26 มีนาคม 2565

ลมหายใจไม่เที่ยง ลมหายใจพุทโธ

"ทีนี้วิธีปฏิบัติจริงๆ อันดับแรก พระพุทธเจ้าแนะนำให้ทุกคนกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก 

แต่ว่าโบราณาจารย์ทั้งหลายท่านแนะนำบอกว่าให้ใช้
วิปัสสนาญาณก่อน วิปัสสนาอย่างอ่อนก็ตามที่พูดแล้วเมื่อคืนนี้ว่า ก่อนที่จะภาวนาหรือพิจารณาหรือ

รู้ลมหายใจเข้าออก ให้พิจารณา อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก่อน"

"จับลมหายใจเข้าออกใหม่ ภาวนาใหม่ นี่เป็นการเริ่มต้นของบรรดาท่านพุทธบริษัท

    การทำเพียงแค่นี้ ถ้าจะถามว่าถ้าไม่ทำอย่างอื่นเลย ให้ทำเพียงแค่นี้ คือ

     ประการที่ ๑ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
     ประการที่ ๒ คอยหลบหน้านิวรณ์
     ประการที่ ๓ รู้ลมหายใจเข้าออกกับคำภาวนาว่า “พุทโธ”"

หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดจันทาราม(ท่าซุง)

.....

[๑๑๒] ปัญญาในการพิจารณาอารมณ์แล้วพิจารณาเห็นความแตกไป เป็นวิปัสสนาญาณอย่างไร ฯ

             จิตมีรูปเป็นอารมณ์ เกิดขึ้นแล้วย่อมแตกไป พระโยคาวจรพิจารณาอารมณ์นั้นแล้ว ย่อมพิจารณาเห็นความแตกไปแห่งจิตนั้น ย่อมพิจารณาเห็นอย่างไร 

ชื่อว่าพิจารณาเห็น ย่อมพิจารณาเห็นโดยความเป็นของไม่เที่ยง ไม่พิจารณาเห็นโดยความเป็นของเที่ยง ย่อมพิจารณาเห็นโดยความเป็นทุกข์ ไม่พิจารณาเห็นโดยความเป็นสุข ย่อมพิจารณาเห็นโดยความเป็นอนัตตา 
ไม่พิจารณาเห็นโดยความเป็นอัตตา ย่อมเบื่อหน่าย ไม่เพลิดเพลิน ย่อมคลายกำหนัด ไม่กำหนัด ย่อมให้ดับ ไม่ให้เกิด ย่อมสละคืน ไม่ถือมั่น 

เมื่อพิจารณาเห็นโดยความเป็นของไม่เที่ยง ย่อมละนิจจสัญญาได้ เมื่อพิจารณาเห็นโดยความเป็นทุกข์ ย่อมละสุขสัญญาได้ เมื่อพิจารณาโดยความเป็นอนัตตา ย่อม
ละอัตตสัญญาได้ เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมละความเพลิดเพลินได้ เมื่อคลายกำหนัด ย่อมละราคะได้ เมื่อให้ดับย่อมละสมุทัยได้ เมื่อสละคืน ย่อมละความถือมั่นได้ ฯ
             [๑๑๓] จิตมีเวทนาเป็นอารมณ์ ฯลฯ จิตมีสัญญาเป็นอารมณ์ ฯลฯจิตมีสังขารเป็นอารมณ์ ฯลฯ จิตมีวิญญาณเป็นอารมณ์ ฯลฯ จิตมีจักษุเป็นอารมณ์ ฯลฯ จิตมีชราและมรณะเป็นอารมณ์ เกิดขึ้นแล้วย่อมแตกไป พระโยคาวจรพิจารณาอารมณ์นั้นแล้ว พิจารณาเห็นความแตกไปแห่งจิตนั้น ย่อมพิจารณาเห็นอย่างไร ชื่อว่าพิจารณาเห็น ย่อมพิจารณาเห็นโดยความเป็นของ
ไม่เที่ยง เมื่อสละคืน ย่อมละความถือมั่นได้ ฯ

             [๑๑๔] การก้าวไปสู่อัญญวัตถุแต่ปุริมวัตถุ การหลีกไปด้วยปัญญาอัน
                          รู้ชอบ การคำนึงถึงอันเป็นกำลัง ธรรม ๒ ประการ คือ
                          การพิจารณาหาทางและความเห็นแจ้ง บัณฑิตกำหนดเอาด้วย
                          สภาพเดียวกัน โดยความเป็นไปตามอารมณ์ ความน้อมจิต
                          ไปในความดับ ชื่อว่าวิปัสสนาอันมีความเสื่อมไปเป็นลักษณะ
                          การที่พระโยคาวจรพิจารณาอารมณ์แล้ว พิจารณาเห็นความ
                          แตกไปแห่งจิตและความปรากฏโดยความเป็นของสูญ ชื่อว่า
                          อธิปัญญาวิปัสสนา (ความเห็นแจ้งด้วยอธิปัญญา) พระ-
                          *โยคาวจรผู้ฉลาดในอนุปัสนา ๓ ในวิปัสสนา ๔ ย่อมไม่
                          หวั่นไหวเพราะทิฐิต่างๆ เพราะความเป็นผู้ฉลาดความ
                          ปรากฏ ๓ ประการ ฯ
             ชื่อว่าญาณ เพราะอรรถว่ารู้ธรรมนั้น ชื่อว่าปัญญา เพราะอรรถว่ารู้ชัดเพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า ปัญญาในการพิจารณาอารมณ์ แล้วพิจารณาเห็น
ความแตกไป เป็นวิปัสสนาญาณ ฯ

             เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๑ บรรทัดที่ ๑๓๖๐-๑๓๙๓ หน้าที่ ๕๖-๕๗.
http://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=31&A=1360&Z=1393&pagebreak=0

23 มีนาคม 2565

การรับผิดชอบต่อจิต อันเป็นสมบัติที่มีค่ายิ่งของตน

จิต เป็นสมบัติสำคัญมากในตัวเรา
ที่ควรได้รับการเหลียวแล ด้วยวิธีเก็บรักษาให้ดี 
ควรสนใจรับผิดชอบต่อจิต อันเป็นสมบัติที่มีค่ายิ่งของตน 
วิธีที่ควรกับจิตโดยเฉพาะก็คือภาวนา 
ฝึกหัดภาวนาในโอกาสอันควร ตรวจดูจิตว่ามีอะไรบกพร่องและเสียไป 
จะได้ซ่อมสุขภาพจิต นั่งพินิจพิจารณาดูสังขารภายใน 
คือความคิดปรุงแต่งของจิตว่า คิดอะไรบ้าง 
มีสาระประโยชน์ไหม คิดแส่หาเรื่อง หาโทษ 
ขนทุกข์มาเผาตนอยู่นั้น พอรู้ผิด-ถูกของตัวบ้างไหม 
พิจารณาสังขารภายนอกว่า มีความเจริญขึ้นหรือเจริญลง 
สังขารมีอะไรใหม่หรือมีความเก่าแก่ชราหลุดไป 
พยายามเตรียมตัวเตรียมใจเสียแต่เวลาที่พอจะทำได้ 
ตายแล้วจะเสียการให้ท่องในใจอยู่เสมอว่า 
เรามีความแก่-เจ็บ-ตาย อยู่ประจำตัวทั่วหน้ากัน
.
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

19 มีนาคม 2565

#ลมหายใจพุทโธ #ลมหายใจไม่เที่ยง"พุทโธ"

#ลมหายใจพุทโธ #ลมหายใจไม่เที่ยง

"พุทโธ"
 บทว่า พุทฺโธ ตปติ ความว่า พระสัพพัญญูพุทธเจ้าย่อมไพโรจน์. 
               ได้ยินว่า นี้เป็นมงคลคาถาทั้งหมด. 
               เล่ากันว่า พระเจ้าภาติกราชให้ทำการบูชาอย่างหนึ่งแล้ว ตรัสกะผู้เป็นอาจารย์ว่า ขอท่านจงบอกชัยมงคลอย่างหนึ่งที่ไม่พ้นจากพระรัตนตรัย. 

    ...................................................................

ขอเดชะ ชื่อว่าพระพุทธรัตนะได้เกิดขึ้นแล้วในประเทศของข้าพระองค์. พอพระราชาทรงสดับว่า พุทโธ ปีติเกิดแผ่ไปทั่วพระวรกายของพระราชา. ลำดับนั้น พระราชาจึงตรัสว่า พ่อทั้งหลาย ท่านจงกล่าวว่า พุทโธ เถิด. พระราชารับสั่งให้พวกพ่อค้ากล่าวขึ้น ๓ ครั้ง อย่างนี้ว่า ขอเดชะ ข้าพระองค์ทั้งหลายกล่าวว่าพุทโธ ดังนี้ จึงตรัสว่า บทว่า พุทฺโธ มีคุณหาประมาณมิได้ ใครๆ ไม่อาจทำปริมาณแห่งบทว่า พุทโธ นั้นได้จึงเลื่อมใสในพระพุทธเจ้านั้นนั่นแล. แล้วได้ประทานทรัพย์แสนหนึ่งแล้ว ตรัสถามอีกว่า ศาสนาอื่นมีไหม. 
               พ. มี พระเจ้าข้า คือชื่อธรรมรัตนะเกิดขึ้นแล้ว. 
               พระราชาทรงสดับแม้ดังนั้นแล้ว จึงทรงรับปฏิญญาถึง ๓ ครั้งเหมือนอย่างนั้น แล้วพระราชทานทรัพย์แสนหนึ่งอีก ตรัสถามอีกว่า ศาสนาอะไรอื่นมีไหม. 
               พ. มี พระเจ้าข้า คือพระสังฆรัตนะเกิดขึ้นแล้ว. 
               พระราชาทรงสดับดังนั้นแล้ว จึงรับปฏิญญา ๓ ครั้งเหมือนอย่างนั้น พระราชทานทรัพย์แสนหนึ่งอีก ทรงลิขิตความที่พระราชทานทรัพย์ไว้ในพระราชสาสน์แล้วส่งไปด้วยพระดำรัสสั่งว่า พ่อทั้งหลาย พวกท่านจงไปสำนักของพระเทวี. เมื่อพวกพ่อค้าเหล่านั้นไปแล้ว ท้าวเธอได้ตรัสถามอำมาตย์ทั้งหลายว่า พ่อทั้งหลาย พระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นแล้ว พวกท่านจักกระทำอะไร. 
               อำมาตย์ทั้งหลายกราบทูลว่า พระเจ้า พระองค์ประสงค์จะทำอะไร. 
               ร. เราจักบวช. 
               อ. แม้พวกข้าพระองค์ก็จักบวช. 
               เขาเหล่านั้นทั้งหมดไม่เยื่อใยเรือนหรือขุมทรัพย์ จึงพากันออกบวชพร้อมด้วยเหล่าม้าที่มีคนขี่ขับไป. 

        >>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>

 บทว่า พุทฺโธ ตปติ ความว่า พระสัพพัญญูพุทธเจ้าย่อมไพโรจน์. 
               ได้ยินว่า นี้เป็นมงคลคาถาทั้งหมด. 
               เล่ากันว่า พระเจ้าภาติกราชให้ทำการบูชาอย่างหนึ่งแล้ว ตรัสกะผู้เป็นอาจารย์ว่า ขอท่านจงบอกชัยมงคลอย่างหนึ่งที่ไม่พ้นจากพระรัตนตรัย. 

               ผู้เป็นอาจารย์พิจารณาถึงพระพุทธพจน์คือพระไตรปิฏก เมื่อจะกล่าวมงคลคาถานี้ กล่าวว่า ทิวา ตปติ อาทิจฺโจ พระอาทิตย์สว่างในกลางวัน ดังนี้แล้ว ประคองอัญชลีแก่พระอาทิตย์ที่ตกไปอยู่ กล่าวว่า รตฺติมาภาติ จนฺทิมา พระจันทร์ที่สว่างในกลางคืน ดังนี้แล้วประคองอัญชลีแก่พระจันทร์ที่กำลังขึ้น กล่าวว่า สนฺนทฺโธ ขตฺติโย ตปติ กษัตริย์ทรงสวมเกราะย่อมงามสง่า ดังนี้แล้วประคองอัญชลีแก่พระราชา กล่าวว่า ฌายี ตปติ พฺราหฺมโณ พราหมณ์ผู้เพ่งฌานย่อมรุ่งเรือง ดังนี้แล้วประคองอัญชลีแก่ภิกษุสงฆ์ กล่าวว่า พุทฺโธ ตปติ เตชสา พระพุทธเจ้าย่อมรุ่งเรืองด้วยเดช ดังนี้แล้วประคองอัญชลีแก่มหาเจดีย์. 
               ลำดับนั้น พระราชาตรัสกะท่านผู้เป็นอาจารย์ว่า ท่านอย่าลดมือลง แล้วทรงมอบทรัพย์พันหนึ่งไว้ในมือที่ยกขึ้นนั่นแล.

               จบอรรถกถากัปปินสูตรที่ ๑๑

http://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=16&A=7475&Z=7496

18 มีนาคม 2565

บารมีเดิม

   คำว่า "บารมี" หมายความว่า เราทำให้เต็มในความดีมาแล้ว ความดีส่วนใดส่วนหนึ่งทุกอย่างใน ๑๐ ประการ ถ้าเต็มบารมีครบถ้วนบริบูรณ์ ถ้าจะพบครูบาอาจารย์ก็พบไม่ผิด คนที่มีบุญบารมีมาเกิดย่อมจะพบคนที่บรรลุมรรคผล ถ้าจะได้ครูบาอาจารย์ก็ต้องได้ครูบาอาจารย์ที่ดี 

   ถ้าปรารถนาฌานสมาบัติก็ต้องได้ครูอาจารย์ที่มีฌานสมาบัติจริงๆ ถ้าอยากได้มรรคผลก็ต้องได้ครูอาจารย์ที่ได้มรรคผลจริงๆ เพราะมีบารมีเดิมส่งเสริม

   มันมีคติตรงข้ามกับคนที่มีบารมียังไม่สมควร ไม่ควรแก่การบรรลุมรรคผลใดๆ หรือแม้แต่ฌานโลกีย์ ถ้าจะพบครูอาจารย์ที่สอนสมาธิหรือวิปัสสนาญาณก็ไปพบประเภทที่เรียกว่า สุกเอาเผากิน คือรู้บ้างเล็กๆน้อยๆตัวเองยังไม่ได้อะไรแต่ก็อยากเป็นครูบาอาจารย์เขา ตั้งตัวเป็นครูบาอาจารย์สอนไปตามความเห็น ตามความเข้าใจของตนเอง มันก็อาจจะผิดๆพลาดๆไปบ้าง บางทีก็ไม่ได้บ้างละ ตัวไม่ได้นี่ 

   ถ้าสิ่งใดเกินวิสัยที่ตัวไม่ได้ ไม่ถึงแล้วก็ถ้าหากว่าลูกศิษย์ไปได้ถึงเข้าก็อาจจะคัดค้านว่าสิ่งเหล่านี้ไม่จริง สิ่งเหล่านี้ไม่ควร หรือว่าอาจจะเห็นว่า ถ้าลูกศิษย์ทำอะไรได้เพียงเล็กๆน้อยๆก็อาจจะคิดว่านี่ลูกศิษย์บรรลุมรรคผลแล้วจบกันแค่นี้ นี่เป็นการทำลายความดีของลูกศิษย์

   คนที่บารมียังไม่สมควรย่อมได้อาจารย์ที่มีความรู้ไม่สมควร มีความรู้ไม่เต็ม มีความเข้าใจไม่ถูกต้องตามหลักสูตรตามความเป็นจริงของพระพุทธศาสนา

   ข้อนี้ขอบรรดาท่านทั้งหลาย ถ้ามีความสนใจในสมถกรรมฐานวิปัสสนากรรมฐานเพื่อฌานสมาบัติ หรือเพื่อมรรคผลใดๆ ก็จงพยายามสอดส่องค้นคว้า ดูอาจารย์เสียก่อน ถ้าเราปรารถนามรรคผลก็ไปปฏิบัติกับอาจารย์ที่ได้มรรคได้ผลจริงๆเป็นพระอริยเจ้า 

   ถ้าหาไม่ได้ก็หาอาจารย์ที่ได้ฌานโลกีย์ เพียงให้ได้ฌานสมาบัติเป็นอันดับต้น อย่างน้อยที่สุดเราก็จะยับยั้งชั่งอยู่เพียงพรหมโลก อย่างนี้เป็นความดี

   สำหรับความดีขั้นสวรรค์กามาวจรนั้น ไม่จำเป็นต้องดิ้นรนทุรนทุรายเราใส่บาตร เราให้ทาน ทำบุญไหว้พระ เราก็มีโอกาสได้อยู่แล้ว แต่ว่ากรรมฐานที่จะพึงปฏิบัติอย่างน้อยมันจะต้องได้มรรคผล อย่างต่ำที่สุดก็ฌานโลกีย์นั้นแหละเป็นการสมควร

   ฉะนั้นขอท่านทั้งหลาย ถ้ามีความสนใจอย่างนี้ก็จงแสวงหากฎตามนี้เรียกว่า หาอาจารย์ที่เขาได้ ที่เขาถึง ที่เขาทำเป็น เขาทำได้ จึงจะสมควรแก่การมานะพยายาม อุตสาหะ วิริยะ บากบั่น มิฉะนั้นแล้วท่านก็จะเหนื่อยเปล่า

#หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
วัดจันทาราม(ท่าซุง) จ.อุทัยธานี
หนังสือพ่อสอนลูก หน้า ๓๔๘-๓๔๙
#เพจคำสอนหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
พิมพ์เพื่อธรรมทานโดย..
🖋..Moddam Thammawong

ทำไมถึงต้องให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา?

