยมาก เขาบอกว่า
“ด้วยอำนาจบุญกรรมฐานที่ท่านให้ สามารถจะปลด
เปลี้องเขาออกจากความทุกข์ เมื่อบุญส่วนใดส่วนหนึ่ง
เข้าถึงใจแล้ว บุญทั้งหมดที่นายกิ่มทำก็ดี ที่ลูกสาว
ทำให้วันนี้ก็ดี มันก็รวมตัวกันหมด จึงเป็นเทวดาที่มี
ความสวยงามมาก”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น