ทำไมถึงต้องขวนขวายถวายทาน รักษาศีล เจริญภาวนา?
สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ให้คุณค่าแก่ชีวิตของเราได้อย่างไร?
ทาน การให้ การเสียสละ 
ก็เป็นสิ่งที่จะได้ละมลทิน
ละความตระหนี่ถี่เหนียวภายในจิตใจ

รู้จักการให้ การเกื้อกูล การเสียสละ 
ก็เป็นปฏิปทาของอริยชนทั้งหลาย
ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า...
"อริยบุคคล เป็นผู้ที่มือชุ่ม
ไปด้วยการให้ ไปด้วยการสลัดออก"

ครั้งหนึ่ง สุมนากุมารี หญิงสาวคนหนึ่ง
ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า...
สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า
ที่มีศรัทธา มีศีล มีปัญญาเสมอกัน
คนหนึ่งเป็นผู้ให้ กับคนหนึ่งไม่ได้ให้

เมื่อชนทั้ง 2 ต้องละจากโลกนี้ไป
ได้ไปบังเกิดบนสวรรค์ ไปเกิดเป็นเทวดา
เทวดาทั้ง 2 องค์มีความพิเศษแตกต่างกัน
อย่างไรบ้างพระพุทธเจ้าข้า?

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า 
ชนทั้งสองก็จะมีคุณวิเศษที่แตกต่างกัน คือ
ผู้ให้ที่เป็นเทวดา ก็จะข่มผู้ที่ไม่ได้ให้ไว้
ด้วย อายุ วรรณะ สุขะ พละ ยศ และความเป็นใหญ่

กุมารีก็ทูลถามต่อไปว่า...
เมื่อเทวดาทั้ง 2 องค์ ต้องจุติ
เคลื่อนจากเทวโลกมาบังเกิดในมนุษย์โลก
เกิดมาเป็นมนุษย์ขึ้นมา ชนทั้งสองจะมีคุณวิเศษ
ที่แตกต่างกันอย่างไรบ้างพระพุทธเจ้าข้า?

พระบรมศาสดาจึงตรัสว่า...
ผู้ที่ได้ให้ไว้ ก็จะข่มผู้ที่ไม่ได้ให้
ด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ ยศ และความเป็นใหญ่

โภคทรัพย์ต่าง ๆ ในมนุษย์โลก
อย่างเรามองเรื่องโลกภายนอกนะ
เราอาจจะพบว่า คนที่ขวนขวายขยันทำมาหากิน รู้แหล่ง
ก็จะสะสมโภคทรัพย์ได้ เป็นคนมีเงิน
เป็นเศรษฐีมีทรัพย์สมบัติต่าง ๆ 

แต่สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ คือ เอาท์พุต (Output)
ที่เราเห็นในโลกภายนอก

แต่อินพุต (Input) ที่เป็นบ่อเกิดแห่งสิ่งเหล่านี้จริง ๆ
ก็คือ สิ่งที่เรียกว่าบุญกุศลที่เราได้บำเพ็ญไว้นั่นเอง

ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา
ไม่ได้มีอะไรบังเอิญ
มันก็เป็นไปตามเหตุ ตามปัจจัยที่ได้สะสมไว้

คนที่เคยได้ถวายทานไว้
เป็นคนที่จิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ 
ไปเกิดชาติใด ก็จะเป็นคนที่มีโภคทรัพย์
มีเงิน มีกิน มีใช้ ไม่อด ไม่อยาก

อย่างเราเห็นบางคน ทำไมโชคดี
สามารถทำมาค้าขึ้น ร่ำรวย เป็นเศรษฐีได้
บางคนเพียรเท่าไหร่ ก็อับจน ขาดทุน
ทำอะไรก็ขาดทุน ไม่ประสบความสำเร็จ 

เพราะฉะนั้น อานิสงส์ที่เราได้บำเพ็ญไว้
พอมาเกิด แต่ละคนก็จึงมีความแตกต่างกัน

คนที่มีความตระหนี่ถี่เหนียวน่ะ
ไปเกิดชาติใด...ก็ยากจนแร้นแค้น

แต่คนที่ชุ่มไปด้วยการให้ด้วยการสลัดออก
ไปเกิดที่ใด...ก็เต็มไปด้วยโภคทรัพย์ต่าง ๆ

พระองค์จึงตรัสว่า นี่แหละผลของการให้ทาน
ก็จะเป็นประโยชน์เกื้อกูลทั้ง
ต่อเทวดา ทั้งต่อมนุษย์ ทั้งต่อบรรพชิตต่าง ๆ 
ในระหว่างที่เราต้องท่องเที่ยวไปในวัฏสงสาร

ทานก็จะเป็นสิ่งที่เกื้อกูล
เปรียบเหมือนเสบียงน่ะ
เราจะทำอะไร เราจะเดินทางไปไหน
เราก็ต้องมีเสบียง

ถ้าเราไม่มีเสบียง
เราก็จะเต็มไปด้วยความหิวกระหาย
ผู้ที่มีปกติในการให้ ในการสละออก
ชุ่มไปด้วยการให้ ไปเกิดภพภูมิใด
ก็จะไม่ใช่เป็นคนที่ขัดสน
เป็นคนที่เพียบพร้อมต่าง ๆ
สิ่งต่าง ๆ มันก็จะทำให้เรา
ดำเนินชีวิตได้อย่างผาสุกนั่นเอง 

เมื่อเราได้เรียนรู้เรื่องของการให้
ประโยชน์ของการให้ การเสียสละ
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสต่อไปว่า 
เรื่องของสิ่งที่เรียกว่า เป็นมหาทาน
เป็นการให้ทานอันยิ่งใหญ่ 
เมื่อเราเรียนรู้เรื่องของการให้ การสลัดออกแล้วนะ

สิ่งที่เราควรเรียนรู้ต่อไป
ก็คือ ทานที่จัดว่า เป็นมหาทาน 
ก็คือ การงดเว้นจากการเบียดเบียน
การรักษาศีลนั่นเอง 

ทำไมการรักษาศีล 
พระพุทธองค์ถึงจัดว่า เป็นมหาทาน
เป็นการให้ทานอันยิ่งใหญ่?

เพราะว่า เป็นการให้ความไม่มีเวร
ให้ความไม่มีภัย แก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย 

งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ เบียดเบียนสัตว์
การทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน 
เพราะว่า ถ้าเรายังเป็นผู้ให้ก็จริง 
แต่เรายังไม่งดเว้นจากการทำบาปกรรม

โทษของการฆ่าสัตว์ เบียดเบียนสัตว์
มันก็จะทำให้เราตกต่ำ จมสู่อบายภูมิ
เสวยความเผ็ดร้อนทุกข์ทรมาน 
และเมื่อเราได้ผุดขึ้นมา ๆ เกิด ก็ต้องชดใช้

เช่น ไปฆ่าแพะตัวนึง ก็ต้องมาเกิดเป็นแพะแบบนี้
ถูกเขาตัดคอ 500 ชาติ 1,000 ชาติ
ทำครั้งหนึ่ง แต่การชดใช้หนี้ มันยาวนานมาก 

โทษของปาณาติบาต การเบียดเบียนการฆ่าสัตว์
พอมาเกิด นอกจากต้องตาย อายุสั้นแล้วเนี่ย
โรคภัยไข้เจ็บถามหา 

ถ้าเราเคยไปทุบตี ไปทำให้หมู่สัตว์ต้องทุกข์ทรมานต่าง ๆ
โทษเศษกรรม เราก็จะเป็นคนที่โรคภัยไข้เจ็บมาก 

เราสังเกต...แต่ละคนต่างกัน
ทำไมบางคนมีโรคภัยไข้เจ็บเยอะจัง
เป็นโรคมะเร็งบ้าง เป็นโรคหัวใจบ้าง
เสวยความทุกข์ทรมานต่าง ๆ

แต่บางคน กลับสมบูรณ์ ไม่ป่วย ไม่ ๆ สบาย
ซึ่งก็หายากมากในยุคสมัยนี้ 

ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีอะไรบังเอิญเลย
สิ่งที่เราเห็นมันเป็นเอาท์พุตที่ออกมาแล้ว
แต่ว่าอินพุตเนี่ย ซอฟต์แวร์ที่มันเป็นตัวส่งมา
ก็คือ วิบากกรรมที่เราได้บำเพ็ญไว้นั้นเอง
ไม่ได้มีใคร...มากำหนดให้เรา
ตัวเราเองนั่นแหละ
.

ธรรมบรรยาย โดย พระมหาวรพรต กิตฺติวโร
28 มีนาคม 2564

อย่าอยู่กับตราบาป


คนเรานั้น ไม่มีหรอกที่จะไม่เคยทำผิดพลาด หลวงปู่ดู่ท่านยังพูดว่า “คนเราเป็นอยู่ด้วยบาปทั้งนั้น ขนาดว่าเดินไปเดินมาเหยียบมดเหยียบแมลงตายก็บาปแล้ว” แม้แต่อยู่เฉยๆ นั่งคิดปรุงให้จิตเศร้าหมอง บาปก็เกิดแล้ว (ทางธรรมท่านนิยมใช้คำว่าอกุศล เพราะให้ความหมายชัดกว่าคำว่าบาป) ประเด็นจึงอยู่ที่ว่าทำอย่างไรจึงจะบาปน้อยที่สุด

บาปกรรมในอดีต เป็นสิ่งให้เราเรียนรู้และพึงสำรวมระวังมิให้เกิดอีก แต่บาปกรรมในอดีตมิใช่สิ่งที่เราจะมายึดฝังแน่นเป็นตราบาปทำร้ายจิตใจตนเองให้บอบช้ำจมอยู่กับทุกข์อย่างไม่รู้จบ

หลวงปู่สอนวิธีลดความทุกข์ที่ไม่จำเป็นด้วยการ “หมั่นดูจิต รักษาจิต” เวลาเผลอไปจมอยู่กับความผิดในอดีตอย่างที่เคยคุ้นชิน ก็ให้พยายามมีสติดูจิต รู้จิตโดยเร็ว แล้วใช้ปัญญาอบรมจิต สอนจิต เพื่อชำระความเศร้าหมองออกจากใจเรา กลับมาอยู่กับปัจจุบันขณะ และมีความปลอดโปร่งโล่งใจให้ได้โดยเร็ว เพราะความเศร้าหมองขุ่นมัว ถ้าครอบงำจิตนานเท่าใด สุขภาพจิตก็เสียไปมากเท่านั้น

“พอ”

โอวาทธรรม : หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ

จิตว่าง

    
   🔹️“หลวงพ่อครับ กระผมทำสมาธิจนรู้สึกว่ามีสติอย่างเดียว แล้วเห็นเงาดำแอบเข้ามา ขอถามหลวงพ่อว่า อย่างนี้จิตว่างหรือเปล่า ทำถูกต้องหรือไม่สำหรับแนวกรรมฐาน"
 ⚜️จิตไม่ว่าง ยังมีความรู้สึกอยู่ ท่าน่ะ..ทำถูก แต่จิตไม่ว่าง การทำให้จิตว่างน่ะ ไม่มีนะ คนถามเข้าใจด้วยนะจิตว่าง นี่ไม่มี

 ⚜️จิตมันมีสภาพเกาะอยู่ ๓ อย่าง คือ
  ๑. เกาะชั่ว
  ๒. เกาะดี
  ๓. อยู่เฉยๆ ไม่เกาะชั่ว ไม่เกาะดี ตัวนี้ว่าง คือจิตมีอารมณ์ของพระนิพพาน

 🖇ถ้าคำว่า ว่าง ในที่นี้ ก็ว่างเฉพาะอารมณ์ที่เป็นกิเลส ส่วนอารมณ์ที่เป็นกุศลมันก็ไม่ว่างเหมือนกัน เป็นอันว่าจิตจริงๆ มีสภาพไม่ว่างนะ

      ถ้าจะถามว่า เวลานั้นจิตว่างจากความชั่วหรือไม่อย่างนี้ควรถาม อย่างนั้นต้องตอบว่า ตอนนั้น จิตว่างจากความชั่ว ๔ อย่าง ที่เรียกกันว่า “นิวรณ์” คือ
 ๑. #กามฉันทะ ความพอใจในรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสระหว่างเพศ
 ๒. #ปฏิฆะ อารมณ์ไม่พอใจ
๓. #ความง่วง
๔. #ความฟุ้งซ่าน
๕. #สงสัย

📖พิมพ์จากหนังสือ #ธรรมปฏิบัติ๖๘ หน้าที่ ๑๕~๑๖
⚜️คำสอนหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดจันทาราม(ท่าซุง) จ.อุทัยธานี
📍เพจ:คำสอนหลวงพ่อพระราชพรหมยาน

🖊พิมพ์โดย นภา อิน

17 มีนาคม 2565

ในธัมมจักรกัปปวัตนสูตรว่า " ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่าพึงเสพสองฝั่ง ท่านพึงเดินท่ามกลาง "

#หลวงปู่ฝั้น อาจาโร

🍀ในธัมมจักรกัปปวัตนสูตรว่า 
" ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่าพึงเสพสองฝั่ง 
ท่านพึงเดินท่ามกลาง "
สองฝั่งคืออะไรเล่า คือความรักหนึ่ง ความชังหนึ่ง.
ถ้าเราไปยึดอย่างไหนๆ ก็เป็นทุกข์.
เพราะฉะนั้นท่านไม่ให้ไปยึดเอา
ท่านให้เดินท่ามกลาง

🍀เหมือนกับเราเดินทางรก แวะข้างนี้ก็ถูกหนาม
แวะข้างนั้นก็ถูกหนาม.
เราไม่แวะแล้ว เดินตรง ก็ไม่มีทุกข์ไม่ใช่เรอะ

ฉันใดจิตใจของเรา ถ้าเราหลง
แวะไปหาความรักแล้วไม่ได้ตามประสงค์ก็เป็นทุกข์
แวะไปทางชัง ไม่อยากได้เห็นได้ยิน
พอได้เห็นได้ยินก็เป็นทุกข์ ไม่ใช่เรอะ

มันต้องไม่แวะซี...เดินท่ามกลาง.
สิ่งใดเกิดขึ้นให้รู้ แต่อย่าไปยึดเอา

#หลวงปู่ฝั้น อาจาโร
เทิดไว้เหนือเศียรเกล้า ด้วยเกล้า สาธุ
cr.fb.พระคุณเจ้าchusak

▪︎ตัดอวิชชา

▪︎
   #ถ้าเป็นวิปัสสนาญาณตัวสุดท้าย ไม่ต้องไปกินพุง กินหางเลย กินหัวแล้วก็กินหาง ตัวสุดท้ายให้มีความรู้สึกตามความเป็นจริงว่า..

   คนทุกคนที่เกิดในโลกนี้ก็เพราะอาศัย #อวิชชา คือความโง่ ถ้าตัด อวิชชา ความโง่ไปได้แล้ว ไม่มีใครเป็นคนต่อไป 

   คำว่า..ไม่เป็นคน..หมายความว่า ไม่เป็นคน.. ชาตินี้ละเป็นคนแน่ ถ้าตายจากชาตินี้แล้วไม่เป็นคน แล้วไม่มาเป็นคนอีก ถ้ามาเป็นคนอีกเมื่อไรมันก็มีความทุกข์เมื่อนั้น เพราะบาปที่เราทำไว้มันมีการสะสมตัว มันไม่หนีไปในที่สุดเราก็ตัด อวิชชา

   อวิชชา แยกเป็นสองศัพท์ คือ
ฉันทะ กับ ราคะ อันนี้มีใน ขันธวรรค คือ..

#ฉันทะ มีความพอใจมนุษยโลก เทวโลก พรหมโลก อยากจะอยู่ในมนุษยโลก อยากจะอยู่ในเทวโลก อยากจะอยู่ในพรหมโลก นี่คือ ฉันทะ

#ราคะ มีความเห็นว่า มีความรู้สึกว่ามนุษยโลก เทวโลก พรหมโลก มีความสวยสดงดงามน่าอยู่

   ความรู้สึกทั้งสองประการนี้ คือความรู้สึกของคนโง่ คือ "อวิชชา" ต้องตัดทิ้งไป 
ให้มีความรู้สึกเข้าใจตามเป็นจริงว่า.. 
การเกิดเป็นมนุษย์แล้ว ถ้าไปเกิดเป็นเทวดา นางฟ้า หรือพรหม ถ้าหมดบุญวาสนาบารมี ลงมาเกิดใหม่ก็มีทุกข์ใหม่

 #หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
วัดจันทาราม(ท่าซุง) จ.อุทัยธานี
หนังสือธัมมวิโมกข์๓๕๓ส.ค.๕๓ หน้า ๒๖
#เพจคำสอนหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
พิมพ์เพื่อธรรมทานโดย..
🖋..Moddam Thammawong

อสุรสูตร#ว่าด้วยบุคคลเหมือนอสูรและเทวดา

อสุรสูตร
#ว่าด้วยบุคคลเหมือนอสูรและเทวดา
             [๙๑] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้มีปรากฏอยู่ในโลก
             บุคคล ๔ จำพวกไหนบ้าง คือ
                          ๑. บุคคลเหมือนอสูร มีบริวารเหมือนอสูร
                          ๒. บุคคลเหมือนอสูร มีบริวารเหมือนเทวดา
                          ๓. บุคคลเหมือนเทวดา มีบริวารเหมือนอสูร
                          ๔. บุคคลเหมือนเทวดา มีบริวารเหมือนเทวดา
             บุคคลเหมือนอสูร มีบริวารเหมือนอสูร เป็นอย่างไร
             คือ บุคคลบางคนในโลกนี้เป็นผู้ทุศีล มีธรรมเลวทราม แม้พวกพ้องของเขา ก็เป็นผู้ทุศีล มีธรรมเลวทราม บุคคลเหมือนอสูร มีบริวารเหมือนอสูร เป็นอย่างนี้แล
             บุคคลเหมือนอสูร มีบริวารเหมือนเทวดา เป็นอย่างไร
             คือ บุคคลบางคนในโลกนี้เป็นผู้ทุศีล มีธรรมเลวทราม แต่พวกพ้องของเขาเป็นผู้มีศีล มีกัลยาณธรรม๑- บุคคลเหมือนอสูร มีบริวารเหมือนเทวดา เป็นอย่างนี้แล
             บุคคลเหมือนเทวดา มีบริวารเหมือนอสูร เป็นอย่างไร
             คือ บุคคลบางคนในโลกนี้เป็นผู้มีศีล มีกัลยาณธรรม แต่พวกพ้องของเขาเป็นผู้ทุศีล มีธรรมเลวทราม บุคคลเหมือนเทวดา มีบริวารเหมือนอสูร เป็นอย่างนี้แล

........

@เชิงอรรถ :
@๑ กัลยาณธรรมหมายถึงธรรมดีหรือธรรมที่สะอาด เพราะกำจัดธรรมที่ไม่สะอาดมีราคะเป็นต้นได้ (องฺ.ทุก.อ.
@๒/๔๙/๕๕, องฺ.จตุกฺก.อ. ๒/๗๘/๓๖๑, องฺ.จตุกฺก.ฏีกา ๒/๗๘/๓๙๓ [อีกนัยหนึ่ง หมายถึงเบญจธรรม ธรรม ๕
@ประการ คือ (๑) เมตตากรุณา (๒) สัมมาอาชีวะ (๓) กามสังวร (สำรวมในกาม) (๔) สัจจะ (๕) สติ-
@สัมปชัญญะ บางแห่งว่าแปลกไปบางข้อ คือ (๒) ทาน (๓) สทารสันโดษ (พอใจเฉพาะภรรยาของตน)
@(๕) อัปปมาทะ (ความไม่ประมาท) และธรรม ๕ ประการนี้ควรประพฤติคู่กันไปกับการรักษาเบญจศีล]

........

             บุคคลเหมือนเทวดา มีบริวารเหมือนเทวดา เป็นอย่างไร
             คือ บุคคลบางคนในโลกนี้เป็นผู้มีศีล มีกัลยาณธรรม แม้พวกพ้องของเขาก็เป็นผู้มีศีล มีกัลยาณธรรม บุคคลเหมือนเทวดา มีบริวารเหมือนเทวดา เป็นอย่างนี้แล
             ภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้แลมีปรากฏอยู่ในโลก
อสุรสูตรที่ ๑ จบ

                  เนื้อความพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาฯ เล่มที่ ๒๑ หน้าที่ ๑๓๙-๑๔๐.
http://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=21&siri=91

#สิ่งที่น่ากลัวกว่าการสูญเสีย

#สิ่งที่น่ากลัวกว่าการสูญเสีย
••••••••••••••••••••••••••••••••••
ความพลัดพราก..
มีต้นเหตุมาจาก "การยึดถือเป็นเจ้าของ"
ไม่มีใครสูญเสียในสิ่งที่ตนไม่ได้ยึดถือ
"ความยึดถือ" ทำให้เกิดการพลัดพราก..
เมื่อเรายึดถือในสิ่งใด..เราย่อมหวงแหน
และกลัวว่าวันหนึ่งจะพลัดพรากจากสิ่งนั้น..

เมื่อยึดถือในทรัพย์..เราจึงแสวงหาไม่รู้จักพอ
เมื่อยึดถือในคำสรรเสริญ..
เราจึงโกรธและเสียใจเมื่อถูกนินทา..
เราพยายามรักษาสิ่งที่ไม่เคยเป็นของเรา
จนชีวิตเต็มไปด้วยความหลงผิดติดยึด
ไร้ซึ่งอิสระภาพ..ไม่เป็นตัวของตัวเอง..

เมื่อยึดถือในสิ่งใดเราจะเป็นทาสในสิ่งนั้น..
เมื่อเราเป็นทาสในสิ่งใด..
สิ่งนั้นย่อมทำให้ชีวิตเรายากขึ้น..
เมื่อการใช้ชีวิตเป็นเรื่องยาก..
ชีวิตจึงห่างไกลจากความสุขไปทีละน้อย..

เราต้องกลัวการพลัดพรากจริงๆหรือ?..
หรือแท้ที่จริงเราควรกลัว "การยึดถือ" กันแน่

ที่มา ฝึกสติ/สมาธิ และแลกเปลี่ยนความรู้

#การภาวนานั้นให้นึกได้ทุกลมหายใจ" .. "พุทธาจารปูชา"หลวงปู่สิม พุทธาจาโร

"#ภาวนาได้ทุกลมหายใจ"
" .. "นั่งอยู่ก็ให้ภาวนาพุทโธในใจ ยืนอยู่ก็ให้ภาวนาพุทโธในใจ" เดินไปมา "ไปไหนก็ให้ภาวนาไป" ไปรถไปเรือก็ให้ตั้งอกตั้งใจภาวนาเรื่อยไป "อย่าไปคิดว่า เมื่อรถชนกันแล้วจะภาวนาพุทโธ" มันไม่ทันแล้ว เราต้องเอาตั้งแต่บัดนี้เดี๋ยวนี้เป็นต้นไป

เมื่อเราทุกคนตั้งใจนึกน้อมในใจของเรา "พุทโธ พุทโธ" ทุกลมหายใจเข้าออก พระพุทธเจ้าสอนไว้ว่า 

"#การภาวนานั้นให้นึกได้ทุกลมหายใจ" .. "

"พุทธาจารปูชา"
หลวงปู่สิม พุทธาจาโร 

#พุทโธ #ภาวนามัย #บุญกิริยาวัตถุ

พระอรหันต์คือเสือที่กลับกลายเป็นมนุษย์ได้ 100%

-------------------
< ๑.พระพุทธเจ้าสอนอะไร ?>

ผมแน่ใจว่าคนที่พอจะสนใจในศาสนาพุทธก็ทราบแล้วว่าพระพุทธองค์ตรัสสอนเรื่องอริยสัจสี่ บางคนอาจจะคิดว่าพระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่องทำบุญเพื่อไปสวรรค์กระมัง

ผมคิดว่าคำตอบที่จะทำให้เห็นชัดเจนที่สุดอยู่ในนิทานเรื่องนี้ 

ฤาษีผู้มีฤิทธ์ตนหนึ่งใช้ไม้เท้ากายาสิทธิ์แปลงร่างของชายคนหนึ่งเป็นเสือโคร่งไปในชั่วพริบตา เราต้องตั้งคำถามว่าอะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับชายผู้นี้ อยู่อย่างเป็นเสือโคร่งต่อไปหรือพยายามหาทางแก้มนต์ของฤาษีและรีบเร่งกลับสู่ความเป็นคน เห็นได้ชัดว่าคำตอบมีอยู่เพียงข้อเดียวเท่านั้น คือต้องรีบแก้มนต์และหาทางกลับคืนสู่ความเป็นคนให้เร็วที่สุด คนที่จะแก้มนต์ให้ได้ จะต้องเป็นชายอีกผู้หนึ่งที่รู้ว่าเสือตัวนี้มิใช่เป็นเสือจริง แต่เป็นเสือเพราะถูกแปลงร่างจากความเป็นคน ด้วยความเมตตาของชายผู้นี้ เขาจึงเสาะหาจนเจอสูตรแก้มนต์ของฤาษี และกลับมาแปลงร่างของเสือให้กลับเป็นคนเช่นเดิม  

นิทานเรื่องนี้ได้บรรจุเนื้อหาอันเป็นแก่นของศาสนาพุทธไว้ครบถ้วน 
▪มนต์ของฤาษีคืออวิชชา 
▪ชายในนิทานคือสภาวะของจิตเดิมแท้หรือจิตประภัสสร ซึ่งเป็นจิตที่ปราศจากความทุกข์อันมีอยู่แล้วในคนทุกคน 
▪เสือโคร่งคือสภาวะที่สูญเสียจิตเดิมแท้ คือจิตที่ถูกครอบงำด้วยอวิชชาและความทุกข์ 
▪ชายอีกคนหนึ่งที่มีความเมตตาคือพระพุทธเจ้าผู้เสาะแสวงหาจนเจอสูตรแก้มนต์ คือเจอหนทางแห่งความดับทุกข์ และสามารถนำจิตเดิมแท้กลับมาอีกครั้งหนึ่ง 

สถานการณ์ของมนุษย์ในขณะนี้คือ เราได้สูญเสียจิตบริสุทธ์ หรือจิตเดิมแท้อันเนื่องจากอวิชชา หลายคนอยากจะถามว่า แล้วพวกเราไปได้อวิชชามาตั้งแต่เมื่อไร นี่เป็นคำถามเดียวกับถามว่าอะไรคือจุดเริ่มต้นของสังสารวัฎที่พระพุทธองค์เตือนว่าอย่าถาม เพราะเป็นเรื่องอจินไตย รู้ไม่ได้ ถามแล้วก็ไม่มีประโยชน์ หากใครไปเอามาคิดมาก ก็อาจจะทำให้เป็นบ้าได้ ครั้นพระพุทธเจ้าได้มาบอกข่าวดีกับพวกเราแล้ว เราควรจะรับฟังท่านโดยดุษณี ท่านตรัสว่าหน้าที่ของความเป็นมนุษย์มีเพียงข้อเดียวคือต้องปลดเปลื้องอวิชชาและกลับไปสู่ความสมบูรณ์ของชีวิตที่เป็นมาแต่ดั้งเดิมคือจิตหลุดพ้นจากความทุกข์อย่างสิ้นเชิงหรือความเป็นพระอรหันต์ ผู้ที่มาปลดเปลื้องอวิชชาให้เราได้คือพระพุทธเจ้านั่นเอง

ปัญหาอยู่ที่ว่า เมื่อชายใจดีมาบอกข่าวดีต่อเสือโคร่งว่าเขาได้มนต์ตรามาแล้ว ขอให้เสือโคร่งยืนนิ่ง ๆ สักอึดใจจะได้ท่องบ่นมนตราพร้อมเอาไม้เท้ากายสิทธิ์ชี้ไปที่ตัวเพื่อเสือโคร่งจะได้กลับคืนสู่ความเป็นมนุษย์ดังเดิม เสือโคร่งกลับอวดเก่งบอกว่าไม่จริงและเถียงว่าเขาก็เป็นเสือโคร่งมาแล้วแต่เดิม ไม่จำเป็นต้องกลับไปเป็นอะไรอีก นี่คือคนประเภทที่ไม่เอาธรรมะเลยและคิดว่าธรรมะไม่มีความจำเป็นและไม่สำคัญต่อการอยู่รอดของชีวิต หาเงินพออยู่รอดได้ก็ดีแล้ว เป็นกลุ่มคนที่ให้ความเชื่อมั่นต่อข้อเท็จจริงและเหตุผลทางวิทยาศาสตร์มากกว่าเรื่องศาสนาที่เขาคิดว่าเป็นเรื่องงมงายและพิสูจน์ไม่ได้ คนประเภทนี้เปรียบเหมือนกับอยู่ในห้องมืดแล้วยังเลือกใส่แว่นตาดำ ความมืดของอวิชชาจึงรัดตัวมันเองแน่นยิ่งขึ้น เป็นบุคคลประเภทที่น่าสงสารเป็นอย่างยิ่ง 

คนอีกประเภทหนึ่งที่หวังทำบุญเพื่อไปสวรรค์ก็เปรียบได้ว่า อยากจะเปลี่ยนจากความเป็นเสือโคร่งมาเป็นเสือลายเท่านั้นเอง ภพภูมิต่าง ๆ ในสังสารวัฏจากพระพรหม เทวดา มนุษย์ สัตว์เดรัจฉาน เปรต และสัตว์นรกนั้น ล้วนแล้วแต่มีความเป็นเสืออยู่ทั้งสิ้น ต่างกันที่ชนิดหรือพันธ์เท่านั้นเอง 

ข้อแตกต่างอีกข้อหนึ่งคือ ในหมู่แห่งพระพรหม เทวดาและมนุษย์นั้น ยังมีเสือบางตัวที่อยู่ในขั้นตอนแห่งการกลับกลายสู่ความเป็นมนุษย์ ผู้ที่สนใจศาสนาพุทธมากจนถึงขั้นการฝึกสมาธิวิปัสสนาคงจะได้ยินเรื่องญาณ๑๖ ญานที่ ๑๓ มีชื่อเรียกว่า โคตรภูญานหรือญานข้ามโครต นั้นเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ คือการข้ามจากโครตแห่งความเป็นมนุษย์ไปสู่โครตแห่งความเป็นพระอริยะบุคคลตั้งแต่พระโสดาบันจนถึงพระอรหันต์ เพื่อให้ง่ายต่อการเข้าใจของปัญญาชน จะขออธิบายว่าโดยบุคลาธิษฐานแล้ว
▪พระโสดาบันคือเสือที่กลับกลายเป็นมนุษย์ได้ ๒๕% 
▪พระสกิทาคามีคือเสือที่กลับกลายเป็นมนุษย์ได้ ๕๐% 
▪พระอนาคามีคือเสือที่กลับกลายเป็นมนุษย์ได้ ๗๕% 
▪พระอรหันต์คือเสือตัวที่สามารถกลับกลายเป็นมนุษย์ได้๑๐๐% เป็นผู้ที่ได้ทำหน้าที่ของตนเองอย่างเต็มเปี่ยม คือสามารถหลุดพ้นจากความทุกข์อย่างสิ้นเชิงและกลับสู่ความเป็นธรรมดาของชีวิต (ตถตา) แน่นอน โดยความเป็นจริงแห่งการปฏิบัติแล้วไซร้ ไม่อาจจะบอกเป็นตัวเลขเช่นนี้ได้ นี่เป็นเพียงสื่อแห่งการทำให้ผู้อ่านประเภทปัญญาชนเข้าใจเท่านั้น 

ข้อเปรียบเทียบดังกล่าวทำให้สามารถมองเห็นโครงสร้างของชีวิตชัดมากขึ้นว่าความสมบูรณ์ที่เต็มเปี่ยมของชีวิตหรือเป้าหมายของชีวิตอยู่ที่ความเป็นพระอรหันต์นั่นเอง ฉะนั้น อย่าว่าแต่พอใจที่จะเป็นเพียงเทวดาซึ่งอาจจะยังเป็นเสือโคร่งเต็มตัวเลย การพอใจอยู่เพียงแค่เป็นพระอริยบุคคลในสาม ระดับก็ยังเป็นสิ่งไม่ควร เพราะยังไม่ถึงความสมบูรณ์แห่งชีวิต การเกิดมาในภพชาติแห่งความเป็นมนุษย์หมายความว่ามนุษย์สามารถสร้างบารมีอย่างเต็มเปี่ยมโดยการเร่งรีบปฏิบัติธรรมโดยเฉพาะการทำสมาธิวิปัสสนา หากไม่สามารถหลุดพ้นอย่างสิ้นเชิงได้ในชาตินี้ บุญบารมีที่สร้างไว้จะได้เป็นปัจจัยหรือทุนรอนที่จะทำให้ก้าวใกล้ความเป็นพระอรหันต์ได้มากขึ้นในชาติต่อไป แต่ตราบใดที่ยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์แล้วไซร้ ความพากเพียรพยายามของมนุษย์จะหยุดนิ่งไม่ได้

》สิ่งสำคัญที่ทุกคนจะต้องถามตนเองคือ พวกเรารู้หรือยังว่าพระพุทธเจ้าท่านสอนอะไรอย่างแท้จริง การไม่สนใจธรรมะและการไม่ปฏิบัติธรรมนั้นก็เท่ากับการยอมรับฐานะความเป็นเสือโคร่งของตนเอง ซึ่งเป็นสภาวะแห่งความโง่เขลาและมืดบอด

-San Nirvara-

สมาธิถ้าขาดสติแล้ว ไม่เป็นสัมมาสมาธิ เป็นมิจฉาสมาธิ

“สมาธิถ้าขาดสติแล้ว ไม่เป็นสัมมาสมาธิ เป็นมิจฉาสมาธิ เป็นบ้า เป็นบอ วิปลาส นั้นคือ มิจฉาสมาธิ แก้กันไม่ได้นะ
สมาธินี้ อย่าทำด้วยความประมาทนะ ต้องทำด้วยความเคารพ ทนุถนอม ละเอียดอ่อน 

สมาธิ อันคนเลวๆเสพไม่ได้ จะทำเลวๆ ทำลวกๆไม่ได้ เข้าไม่ถึง ถ้าถึงบ้าไปเลย เพราะทำแบบเลวๆ ทำแบบลวกๆ ทำแบบไม่มีสติสัมปชัญญะ “

🔸🔸🔸🔸🔸🔹🔹🔹🔹🔹🔹🔸🔸🔸🔸

#หลวงพ่อใหญ่สมภพ_โชติปัญโญ

#ธรรมบรรยายเรื่อง_สัมมาสมาธิ

🙏🏼🙏🏼🙏🏼

# แก้กรรมหนัก ด้วยการเป็นเจ้าภาพบวชพระ ซัก 2-3 รูป

# แก้กรรมหนัก ด้วยการเป็นเจ้าภาพบวชพระ ซัก 2-3 องค์

 ใครที่รู้ว่ามีกรรมหนัก ก็ตั้งใจนะว่า....ปีหน้าเราจะเป็นเจ้าภาพบวชพระ ซัก 2-3 องค์ เพราะอานิสงส์ใหญ่จริงๆ บุญอย่างอื่น...ผู้รับต้องต้องโมทนาจึงจะได้รับ แต่บุญจากการบวชผู้รับไม่ต้องไม่ต้องโมทนาก็ได้รับ
👏โอวาทธรรม พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ)

🙏#คำกล่าวถวายผ้าไตรจีวร
อิมานิ มะยัง ภันเต ติจีวรานิ สะปะริวารานิ,ภิกขุสังฆัสสะ โอโณชะยามะ สาธุ โน ภันเต ภิกขุสังโฆ อิมานิ ติจีวรานิ สะปะริวารานิ ปะฎิคคัณหาตุ อัมหากัง ฑีฆะรัตตัง หิตายะ สุขายะ
ข้าแต่พระภิกษุสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวายซึ่ง ผ้าไตรจีวร พร้อมด้วยบริวารทั้งหลายเหล่านี้
แด่พระภิกษุสงฆ์ ขอพระภิกษุสงฆ์ โปรดจงรับซึ่ง ผ้าไตรจีวร พร้อมด้วยบริวารทั้งหลายเหล่านี้ ของข้าพเจ้าทั้งหลายเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย สิ้นกาลนานเทอญ.
✨#อานิสงส์ถวายผ้าไตร✨
ผู้ถวายผ้าไตรจีวร แด่พระสงฆ์ด้วยจิตบริจาคที่บริสุทธิ์ อานิสงส์จึงบังเกิดเป็นผลบุญมหาศาล ดังนี้
1. สามารถตัดบาปออกจากจิตใจ กำจัดกิเลส คือ ความโลภ ความตระหนี่ถี่เหนียว ให้บรรเทาเบาบาง
2. ยืน เดิน นั่ง เป็นสุขใจ เบิกบาน เกิดความภาคภูมิใจในบุญกุศลบังเกิดความอิ่มบุญ สุขใจ
3. พ้นจากความยากจน ความลำบาก ขัดสนในทุกภพทุกชาติ มีความอุดมสมบูรณ์ด้วยปัจจัยทั้ง 4
4. เกิดชาติใดภพใด จะเป็นคนที่มีรูปร่างหน้าตาสวยงาม ผิวพรรณผุดผ่องแจ่มใส

16 มีนาคม 2565

หลวงพ่อวัดปากน้ำ สอนทำตัวให้เหมือนผ้าขี้ริ้วเช็ดเท้านะ

.        🍅"... หลวงพ่อวัดปากน้ำ ท่านจะสอนอยู่เสมอว่า ให้เราทำตัวเหมือนผ้าขี้ริ้วเช็ดเท้านะ อันนี้ท่านย้ำมากบอกอยู่บ่อย แต่เราทำไม่ค่อยได้ ท่านบอกว่าต้องทำเป็นผ้าขี้ริ้วเช็ดเท้าเข้าใจไหม เราเป็นเด็กก็ยังไม่เข้าใจ แล้วท่านก็อธิบายว่า เหมือนเขาเอาไม้มาตีเรา แล้วถามว่าเราเจ็บไหม ก็เจ็บนะ แล้วเราจะตีเขาตอบไหม เราจะโกรธไหม ถ้าโกรธนั้นแหละตัวกรรม ถ้าเขาตีเรา แล้วเราอโหสิให้ เราจะได้แสงรัศมีของความอดทน เราจะได้บารมีตรงนี้ นี่ตอนท่านสอนใหม่ ๆ สอนไป ก็ทำวิชชาไป ท่านสอนอยู่เรื่อย ๆ
หลวงพ่อท่านจะเอาใจใส่ดูแลลูกวัดอย่างใกล้ชิด ในวันพระท่านก็จะลงปาติโมกข์ พอลงปาติโมกข์เสร็จก็อบรมพระเณร ถ้าไม่อบรมตอนนี้ก็จะมีตอนเช้าไปฉันที่ศาลา ก่อนจะเข้าโบสถ์ไหว้พระ ..."🍅

📣 เล่าเรื่อง #หลวงพ่อวัดปากน้ำ โดยศิษย์ผู้ใกล้ชิด 📣
ลุงเตชวัน  มณีวรรณวรวุฒิ

วิธีทำให้ถึงอรหันต์ สั้นที่สุด ง่ายที่สุด

วิธีทำให้ถึงอรหันต์ สั้นที่สุด ง่ายที่สุด
...เวลานั้นองค์สมเด็จพระทศพลเสด็จมาพอดี ทรงประทับยืนอยู่เหนือศีรษะด้านหน้า มีแสงสว่างมากแล้วท่านตรัส ท่านบอกว่า
"คุณ คนที่ปฏิบัติอยู่แล้วทั้งหมดนี้กำลังใหญ่ คือเข้าถึงนิพพานทุกคน แต่ทว่าเพื่อความไม่ประมาทให้เขาทำอย่างนี้

วันหนึ่งจะใช้เวลาไหนก็ได้ เวลาที่ใจสบาย ถ้าเวลาอื่นมันติดงานมากก็เอาเวลานอนนอนก่อนจะหลับหรือว่าตื่นใหม่ๆ ใจสบาย เอาจิตใจจับนึกถึงท่าน (พระพุทธเจ้า) ถ้าบุคคลใดไม่ได้ทิพจักขุญานก็นึกภาพเอาเอง กำหนดภาพพระพุทธเจ้า หรือพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่ง ให้เป็นประกาย

บังคับจิต ถ้าเห็นเป็นสีเหลืองก็บังคับให้เป็นสีแก้วให้ได้ทำอยู่อย่างนี้ไม่กี่วันหรอกก็เป็น ให้จิตมันเป็นฌาน ถ้านึกถึงเมื่อไรก็เห็นพระพุทธเจ้าเป็นสีแก้วเป็นประกายทุกวัน"

องค์สมเด็จพระทรงธรรม์ท่านบอกว่า ถ้าเขาทำอย่างนี้นะ ได้ทุกวันอย่าได้ขาด วันหนึ่งใช้เวลา 2-3 นาทีก็ไม่เป็นไร ฉันไม่จำกัดเวลาว่าจะใช้เวลานานหรือเวลาเร็ว ถ้าเขาทำอย่างนี้ได้ทุกวันแล้วก็ทรงอารมณ์ตามที่บอกไว้คือ

1) นึกถึงความตายไว้ อย่าประมาทในชีวิต
2) เคารพในพระรัตนตรัย
3) ทรงศีล 5 บริสุทธิ์
4) จิตหวังพระนิพพานอย่างเดียว

ท่านบอกว่าเป็นอย่างนี้ละก็ ถ้าก่อนอายุขัยของเขา 7 วัน ท่านกำหนดให้เลยนะ ว่าก่อนอายุขัยอีก 7 วันต้องตายแน่อยู่ไม่ได้ ตอนนั้นกระแสจิตของเขาจะเห็นภาพในอากาศเต็มจักรวาล ทั้งพระพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันต์ก็ดี เทวดาก็ดี พรหมก็ดี แพรวพราวไปหมด และก็หลังจากนั้นไปเมื่อกำลังใจของตนจะพ้นกำหนดในการทรงสังขาร

*สมเด็จพระพิชิตมารบอกว่าจะเข้าถึงอรหัตผลทันที*

หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง
จากหนังสือ คำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง 39

15 มีนาคม 2565

ผู้ปรารถนาจะไปเกิดในยุคพระศรีอาริยะเมตไตร ให้กระทำดั่งนี้

บุคคลผู้ปรารถนาจะไปเกิดในยุคพระศรีอาริยะเมตไตรโยสัมมาสัมพุทธเจ้า นั้น ให้กระทำดั่งนี้ 
1.หมั่นให้ทาน โดยเฉพาะสังฆทาน บ่อย ๆ ถ้ายากจนมาก ให้เอาผลไม้ แม้เพียง 1 ลูกถวายแด่หมู่สงฆ์ = ถวายสังฆทาน แล้ว อธิษฐานขอไปเกิดในยุค"พระศรีอาริย์" มาตรัสรู้

2.ในวันธรรมดา ให้หมั่นรักษาศีล 5 เป็นอย่างต่ำ อย่าให้ขาด 

3. ในวันพระ ต้องรักษาศีล 5 และ กรรมบถ 10 ให้ครบถ้วนทุกประการ

4.ให้หมั่นภาวนา หากทำมากไม่ได้ ก่อนหัวถึงหมอน ให้ภาวนา นะโมตัสสะ 3 จบ แล้วคิดถึงคุณพระรัตนตรัย ทุก ๆ คืน 

5.ให้หมั่นพิจารณาวิปัสสนา บ่อย ๆ ในขอบเขตที่ว่า โลกนี้ ไม่มีอะไรที่เที่ยงแท้ แม้แต่เราวันหนึ่งก็ต้องตาย เช่นกัน ดังนั้น ทุกสิ่งจึงเป็นอนิจจัง (ไม่เที่ยง) ,ทุกขัง (มีแต่ทุกข์) , อนัตตา (ไม่ใช่ตัวตน ของเรา เพราะ แม้แต่ร่างกายของเรา ยังห้ามความแก่,เจ็บ,ตาย ไม่ได้เลย) ตายเมื่อไหร่ ขอไปนิพพาน เท่านั้น ถ้าทำได้ดังนี้ เป็นปกติ ย่อมไปเกิดในยุค"พระศรีอาริย์" ได้ แน่ ๆ  
บุคคลที่จะไปเกิดในยุคนั้นได้ ต้องไม่กระทำ"อนันตริยะกรรม 5 ประการ มีการฆ่าพ่อ,แม่ เป็นต้น อย่างเด็ดขาด ,ห้ามละเมิดของสงฆ์ (ขโมย,ยักยอก ของวัด) และ ห้ามการปรามาสพระรัตนตรัยอีกด้วย (ผู้ใดเคยปรามาสพระรัตนตรัยให้กล่าวคำขอขมาพระรัตนตรัย บ่อยๆ) 
.
ที่มาของบทความ : พระราชพรหมยาน​ (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี) สนทนากับท่าน ปรีชาทรงธรรมเทพบุตร (พระศรีอาริย์) บนสวรรค์ ชั้นดุสิตเทวโลก

#ท่านท้าวมหาราช๔พระองค์คอยดูแลตอนเจริญพระกรรมฐาน

"...เวลาจะนั่งกรรมฐาน ต้องคิดไว้เสมอจะเป็นผีเป็นเทวดานี่เขาเข้าถึงตัวเราไม่ได้ วัดจากตัวเราไปได้ ๑ วา รอบ ๆ อย่างเก่งก็มีฤทธิ์ได้แค่นั้น ไม่ว่าจิตอยู่ในเกณฑ์ของสมาธิมากหรือน้อยก็ตาม ถ้าเราสมาทานแล้ว คำว่าผีจริง ๆ เข้ามาไม่ได้เลย ที่จะเข้าใกล้เราได้มีพวกเทวดาเท่านั้น นี่จำไว้เลย

ถ้าเจริญกรรมฐานจิตจะเริ่มเข้าถึงปีติ อันนี้ท้าวมหาราชจะส่งเทวดาเข้าคุมทุกคนนะ ปีตินั้นคือ จิตใจของเรามีความแน่วแน่ เวลาเจริญพระกรรมฐานนี่นะ การทำสมาธิจิตจะแบบไหนก็ตาม ถ้าเรามีความชอบใจ อันนี้เป็นปีติตั้งแต่ระยะนี้เป็นต้นไป ท้าวมหาราชจะส่งคนมาคุม กันผีเข้ามารบกวน

พวกผีหรือที่เรียกว่า อมนุษย์ ถ้าจะมาทำร้ายเรา เขาเข้าไม่ได้เลย ถ้าบังเอิญเรานั่งไป เราก็เห็นว่ามีคนสักคนหนึ่งลากคอคนหรือรัดมือรัดเท้าลากไป อย่าไปห้ามนะ ถ้าหากมาเป็นศัตรูเขาก็จัดการทันที

ถ้ามันจะมาขอส่วนบุญ ถ้าเข้ามาใกล้ แค่มายืนได้แค่วากว่า ๆ ถ้าเราสงสัย เราเห็นเข้าก็อุทิศส่วนกุศลให้แก รูปร่างหน้าตาแจ่มใสแกก็ไป ไม่มีอะไรไม่ต้องกลัว..."

โดย พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อมหาวีระ ถาวโร) 
วัดจันทาราม (ท่าซุง) อ.เมือง จ.อุทัยธานี

.......

พระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมด้วยภิกษุ ๕๐๐ รูปเสด็จไปยังเรือนของท่านเศรษฐี เสวยพระกระยาหารแล้ว เมื่อจะทำอนุโมทนาจึงได้ภาษิตพระคาถาเหล่านี้ว่า :-

                                   บุคคลผู้ไม่ตระหนี่ ควรทำเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง
                         คือ ปรารภถึงบุรพเปตชน เทวดาผู้สิงอยู่ในเรือน 

#หรือท้าวมหาราชทั้ง๔ ผู้รักษาโลก ผู้มียศ คือท้าวธตรฐ ๑
                         วิรุฬหก ๑ วิรูปักษ์ ๑ และท้าวกุเวร ๑ 

#ให้เป็นอารมณ์

                         #แล้วพึงให้ทานท่านเหล่านั้นเป็นผู้อันบุคคลบูชาแล้ว
                         ทั้งทายกก็ไม่ไร้ผล ความร้องไห้ ความเศร้าโศกหรือ
                         ความร่ำไห้อย่างอื่นไม่ควรทำเลย เพราะความร้องไห้
                         เป็นต้นนั้น ไม่เป็นประโยชน์แก่ผู้ล่วงลับไปแล้ว ญาติ
                         ทั้งหลายคงตั้งอยู่ตามธรรมดาของตนๆ อันทักษิณา
                         ทานนี้ ที่ท่านเข้าไปตั้งไว้ดีแล้วในพระสงฆ์ให้แล้ว
                         ย่อมสำเร็จประโยชน์โดยฉับพลัน แก่บุรพเปตชนนั้น
                         สิ้นกาลนาน.

อรรถกถา ขุททกนิกาย เปตวัตถุ ปฐมวรรค
๔. ปิฏฐธีตลิกเปตวัตถุ อรรถกถาปิฏฐธีตลิกเปตวัตถุที่ ๔

....

ภูตเหล่าใด ประชุมกันแล้วในประเทศนี้ก็ดี หรือภุมมเทวดา
                          เหล่าใดประชุมกันแล้วในอากาศก็ดี ขอหมู่ภูตทั้งปวงจงเป็น
                          ผู้มีใจดีและจงฟังภาษิตโดยเคารพ ดูกรภูตทั้งปวง เพราะ
                          เหตุนั้นแล ท่านทั้งหลายจงตั้งใจฟัง ขอจงแผ่เมตตาจิต
                          ในหมู่มนุษย์ มนุษย์เหล่าใด นำพลีกรรมไปทั้งกลางวัน
                          ทั้งกลางคืน 

#เพราะเหตุนั้นแลท่านทั้งหลายจงเป็นผู้ไม่ประมาทรักษามนุษย์เหล่านั้น 

รัตนสูตร ในขุททกปาฐะ

.....

#ขึ้นชื่อว่าความลับไม่มีในโลกสำหรับผู้ทำบาปกรรม

ดูกรบุรุษ จริงหรือเท็จ ตัวของท่านเองย่อมจะรู้ได้
แน่ะผู้เจริญ 

#ท่านสามารถที่จะทำความดีได้หนอแต่ท่านดูหมิ่นตนเองเสีย...

อนึ่ง ท่านได้ปกปิดความชั่วซึ่งมีอยู่ในตนท่านนั้น
ซึ่งเป็นคนพาล ประพฤติตึงๆ หย่อนๆ

#อันเทวดาและพระตถาคตย่อมเห็นได้

เพราะฉะนั้นแหละ​ คนที่มีตนเป็นใหญ่ควรมีสติเที่ยวไป​ คนที่มีโลกเป็นใหญ่ ควรมีปัญญาและเพ่งพินิจ
และ

#คนที่มีธรรมเป็นใหญ่ควรเป็นผู้ประพฤติโดยสมควรแก่ธรรม

มุนีผู้มีความบากบั่นอย่างจริงจัง ย่อมจะไม่เลวลง
อนึ่ง บุคคลใดมีความเพียร ข่มขี่มาร ครอบงำมัจจุ
ผู้ทำที่สุดเสียได้แล้ว ถูกต้องธรรมอันเป็นที่สิ้นชาติ
บุคคลผู้เช่นนั้น ย่อม เป็นผู้รู้แจ้งโลก มีเมธาดี
เป็นมุนี ผู้หมดความทะยานอยากในธรรมทั้งปวง ฯ
----------
ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๐ สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต หน้าที่ ๑๔๑ ข้อที่ ๔๗๙.

....

อนุสสติฏฐานสูตร

             [๒๙๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนุสสติ ๖ ประการนี้ ๖ ประการเป็นไฉน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ย่อมระลึกถึงพระตถาคตว่า
แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ... เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็น
ผู้จำแนกธรรม ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยใด อริยสาวกย่อมระลึกถึงพระตถาคต
สมัยนั้น จิตของพระอริยสาวกนั้น เป็นจิตไม่ถูกราคะกลุ้มรุม ไม่ถูกโทสะกลุ้ม
รุม ไม่ถูกโมหะกลุ้มรุม ย่อมเป็นจิตดำเนินไปตรงทีเดียว เป็นจิตออกไป พ้นไป
หลุดไปจากความอยาก ดูกรภิกษุทั้งหลาย คำว่าความอยากนี้ เป็นชื่อของ
เบญจกามคุณ สัตว์บางพวกในโลกนี้ ทำพุทธานุสสติแม้นี้ให้เป็นอารมณ์ ย่อม
บริสุทธิ์ได้ด้วยประการฉะนี้ ฯ
             อีกประการหนึ่ง อริยสาวกย่อมระลึกถึงพระธรรมว่า พระธรรมอัน
พระผู้มีพระภาคตรัสดีแล้ว ฯลฯ อันวิญญูชนจะพึงรู้เฉพาะตน ดูกรภิกษุทั้งหลาย
สมัยใด อริยสาวกย่อมระลึกถึงพระธรรม สมัยนั้น จิตของอริยสาวกนั้น เป็นจิต
ไม่ถูกราคะกลุ้มรุม ... สัตว์บางพวกในโลกนี้ ทำธรรมานุสสติแม้นี้ให้เป็นอารมณ์
ย่อมบริสุทธิ์ได้ด้วยประการฉะนี้ ฯ
             อีกประการหนึ่ง อริยสาวกย่อมระลึกถึงพระสงฆ์ว่า พระสงฆ์สาวกของ
พระผู้มีพระภาค เป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว ฯลฯ เป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่น
ยิ่งกว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยใด อริยสาวก ย่อมระลึกถึงพระสงฆ์ สมัยนั้น
จิตของอริยสาวกนั้น เป็นจิตไม่ถูกราคะกลุ้มรุม ... สัตว์บางพวกในโลกนี้ ทำ
สังฆานุสสติแม้นี้ให้เป็นอารมณ์ ย่อมบริสุทธิ์ได้ด้วยประการฉะนี้ ฯ
             อีกประการหนึ่ง อริยสาวกย่อมระลึกถึงศีลของตน อันไม่ขาด ฯลฯ
เป็นไปเพื่อสมาธิ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยใด อริยสาวกย่อมระลึกถึงศีล
สมัยนั้น จิตของอริยสาวกนั้น เป็นจิตไม่ถูกราคะกลุ้มรุม ... สัตว์บางพวกใน
โลกนี้ ทำสีลานุสสติแม้นี้ให้เป็นอารมณ์ ย่อมบริสุทธิ์ได้ด้วยประการฉะนี้ ฯ
             อีกประการหนึ่ง อริยสาวกย่อมระลึกถึงจาคะของตนว่า เป็นลาภของ
เราหนอ เราได้ดีแล้วหนอ ฯลฯ ควรแก่การขอ ยินดีในการจำแนกทาน ดูกร-
*ภิกษุทั้งหลาย สมัยใด อริยสาวกย่อมระลึกถึงจาคะ สมัยนั้น จิตของอริยสาวก
นั้น เป็นจิตไม่ถูกราคะกลุ้มรุม ... สัตว์บางพวกในโลกนี้ ทำจาคานุสสติแม้นี้
ให้เป็นอารมณ์ ย่อมบริสุทธิ์ได้ด้วยประการฉะนี้ ฯ

             #อีกประการหนึ่งอริยสาวกย่อมระลึกถึงเทวดาว่า #เทวดาเหล่าจาตุมหาราชมีอยู่ 

เทวดาเหล่าดาวดึงส์มีอยู่ เทวดาเหล่ายามามีอยู่ เทวดาเหล่าดุสิตมีอยู่
เทวดาเหล่านิมมานรดีมีอยู่ เทวดาเหล่าปรนิมมิตวสวัดดีมีอยู่ เทวดาเหล่าพรหม
มีอยู่ เทวดาที่สูงกว่านั้นมีอยู่ เทวดาเหล่านั้น ประกอบด้วยศรัทธาเช่นใด จุติ
จากโลกนี้แล้ว อุบัติในเทวดาชั้นนั้น ศรัทธาเช่นนั้นแม้ของเรามีอยู่ เทวดา
เหล่านั้น ประกอบด้วยศีลเช่นใด ด้วยสุตะเช่นใด ด้วยจาคะเช่นใด ด้วย
ปัญญาเช่นใด จุติจากโลกนี้แล้ว อุบัติในเทวดาชั้นนั้น ปัญญาเช่นนั้นแม้ของเรา
ก็มีอยู่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยใด อริยสาวกย่อมระลึกถึงศรัทธา ศีล สุตะ
จาคะ และปัญญา ของตนและของเทวดาเหล่านั้น สมัยนั้น จิตของอริยสาวก
นั้น เป็นจิตไม่ถูกราคะกลุ้มรุม ไม่ถูกโทสะกลุ้มรุม ไม่ถูกโมหะกลุ้มรุม เป็น
จิตดำเนินไปตรงทีเดียว เป็นจิตออกไป พ้นไป หลุดไปจากความอยาก ดูกร
ภิกษุทั้งหลาย คำว่า ความอยาก นี้ เป็นชื่อของเบญจกามคุณ สัตว์บางพวกใน
โลกนี้ 

#ทำเทวตานุสสติแม้นี้ให้เป็นอารมณ์ย่อมบริสุทธิ์ได้ด้วยประการฉะนี้ 

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนุสสติ ๖ ประการนี้แล ฯ
จบสูตรที่ ๕

             เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๒ บรรทัดที่ ๗๓๘๗-๗๔๓๐ หน้าที่ ๓๒๔-๓๒๖.
http://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=22&A=7387&Z=7430&pagebreak=0

12 มีนาคม 2565

“ โอวาทหลวงปู่แหวน สุจิณโณ ”

“ โอวาทหลวงปู่แหวน สุจิณโณ ”
วัดดอยแม่ปั๋ง  อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่

อันว่าสรรพสัตว์ทั้งหลาย ทั้งมนุษย์และเทวดา ได้ถูกไฟ ๑๑ กอง เผาอยู่เสมอ เป็นเหตุให้ได้รับความทุกข์นานาประการ  ๑๑  กอง คือ.

๑. ราคะ ความกำหนัดชอบใจ อยากได้กามคุณ ๕ มีรูป เป็นต้น
๒. ไฟโทสะ คือความโกรธ มีความไม่พอใจเป็นลักษณะ
๓. ไฟโมหะ ได้แก่ความลุ่มหลงในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพ ลังเล ใจฟุ้งซ่าน ไปตามอารมณ์
๔. ชาติ คือไฟแห่งการเกิดอันเป็นทุกข์
๕. ชรา คือไฟแห่งความแก่อันเป็นทุกข์
๖. มรณะ คือไฟแห่งความตายอันเป็นทุกข์
๗. โสกะ คือไฟแห่งความเศร้าโศก
๘. ปริเทวะ คือไฟบ่นเพ้อร่ำไรรำพัน
๙. ทุกขัง คือไฟแห่งความทุกข์ลำบากกายใจ
๑๐. โทมนัส คือไฟแห่งความเสียใจ
๑๑. อุปายโส คือไฟแห่งความคับแค้นใจ.

ไฟทั้ง ๑๑ กองนี้แหล่ะเผาลนสรรพสัตว์ทั้งหลายให้ต้องพากันงมงายเวียนว่ายตายเกิดได้รับทุกข์ต่างๆ.

#ไฟราคะ
#ไฟโทสะ
#ไฟโมหะ
#ไฟที่เผาใจสัตว์

10 มีนาคม 2565

โลกนี้เป็นแดนอุบัติการณ์ของบุญและบาป

“ โลกนี้มีทั้งคนดีและคนชั่ว โลกนี้เป็นแดนอุบัติการณ์ของบุญและบาป เป็นสนามทดลองกิเลสและคุณธรรม ชั่วอายุขัยที่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ อาจจะต้องพบทั้งโชคและเคราะห์ ทั้งคนดีคนชั่วสับสนปนเปกันไป โลกนี้จึงเป็นแดนที่เกิดมาเพื่อ ทำมาหากรรม 
คนชั่วก็อาจจะมาสุ่มตัวสร้างกรรมดีเพื่อจะแก้ไขกับชั่วพัฒนากรรมจากกรรมชั่วเป็นกรรมดี เพื่อไปสู่ภพใหม่ที่ดีงามต่อไป
คนดีอาจจะมาประทุษร้ายกรรมดีของตนเองอยู่ในโลกนี้ เพื่อจะสร้างกรรมชั่วเตรียมตัวตกนรกอีกเช่นกัน  

ในขณะเดียวกันโลกนี้เป็นแดนที่บุคคลผู้ฉลาดชาติบัณทิตจะเกิดมาชำระสะสางตนเอง ให้ตนเองเป็นผู้บริสุทธิ์ดีงาม และจะหว่านธรรม สอนธรรม แก่เพื่อน พาเพื่อนพัฒนากรรม พัฒนาไปใหน ไปจนถึงโน้น...สพฺพกมฺมกฺขยํ ปตฺโต กระทำถึงที่สิ้นสุดลงแห่งกรรม ! “

#ธรรมบรรยายเรื่อง_รุ่งอรุณแห่งพรหมจรรย์

#หลวงพ่อใหญ่สมภพ_โชติปญฺโญ

02 มีนาคม 2565

กิจของสงฆ์ ๑๐ ประการ | สมควรแก่สมณสารูปแห่งตน วิญญูชนสรรเสริญ.

กิจของสงฆ์ ๑๐ ประการ | สมควรแก่สมณสารูปแห่งตน วิญญูชนสรรเสริญ
.
คำว่า “กิจของสงฆ์” เป็นคำพูดธรรมดาในภาษาไทย มีความหมาย ๒ นัย คือ
.
๑. สังฆกรรมต่างๆ ตามพระวินัยที่ภิกษุตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไปร่วมกันทำ 
เช่น อุโบสถกรรม (ประชุมฟังพระปาติโมกข์ทุกกึ่งเดือน) อุปสมบทกรรม (พิธีบวช) กฐินกรรม (รับกฐิน) ตลอดจนกิจทั่วไปที่ภิกษุผู้อยู่ร่วมกันจะพึงช่วยกันทำ เช่น ดูแลรักษาและซ่อมแซมเสนาสนะ กวาดอาวาสวิหารลานพระเจดีย์ เป็นต้น นี่ก็เรียกว่า “กิจของสงฆ์”
.
๒. กิจส่วนตัวของภิกษุแต่ละรูปที่จะพึงปฏิบัติตามพระวินัย 
เช่น ออกบิณฑบาต ทำวัตรสวดมนต์ ศึกษาพระธรรมวินัย ปฏิบัติกรรมฐาน เป็นต้น รวมทั้งกิจอื่นๆ ที่ไม่ขัดต่อสมณวิสัย นี่ก็เรียกว่า “กิจของสงฆ์”
.
พระสงฆ์รุ่นเก่าในเมืองไทยกำหนด “กิจของสงฆ์” ไว้ เรียกกันว่า “กิจวัตร ๑๐ อย่าง” มีดังนี้
.
@@@@@
.
กิจวัตร ๑๐ อย่างของภิกษุ
.
    ๑. ลงอุโบสถ
    ๒. บิณฑบาตเลี้ยงชีพ
    ๓. สวดมนต์ไหว้พระ
    ๔. กวาดอาวาสวิหารลานพระเจดีย์
    ๕. รักษาผ้าครอง
    ๖. อยู่ปริวาสกรรม
    ๗. โกนผมปลงหนวดตัดเล็บ
    ๘. ศึกษาสิกขาบทและปฏิบัติพระอาจารย์
    ๙. เทศนาบัติ
  ๑๐. พิจารณาปัจจเวกขณะทั้ง ๔ เป็นต้น
.
กิจวัตร ๑๐ เหล่านี้เป็นกิจใหญ่ ควรที่ภิกษุจะต้องศึกษาให้ทราบความชัด และจำไว้เพื่อปฏิบัติสมควรแก่สมณสารูปแห่งตน
.
@@@@@
.
มักมีปัญหาเกิดขึ้นในหมู่ประชาชนเมื่อเห็นการกระทำของพระสงฆ์ว่า “นั่นใช่กิจของสงฆ์หรือเปล่า” นอกจากมีพระธรรมวินัย และ “กิจวัตร ๑๐ อย่าง” เป็นกรอบพิจารณาแล้ว ก็มีหลักอีกอย่างหนึ่ง นั่นคือ :-
.
   “วิญฺญุปสตฺถ” (วิน-ยุ-ปะ-สัด-ถะ) = วิญญูชนสรรเสริญ
    หรือ “วิญฺญุครหิต” (วิน-ยุ-คะ-ระ-หิ-ตะ) = วิญญูชนติเตียน
    หมายความว่า การกระทำนั้นๆ ผู้ที่รู้เรื่องนั้นแจ่มแจ้งดีและเป็นคนมีคุณธรรม ท่านสรรเสริญหรือตำหนิ ถ้าท่านสรรเสริญก็ควรทำ ถ้าท่านตำหนิก็ไม่ควรทำ
.
โปรดสังเกตว่า ท่านใช้คำว่า “วิญญูชน” ซึ่งหมายถึงผู้รู้ผิดรู้ชอบตามปรกติ ทั้งนี้เพราะคำสรรเสริญหรือคำตำหนิอาจมาจาก “พาลชน” คือผู้ไม่รู้เรื่องนั้นๆ อย่างถูกต้องถ่องแท้ แต่เอาความรู้สึกส่วนตัวเข้าไปตัดสิน เช่นถ้าเรื่องนั้นถูกใจตน ก็บอกว่าเป็นกิจของสงฆ์ ถ้าเรื่องนั้นไม่ถูกใจตน ก็บอกว่าไม่ใช่กิจของสงฆ์
.
เมื่อพอจะจับหลักได้แล้ว ต่อไปนี้ถ้าเห็นพระภิกษุสามเณรทำอะไร หรือได้ยินข่าวเกี่ยวกับพระ เราจะมีหลักในการมอง อย่างน้อยก็-ไม่เอาความรู้สึกส่วนตัวเข้าไปตัดสิน อันเป็นสาเหตุที่ทำให้เห็นภาพผิดเพี้ยนไปจากหลักที่ควรจะเป็น และทำให้ท่าทีของเราต่อเรื่องนั้นๆ พลอยผิดพลาดไปด้วย
.
.
.
___________
ขอขอบคุณ :-
บทความของ : พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕ ,๑๗:๒๖
photo : pinterest
web : dhamma.serichon.us/2022/02/20/หลักปฏิบัติของสาวกผู้ม/
Posted date : 24 กุมภาพันธ์ 2022 , By admin.

ขั้นตอนการปฏิบัติเข้าสู่ทางนิพพาน

ขั้นตอนการปฏิบัติเข้าสู่ทางนิพพาน
1) ให้ตั้งสัจจะบารมีว่า เราจะรักษาศีล 5 ให้เป็นปกติทุก ๆ วัน นับต่อจากนี้ - ศีลบารมี ศีล จะเป็นตัวควบคุมกาย และ วาจาของเรา

2) สร้างสมาธิบารมี โดยการปฏิบัติกรรมฐานทุกวัน สมาธิ จะเป็นตัวควบคุมจิต และใจของเราจากกิเลสต่าง ๆ ถ้าสมาธิดี สติจะเกิด และมีกําลังมากขึ้น ปัญญาจะเกิดตามมา เมื่อกิเลสมากระทบ ก็จะเห็นสัจธรรมของไตรลักษณ์ ทุกสิ่งมีเกิด ตั้งอยู่และดับไป ไม่มีสิ่งใดอยู่คงทนถาวร แล้วสติจะทําให้จิตเราปล่อยวางจากกิเลสต่าง ๆ ที่มากระทบได้เอง จิตก็เข้าสู่ภาวะอุเบกขา เข้าสู่ความสงบต่อไป

ใช้สติ ให้เห็นอารมณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในจิตของเรา กรรมฐานที่ใช้เจริญสติ : สติปัฏฐาน 4, กาย 32, มรณานุสติ

~ ขั้นตอนการปฏิบัติเข้าสู่ทางนิพพาน

1. แยกกาย จิต เวทนา ว่ามันเป็นคนละส่วนกัน

2. ใช้จิตพิจารณากายในกายบ่อย ๆ จะสามารถปล่อยวางจิตจากกายหยาบที่ยึดมั่นอยู่ได้ 

3. สติพิจารณาเห็นกายเป็นขันธ์ 5 มีการแตกดับ เห็นจิตไม่ใช่กาย และกายไม่ใช่จิต แยกกันชัดเจน จะเข้าสู่ขั้นโสดาบัน

4. สติมีกําลังมากขึ้น และละเอียดขึ้น ถ้ายังคงรักษาศีล 5 ให้บริสุทธิ์และคงสมาธิไว้ได้ดี จะสามารถเข้าสู่ระดับ พระสกิทาคามีผล
- ละความโลภ ด้วยการปล่อยวางได้
- ละความโกรธด้วยจิตที่มีเมตตากรุณาได้
- ละจากกามได้ ด้วยการปฏิบัติอศุภกรรมฐาน 
พิจารณากายในกาย เป็นของไม่สวยงาม เพื่อละจากกามได้ (พิจารณากายในกาม)

5. เริ่มรักษาศีล 8 เพื่อเพิ่มกําลังสติให้ละเอียดมากยิ่งขึ้น ความโลภ โกรธ ความไม่พอใจ จะถูกละจากจิตได้ง่ายขึ้น สติคงตัว เห็นกิเลสเกิดขึ้นและดับลงได้เร็วขึ้น

6. สติ จะไปพิจารณากายในกายที่ละเอียดมากขึ้น ปฏิบัติกรรมฐาน อสุภกรรมฐาน ธาตุกรรมฐาน เพื่อให้จิตเข้าสู่ความว่างบ่อย ๆ ขึ้น จิตจะเห็นกายในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตว่ามันไม่เที่ยง ทั้งของตนเอง ผู้อื่นและทุกสิ่งในโลกนี้เข้าสู่ พระอนาคามีผล จะดับความโลภ โกรธ กาม สิ้นออกจากใจได้

7. จิตจะเดินทางเข้าสู่ความเงียบ ความสุขเกิดขึ้น แต่จิตจะไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด ๆ จิตเริ่มปล่อยวางจากกายของตนเอง กายของผู้อื่นและวัตถุต่าง ๆ ในโลกนี้

 แต่จิตยังมีความหลงในจิตปัจจุบันว่าเป็นตัวจิตอยู่ เป็นอวิชชาในส่วนที่ละเอียด

คือ จิตเป็นกิเลสทั้งก้อนเลย จิตกับอวิชชาเป็นสิ่งเดียวกัน แยกกันไม่ได้เลย เป็นจิตสะอาด แต่ไม่บริสุทธิ์

8. ต้องแยกกาย และจิตออกจากเวทนา สังขาร วิญญาณ สัญญา (ขันธ์ 5) ด้วยสติที่ละเอียดมาก ๆ ขึ้นเท่านั้น สติที่ละเอียดถึงจะทําลายอวิชชาที่ละเอียดออกได้

9. จิตเข้าสู่ภาวะธรรมธาตุ สะอาด และ บริสุทธิ์ แยกจิตจาก ขันธ์ 5 ได้ว่าจิตนี้ไม่มีรูป ไม่มีเวทนา ไม่มีสังขาร ไม่มี สัญญา ไม่มีวิญญาณ สติอัตโนมัติ จะทำลายกิเลสเองทั้งหมดโดยสิ้นเชิง เข้าใจอริยสัจ 4 แท้จริง ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค จึงจะเข้าสู้ภาวะนิพพานในที่สุด

โอวาทธรรม หลวงพ่ออัครเดช(ตั๋น) ถิรจิตโต
วัดบุญญาวาส อ.บ่อทอง จ.ชลบุรี
๒๖ มีนาคม ๒๕๕๕/ธรรมโอสถ 🙏🏻🙏🏻🙏🏻😊✨

ธรรมะ ก็คือ วิถีชีวิต

“ธรรมะ...ไม่ใช่อยู่เฉพาะยกการฝึก
ในเวลาที่เรานั่งสมาธิ เดินจงกรมเท่านั้น 
แต่ธรรมะ ก็คือ วิถีชีวิตของเราต่างหาก”   
ถ้าเวลาเรานั่งสมาธิ ใจสงบ ใจสบาย
แต่ในระหว่างวัน เราไปเบียดเบียน
เราโมโหโทสันต่าง ๆ 

ยังห่างไกล...
จากความเป็นธรรมชาติมากทีเดียว

ปฏิบัติแล้วมันต้องกลมกลืนกันไป
จนกลายเป็นปกติ กลายเป็นวิถีชีวิตของเรา  
• มีจิตใจที่อ่อนโยน 
• ละความสุดโต่ง มีความเป็นปกติ ความเป็นธรรมดา 
• เข้าใจเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน
• อยู่กับปัจจุบันธรรมได้ต่อเนื่อง 

สิ่งเหล่านี้เอาไปฝึกฝนอบรม
จนมันกลายเป็นวิถีชีวิต
เป็นปกติโดยธรรมชาติ
แล้วมันจะเย็นได้...วางได้ลง

เวลาเราประสบปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ
มันจะคลี่คลายลงได้ 
อย่างน่าอัศจรรย์เลยทีเดียว 

เพราะฉะนั้น การปฏิบัติธรรมที่แท้
ไม่ได้อยู่ในช่วงที่เราปฏิบัติในรูปแบบเท่านั้น
แต่คือสิ่งที่จะกลมกลืนกันไป
ในวิถีชีวิตของเรานั่นเอง

ใช้ชีวิตยังไง...
ที่มันร่มเย็น ที่ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น
ที่มันมีชีวิตที่อยู่เย็นเป็นสุขนั่นเอง  

สิ่งเหล่านี้เพาะบ่มฝึกฝนได้
ก็เอา #ธรรม7ประการ
ไปฝึกฝนอบรมตนเองอยู่เนือง ๆ
แล้วจะเห็นการเปลี่ยนแปลง
ได้ด้วยตัวเองนั่นเองนะ

#ข้อแรก ก็คือ ความอ่อนโยน
#ข้อสอง ก็คือ ทางสายกลาง
#ข้อสาม ก็คือ การละกาย วางความคิดลง
#ข้อสี่ ก็คือ การอยู่กับปัจจุบันธรรมให้ต่อเนื่องกันไป
#ข้อห้า ก็คือ ความกลมเกลียว เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
#ข้อหก ก็คือ มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ต่อทุกสรรพสิ่ง
#ข้อเจ็ด ก็คือ การโอบอุ้ม ปล่อยให้ผู้มีหน้าที่ได้ทำกิจของตน
ให้การโอบอุ้มประคับประคองซึ่งกันและกันนั่นเอง
.

ธรรมบรรยาย โดย พระมหาวรพรต กิตฺติวโร
29 มกราคม, 1 กุมภาพันธ์ 2565

วาสนา คนเราเจอกัน ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ

เรื่องของวาสนา กับความรักที่พลัดพราก
 มีชายหญิงคู่หนึ่งรักกันมาก คบกันมา 3 ปี ทั้ง 2 ตกลงจะแต่งงานกัน เมื่อกำหนดวันเรียบร้อย ฝ่ายชายเองก็รอคอยวันที่จะแต่งงาน ต่อมาไม่นานฝ่ายชายรู้ข่าวว่า คู่รักของตนแต่งงานกับคนอื่นอย่างกะทันหัน โดยฝ่ายหญิงเองก็เต็มใจ ไม่ได้ถูกบังคับแต่อย่างใด เมื่อได้ทราบข่าว เขาทั้งงงและเสียใจมาก ร้องไห้ไม่กินไม่นอน ไม่นานก็ป่วยหนักเพราะตรอมใจ เวลาผ่านไป ฝ่ายชายป่วยหนักขึ้นเรื่อยๆไปหาหมอเท่าไหร่ก็ไม่ดีขึ้น

ขณะที่นอนซมอยู่ที่บ้านนั้น มีหลวงตาแก่ๆ เป็นพระ
ปฎิบัติดีปฎิบัติชอบ มีอภิญญา ผ่านมา เมื่อมาถึงหลวงตาหยุดอยู่ที่หน้าบ้าน แล้วมองเข้าไปในบ้านจึงเคาะประตู เด็กรับใช้ออกมาเปิดประตูพบว่า เป็นพระ จึงบอกว่า ไม่ทำบุญนิมนต์ข้างหน้า หลวงตายิ้มอย่างมีเมตตาแล้วพูดว่า อาตมาไม่ได้มาบิณฑบาต ในบ้านมีคนป่วยใช่มั๊ย   

อาตมาพอมีความรู้ทางด้านการแพทย์นิดหน่อย ไม่รู้จะพอช่วยได้รึเปล่า เด็กรับใช้ได้ฟังก็อึ้งแต่ก็บอกว่าตัดสินใจเองไม่ได้ ต้องขอไปถามเจ้านายก่อน เด็กรับใช้เดินเข้าไปในบ้านถามเจ้านาย เจ้านายตอบอย่างตัดรำคาญว่าอยากเข้ามา   
ก็เข้ามา!   

เมื่อหลวงตาเข้าไปพบที่ห้องนอนพบว่า ชายคนดังกล่าวนอนอย่างหมดอาลัยตายอยากอยู่บนเตียง สีหน้าซีดเซียว ร่างกายซูบผอมประหนึ่งครึ่งคนครึ่งศพ เด็กรับใช้นำน้ำมาถวายหลวงตา พร้อมจัดเก้าอี้ถวายข้างๆเตียงของชายคนนั้น หลวงตายิ้มแล้วพูดว่าอาการหนักเลยนะ

ชายคนนั้น นิ่งเงียบไม่สนใจในสิ่งที่หลวงตาพูด หลวงตาตรวจอาการพอเป็นพิธี จึงกล่าวว่า โทรมมากเลยนะ ชายคนนั้นไม่สนใจ หลวงตาบอกว่าไม่เชื่อ ลองมองที่กระจกสิ ชายคนนั้นไม่สนใจ แต่ขณะที่หางตาชายไปที่กระจกแต่งตัวในห้องนอน เขามองเห็นภาพของคนที่รักอยู่ในนั้น ไม่นานภาพของคนรักก็ค่อยๆจางหายไป กลายเป็นภาพทิวทัศน์ชายทะเล ที่ชายทะเลแห่งนั้นเงียบสงบ ไม่มีคนผ่านไปมา ขณะที่ชายคนที่ป่วยนั้น มองภาพในกระจกด้วยความสนใจนั้น เขาพบว่า มีศพหญิงสาวนอนเปลือยกายอยู่ที่ชายหาด เวลาผ่านไปสักครู่ มีชายคนหนึ่งเดินผ่านมา เขามองเห็นศพหญิงคนนั้นด้วยความรังเกียจ แล้วเดินผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ต่อมาพักใหญ่มีชายอีกคนหนึ่งเดินผ่านมา เขามองเห็นศพนั้น เขาสงสารจึงถอดเสื้อนอกออกมาคลุมร่างของหญิงคนนั้น แล้วเดินจากไป พักใหญ่ๆอีกเช่นกัน 

มีชายอีกคนเดินผ่านมา เขาพบคนนอนมีผ้าคลุมอยู่ จึงเปิดออกดู เมื่อพบว่า เป็นศพ ด้วยใจสงสาร จึงจะฝังให้เรียบร้อย แต่ก็ไม่มีเครื่องมือจะขุด เขาจึงตัดสินใจใช้มือทั้ง 2 ข้างๆ ค่อยๆกอบทรายขึ้นมา เขาทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนเย็น พอได้หลุมใหญ่พอสมควร จึงได้ฝังศพผู้หญิงคนนั้นเรียบร้อยแล้วจากไป   

จากนั้นภาพในกระจกก็เปลี่ยนเป็นภาพของศพหญิงคนนั้น และก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นภาพของหญิงคนรัก เขาได้เห็นก็ตกใจ พอสักพัก ก็ปรากฏเป็นภาพชายคนที่ 2 แล้วก็ค่อยๆจางหายไป เหลือแต่เงาของตัวเองในกระจก ทันใดนั้นหลวงตาพูดว่า ทีนี้เข้าใจหรือยัง 

ศพนั้นคือคู่รักของโยม ชายคนที่ช่วยฝังศพเธอ ผูกวาสนากับเธอหนึ่งชาติ ชาตินี้เธอเลยแต่งงานกับเขา ส่วนโยมช่วยคลุมศพเธอ จึงผูกวาสนา 3 ปี ตอนนี้ครบ 3 ปี วาสนาสิ้นแล้วก็ต้องจากกัน เมื่อชายคนนั้นฟังจบก็กระอักเลือดออกมา เด็กรับใช้ตกใจมาก หลวงตายิ้มแล้วบอกว่า โยมรอดแล้ว เมื่อกี้โยมกระอักเลือดเอาเลือดเสียออกมาแล้ว 

ต่อมาไม่นานชายคนนั้นก็ได้ออกบวชในที่สุด คนเราเจอกัน ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ความสัมพันธ์ พ่อ , แม่ , พี่ , น้อง , ญาติ , เพื่อน , ศัตรู , คนรัก ฯลฯ ไม่ใช่ของเลื่อนลอย เมื่อมีวาสนา ไม่ต้องเรียกร้อง ถึงเวลาก็มาเจอกัน เมื่อสิ้นวาสนา ก็ต้องจากกัน รั้งยังไงก็ไม่อยู่

ในตอนที่ยังไม่จากกันนี้ คุณได้ทำดีต่อคนของคุณหรือยัง เพราะถึงเวลาที่ต้องจากกัน ไม่ว่าคุณจะมีเงินหรืออำนาจล้นฟ้า ก็เรียกมันกลับคืนมาไม่ได้ ทำดีต่อกันไว้ดีกว่า เพราะไม่มีใครรู้ว่า เราจะต้องจากกันเมื่อไหร่

อมตะธรรม ประเทศไทย
#ธรรมะ #อมตะธรรม #ธรรมะสอนใจ

#วิธีเตรียมตัวตาย

(#เห็นเขาตาย เราก็ไม่ต่างกัน อย่าประมาท เตรียมตัวไว้)

#วิธีเตรียมตัวตาย
“พวกเราพยายามฝึกตัวเองให้ได้ตั้งแต่ก่อนที่จะตาย
ค่อยๆ ภาวนาไปทุกวันๆ จิตใจจะมั่นคงเด็ดเดี่ยวมากขึ้นเรื่อยๆ
ถ้าเรายังไม่ได้ธรรมะ เวลาจะตายเราทำอย่างไรดี
ถ้าคิดถึงคุณงามความดีของตัวเองได้ ก็ใช้ได้
อย่างเราเคยทำทาน เราเคยรักษาศีลได้ดี
เรานึกถึงแล้วจิตใจเราเบิกบาน เราจะได้ไปสุคติ

หรือบางทีก็ต้องอาศัยตัวช่วย นึกถึงความดีของตัวเองไม่ชัด
เรานึกถึงครูบาอาจารย์ ดูท่านสะอาด ดูท่านสงบ ดูแล้วสดชื่น เข้าใกล้แล้วมีความสุข
จะบอกให้เราระลึกถึงพระพุทธเจ้า เราก็ไม่รู้พระพุทธเจ้าเป็นอย่างไร นึกได้แค่พระพุทธรูป
นึกไม่ถึงพระพุทธเจ้า พวกเรายังไม่เห็นพระพุทธเจ้า 
วันใดที่ได้ธรรมะเราจะเห็นพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเป็นความบริสุทธิ์
นึกถึงคนที่เขาดีๆ คนดี ใจเราจะเบิกบานขึ้นมา ใจจะเชื่อมต่อกัน
เบิกบานสว่างไสวขึ้นมาได้

เราเตรียมตัวให้พร้อม เราไม่รู้ว่าจะตายเมื่อไหร่
วิธีเตรียมตัวให้พร้อมคือ พยายามสร้างความดีไว้ ความชั่วอย่าทำ
อย่างเราทำทาน เราถือศีล เราเจริญเมตตา 
เวลาจวนตัวจะตายมิตายแหล่ นึกถึงความดีของตัวเอง
ถ้านึกถึงความดีของตัวเองไม่ได้ นึกถึงครูบาอาจารย์

ถ้านึกถึงครูบาอาจารย์ไม่ออก
เราใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดในกรรมฐาน
คือดูร่างกายมันตาย ดูร่างกายมันนอนอยู่
ร่างกายมันหายใจอยู่ ไม่รู้ลมหายใจจะสิ้นสุดเมื่อไหร่
เรามีสติระลึกรู้ เห็นร่างกายมันจะตายใจเป็นคนดู
แต่จะทำอย่างนี้ได้ต้องฝึกให้มากๆ หน่อย ไม่อย่างนั้นนึกไม่ได้
ดูไม่ทัน กลายเป็นกูจะตายแล้ว เราจะตายแล้ว

หรือที่ง่ายกว่านั้นดูไปว่า ร่างกายนี้ใกล้จะตายแล้ว อย่าไปปฏิเสธความตาย
รู้ว่าความตายเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องเจอ ตอนนี้เรากำลังจะตายแล้ว
เรียกว่าเรามีมรณสติ
แต่เราจะระลึกตอนตายได้เก่ง เราต้องหัดระลึกตั้งแต่ยังเป็นๆ 
ทุกวันนั่งสมาธิเสร็จ ไหว้พระสวดมนต์แล้ว หรือจะก่อนปฏิบัติก็ได้
ไหว้พระสวดมนต์แล้วก็พิจารณาความตายไป
ไม่นานร่างกายนี้ก็จะแตกดับ
ก่อนที่มันจะแตกดับเรามาปฏิบัติธรรม
เอาร่างกายซึ่งเป็นของไม่แน่นอนมาปฏิบัติธรรมเพื่อสร้างคุณงามความดีในจิตใจของเรา

ถ้าเราฝึกอย่างนี้มาก่อนที่จะป่วย ตอนที่เราจะตายเราจะไม่หวั่นไหว
เราจะเห็นว่าความตายเป็นเรื่องธรรมดา 
ถ้ามีสัตว์ที่ไม่ตายอันนั้นผิดธรรมดา ไม่มีอะไรที่เกิดแล้วไม่ตาย 
ไม่มีสิ่งที่เกิดแล้วไม่ดับ ทุกสิ่งที่เกิดแล้วดับทั้งสิ้น 
ทุกวันพิจารณาความตาย หรือมีสติรู้ร่างกาย ดูร่างกายไม่ใช่ตัวเรา
ถ้าฝึกได้อย่างนี้เราจะไม่กลัวตาย
เวลาจะตาย เราจะเห็นว่าร่างกายมันตาย ไม่ใช่เราตาย
ถ้าเราเคยดูร่างกายว่ามันไม่ใช่เรา มีกายคตาสติ
ระลึกอยู่ในกายเรื่อยๆ เห็นกายไม่ใช่เรา
หรือมีมรณสติ ระลึกถึงว่าความตายเป็นเรื่องปกติ”

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
แสดงธรรม ณ วัดเขาดินวนาราม
๒๗ พฤษภาคม ๒๕๖๒

▪︎อานิสงส์การปิดทองลูกนิมิต▪︎

ผู้ถาม : หลวงพ่อครับ "การปิดทองลูกนิมิต" มีอานิสงส์อย่างไรครับ..

หลวงพ่อ : โอ๊ะ..อานิสงส์ใหญ่มาก ปิด ๑ ลูก ก็ไปอุดประตูนรก ๑ ประตู..นี่ฉันโกหกนะ

ผู้ถาม : อ้าว..แล้วกัน

หลวงพ่อ : ที่ว่ามีอานิสงส์ใหญ่มาก เพราะว่าช่วยให้พระสงฆ์มีเขตทำสังฆกรรม อย่าลืมนะ วัดทั้งวัดส่วนสำคัญที่สุดมันอยู่ที่โบสถ์ 
โบสถ์มีส่วนสำคัญเพราะ เป็นที่ประชุมสงฆ์ ถ้าไม่งั้นสงฆ์ไม่มีที่ประชุมในการทำสังฆกรรม 

ก็ถือว่ามีอานิสงส์หนักเพราะลูกนิมิตมันหนัก ติด ๑๐ ลูกก็ได้ ๑๐ หนัก แต่ว่าถ้าปิดทองลูกนิมิตนี่ต้องจังหวัดสุพรรณบุรี

โอ้โฮ...สมัยก่อนรถเรือมันไม่มี ใช่ไหม..
ขนาดนอนค้างคืนยังไปเลยศรัทธามาก ก็มีวัดหนึ่งฉันไปเทศน์ ถามโยมคนหนึ่งว่ามาจากไหน..มาค้างคืนหรือเปล่า...บอกว่าค้างตามทางมา ๒ คืน 

ถามว่าเพราะอะไร..
เขาบอกว่า.."ปิดทองลูกนิมิต ๗ วัดไม่ตกนรก"

ผู้ถาม : จริงหรือครับ..

หลวงพ่อ : เรื่องนี้จริง ถ้ากำลังปิดอยู่ แม้แต่วัดเดียวก็ไม่ตกนรก มันยังไม่ตายนี่

ผู้ถาม : อ๋อ.. (หัวเราะ)

หลวงพ่อ : ความจริงก็ดี ถ้าเขามีเจตนาแบบนั้น เขามีความเชื่อแบบนั้นนะ และก็จงอย่าลืมว่า..ถ้าเวลาที่เขาป่วย จิตมันจะคิดอยู่เป็น 
อนุสสติ ก็ลงนรกไม่ได้จริงๆ

ผู้ถาม : สมมุติว่ากำลังจะตายมิตายแหล่ เห็นลูกนิมิตมาลอยเคว้งคว้างล่ะครับ..

หลวงพ่อ : ถ้าอย่างนั้นขึ้นสวรรค์ทันที ถึงแม้จะไม่เห็นมาลอยก็ตาม แต่จิตคิดว่าเราเคยปิดทองมาแล้ว ๗ วัด เราไม่ตกนรกแน่ จิตมันก็เป็นกุศล ใช่ไหม..นี่ ถูกของเขา

#หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
[พระมหาวีระ ถาวโร]
วัดจันทาราม(ท่าซุง) จ.อุทัยธานี
หนังสือพ่อรักลูก(พิเศษ)หน้า ๙๑-๙๓
#เพจคำสอนหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
พิมพ์เพื่อธรรมทานโดย..
🖋..Moddam Thammawongล

01 มีนาคม 2565

ความสำคัญของวิชา"พุทธศาสนา" ในโลกจะวันตก

พระศากยวงศ์วิสุทธิ์ “พุทธศาสนา” ในโลกตะวันตก 
“สาเหตุที่ศาสนาพุทธไปเจริญในต่างประเทศ เพราะเขาไม่ได้เรียนพุทธศาสนาเพื่อไปเป็น “พุทธ” ฝรั่งบอกว่าเรียนพุทธศาสนาเพื่อเป็น “คริสต์ที่ดี” เป็น “มุสลิมที่ดี” อย่างมุสลิม เขาบอกว่าเรียนพุทธศาสนาแล้วทำให้เป็นมุสลิมที่ดี พวกคริสต์เรียนพุทธศาสนา ก็เป็นคริสต์ที่ดี "

จนปัจจุบันในบริบทอเมริกาเกิดชื่อกลุ่มใหม่ๆ ขึ้นว่า Jubu(Jewbu) หรือ Jewish Buddhist คือในแง่ของพิธีกรรมยังเป็นยิวอยู่ แต่วิธีคิดวิธีดำเนินชีวิตเป็นพุทธ เช่นเดียวกับในหมู่คริสต์ เกิดคำว่า ChristBu ในแง่พิธีกรรมก็ยังทำตามคริสต์ไป แต่การปฏิบัติหรือการคิดเป็นแบบพุทธ”

๐ฝรั่งคิดว่าพุทธศาสนาเป็นปรัชญา?

“หลายศาสนาเป็นแค่ปรัชญา แต่พุทธศาสนาไม่ใช่ปรัชญา อย่างวิทยาศาสตร์ยังขึ้นอยู่กับกาลเวลา แต่พุทธศาสนาเป็นสัจธรรมที่ไม่มีเงื่อนไขของกาลเวลา พิสูจน์ได้ตลอดเวลา ปฏิบัติได้ และเมื่อปฏิบัติแล้ว รู้ได้ด้วยตัวเอง ชาวตะวันตกตื่นเต้นกับพุทธศาสนามาก เลยมีการเรียนการสอนพุทธศาสนามาก แต่พวกเราชาวพุทธหรือชาวเอเชียพอเห็นเขาศึกษาก็ตื่นเต้น ฮือฮาว่าเขาจะมาเป็นพุทธ ซึ่งไม่ใช่ ที่เขาศึกษาไม่ได้จะไปเป็นชาวพุทธ แต่ศึกษาเพื่อแก้ไขปัญหาชีวิตประจำวัน ฝรั่งใช้ทุกวิทยาการที่มีอยู่เพื่อพิสูจน์ ยิ่งพิสูจน์ยิ่งปฏิเสธไม่ออก ยิ่งพิสูจน์ยิ่งเจอเพชร เช่นเมื่อ 10 ปีก่อนองค์การอนามัยโลก(WHO) ศึกษาวิจัยทั่วโลกว่าพัฒนาการของโลกในอนาคตเป็นอย่างไรและมีโรคใดบ้าง เพื่อดักปัญหาได้ถูก ปรากฏว่าโรคร้ายแรงที่สุดในปีค.ศ.2020 ไม่ใช่มะเร็งหรือเอดส์ แต่กลายเป็นโรคเครียด เพราะวิถีชีวิตเปลี่ยนไป ฝรั่งพยายามค้นคว้ายาเพื่อแก้ไข แต่พบว่า “ยา” รักษาโรคเครียดได้แค่ชั่วคราว เพราะความเครียดเกิดจากวิถีชีวิตที่เราสร้างขึ้น
ไปๆ มาๆ 

ฝรั่งที่ศึกษาพุทธศาสนาก็เลยทดลองใช้วิธี “การเจริญสติ(mindfulness)” จนตอนนี้ทางการแพทย์พัฒนาขึ้นเรียกว่า “MBCT” หรือ “Mindfulness-based Cognitive Therapy” คือการบำบัดจิตบนพื้นฐานของการเจริญสติ หรือการบำบัดจิตแก้ไขเรื่องความเครียด ตอนนี้วงการแพทย์ใช้การเจริญสติเป็นพื้นฐานในการแก้ไขปัญหาทุกอย่าง พอทดลองด้วยการเจริญสติ ปรากฏว่าสามารถแก้ไขโรคต่างๆ หายเป็นปลิดทิ้ง ทั้งโรคจิต โรคเครียด โรคมะเร็ง สารพัดโรคหายหมด ด้วยเหตุนี้เขาจึงศึกษาลึกลงไปว่า
ทำไมแค่การนั่งสมาธิถึงสามารถแก้ไขในสิ่งที่ “ยา” แก้ไขไม่ได้ พบว่า “change your mind, change your brain” 

คือ ฝึกจิตแล้วเปลี่ยนสมองได้
 ด้วยเหตุนี้ทางวิทยาศาสตร์พยายามศึกษาคำว่า “จิต(mind)”
ฝรั่งไม่มีคำว่า mind มีแต่ soul (อัตตา/ตัวตน) แต่พุทธศาสนาเชื่อว่าไม่มีตัวตน แต่มีจิต(mind) ที่สามารถบังคับตัวตนให้เป็นไปในสิ่งที่เราต้องการได้ จิตเป็นสิ่งใหม่สำหรับฝรั่ง แต่ของเราพูดถึงจิตมากว่า 2,500 ปีแล้ว เรารู้ว่าตัวตน(soul)ดำเนินตามจิต พอฝรั่งมาเจอจิต คือการรับรู้ทางพุทธศาสนา นั่นคือ ใช้อายตนะไปกระทบกับสิ่งข้างนอกแล้วเราทำปฏิกิริยากับสิ่งเหล่านั้นอย่างไร ถ้าเรามีความรู้ความเข้าใจหรือมีตัว “ปัญญา” มาก ปฏิกิริยาต่อสิ่งนั้นก็ออกมาในทางฉลาด แต่ถ้าเราปัญญาน้อย เราก็จะกลายเป็นเหยื่อกับสิ่งที่มากระทบ นี่คือสิ่งที่พุทธศาสนาสอนมานานแล้ว
พุทธศาสนาจึงกลายเป็นวิชาพื้นฐานที่ทุกคนต้องเรียน 

อาตมาเคยถามนักศึกษาที่ลงเรียนกับอาตมา คือที่มหาวิทยาลัยซานตาคลาราที่อาตมาสอนอยู่เป็นมหาวิทยาลัยคริสตัง แต่คอร์สพุทธศาสนากลับเป็นคอร์สที่ป็อบปูลาร์มากที่สุด เวลามหาวิทยาลัยประกาศว่าอาตมาจะไปสอนเทอมไหน (วิชาเลือก 5 หน่วยกิต) ปรากฏว่านักศึกษาลงชื่อเรียนเต็มคลาส 35 คนภายใน 15 นาที จนบาทหลวงที่เป็นเพื่อนฝูงกันถามว่าคุณมีดีอะไร ทำไมถึงเต็มเร็ว เพราะของเขาขยายเวลาแล้วขยายอีกก็ยังไม่เต็ม อาตมาเคยเจอถึงขนาดที่นักศึกษามาร้องไห้อ้อนวอนขอเรียน ด้วยความอยากรู้เลยถามนักศึกษาว่า 

“ทำไมพวกคุณถึงคลั่งวิชาพุทธศาสนากันมาก” เขาตอบว่า “วิชานี้ขาดไม่ได้เลย ถ้าขาดวิชานี้ ทำอะไรไม่ได้” อย่างฝรั่งที่เรียนวิชาเอกจิตวิทยา บอกว่าถ้าไม่ได้เรียนพุทธศาสนา เท่ากับไม่รู้เรื่องจิตวิทยาเลย ตอนนี้กลายเป็นว่านักศึกษาที่เรียนวิชาทางแพทย์ ก็ต้องมาเรียนวิชานี้เป็นพื้นฐานก่อน ถ้าไม่ได้เรียน เท่ากับวิชาอื่นๆ ที่เรียนอยู่ไม่สมบูรณ์”

๐โรงเรียนและมหาวิทยาลัยสอนพุทธศาสนากันหมด?

“โรงเรียนรัฐในอเมริกาสอนกันหมด อย่างเวสโคสท์เฉพาะที่รัฐแคลิฟอร์เนียซึ่งมีโรงเรียนรัฐประมาณ 200-300 โรง ปรากฏว่าทุกโรงเรียนสอนกันหมด เขาสอนเจริญสติ(mindfulness) ตั้งแต่ระดับอนุบาล แต่บางที่เกรงว่าผู้ปกครองจะเข้าใจผิดว่าจะไปล้างสมอง เลยเลี่ยงไปใช้คำว่า “secular mindfulnesss” เพราะถ้าใช้แค่คำว่า “mindfulness” ยังมีโทนศาสนา ฝรั่งจึงพยายามบอกผู้ปกครองว่าเป็น mindfulness ทางโลก ความจริงสอนเหมือนพุทธศาสนาเพียงแต่ถ้าไปบอกว่าเป็นพุทธศาสนา เขาจะคิดว่ามีความเชื่องมงายเข้าไปด้วย ฝรั่งเลยพยายามเลี่ยงตรงนี้ 

อาตมาเคยคุยกับเพื่อน ถามว่าทำไมถึงใช้คำว่า mindfulness(เจริญสติ) ทำไมไม่ใช้คำที่กว้างกว่านี้ คือ Mindful Awareness(สติสัมปชัญญะ) คือ สติ(ความจำ)อย่างเดียว ไม่พอ แต่ต้องมีเงาของสติ คือ สัมปชัญญะ(ความรู้ตัว ) ด้วย ตอนนี้เพื่อนเลยหันมาใช้คำใหม่ว่า “Mindful Awareness”
อย่างระดับอนุบาล วิธีการสอนให้เด็กนอน ครูเอาตุ๊กตาวางที่อก แล้วให้เด็กดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับตุ๊กตา เด็กเห็นว่าขยับขึ้นลงเมื่อเราหายใจเข้า-ออก คือของฝรั่งไม่ได้บอกว่าหายใจเข้า “พุท” หายใจออก “โธ” แต่ให้ดูสภาพตรงนั้น หรือให้ดูที่ท้อง คือเอาเวทนานุปัสสนามาพัฒนาให้เด็กเรียน หรือถ้าเด็กซน วิธีการสอนก็ให้เด็กนั่งล้อมวง ครูตีกลองแล้วบอกว่าถ้าหยุดเมื่อไร ที่เต้นอยู่ท่าไหนก็ต้องหยุดท่านั้น เด็กทุกคนก็เต้น แต่ในขณะเดียวกันหูฟัง แล้วพอหยุดเสียงกลอง ก็หยุดในท่านั้น นี่คือการฝึกเรื่อง “รู้ตัว” หรือไม่ก็ให้เด็กนั่งวงล้อม ครูตีระฆังแล้วบอกว่าถ้าใครไม่ได้ยินก็ให้ยกมือขึ้น เราจะเห็นว่าเด็กแต่ละคนได้ยินเสียงไม่เท่ากัน ความละเอียดของเสียงระฆังที่ค่อยๆ หายไปของแต่ละคนจะไม่เท่ากัน เป็นการฝึกจิตให้เป็นสมาธิ ฝึกให้เด็กจดจ่อโดยไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการนั่งสมาธิ หลังเข้าคอร์ส มีการสัมภาษณ์พ่อแม่ว่าเด็กเป็นอย่างไรบ้าง พ่อแม่บอกว่าตอนแรกคิดว่าเป็นเรื่องของศาสนา เลยกลัว ไม่อยากให้ลูกเรียน แต่พอลูกได้เรียนแล้ว รู้สึกสุดยอดมาก อย่างตอนที่ทะเลาะกับสามี กลายเป็นลูกที่บอกว่าให้ไปนั่งสมาธิ หรือบางคราวลูกบอกว่า ‘อย่าโกรธ ให้นับหายใจ 1,2,3 แล้วจะหายโกรธ’ คือ กลายเป็นเด็กสอนพ่อแม่”

๐เป็นอาจารย์สอนพระพุทธศาสนาในมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก

“ตอนเรียนจบดอกเตอร์ใหม่ๆ มาเป็นอาจารย์สอนที่ มมร จากนั้นมหาวิทยาลัยมหิดล(มม.) นิมนต์ให้ไปช่วยสอนวิทยาลัยศาสนศึกษา วิชาพุทธศาสนาเถรวาท ตามมาด้วยวิชาพุทธศาสนาในตะวันตก การอ่านคัมภีร์ นอกจากนี้มีสอนในเชิงปรัชญา สอนทรัพยากรมนุษย์ที่คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, สอนนิติปรัชญาที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น รวมถึงช่วยแก้ไขหลักสูตรในทางจิตวิทยาให้กับแพทย์ที่โรงพยาบาลศรีธัญญา สอนนักศึกษามหาวิทยาลัยมิชิแกนที่มาเข้าค่ายพุทธศาสนากับสิ่งแวดล้อมที่เนปาล แล้วจึงรับนิมนต์ไปสอนที่ต่างประเทศในปี ค.ศ.2002
สมัยปี ค.ศ.2002 ที่รับนิมนต์ไปสอนที่มหาวิทยาลัยซานตาคลารา สหรัฐอเมริกานั้น นักศึกษาสนใจเยอะมาก คณบดีเลยถามว่าเอาไหมเปิดสอน 2 คลาสเลย เราก็บอกได้ไม่มีปัญหา ก็เลยสอน 2 คลาส แต่นักศึกษาก็ยังแน่น พออีกครั้งเราก็บอกว่าไม่ไหว สอนแค่วิชาเดียว ไม่พัฒนา จะทำให้สมองฝ่อ คณบดีเลยถามว่าเปลี่ยนวิชาไหม อาตมาเลยไปคิดออกแบบหลักสูตรใหม่ เป็นว่า ‘Buddhism and Globalization’ คือ วิชาพุทธศาสนากับโลกาภิวัตน์ ยุคนั้นยังไม่เคยมีวิชานี้ แต่พอมาปี ค.ศ.2003-2004 วิชานี้มีอยู่ทั่วโลกแล้ว แต่ตอนนั้นยังเป็นวิชาใหม่ อาตมาเองก็ไม่แน่ใจว่าจะทำได้ไหม ก็เลยถามพวกอาจารย์ที่สอนพุทธศาสนาในมหาวิทยาลังดังๆ ทั้งหมดที่รู้จักกัน ส่งหลักสูตรไปให้เขาช่วยวิจารณ์ว่าที่เราออกแบบดีไหม ทุกคนตอบกลับมาว่า ‘ฉันก็ไม่สามารถที่จะทำให้มันดีไปกว่านี้ได้’ อาตมาก็เลยเปิดวิชาใหม่ เป็นแอดวานซ์คอร์สหรือพุทธศาสนาระดับสูง เป็นการประยุกต์พุทธศาสนา คือ มองโลกไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ สังคม การเมือง เทคโนโลยีผ่านเลนส์พุทธศาสนา
ทุกวันนี้เป็นอาจารย์พิเศษสอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยซานตาคลารา สหรัฐอเมริกาและมหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด ประเทศอังกฤษ อาจารย์สอบวิทยานิพนธ์ให้กับนักศึกษาที่พม่า โดยที่ซานตาคลาราสอนอยู่ 2 วิชา คือ ‘Buddhism Intermediate-level(พุทธศาสนาระดับกลาง)’ ด้วยความที่ซานตาคลารา เป็นมหาวิทยาลัยคริสตัง จึงบังคับนักศึกษาทุกคนที่จบจากมหาวิทยาลัยนี้จะต้องผ่านวิชาศาสนา 3 ตัว (religious study) ภายใน 4 ปี คือ ศาสนาเบื้องต้น ศาสนาระดับกลาง และศาสนาระดับสูง โดย 3 ตัวนี้ จะเลือกเรียนตัวไหนก็ได้แล้วแต่ซึ่งมหาวิทยาลัยมีให้เลือก 20-30 ตัวเลือก โดยอาตมาสอนอยู่ระดับกลาง คือ Buddhism Intermediate-level และอีกตัวเป็นระดับสูง (advanced) คือ ‘Buddhism and Globalization (วิชาพุทธศาสนากับโลกาภิวัตน์)’ ส่วนที่มหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด อาตมาสอนระดับปริญญาเอกในแง่มานุษยวิทยา คือสอนวิชาพุทธศาสนาในประเทศไทยในเชิงวิชาการ มองภาพรวมพุทธศาสนาในประเทศไทยจากมุมมองทุกอย่างทั้งจากข้อมูลดิบและวิพากษ์ข้อมูลดิบว่าทำไมถึงเป็นภาพอย่างนั้น นอกจากนี้ยังเป็นคลังสมองให้กับสหประชาชาติ โดยสหประชาชนกำลังขับเคลื่อนการพัฒนายั่งยืน ก็ให้อาตมาเป็นคลังสมองไปให้ข้อมูล ส่วนยูเนสโก อาตมาเป็นวิทยากรในเรื่องสิ่งแวดล้อม world economic forum”
 และล่าสุดประเทศไทยได้จัดตั้งศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาเถรวาทในมหาวิทยาลัยมิชิแกน สหรัฐอเมริกา ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในโลกที่มีการจัดตั้งศูนย์ที่เจาะลึกเถรวาท เรียกได้ว่าเป็นความก้าวหน้าในการเรียนการสอนพระพุทธศาสนาในโลกตะวันตก”

พระศากยวงศ์วิสุทธิ์ (อนิลมาน ธมฺมสากิโย) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศราชวรวิหาร อาจารย์มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย (มมร) 
ปัจจุบันพระศากยวงศ์วิสุทธิ์ รับนิมนต์เป็นอาจารย์พิเศษอยู่ที่ มหาวิทยาลัยซานตาคลารา สหรัฐอเมริกา และมหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด ประเทศอังกฤษ โอกาสนี้ “มติชน” จึงสัมภาษณ์ถึงการเรียนการสอนพุทธศาสนาในโลกตะวันตก ซึ่งมีสาระสำคัญดังข้างต้น ...อ่านข่าวและชมภาพประกอบข่าวต่อที่ มติชนออนไลน์...

www.matichon.co.th/news/4148

อรหันต์มีอยู่ 4 ประเภท

อรหันต์มีอยู่ 4 ประเภท คือ
1. สุกขวิปัสสโก
2. เตวิชโช
3. ฉฬภิญโญ
4. ปฏิสัมภิทัปปัตโต
อรหันต์ 4 ประเภทนี้ มีคุณธรรมพิเศษเสมอกันอยู่อย่างหนึ่ง คือ 
ตัดกิเลสให้เป็นสมุจเฉทปหานเหมือนกัน 
แต่ว่าด้านความสามารถไม่เสมอกัน 

อรหันต์ #สุกขวิปัสสโก 
รู้เรื่องราวของการตัดกิเลสได้ดี ถึงแม้ว่าสอนก็สอนไม่ผิด 
แต่ถ้าจะใช้อารมณ์จิตเป็นเครื่องรู้อย่างอื่นนี่ไม่สามารถจะทำได้สำหรับ 

#เตวิชโช นี้ 
ก็สามารถจะมีทิพจักขุญาณ สามารถที่จะระลึกชาติได้มีความสามารถเกินกว่า สุกขวิปัสสโก

สำหรับ #ฉฬภิญโญ 
ก็มีความดีกว่า เตวิชโช สามารถแสดงฤทธิ์ได้ มีอะไรดีกว่าทุกอย่างเรียกว่ารู้พิเศษ 
สามารถพิเศษกว่าทุกอย่างกว่า เตวิชโช

สำหรับ #ปฏิสัมภิทัปปัตโต หรือที่เรียกว่า #ปฏิสัมภิทาญาณ
 มีสามารถคลุมในด้านของวิชชาสาม และ อภิญญา 6 ทั้งหมด 
หมายความว่า #วิชชาสาม ทำอย่างไรได้ #อภิญญาหก ทำอย่างไร ได้ ปกิสัมภิทาญาณ ก็ทำได้

นอกจากนั้นก็ยังมีความสามารถพิเศษ คือ
1. สามารถจะขยายเนื้อความโดยย่อ ที่พระพุทธเจ้าแล้วให้เป็นพิสดารโดยไม่ผิด
2. ข้อความใดที่ขยายแล้วเป็นพิสดาร จะกล่าวโดยย่อ ให้สั้นได้ใจความก็ไม่ผิด
3. และก็มีความฉลาดในด้านปฏิภาณ มีความไหวพริบดี สิ่งใดในคำว่าไม่รู้ในปฏิสัมภิทาญาณ ไม่มี 
ถึงแม้ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นจะไม่เคยศึกษามาก่อน อาศัยญาณวิเศษนี้เป็นเครื่องบอก
4. และประการที่ 4 สำหรับ ปฏิสัมภิทาญาณ ก็มีความฉลาดในภาษาหมายความว่าภาษาคนทั่วโลกนี้ 
ปฏิสัมภิทาญาณ รู้หมด พูดได้และก็ภาษาสัตว์ทุกประเภท

คนที่จะรับคำสอนน่ะ มีอยู่ 4 ประเภท
1. #อุตฆฏิตัญญู 
เป็นคนที่มีบุญวาสนาบารมีดี แนะนำประเดี๋ยวเดียวก็สำเร็จอรหัตผล
2.#วิปจิตัญญู 
คนประเภทนี้ปัญญาทรามลงมานิดหนึ่ง พูดน้อยๆ ไม่เข้าใจ อธิบายให้ฟัง จึงจะมีความเข้าใจ และก็เป็นอรหันต์ได้
3. #เนยยะ 
บุคคลประเภทนี้ไม่สามารถจะเป็นพระอริยเจ้าได้ แต่ว่าสอนให้มีความรู้ดี รู้ชอบได้ คือเข้าถึงไตรสรณคมน์ ทรงศีล 5 บริสุทธิ์
4. #ปทปรมะ 
บุคคลประเภทนี้สอนเท่าไหร่ ก็ไม่มี มักไม่มีผล สอนให้คนประเภทนี้ทำดีไม่ได้

เมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาทรงแนะนำอย่างนี้แล้ว 
องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ทรงยืนยันว่า องค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาคือพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ ทรงสอนแบบนี้เหมือนกันหมด
ท่านทรงยืนยันว่า
1. ทรงสอนว่าให้คนงดความชั่วทั้งหมด
2. สอนให้ทรงไว้ซึ่งความดี
3. แนะนำให้ทำใจผ่องใสจากกิเลส

หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง)

“สวดมนต์” อย่างไร...ให้จิตมีพลังบุญมาก...เกิดปาฏิหาริย์

สวดมนต์ ไม่ว่าบทไหน จะให้เกิดผลดี มีพลังมงคลสูง 

ควรรู้และเข้าใจเคล็ดวิชาศักดิ์สิทธิ์นี้ที่ช่วยให้จิตมีกำลังมาก

ปกติบทสวดมนต์ในแต่ละบทนั้น
จะมีความมงคลมากทุกบทที่พ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่านเมตตา

การจะทำให้ได้ผลตามที่ปรารถนานั้น
จำสามเรื่องนี้ก่อนว่า

หนึ่งต้องมีศรัทธา ถ้าไม่มีศรัทธาคาถาบทไหนก็เหมือนลมออกจากปาก
ไม่มีประโยชน์อะไรเลย...

สอง ต้องมีความเพียร มีคนมากหลือเกินที่สวดสามวันจะเอาผลมาก เป็นไปไม่ได้ ชั่วชีวิตผ่านมาไม่เคยสวดแบบจริงจังอะไรเลย ประเภทปลูกกล้วยหน่อเดียวจะเอาผลสิบไร่

สามต้องมีความอดทน พ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่านบอกให้สวดกี่จบก็ตามนั้น 
อย่าไปคิดเองเออเอง สวดให้ครบ

และเคล็ดที่จะเป็นปัจจัยช่วย อ่านช้าๆ 

ข้อ 1 หมั่นทำทานให้ครบในทุกวันเท่าที่ทำได้ ทั้งวัตถุทาน ธรรมทานและอภัยทาน วัตถุทาน ข้าวปลาอาหาร ตามกำลัง ให้ธรรมทานแก่ผู้อื่น สอนงานให้ความรู้ โดยไม่หวังผลตอบแทน ให้อภัยคนอื่นได้ทุกๆ วัน

ข้อ 2 ต้องตั้งจิตรักษาศีลเต็มกำลัง สมาทานทุกวัน

ข้อ 3 ก่อนสวดมนต์ให้อุทิศบุญ เชื่อมบุญกับพ่อแม่ครูบาอาจารย์บูชาท่านด้วยบุญเสียก่อน ขอเป็นศิษย์ท่าน หลายองค์เราเกิดไม่ทันท่าน 

เวลาสวดมนต์ด้วยบทต่างๆ สวดด้วยความนอบน้อม มีศรัทธาและจดจ่อต่อบทสวดนั้นมากที่สุด และอย่างน้อยต้องสวดมนต์ที่เราจำได้ขึ้นใจให้ได้วันละ 3 จบ

ข้อ 4 หลังสวดมนต์ฝึกสงบจิตนั่งสมาธิวันละ 15 นาที หรือในอิริยาบถอื่นก็ได้ ให้จิตได้พักผ่อนนิ่งๆ

ข้อ 5 ออกจากสมาธิให้อุทิศบุญแผ่เมตตา อุทิศบุญให้ตัวเองก่อน
แล้วอุทิศให้พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ เจ้ากรรมนายเวรและทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเรา

ข้อ 6 ทำการอธิษฐานจิตขอให้บุญนี้เป็นกำลัง ปัจจัยสำคัญให้สนับสนุนเรา ให้มีปัญญา มีความอดทน อดกลั้นที่จะทำความดีไม่หยุดยั้ง ลด ละบาปทั้งปวงได้มากที่สุด ขอให้ชีวิตในทุกด้านเกิดความเจริญก้าวหน้าในทางที่ถูกธรรมและดีงาม ดังที่ปรารถนา

ไม่ว่าจะเป็นทั้งทางโลกและทางธรรม
เคล็ดนี้จะเกิดผลดีจริง เมื่อได้ทำ
สม่ำเสมอ มากพอ นานพอ
ในทุกวัน....

ขอบุญรักษา ธรรมะคุ้มครอง
ครูบาอาจารย์เมตตา
เทวดาค้ำชูทุกท่านเถิด

สุขเสมอความสงบนั้นไม่มี

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! ไม่มีความสุขใดเสมอด้วยความสงบชนิดนี้สามารถหาได้ในตัวเรานี้เอง ตราบใดที่มนุษย์ยังวิ่งวุ่นแสวงหาความสุขจากที่อื่น เขาจะไม่พบความสุขที่แท้จริงเลย มนุษย์ได้สรรค์สร้างสิ่งต่างๆ ขึ้นไว้เพื่อให้ตัวเองวิ่งตาม แต่ก็ตามไม่เคยทัน การแสวงหาความสุขโดยปล่อยใจ ให้ไหลเลื่อนไปตามอารมณ์ที่ปรารถนานั้น เป็นการลงทุนที่มีผลไม่คุ้มเหนื่อย เหมือนบุคคลลงทุนวิดน้ำในบึงใหญ่เพื่อต้องการปลาเล็กๆ เพียงตัวเดียว มนุษย์ส่วนใหญ่มัววุ่นวายอยู่กับเรื่องกาม เรื่องกิน และเรื่องเกียรติ จนลืมนึกถึงสิ่งหนึ่ง ซึ่งสามารถให้ความสุขแก่ตนได้ทุกเวลา สิ่งนั้นคือ ดวงจิต ที่ผ่องแผ้ว เรื่องกามเป็นเรื่องที่ต้องดิ้นรน เรื่องกินเป็นเรื่องที่ต้องแสวงหา และเรื่องเกียรติเป็นเรื่องที่ต้องแบกไว้ เมื่อมีเกียรติมากขึ้นภาระที่จะต้องแบกเกียรติเป็นเรื่องใหญ่ยิ่งของมนุษย์ผู้หลงตนว่าเจริญแล้ว ในหมู่ชนที่เพิ่งมองแต่ความเจริญทางด้านวัตถุนั้น จิตใจของเขาเร่าร้อนอยู่ตลอดเวลา ไม่เคยประสบความสงบเย็นเลย เขายินดีที่จะมอบตัวให้จมอยู่ในคาวของโลกอย่างหลับหูหลับตา เขาพากันบ่นว่าหนักและเหน็ดเหนื่อย พร้อมๆ กันนั้นเขาได้แบกก้อนหินวิ่งไปบนถนนแห่งชีวิตอย่างไม่รู้จักวาง"

อริยสัจ 4 และมรรคแปด

ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ห่างไกลจากกิเลสตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาค ทรงตรัส...